เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีผู้ถามคำถามที่น่าสนใจ ความจริงกระผม/อาตมภาพเคยตอบไปหลายครั้งแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ถามเป็นคนที่มาใหม่ หรือว่าผู้ถามไม่เข้าใจว่าอารมณ์ที่ตนเองพบอยู่นั้น ตรงกับสิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้พูดไปแล้ว

    ก็คือคำถามที่ว่า มีคนมาขอความช่วยเหลือบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้เวลาช่วยเหลือใคร ก็รู้สึกว่าปีติชุ่มชื่นหัวใจ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกเฉย ๆ เหมือนตายด้านกับการมาขอความช่วยเหลือของผู้อื่น และบางคนเมื่อช่วยไปแล้ว รู้ดีว่าบุคคลนั้นจะต้องมาขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างแน่นอน จึงมีการตัดบทว่า "ขอช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ คราวหน้าไม่ต้องมาอีก" ลักษณะของกำลังใจที่รู้สึกเหมือนกับตายด้าน วางเฉย สิ้นเยื่อขาดใย เป็นลักษณะของบุคคลที่เห็นแก่ตัว ตระหนี่ถี่เหนียวหรือไม่ ?

    จะว่าไปแล้ว ผู้ถามก็มีกำลังใจที่ค่อนข้างละเอียด แต่ว่าละเอียดผิดที่ ก็คือแทนที่จะละเอียดในเรื่องของอารมณ์ธรรมะ กลับไปละเอียดในความระแวง ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามหรือไม่ ?

    การที่ท่านทั้งหลายได้ทำบุญก็ดี ได้ให้ทานก็ดี ได้ช่วยเหลือบุคคลหรือว่าสัตว์ก็ตาม ถ้าหากว่าเกิดความปีติ อิ่มอกอิ่มใจนั้น ขอให้ทราบว่ากำลังของท่านอยู่แค่ระดับอุปจารสมาธิเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้ว รู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย เหมือนกับตายด้าน สิ้นเยื่อขาดใย ขอให้ท่านรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้น ก้าวเข้าสู่ระดับของฌานแล้ว แปลว่าท่านทรงฌานในจาคานุสติได้แล้ว..!

    เมื่อเราทรงฌานได้ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนตัดออกจากใจไปชั่วคราว จนกว่ากำลังของฌานนั้นจะลดลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ตนเองทำ ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ความตระหนี่ถี่เหนียว

    การที่เรารู้ว่าเขาจะมาขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากว่าช่วยไปครั้งนี้จะมีครั้งหน้าอีกแน่นอน แล้วเราตัดบทไปว่าให้ความช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปไม่ต้องมาอีก ลักษณะอย่างนี้เป็นการใช้ปัญญา หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการต้องนำหน้าด้วยปัญญาทั้งสิ้น ถ้าหากว่าขาดปัญญา เราก็อาจจะประพฤติปฏิบัติผิดไปก็ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    ในเมื่อเรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักยืนหยัดด้วยตนเอง ดีแต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น บางคนเห็นว่าเป็นความสามารถของตนด้วยซ้ำไป ที่สามารถเบียดเบียนคนอื่นได้โดยที่ไม่ต้องมีการชดใช้ใด ๆ ทั้งสิ้น บุคคลประเภทนี้เราก็ควรที่จะเว้นความเมตตากรุณา แต่ไปใช้อุเบกขาแทน ก็คือต้องใช้ปัญญาตัดเขาออกจากวงจรชีวิตของเราไปเลย ไม่เช่นนั้นเราเองอาจจะกำลังใจตก แล้วกลายเป็นเสียผลของการปฏิบัติไปเองก็ได้

    ตรงนี้ถ้าหากว่าบางท่านถามว่า "แล้วเราจะแยกแยะอย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความใจร้ายใจดำ ไม่ใช่ความตระหนี่ถี่เหนียว หากแต่ว่าเป็นฌานในการสละ คือจาคานุสติ ?" ก็ขอให้เราพินิจพิจารณาว่า เรายังเป็นผู้ที่ให้ทานได้ตามปกติ พร้อมที่จะให้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าให้แล้วเกิดความรู้สึกเฉย วางได้ ปล่อยได้ ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ทำอีก ถ้าลักษณะอย่างนี้ แปลว่าท่านทรงฌานในจาคานุสติกรรมฐาน แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ ก็ต้องพิจารณากันให้ดี ว่าเป็นความตระหนี่ถี่เหนียว ใจจืดใจดำ ขาดเมตตากรุณาหรือเปล่า ? เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องไปพิจารณากำลังใจของตนเอง

    อีกคำถามหนึ่งก็คือว่าบุคคลผู้ถามนั้น "เบื่อการดำรงชีวิตอยู่เต็มทีแล้ว มีวิธีใดบ้างที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้เร็ว ๆ ?" เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไปถามบางคน บางสำนัก อาจจะโดนชักนำให้ผิดเพี้ยนหลงทางไปเลย อย่างที่บางสำนักถึงขนาดมีการฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นจากสภาพนี้..!

