เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 เมษายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อเช้าก็ได้ออกไปงานวันบูรพาจารย์ที่วัดท่ามะขาม ซึ่งการจัดงานก็มีการคัดกรองกันค่อนข้างจะเข้มงวด แล้วก็ให้แขกทั้งหลายนั่งเว้นระยะ พูดง่าย ๆ ว่าระยะนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้มงวด ระมัดระวังในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่ยิ่งระวังก็ยิ่งระบาดเยอะ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนทั่วไปเลิกกลัวเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ไปแล้ว

    อย่างของตอนนี้ที่ทองผาภูมิ ถ้าหากว่าอาการค่อนข้างจะหนัก ถึงจะเอาเข้าโรงพยาบาลสนาม ถ้าอาการระดับสีเหลืองหรือสีแดงก็จะเอาเข้าโรงพยาบาลทองผาภูมิ เมื่อวานนี้ทางด้านแพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ ได้โทรมาขอเตียงพยาบาล ๑๐ เตียง เพื่อที่จะเปิดอาคารรับผู้ป่วยเพิ่ม ก็แปลว่าคนป่วยที่อาการอยู่ในระดับหนักมีมากขึ้นทุกที ส่วนคนป่วยที่มีอาการน้อยให้กักตัว รักษาตนเองอยู่ที่บ้าน

    แต่ปรากฏว่าพวกเราขาดวินัยกันอย่างมาก อย่างเช่นว่ามีโยมบางคนที่รู้อยู่ว่าเพิ่งจะตรวจเจอเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่ตอนเช้ามาใส่บาตรกระผม/อาตมภาพ อย่างนี้เป็นต้น จะมาศรัทธาอยากได้บุญอะไรกันตอนนี้ เดี๋ยวก็ได้ถวายเชื้อไวรัสให้กับพระไปด้วย..!

    ในเมื่อพวกเราไม่กลัวเชื้อไวรัส แถมยังขาดระเบียบวินัย ถึงเวลาให้กักตัวก็ไปทำบุญบ้าง ไปซื้อของในตลาดบ้าง ก็ยิ่งทำให้การแพร่ระบาดหนักขึ้นไปอีก จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่า หลังสงกรานต์ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เนื่องเพราะว่าไม่ว่าทางรัฐบาลหรือว่า ศบค.จะออกกฎระเบียบอะไรมา ก็คงไม่ฟังกันแล้ว


    แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา พยายามห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามา โดยเฉพาะในสถานที่ซึ่งพระภิกษุสามเณรรวมกันมาก ๆ และต้องถอดหน้ากากอนามัยด้วย ก็คือหอฉัน ก็ยังมีพวกดื้อ ไม่ฟังเสียง..ลุยเข้าไป โดยคิดแบบมักง่ายว่า "แค่พักเดียว..ไม่เป็นอะไรหรอก"


    เหตุที่ต้องห้ามกันก็เพราะว่างานบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ถ้าหากว่าพลาดขึ้นมา มีใครติดเชื้อ ที่เหลือก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งวัด..! แล้วถ้าตรวจเชื้อเป็นจำนวนมาก รับประกันว่าดังไปทั้งประเทศ เพราะจะกลายเป็น "คลัสเตอร์สามเณรภาคฤดูร้อนวัดท่าขนุน..!"


    แต่บรรดาพวกมักง่าย..ปัญญานิ่ม ไม่ได้คิดถึงเรื่องความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับวัด คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอะไรตามใจตนเอง แล้วก็ฝ่าฝืนคำสั่ง แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้มงวด ก็ยังไปด่าว่าเจ้าหน้าที่ ซ้ำร้ายกว่านั้น แม่ชีของเราแทนที่จะห้ามปราม..ก็ดันไปเข้าข้างเขาอีก..!

