เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 สิงหาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ กระผม/อาตมภาพเอง พอทำงานมาก ๆ ก็ไม่รอบคอบ ไปนัดเอาพระนิสิตของอำเภอทองผาภูมิมารับค่าเทอมในวันนี้ ซึ่งระดับปริญญาตรียังเรียนกันอยู่ โดยปกติแล้วถ้าใครช้าผมจะไม่รอเลย แต่คราวนี้ที่นั่งรอเพราะว่ารู้ว่าตัวเองผิด ท่านที่ติดเรียนต้องมาช้าอยู่แล้ว

    คราวนี้การที่เราตัดสินใจ
    เด็ดขาด การทำอะไรตรงเวลา เป็นการแสดงออกถึงบารมีอย่างหนึ่ง คำว่าบารมีนี้ไม่ได้หมายถึงอำนาจวาสนา แต่หมายถึงกำลังใจของแต่ละคน ที่ประพฤติปฏิบัติ สั่งสมกุศลบุญราศีมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน ชาติแล้วชาติเล่ารวมกัน ซึ่งแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบารมีของเราอยู่ระดับไหน

    บุคคลที่เป็นบารมีต้น ก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด บารมีต้นอย่างหยาบ พูดถึงเรื่องทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย บารมีต้นอย่างกลาง ต้องชักชวนกันปากเปียกปากแฉะ ๓ วัน ๓ คืน โฆษกพูดโฆษณาจนน้ำลายแห้ง ควักกระเป๋าออกมาจะทำบุญ แล้วก็ยังยัดกลับเข้าไปอีก ไม่สามารถที่จะเอาชนะความตระหนี่ของตนเองได้ ต้องเป็นบารมีต้นอย่างละเอียด จึงสามารถที่จะตัดใจสร้างบุญสร้างกุศลด้วยการให้ทานได้ แต่ถ้าบอกว่ารักษาศีล เจริญภาวนานี่ ฟังไม่รู้เรื่องเลย

    ระดับต่อไปก็คืออุปบารมี กำลังใจขั้นกลาง ก็มีกลาง มีหยาบ มีละเอียดเช่นกัน อุปบารมีขั้นหยาบ ให้ทานได้ ถ้าบอกว่ารักษาศีล..ทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเจริญภาวนา อุปบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลก็ขาดบ้างพร่องบ้าง ซึ่งคล้าย ๆ กับพวกเราหลายคน ไปจนถึงอุปบารมีขั้นละเอียด ให้ทานได้ รักษาศีลสมบูรณ์ได้ แต่เจริญภาวนาไม่เป็น

    ต้องถึงระดับปรมัตถบารมี กำลังใจขั้นสูงสุด ซึ่งก็มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเช่นกัน ปรมัตถบารมีอย่างหยาบให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาไม่เป็น ปรมัตถบารมีอย่างกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาบ้าง ด่าชาวบ้านเขาบ้าง ไปถึงระดับปรมัตถบารมีอย่างละเอียด ถึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แต่คราวนี้ แม้ว่าเป็นปรมัตถบารมีอย่างละเอียด ก็ยังขึ้นอยู่กับการสั่งสมของเราว่ามีมามากน้อยเท่าไร แล้วก็มาในรูปแบบไหน เพราะว่าแนวการปฏิบัตินั้นมีอยู่ถึง ๔ แบบด้วยกัน ก็คือ

    ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก
    ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุเร็ว
    สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบาย แต่บรรลุยาก
    สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย แต่บรรลุง่าย

    ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราเอาคนอื่นเป็นแบบ แล้วพยายามที่จะทำให้เหมือน เป็นเรื่องยากนักที่เราจะทำได้ เพราะว่าปฏิปทาอาจจะไม่ตรงกัน จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาและนำไปพลิกแพลงให้เหมาะสมกับตนเอง ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างที่ตนเองต้องการ เพราะว่าการศึกษาเป็นแค่การเรียนรู้ การพลิกแพลงนั้น เป็นการหล่อหลอมความรู้ของเราทั้งหมด เพื่อเอามาใช้งาน