    ท่านทั้งหลายต้องพินิจพิจารณาดูก่อนว่า ารดำรงชีวิตอยู่ของเรานั้น ถึงแม้ว่าจะน่าเบื่อสุดทนขนาดไหนก็ตาม ชีวิตเราก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปีอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราต้องทนทุกข์ยากลำบากไปจนถึงอายุ ๑๐๐ ปี แล้วสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ เปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดที่ต้องทุกข์ทนไม่รู้จบเป็นกัปกัลป์อนันตชาติ อายุคนแค่ ๑๐๐ ปีก็เหมือนกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้น แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ในเมื่อระยะเวลาสั้น ๆ แค่นี้ ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ ?

    อีกประการหนึ่ง ต้องใช้กำลังใจและกำลังปัญญาที่สูงขึ้นไปกว่านั้น ก็คือเราอยู่แค่วันนี้วันเดียว หรือว่าเราอยู่แค่ลมหายใจนี้ลมหายใจเดียว เมื่อหมดจากวันนี้ หรือหมดจากลมหายใจนี้ เราก็ไปพระนิพพานแล้ว ถ้าวางกำลังใจเช่นนี้ได้ ก็จะก้าวข้ามความเบื่อหน่ายทั้งหลายทั้งปวงไป เราเองก็จะก้าวข้ามจากนิพพิทาญาณไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ กลายเป็นบุคคลที่ตั้งหน้าตั้งตาทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อที่ถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด เป็นบุคคลที่ไม่ได้ปรารถนาความตาย แต่เป็นบุคคลที่พร้อมจะตายอยู่ทุกเวลา
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องใช้ปัญญาบารมีเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นแล้ว แม้แต่สมัยพุทธกาลก็ยังมีพระที่ท่านเข้าถึงนิพพิทาญาณ แล้วไปจ้างปริพาชกให้ฆ่าตนเองไปถึงประมาณ ๖๐ รูปด้วยกัน องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้รอบรู้จริงทุกอย่าง รู้ว่าวาระกรรมที่เคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ เป็นอุปฆาตกรรมจะมาสนองพระทั้งประมาณ ๖๐ รูปนี้ ถึงเวลาต้องสิ้นชีวิตแน่นอน จึงได้แนะนำกองกรรมฐานที่ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเข้าถึงธรรม

    เมื่อถึงเวลาอุปฆาตกรรมมาถึง ขนาดไปขอให้ปริพาชกที่ไม่รู้บาปบุญคุณโทษฆ่าตัวเอง เพื่อที่จะได้พ้นจากความทุกข์ ก็ยังดีกว่าที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะตายเปล่าโดยที่ไม่ได้ธรรมะอะไรอยู่ในใจเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แนะนำหลักธรรม ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นประพฤติปฏิบัติ จนก้าวเข้าไปถึงนิพพิทาญาณอย่างที่สุด แล้วก็ไปจ้างปริพาชกฆ่าตนเองตาย

    หลังจากนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้อาศัยเหตุนี้ บัญญัติไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ฆ่าตัวตาย เพราะว่าจะเป็นกรรมใหญ่ เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ฆ่าตัวตายนั้น ผลกรรมจะทำให้ต้องฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปประมาณ ๕๐๐ ชาติเลยทีเดียว..!

    ท่านที่เข้าถึงนิพพิทาญาณจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นว่าชีวิตของเราเป็นของน้อย มีอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว หรือว่ามีอยู่แค่ชั่ววันเดียว พ้นจากนี้ไปเราก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระนิพพานแล้ว เราก็จะก้าวข้ามความเบื่อหน่ายทั้งหลายทั้งปวง มีชีวิตอยู่ด้วยความรื่นเริงในธรรม คือพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลา

    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เข้าถึงธรรมตรงระดับนี้ พึงระมัดระวังเป็นอย่างสูง ถ้าหากว่าเลี้ยวผิด ก็แปลว่าท่านอาจจะเสียชาติเกิด ต้องเสียเวลาเวียนวายตายเกิดอีกนานแสนนาน แต่ถ้าหากว่าเลี้ยวถูก ท่านก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้เลย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...