เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ ถ้าเป็นของไทยเราก็ตรงกับ แรม ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู อย่าเพิ่งรีบร้อนเป็นปีขาล ลูกหลานใครเกิดก่อนเดือน ๕ ตามตำราโหราศาสตร์ เขาให้ใช้ปีฉลูไปก่อน ส่วนของจีนนั้นเป็นวันที่ ๑ ของปีขาล

    คราวนี้จีนกับไทยของเรานับอะไรก็ไม่ค่อยจะตรงกัน แต่ว่าใช้หลักของจันทรคติเหมือนกัน ถ้าปีไหนเป็นอธิกมาส คือของไทยเรามีเดือน ๘ สองหน อีกไม่นานจีนก็จะมีเดือน ๓ สองหนเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะบวกลบคูณหารกันอย่างไร ท้ายสุดก็ต้องปรับให้เข้ากับวงโคจรของดวงจันทร์อยู่ดี

    คราวนี้ในส่วนของวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งคนไทยเรียกง่าย ๆ ว่าวันเที่ยวนั้น ปรากฏว่าเมื่อเช้าบิณฑบาต มีญาติโยมหลายบ้านหายไป ก็น่าจะไปเที่ยวกัน แต่การไปเที่ยวช่วงเทศกาลนั้น กระผม/อาตมภาพไม่นิยมเพราะว่าเข็ด บางครั้งไปตรงกับช่วงเทศกาล อย่างไปเที่ยวน้ำตก ปรากฏว่ามีแต่หัวคน แทบจะมองไม่เห็นน้ำเลย..!


    ในช่วงเทศกาล คนเราแย่งกันกิน แย่งกันใช้ ไม่ว่าจะข้าวปลาอาหารหรือที่พัก ก็แพงไปหมด เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะไปเที่ยวกัน ขอให้ถือหลักว่าอย่าไปช่วงเทศกาล การไปช่วงเทศกาล นอกจากต้องไปแย่งชิงกับเขาแล้ว ยังเจอกับของแพงอีกต่างหาก

    แบบเดียวกับที่กระผมอาตมภาพมักจะทำบ่อย ๆ ก็คือเข้ากรุงเทพฯ ในตอนที่คนอื่นเขาออก ออกจากกรุงเทพฯ ในตอนที่คนอื่นเขาเข้า รถจะไม่ติด เพราะว่าวิ่งสวนทางกับชาวบ้านเขา ใครจะถือหลักเกณฑ์นี้ก็ต้องดูให้ดีด้วยว่าหน้าที่การงานของตนเหมาะสมหรือไม่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ในส่วนของทองผาภูมินั้นเป็นแหล่งเที่ยวอยู่ตามปกติอยู่แล้ว ดังที่ญาติโยมบางท่านที่ใส่บาตรบอกว่า คนทองผาภูมิไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เนื่องจากว่าเคยชินกับสถานที่ของตนและดินฟ้าอากาศ อย่างเช่นวันนี้ อากาศก็อยู่ที่ประมาณ ๑๖ องศาเซลเซียส อย่าไปดูการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา เพราะว่าพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาต้องบวก ๒ หรือ ๓ องศาอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เป็นเพราะว่า "ตู้สกรีน" นั้นมีความอุ่นมากกว่าหรืออย่างไร หรือไม่ก็หาความละเอียดอย่างแท้จริงไม่ได้ ในเมื่ออากาศดี สถานที่สวย ไปที่อื่นแล้วก็ยังประทับใจสู้บ้านตัวเองไม่ได้ คนทองผาภูมิก็เลยไม่ค่อยไปไหน บางท่านก็ออกปากว่า "อยู่กับหลวงพ่อที่นี่แหละ..ดีที่สุดแล้ว"

    ทำให้นึกถึงตอนช่วงที่ไปเนปาล เมื่อสนิทสนมคุ้นเคยกับญาติโยมบางท่านของที่โน่น ชวนเขามาเที่ยวเมืองไทย พอรู้ว่าอยู่ทองผาภูมิ เขาบอกว่าไม่ไปหรอก เนื่องจากว่าทองผาภูมิมีแต่ป่าและเขา ซึ่งเนปาลมีเพียบอยู่แล้ว มีกระทั่งภูเขาหิมาลัย เขาอยากไปทะเลมากกว่า ก็ต้องบอกว่าแต่ละคนย่อมแสวงหาในสิ่งที่ตนเองไม่มี

    แต่ว่าส่วนที่สำคัญที่สุดของพวกเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยเตือนพระภิกษุสามเณรของเราเสมอ ก็คือ เวลาไปที่ไหนมา ให้สังเกตอารมณ์ใจของตนเองด้วยว่า เมื่อกลับถึงวัดแล้ว เรารักษาใจให้หายฟุ้งซ่านได้เร็วเท่าไร เพราะว่าตอนไปเที่ยวนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ เข้าไปมาก พูดง่าย ๆ ก็คือรับกิเลสเข้าไปมาก