    เหลือเวลาอีก ๒ วัน สำหรับโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนของเรา กำลังลุ้นว่าทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัยไปจนจบโครงการหรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ความจริงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรามีจิตสำนึก เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ก็จะไม่มีเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ด้วยความที่เราเห็นแก่ตัวมากกว่า โดยเฉพาะขาดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือประกอบไปด้วยอคติ ลำเอียงเพราะรักบ้าง ลำเอียงเพราะเกลียดบ้าง พอถึงเวลาความฉิบหายวายป่วงเกิดขึ้น ก็ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข กลายเป็นภาระของกระผม/อาตมภาพที่ต้องมาแก้ไขต่อไป

    หลังจากงานวันบูรพาจารย์ที่วัดท่ามะขามแล้ว กระผม/อาตมภาพก็แวะไปที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ไปรบกวนท่านพระครูศรีกาญจนวิสุทธิ์ (ไพรัช อินฺทวิสุทฺโธ ป.ธ.๖) หรือบรรดาคนคุ้นเคยเรียกกันติดปากว่า "มหาไพรัช" ให้ท่านช่วยออกตราตั้งฐานานุกรมเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิให้ฉบับหนึ่ง โดยนำข้อมูลไปให้ท่านช่วยพิมพ์ให้

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าใบตราตั้งนั้นเป็นกระดาษพิเศษ ขนาดแผ่นใหญ่เกินปกติ แล้วเครื่องพิมพ์ที่รองรับได้มีอยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเครื่องเดียว เพราะว่าการพิมพ์กระดาษที่ใหญ่กว่าปกตินั้น ที่อื่น ๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลย จึงไม่มีใครไปลงทุนไปซื้อเครื่องแบบนั้นไว้

    เมื่อนำเอาตราตั้งที่พิมพ์เสร็จแล้ว มาให้หลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิช่วยเซ็นรับรองและประทับตราให้ ก็เพราะว่าอดีตสมุห์ชาย (พระสมุห์ธนกฤต ขนฺติพโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท สึกหาลาเพศไป ตำแหน่งฐานานุกรมเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิที่ "พระสมุห์" ว่างลง จึงเรียนท่านเจ้าคณะอำเภอว่า "ขอให้กับเลขาฯ รองอำเภอของผมต่อไปเลยครับ"

    ในเรื่องของยศของตำแหน่ง ขอให้ทุกคนทราบอยู่เสมอว่า ยศศักดิ์และตำแหน่งมักจะมาพร้อมกับหน้าที่ ในเมื่อมาพร้อมกับหน้าที่ อันดับแรกก็คือ...ภาระรับผิดชอบของเราต้องมากขึ้น อันดับที่สองก็คือ...เราต้องระมัดระวังกำลังใจของตนเองว่ายินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้รับมากเกินไปหรือเปล่า ? อันดับสาม...หนักกว่านั้นอีก เพื่อนสหธรรมิกพี่น้องทั้งหลายรักษากำลังใจไว้ได้หรือเปล่า ? ก็คือยินดีกับท่าน หรือว่าอิจฉาท่านกันแน่ ?

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โลกธรรม ก็คือเป็นธรรมดาของโลก เมื่อได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข ก็จะมีการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ ถ้าบุคคลเห็นชัดตรงนี้ ก็จะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ตนเองได้รับมากจนเกินไป สามารถรักษากำลังใจของตนให้อยู่ในด้านดีได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    มีบาลีกล่าวรับรองเอาไว้ว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา ถ้าเป็นภาษาโบราณ เขาใช้คำว่า "ยศช้าง ขุนนางพระ" ก็คือเวลาช้างออกศึก โดนใช้ในการรบ เมื่อได้รับชัยชนะกลับมา พระมหากษัตริย์ก็มักจะตั้งยศให้ เป็นคุณพระบ้าง เป็นพระยาบ้าง เหมือนอย่างกับช้างเผือกคู่บารมีในหลวงที่ ๙ ก็คือ คุณพระเศวตอดุลยเดชพาหน เป็นต้น

    คราวนี้ต่อให้เป็น
    เป็นคุณหลวง คุณพระ หรือเป็นเจ้าคุณ คือเป็นพระยาก็ตาม ช้างก็ยังคงกินหญ้า กินกล้วยเหมือนเดิม ดังนั้น...คำว่า "ยศช้าง" ก็คือให้ไปก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามยศไปด้วย

