เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 ธันวาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ งานคณะสงฆ์แม้ว่าจะมาก แต่ว่าส่วนที่อยู่ในความสนใจของญาติโยมเกี่ยวกับคณะสงฆ์ กลับเป็นเรื่องที่พระจะสึก ต้องบอกว่าเป็นการให้ความสำคัญผิดพลาด คือพระของเราบวชแล้วสึกเป็นปกติ แต่คราวนี้มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ถ้าพระรูปใดรูปหนึ่งบวชหลาย ๆ พรรษาแล้วสึก ในความรู้สึกของคนไทยเราก็คือ ท่านแปลกแยกจากสังคม

    ตรงนี้กระผม/อาตมภาพชื่นชมพุทธศาสนิกชนชาวพม่า ตลอดระยะเวลา ๖ ปีที่ไปสร้างวัดที่พม่า ช่วงที่มีเวลาว่างก็เดินทางไปดูกิจการงานพระพุทธศาสนาในพม่า ต้องบอกว่าเกือบจะทุกซอกทุกมุม ส่วนที่เห็นชัดอย่างหนึ่งก็คือ พุทธศาสนิกชนชาวพม่าน่าจะมีความเข้าใจในหลักธรรม หรือเข้าถึงธรรมมากกว่าพุทธศาสนิกชนชาวไทยมากทีเดียว

    แค่ในเรื่องของการบวชการสึกของพระ ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแล้ว เมื่อพระพม่าสึก ก็คลุกคลีตีโมงกับชาวบ้าน กลมกลืนกันเดี๋ยวนั้นเลย แต่ถ้าหากว่าอีกไม่กี่วันบวชเข้าไปใหม่ ชาวบ้านก็ไหว้ก็กราบแบบทูนหัวทูนเกล้าได้เลยเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยของเราควรจะมี

    ถ้าหากว่าพูดกันแบบไม่เกรงใจก็คือ พุทธศาสนิกชาวไทยเล่มตามบทไม่ถูกต้อง แต่ของพม่านั้นเล่นตามบทได้ถูกต้อง ตอนคุณเป็นฆราวาสก็คลุกคลีตีโมงเล่นหัวกันไป แต่ทันทีที่บวชเป็นพระ เขาก็กราบก็ไหว้ได้เต็มมือเดี๋ยวนั้นเลย


    แต่คราวนี้บ้านเรา ถ้าหากว่าพระบวชหลายพรรษาหน่อย สัก ๓ พรรษา ๔ พรรษาขึ้นไปแล้วสึก ชาวบ้านจะเริ่มรู้สึกว่าแปลกแยกจากสังคม แล้วถ้าหากว่าเป็น ๑๐ พรรษาระดับเถระขึ้นไป หรือ ๒๐ พรรษาระดับมหาเถระขึ้นไปก็ยิ่งหนัก แต่คราวนี้ในส่วนนี้ขอละไว้ไม่กล่าวถึงมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ส่วนที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ มีญาติโยมบางท่านออกมากล่าวถึงข้อกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวถึงทรัพย์สินของพระภิกษุสามเณร แล้วกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเข้าป่าเข้าดงไปไกล ต้องบอกว่า ไม่น่าจะเป็นผู้ที่ศึกษาทางกฎหมายมาโดยตรง

    เนื่องเพราะว่าในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตราที่ ๑๖๒๓ ระบุเอาไว้ชัดว่า ทรัพย์สินของพระภิกษุสามเณร ถ้าหากว่ามรณภาพไปแล้ว ตกเป็นของวัดต้นสังกัดนั้น อย่างเช่นว่า ถ้าพวกท่านรูปใดรูปหนึ่ง ไปอยู่ที่วัดพุทธบริษัท ไปอยู่ที่วัดวังปะโท่ ไปอยู่ที่วัดพุทธมณฑลอรัญญิกกาวาส ไปอยู่ที่วัดท่ามะขาม หรือว่าไปอยู่ที่สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ เกิดมรณภาพกะทันหัน ทรัพย์สินของท่านไม่ได้ตกกับวัดที่ท่านอยู่นะครับ เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเลยว่าเป็นวัดต้นสังกัด ก็ต้องมาดูจากหนังสือสุทธิว่าท่านสังกัดวัดไหนอีก