    เมื่อรับกิเลสเข้าไปมาก ถึงเวลากิเลสได้อาหาร อ้วนพี มีกำลัง ก็ดิ้นรน ไม่อยากที่จะอยู่สงบ หน้าที่ของเราก็คือ ทำอย่างไรให้กำลังใจสงบระงับ เหมือนช่วงที่ก่อนจะออกจากวัด ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะแย่ เนื่องจากว่าท่านจะโดนกิเลสจูงจมูกไปง่าย ๆ

    พระภิกษุสามเณรหลายท่านเดินทางไปที่โน่นที่นี่เป็นปกติ จนกระทั่งไม่รู้ตัวว่าเป็นคนอยู่กับที่ไม่ได้ เมื่อต้องไปอยู่กับที่ก็พล่านไปหมด ออกไปที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้างในแต่ละวัน ไม่ได้รีบฉวยโอกาสในการปฏิบัติธรรม ซ่อมแซมรักษาใจของตนเองให้ดี ถ้าลักษณะอย่างนี้ ท่านจะเอาตัวรอดได้ยาก เพราะว่าจะโดนกิเลสจูงจมูกอยู่เสมอ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ในเมื่อกิเลสจูงจมูกของเราได้ ก็แปลว่า รัก โลภ โกรธ หลง ครองใจ ก็จะทำให้เราเกิดมิจฉาทิฐิ คิดผิด พูดผิด ทำผิด แต่บางทีก็ไปคิดว่าตนเองคิดถูก พูดถูก ทำถูกแล้ว ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนั้น บางคนก็กลายเป็นคนดื้อด้าน ว่ายาก สอนยาก ตักเตือนไม่ได้ไปเลย เพราะไปคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง ดีแล้ว ถูกแล้ว ไม่คิดจะแก้ไข ดีไม่ดีก็โกรธคนที่มาตักเตือนด้วย

    ตรงจุดนี้จะกลายเป็นโทษแก่ตนเอง เพราะว่ามองไม่เห็นตนเอง นอกจากมองไม่เห็นตนแล้ว เมื่อคนอื่นมองเห็น ว่ากล่าวตักเตือน เราก็ยังไม่พอใจ แล้วโกรธเคืองเขาอีก ถ้าหากว่าเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันไป เราเองก็จะไม่มีกระจกที่สะท้อนให้เห็นความประพฤติของตน ว่าดีงามหรือว่าเลวร้ายอย่างไร ก็ต้องไปคลำทางเอาเอง กว่าที่จะไปได้แต่ละก้าว ก็หกล้มหกลุก กว่าที่จะผ่านกำลังใจแต่ละจุดได้ ก็เหนื่อยยากกว่าคนอื่นเขา

    ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือฆราวาสก็ตาม ถ้าหากว่าออกไปเที่ยว หรือว่าออกไปพบปะผู้คน สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือกำลังใจของตนเอง ว่าจะไหลตาม รัก โลภ โกรธ หลง ไปได้เท่าไร เมื่อออกไปวันแรก ๆ ก็ยังไม่มากนัก เพราะว่าอยู่ปฏิบัติในสถานที่ของเรา กำลังใจยังดี แต่วันต่อ ๆ ไป เราก็จะเริ่มขาดสติ โดนรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลากไป จูงไป


    ถ้าหากว่าจะยกตัวอย่างก็เหมือนอย่างกับซ้ำเติมกัน ก็คือทิดแบงค์ (ทรงพล ลาภภัทรนันท์) ซึ่งระยะหลังอ้างว่าติดเรียน แล้วก็ไปพักอยู่ที่บ้าน เพราะว่าอยู่ที่วัดแล้วกินไม่ได้อย่างใจ อันนั้นถือว่าติดในรสและมีปัญหามาก ท้ายสุดก็ต้องสึกหาลาเพศไป เพราะโดนกิเลสจูงไปไกลจนกลับไม่ไหว แล้วที่น่าเสียดายก็คือ รู้ด้วยว่าตนเองเสียท่ากิเลสตรงไหน แต่สู้ไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว เพียรพยายามเต็มที่แล้ว ก็ได้แค่ไม่กี่วัน แต่ว่าบุญกุศลในส่วนที่ตนเองบวชเข้ามาเป็นเวลาหลายพรรษา เมื่อถึงวาระที่ผลบุญมาสนอง ก็อาจจะเลี้ยวกลับมาได้ถูกที่ถูกทางเหมือนเดิม