    ถ้าหากว่าเราเป็นปฏิมากร การศึกษาก็คือ เก็บเอาความรู้จากท่านโน้น ท่านนี้ ท่านนั้น จากตำรา จากประสบการณ์ เหมือนกับปฏิมากรที่เลือกดิน จากตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย เมื่อเอามารวมกันแล้วจะสร้างเป็นผลงาน ก็ต้องขยำดินทั้งหลายเหล่านั้นเข้าด้วยกัน แล้วค่อยขึ้นรูปที่เป็นผลงานเฉพาะของตนเอง ซึ่งจะไม่เหมือนใคร ต่อให้เลียนแบบคนอื่นได้ใกล้เคียงแค่ไหน ก็ยังมีความต่างอยู่ดี

    โดยเฉพาะการเลียนแบบอย่างตั้งอกตั้งใจนั้น เป็นการผูกมัดตัวเอง ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบรรลุมรรคผล เพราะว่าการที่เราจะเข้าถึงมรรคถึงผลนั้น เราต้องปล่อยวางทุกอย่าง ตรงนี้ต้องฟังให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้น ก็จะมีคนทำผิดและตีความผิด หรือเข้าใจผิดอีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    การที่เราพยายามทำตามปฏิปทาครูบาอาจารย์ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นการยึดติด สมัยหลายสิบปีก่อน ผมก็ยึดติดแบบนั้น แม้กระทั่งคำว่า "หลวงพ่อ" ผมก็ไม่สามารถที่จะเรียกพระรูปอื่นได้ ผมยึดติดขนาดว่า "พ่อกูมีคนเดียว..!"
    แต่หลังจากที่เข้าใจ ก็ค่อย ๆ ปลด ค่อย ๆ วาง จนกระทั่งทำใจได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวปฏิบัติสายไหนก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่มาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสายธรรมกาย ไม่มีสายพองยุบ ไม่มีสายพุทโธ ไม่มีสายนามรูป ไม่มีสายเคลื่อนไหว เพราะว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นหลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้

    แล้วทำไมถึงไปแยกเป็นสาย ? ก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้น ๆ มีความถนัด มีความชำนาญมาอย่างไร หรือปฏิบัติมาอย่างไร ท่านก็จะสอนตามนั้น แต่ว่าคำสอนทั้งหมดนั้น ก็คือมาจากพระไตรปิฎก มาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า ครูบาอาจารย์ต้นสายไม่ได้มานั่งทะเลาะกันให้เราฟังว่า สายกรรมฐานของใครดีกว่า มีแต่ลูกศิษย์ที่กิเลสท่วมหัวเท่านั้นที่มานั่งทะเลาะกัน มานั่งแบ่งแยกกัน เปรียบเหมือนกับว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ศึกษาตำราการทำอาหารมาเล่มเดียวกัน ก็คือพระไตรปิฎก พอถึงเวลาแล้ว ถนัดทำอาหารแบบไหน ก็ทำอาหารที่ตนเองถนัดออกมา เพื่อให้ผู้อื่นได้กิน

    ในเมื่อความถนัดต่างกัน อาหารที่ทำออกมาก็ต่างกัน ร้านโน้นถนัดก๋วยเตี๋ยว ร้านนี้ถนัดข้าวแกง ร้านนั้นกลับไปถนัดแซนด์วิช อีกร้านหนึ่งไปไกลเลย ออกไปแนวของหวาน ขนมครกโน่นเลย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราซึ่งเป็นผู้กินต้องกินก่อน หิวขึ้นมาอาหารอยู่ตรงหน้า ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ต้องกินก่อน เมื่อกินเข้าไปจนรู้สึกว่าพอแล้ว คราวนี้เราจะรู้สึกเลือกเอง