    ส่วน "ขุนนางพระ" ก็คือพระภิกษุที่มีเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของญาติโยมจำนวนมาก องค์พระมหากษัตริย์ถวายภาระธุระในการดูแลอบรมสั่งสอนประชาชน โดยถวายสมณศักดิ์ให้ด้วย ในเมื่อมีสมณศักดิ์ก็จะมี "นิตยภัต" ซึ่งแปลว่าค่าอาหารที่ให้เป็นปกติ แต่คนเรามักจะเรียกง่าย ๆ ว่า "เงินเดือนพระ"

    ในเมื่อรับเงินเดือนก็เหมือนกับเป็นข้าราชการ เขาก็เลยใช้คำง่าย ๆ ว่า "ขุนนางพระ" ก็แปลว่าต่อให้มียศใหญ่ขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือเราเป็นพระ ต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ อันดับแรกก็คือ รักษาตนเอง ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น อันดับที่สองก็คือ ยังความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่ได้ยศจึงไม่พึงเมา ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรามีความเป็นพระภิกษุที่ต้องปฏิบัติ เพื่อรักษาอริยประเพณีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ให้

    เรื่องของยศ เรื่องของตำแหน่งเป็นแค่สัญญาบัตร ถ้าเรียกกันแบบภาษาชาวบ้านก็แค่ "กระดาษแผ่นเดียว" เรื่องของพัศยศประกอบตำแหน่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่าท่านมียศชั้นไหน ก็คือ "ตาลปัตรอันเดียว" แถมดูแลรักษายากอีกต่างหาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต จะเห็นว่าตราตั้งหรือพัดยศของกระผม/อาตมภาพ ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้า ยกเว้นเวลาจำเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะตราตั้งจะน่าสงสารมาก สัญญาบัตรหรือตราตั้งจะโดนถอดออกจากกรอบ แล้วก็เสียบเอาไว้ในสมุดเล่มใหญ่ ๆ กันยับเท่านั้น เพราะเบื่อตรงที่มีตำแหน่งมาก พอถึงเวลาแล้ว ตรงโน้นอันหนึ่ง ตรงนี้อันหนึ่ง เกะกะไปหมด..!

    แต่ว่าบางท่านไม่ใช่เช่นนั้น เข้าไปในวัดจะเจอรูปเต็มวัดไปหมด พูดง่าย ๆ ว่าติดเสียทุกเสา เสาละหลาย ๆ รูป จนกระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไว้ว่า "เหมือนอย่างกับหมา เวลาไปไหนก็ยกขาเยี่ยวรดไว้ ให้เขารู้ว่ากูผ่านมาตรงนี้แล้ว กูเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้" ซึ่งการพูดแบบนี้ก็แรงเกินไป แต่เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ว่า ถ้าเราไม่ยินดียินร้าย ก็ยังคงทำตนเป็นปกติ แต่ถ้ายินดียินร้าย ก็จะมีการแสดงออกที่ค่อนข้างจะ "เว่อร์วังอลังการ" ตามภาษาวัยรุ่น

    บางคนก็เหมือนอย่างกับว่าเพิ่มระดับของตนเองขึ้นไป ไปใช้ข้าวของที่ราคาแพง ๆ ซึ่งมีแต่จะทำให้ห่างไกลจากญาติโยมหนักเข้าไปอีก เพราะว่าโยมส่วนหนึ่งก็จะไม่กล้าเข้าใกล้ ประมาณว่า "สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว" เป็นต้น ตรงจุดนี้นอกจากทำให้ตัวเราเสื่อมแล้ว ยังทำให้พุทธศาสนาเสื่อมลงไปอีกด้วย

    จึงเป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณรของเราต้องพึงสังวรไว้ให้มาก ไม่ว่ายศตำแหน่งจะมากแค่ไหน จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม หน้าที่หลักของท่านก็คือปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อขัดเกลาตนเอง ให้ กาย วาจา ใจ ของเรา เบาบางจากกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าสามารถขัดเกลาจนกิเลสหมดสิ้นไปได้ก็ยิ่งดี ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปหลงยึดกับวัตถุภายนอก แล้วก็มาสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนา

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมที่ฟังอยู่ ที่พลอยได้รับการบอกกล่าวไปด้วยแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...