    ดังนั้น...เมื่อเราเห็นตัวอย่างกันแล้ว ก็ต้องระมัดระวังไว้ว่าตัวเราจะเป็นเช่นนั้นบ้าง โดยเฉพาะถ้าเป็นพระภิกษุ ออกไปชนกับข้าศึก คือเพศตรงข้าม ถ้ากำลังไม่เข้มแข็งพอ รับรองได้ว่าว้าวุ่นทุกราย บางคนก็กรรมฐานพังไปเป็นเดือน ๆ ถึงเวลาภาวนา ก็มีแต่ใบหน้าของคนที่เราพอใจขึ้นมาแทน ซึ่งบางทีบางท่านไม่ทราบว่าขี้สงสัยเหมือนกระผม/อาตมภาพหรือเปล่า ? เพราะว่ากว่าที่จะจับภาพพระได้ชัดเจนขนาดนั้น ใช้เวลาหลายปี แต่มองหน้าผู้หญิงครั้งเดียวติดตาไปหลายวันเลย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เมื่อเพียรพยายามหาคำตอบ ท้ายสุดก็ได้คำตอบว่า เราเคยชินกับด้านชั่วมากกว่า คลุกคลีกับกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง มาจนนับชาติไม่ถ้วน มีความเชี่ยวชาญชำนาญในระดับวสี นึกเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้นเลย เมื่อมีแรงกระทบเพียงเล็กน้อยก็ไหลตามไปทันที

    แต่ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ เราเพิ่งจะทำมาไม่มาก เพราะถ้าหากว่าทำมามากพอ เราจะต้องเป็นนายกิเลสได้ แต่ว่าไม่ใช่ให้เราท้อใจ แล้วรามือยอมแพ้ให้กับกิเลส หากแต่ให้ใช้ความเพียรพยายามชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ให้สมกับที่เราเป็นธรรมเสนา คือทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า ต่อให้สู้แพ้ ก็ต้องอยู่ในลักษณะของการชนะใจคนดู ก็คือทุ่มเทเต็มที่ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว

    ดังนั้น...ตรงจุดนี้ อาศัยในช่วงปีใหม่จีน ซึ่งปกติแล้วเป็นวันถือ มีข้อห้ามหลายประการด้วยกัน แต่คนไทยเราไปเรียกง่าย ๆ ว่าวันเที่ยว ตักเตือนให้ทุกคนระมัดระวังไว้ว่า ในแต่ละวันสิ่งที่เราพบ เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นในระหว่างการเดินทาง หรือว่าระหว่างการทำงาน ทำหน้าที่ของเรา เราสามารถที่จะวางทิ้งได้เร็วเท่าไร เลิกคิด กลับมาอยู่กับการภาวนาของเราได้เร็วเท่าไร ถ้าสามารถปล่อยทิ้งได้โดยไม่เหลืออะไรติดใจมาเลยยิ่งดี ถ้าเป็นแบบนั้น โอกาสที่เราชนะกิเลสจะมีสูงมาก

    แต่ถึงจะอยู่ในระดับนั้นก็ยังต้องระมัดระวังว่า อาจจะเป็นเพราะกำลังสมาธิเราสูง จึงกดกิเลสให้สงบลงชั่วคราว ถ้าประมาทเมื่อไร กิเลสตีกลับ เราก็จะเดือดร้อนอีก เมื่อระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา บางทีเราก็ยังโดนกิเลสหลอกได้
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ตัวกระผม/อาตมภาพเองเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้กิเลสกินเราได้ ปรากฏว่าวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ไม่เห็นหน้ากิเลสเลย กว่าจะรู้ตัวก็อยู่ก้นเหวพอดี..!

    คือกิเลสฉลาดมาก ชักจูงเราไปเรื่อย ๆ เหมือนกับทางค่อย ๆ ลาดต่ำลงทีละมิลลิเมตร ต่อให้เดินไปหลายกิโลเมตรก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองลงต่ำไปเรื่อย เพราะว่าบางทีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนละเอียดของหลักธรรม เราไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาด อย่างเช่นว่า ตำหนิติโทษคนอื่น โดยการเพ่งโทษ แต่ตัวเรากลับคิดว่ากล่าวเพื่อประโยชน์ของเขา เพราะฉะนั้น..ต้องดูกำลังใจตอนนั้นให้ชัดเจนจึงจะรู้ได้

    ถ้าท่านทั้งหลายดูบันทึกเดินทางที่กระผม/อาตมภาพไปพม่า ตอนที่ด่านายทหารพม่าแล้วกลับมาดูใจตนเอง ปรากฏว่ากำลังใจขุ่นมัว แปลว่าเผลอปล่อยให้กิเลสนำหน้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำ เราต้องมีสติระลึกรู้ มีสัมปชัญญะคอยกลั่นกรองอยู่เสมอว่า เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า หรือว่าเผลอให้กิเลสนำหน้าไปแล้ว

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บอกกล่าวตอนนี้ บางทีท่านทั้งหลายก็ฟังไม่เข้าใจ ต้องค่อย ๆ พบเห็นด้วยตนเอง เมื่อมีประสบการณ์แล้วถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดนี้หมายถึงอะไร

    วันนี้ก็ขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...