    เหตุที่รู้สึกว่าต้องเลือก เพราะว่าบางที่บางอย่างไม่ตรงกับจริตนิสัยของเรา ร้านโน้นถนัดมากเลยเรื่องต้มจืดกระดูกหมูมะระ กินอยู่ทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้ชอบต้มจืด แต่ตอนหิวต้องกินไว้ก่อน จนกระทั่งไปเจออีกร้านหนึ่ง "ผัดสิ้นคิด" กะเพราไข่ดาว ถูกใจมาก เราก็จะย้ายไปกินร้านนั้นแทน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ดังนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่ได้แบกกิเลสเอาไว้มาก เราก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าครูบาอาจารย์ หรือผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม ถ้าในระยะแรกสามารถดึงคนเข้าวัดได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด ก็คือดึงคนเข้าร้านอาหารได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด เพราะว่าต้องเลี้ยงคนหิวก่อน เมื่อเขาอิ่มแล้ว ถ้ารู้สึกว่ารสชาติอาหารไม่เป็นที่ถูกใจ ตอนนั้นเขาก็จะไปหาร้านอาหารใหม่ของเขาเอง

    ตอนนี้ครูบาอาจารย์แต่ละท่านมีกำลังใจเท่าไร ก็จะเห็นชัดเจนว่า มีความยินดีที่จะส่งเสริมลูกศิษย์ให้ไปศึกษาตามสำนักต่าง ๆ หรือว่าพยายามขัดขวาง ?!

    ผมเองเจอวัดบางวัด รู้จักสนิทสนมกันดีด้วย ก็เลยมีญาติโยมที่เป็นชุดเดียวกัน คณะเดียวกัน ไปทำบุญกับท่านด้วย ท่านเองก็พยายามที่จะติดตามดูแลญาติโยมเป็นอย่างดี แต่พอโยมรู้สึกว่าวัดนี้ไม่ใช่ ถอนตัวออกมา ก็มีการตามไปด่า จนกระทั่งญาติโยมเป็นน้ำหูน้ำตา ไม่นึกว่าครูบาอาจารย์จะเป็นแบบนั้น ก็เลยกลายเป็นเครื่องวัดว่า ครูบาอาจารย์ท่านเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง หรือว่ามีแค่ชื่อเสียงเกียรติคุณในระดับต้นเท่านั้น

    ส่วนท่านทั้งหลายเมื่อกินอาหารแล้ว อย่ากินเฉย ๆ พยายามศึกษาให้ชัดเจนว่า ข้อธรรมคำสอนเหล่านั้นต้องทำอย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร ถึงจะได้ผล โดยเฉพาะให้ผลได้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด และพร้อมที่จะนำไปบอกต่อแก่คนอื่น หรือถ้ามีผู้มาซักถาม ต้องตอบปัญหาให้เขาชัดเจนแจ่มแจ้งได้ ไม่อย่างนั้นยังไม่ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดี ยังไม่ถือว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือว่าภิกษุ ภิกษุณีที่เป็นผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนา


    ดังนั้น...ในสิ่งที่เราทั้งหลายได้เห็นในวันนี้ เป็นการวัดได้ชัดเจนอย่างหนึ่งในเรื่องของบารมีว่า ถ้ามีสิ่งที่ห่วงหน้าพะวงหลัง ท่านจะตัดลงไปได้ไหม ? อะไรสำคัญกว่า ? ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น ท่านก็จะเริ่มใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตรงจุดนี้ไม่ใช่ IQ ก็คือไม่ใช่สติปัญญาความจำ แต่เป็น SQ (Social Quotient) ก็คือการรู้จักอยู่ในสังคม ที่ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำว่า "อยู่เป็น"


    ก็ขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายได้เป็นเครื่องวัดว่า การปฏิบัติของเราอยู่ในระดับไหน และควรจะไปต่ออย่างไร ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...