    แต่โดยปกติแล้วเรื่องนี้พระเราไม่ค่อยถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ ก็คือมรณภาพที่วัดไหนก็จัดการกันไปตรงนั้น ทรัพย์สินก็มอบหมายให้กับพระภิกษุสามเณรของวัดนั้นไปจัดการ

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังไม่ได้บวช ไปวัดอนงคาราม กราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว ตอนนั้นท่านเป็นพระเทพวิสุทธิเมธี ท่านเป็นสหธรรมิกของหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยอยู่ที่วัดอนงคาราม แล้วก็เคยอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาสมาก่อน ก็ปรากฏว่าพระที่วัดอนงคารามมรณภาพพอดี ท่านเจ้าคุณก็เลยชวนกระผม/อาตมภาพไป บอกว่าไป ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปช่วยกันแบ่งสมบัติหน่อย คนมาในที่นี้ถือว่ามีส่วนร่วมด้วย ผมก็ไป จึงได้แหวนมงคล ๙ ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสรมหาเถระ) วัดอนงคารามมาวงหนึ่ง

    พอพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส มรณภาพ ความจริงกระผม/อาตมภาพไปไม่ทันนะครับ แต่ว่าคณะสงฆ์เขาปล่อยเวลาผ่านไปช่วงใหญ่ แล้วถึงมีการแบ่งสมบัติกัน ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรหรอกครับ แต่ปรากฏว่าทางคณะสงฆ์ที่ดูแลจัดการ หยิบเอาคทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงขึ้นมา บอกว่า
    "อันนี้เป็นสมบัติที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมอบให้กับหลวงปู่มหาอำพัน ถวายคืนคุณไปก็แล้วกัน" ตอนนั้นถ้าไม่ใช่พระนี่ ผมจะกระโดดกอดพระเจ้าหน้าที่ท่านเลย คือเป็นของที่ผมอยากได้มานานมากแล้ว แต่ไม่ได้

    แล้วเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกวิธีการใช้คทา แม้กระทั่งการจัดการวาง คาถากำกับทั้งหมด บอกผมมา ผมก็ยังสงสัยว่าบอกผมทำไม ในเมื่อผมไม่มี แล้วก็มารู้เอาหลังจากหลายปีให้หลังนั้นว่าคทาที่ท่านทำแค่ประมาณ ๑๐ อัน ตกมาถึงมือของกระผม/อาตมภาพจนได้ นี่คือลักษณะการจัดการทรัพย์สินของพระสงฆ์
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    แต่คราวนี้ในกฎหมายก็ยังระบุเอาไว้ชัด ท่านอย่าลืมนะครับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวย่อคือ ป.พ.พ. มาตราที่ ๑๖๒๓ ระบุเอาไว้ชัดเจน ถ้าหากว่าพระภิกษุมรณภาพ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของวัดต้นสังกัด

    แต่คราวนี้มีวรรคต่อมาครับ ยกเว้นว่าท่านจะจำหน่ายออกไปในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าระบุให้แก่ผู้ใดโดยพินัยกรรม ก็แปลว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายคิดว่าทรัพย์สินบางอย่างของท่าน จะมอบให้แก่ญาติโยมที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากแก่เรา ก็พิจารณาดูให้ดี ๆ นะครับ เพราะว่าถ้าหากว่าให้พลาดไป อาจจะทำให้โยมติดหนี้สงฆ์ได้ อย่างของกระผม/อาตมภาพ ถ้าหากว่าจะให้วัตถุมงคลแก่ญาติโยมท่านใด ผมจะควักเงินส่วนตัวบูชาเอง เป็นการตัดปัญหาตรงนี้ไปเลย


    คราวนี้มีปัญหาต่อไปก็คือมาตราที่ ๑๖๒๔ อยู่ติดกันเลยครับ ระบุเอาไว้ว่าทรัพย์สินที่ติดตัวพระภิกษุสามเณรมาตั้งแต่ก่อนบวช ไม่ได้อยู่ในการจัดการนี้นะครับ ยังเป็นของภิกษุรูปนั้นอยู่ ก็คือของอะไรที่เราติดตัวมาตั้งแต่ก่อนบวช และควรให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมของพระภิกษุสามเณรนั้นเท่านั้น คราวนี้ทายาทโดยธรรม ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องหมายถึงลูกหลาน ถ้าหากว่าไม่มีก็ต้องญาติผู้ใหญ่ เช่น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ไปโน่น


    เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าปล่อยให้เขาพูดกันไปเรื่อย พวกเราก็จะเข้าใจผิด โดยเฉพาะในจุดที่ว่าพระมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน ถ้ามีขนาดนั้น ผมมั่นใจว่าสอง พส.แกสึกไปนานแล้ว ไม่มารี ๆ รอ ๆ อยู่จนป่านนี้หรอก คืออยู่ในลักษณะของการกล่าวหาพระ ถ้าหากสมัยนี้ เขาใช้คำว่า "ด้อยค่า" ก็คือเป็นการด้อยค่าพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาอย่างไม่ควรให้อภัยเลย คือสิ่งที่พูด กิริยาที่ทำ ไม่ได้มีความเคารพในพระสงฆ์ หรือพระพุทธศาสนาเลย มีอยู่อย่างเดียวคือ กล่าวโทษและโจทก์มั่ว ๆ ไป เพื่อที่จะด้อยค่าลงเท่านั้นเอง


    ตรงจุดนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการลาสิกขา หรือว่าการแบ่งปันทรัพย์สมบัติของพระภิกษุสามเณร และบุคคลประเภทนี้ จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตนเองก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย ศีล ๕ ก็มีไม่ครบด้วยซ้ำไป แต่ถึงเวลาก็กล่าวตำหนิติเตียนพระภิกษุสามเณรที่มีศีลมากกว่าตน ถ้าเป็นภาษิตจีนเขาบอกว่า "สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูดันตะกายมา..!" จะสมน้ำหน้าก็ใช่ที่
    กระผม/อาตมภาพว่าน่าสงสารมากกว่า
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อีกข้อหนึ่งที่อยากจะฝากพวกท่านทั้งหลายเอาไว้นะครับ เกี่ยวกับมรดก ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีสิทธิ์ได้รับมรดกที่ญาติพี่น้องเขาแบ่งปันให้ รับได้นะครับ และเป็นของส่วนตัวของท่านด้วย ถือเป็นสมบัติติดตัวเหมือนกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องในลักษณะของการที่บวชเข้ามาแล้วจึงได้

    แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ แล้วคิดว่าญาติพี่น้องเขาไม่ยุติธรรมกับเรา แล้วจะไปฟ้องร้องเพื่อขอแบ่งมรดก ต้องสึกถึงจะไปฟ้องได้ ไม่อย่างนั้นฟ้องเท่าไร แพ้รูดมหาราชเลยครับ ฎีกากี่ฉบับที่ตัดสินมา..แพ้หมด เพราะผู้พิพากษาท่านฟันธงว่า พระภิกษุเป็นผู้ที่เพียรไปในการละกิเลสแล้ว มิสมควรที่จะกระทำเช่นนี้


    ต้องเข้าใจนะครับว่า ถ้าไปฟ้องร้องเพื่อขอแบ่งมรดก ต้องสึกเท่านั้นถึงมีโอกาสชนะ แต่ถ้าหากว่าฟ้องทั้ง ๆ ที่เรายังห่มจีวรอยู่ รับประกันว่าแพ้ทุกรายครับ ผมดูฎีกามาหลายฉบับแล้ว การตัดสินของศาลฎีกานี่ถือเป็นบรรทัดฐานในการตีความกฎหมายเลย


    ดังนั้น...ถ้าทั่วไปเขาแบ่งให้..รับได้ และเป็นของส่วนตัวของท่าน แต่ถ้าหากว่าไม่ได้รับ คิดว่าเขาไม่ยุติธรรมกับเรา ตั้งใจที่จะฟ้องร้องเพื่อขอแบ่งสมบัติ ขอแบ่งมรดก โปรดสึกหาลาเพศเสียก่อน ไม่เช่นนั้นโอกาสชนะไม่มีเลย

    ก็ขอเรียนถวายต่อพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวให้แก่ญาติโยม ทั้งที่อยู่ที่วัดท่าขนุนนี้และที่บ้าน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ฟังเอาไว้เป็นแนวทางว่า เรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับทั้ง ๒ ประการนี้ มีความชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะได้ไปศึกษาหรือเปล่าเท่านั้นเอง..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...