เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 มิถุนายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2021
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ผมเกือบจะแต่งตัวลงมาไม่ทันทำวัตรรอบแรก เพราะว่าวันนี้ต้องทำวุฒิบัตรสำหรับคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด คราวนี้พาวเวอร์พอยท์ทรยศ ไม่สามารถจะแทรกลายเซ็นลงไปได้ ก็เลยต้องเซ็นสดทุกฉบับ เกิดจากความหวังดีปรารถนาดีของบรรดาลูกศิษย์ อันโน้นผมก็ crack มาให้อาจารย์ได้ อันนี้ผมก็ crack มาให้อาจารย์ได้ พอถึงเวลารวนขึ้นมา อาจารย์ก็ไปไม่เป็น..!

    คราวนี้โดยนิสัยของผมแล้ว ถ้างานไม่เสร็จ ผมไม่อยากจะเลิก เพราะว่าเคยชินกับการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำงานต้องไม่คั่งค้าง ถึงจะเป็นอุดมมงคล ตรงนี้เป็นหลักการทำงานเฉพาะตัวของกระผม/อาตมภาพเลย


    เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจว่า จนบัดนี้สภาวัฒนธรรมอำเภอของจังหวัดกาญจนบุรีอีก ๑๒ อำเภอ ยังไม่สามารถที่จะเลือกตั้งคณะกรรมการกันได้เลย แต่ของผมไม่ใช่ ของผมถ้าหากว่าทางราชการกำหนดกรอบเวลามา ก็ต้องเสร็จในระยะเวลาที่เขากำหนดใว้
    ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าพวกท่านอ่านพระไตรปิฎก ก็จะพบที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า เวลาตถาคตแสดงธรรมจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ เหมือนราชสีห์จับเหยื่อ


    ดังนั้น...การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม จะมีพระภิกษุสงฆ์เป็นแสน เป็นหมื่น เป็นพัน เป็นร้อย หรือว่ามีญาติโยมเพียงคนเดียว พระองค์ท่านก็แสดงธรรมลักษณะเดียวกัน คือหวังผลเหมือนกัน ราชสีห์เวลาจับเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นวัว เป็นม้า เป็นกระต่าย ตัวเล็กตัวใหญ่ ต่างก็ใช้กำลังเท่ากัน เวลาราชสีห์ล่าเหยื่อจึงมักจะไม่พลาด

    การทำงานของผมก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็คือเต็มที่ ทำในลักษณะของการมีวันนี้เพียงวันเดียว พรุ่งนี้จะมีหรือเปล่าก็ช่าง วันนี้เราเต็มที่แล้ว เราก็ตอบตัวเราเองได้แล้ว แม้กระทั่งการไปสอนหนังสือ ผมเองจะเป็นอาจารย์ที่ไปนั่งรอลูกศิษย์เสมอ จนกระทั่งบางท่านปรารภว่า ผมไม่เคยมาเรียนทันอาจารย์เลย พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ว่าเขาจะไปเช้าเท่าไร ผมก็ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีจริตนิสัยใกล้เคียงกัน เพราะว่าถ้ากำลังสมาธิของเราสูง ความเด็ดขาดมุ่งมั่นก็จะมีมาก ชนิดที่เรียกว่า ในการปฏิบัติธรรมยอมแม้กระทั่งเอาชีวิตเข้าแลก การทำงานทางโลกก็จะใกล้เคียงกันด้วย ก็คือทุ่มเทอย่างเต็มที่ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราก็ตอบตัวเองได้ว่าเราเต็มที่แล้ว

    แบบที่นางมณีเมขลาถามพระมหาชนกว่า "ท่านว่ายน้ำมา ๗ วัน ๗ คืนแล้วยังมองไม่เห็นฝั่งเลย โอกาสที่จะรอดไปถึงฝั่งมีน้อยมาก แล้วจะพยายามว่ายต่อไปทำไม ?" พระมหาชนกตอบว่า "ถ้าหากว่าได้เพียรจนสิ้นเรี่ยวแรงของบุรุษแล้ว ยังต้องจมน้ำตายก็ยอม แต่ถ้าฝั่งอยู่ห่างในกำลังของบุรุษสามารถว่ายน้ำไปถึง แล้วไม่ใช้ความพยายาม ถ้าอย่างนั้นแล้วเกิดจมน้ำตาย ก็ไม่สามารถที่จะตอบตนเองได้"

    ดังนั้น..ที่ว่ายน้ำมา ๗ วัน ๗ คืน ถ้าต้องว่ายต่อจนหมดแรงแล้วจมน้ำตาย เพราะว่ายังไม่ถึงฝั่ง ท่านถือว่าท่านทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว นางมณีเมขลาได้ยินก็เกิดเมตตาช่วยอุ้มไปส่ง ไม่อย่างนั้นต้องจมน้ำตายแน่นอน

    ดังนั้น..เรื่องนี้พวกเราไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่อยู่ที่นี่หรืออยู่ทางบ้าน ต้องพยายามทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่ อย่าไปเอาคตินิสัยแบบเพื่อน ๆ ของผมสมัยเรียนทหารด้วยกัน เจ้าพวกนั้นเขาบอกว่า "หลบ ๆ อู้ ๆ มึน ๆ ไปวัน ๆ เดี๋ยวก็จบแล้ว..!"

    จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ครูฝึกทนไม่ได้ จึงด่าให้ทั้งกองร้อย กองร้อยนักเรียนของผมมี ๑๒๓ คน เขาเรียกไอ้รุ่น ๑๒๓ ว่า "ถ้าทำอย่างพวกเอ็ง ถึงเวลาออกรับราชการก็เป็นได้แค่ปุ๋ยที่ชายแดน..!" ก็คือฝึกแบบไม่เอาจริงเอาจัง เจ้าพวกนั้นยังเถียงครูฝึก บอกว่า "ผมก็ไปกับเล็กสิครับ..!" ทำอย่างกับว่าเรียนจบแล้ว ทั้ง ๑๒๓ คนจะได้ไปอยู่ที่เดียวกัน..!

    เรื่องพวกนี้นอกจากเป็นจริตนิสัยโดยเฉพาะแล้ว ยังวัดได้ว่าการปฏิบัติธรรมของเราไปถึงไหน ถ้าตราบไหนที่ยังหลบ ยังอู้ ยังเอาเปรียบเพื่อนฝูงอยู่ รับประกันได้เลยว่ากำลังใจห่วยแตก..! เพราะว่า ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่หวังว่าจะมีพรุ่งนี้ ในเมื่อเรามีวันนี้แค่วันเดียว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีและทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้ ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เรื่องนี้ก็ฝากไว้กับพระภิกษุสามเณรของเราที่จะต้องเป็นผู้นำต่อไปภายหน้า ถ้ายังรักษาสมณเพศไว้ได้ว่า บุคคลที่จะเป็นผู้นำนั้น ต้องเป็นแบบอย่างเขาได้ในทุกเรื่อง เพราะว่าผู้ตามมีหน้าที่ตามอย่างเดียว เขาไม่คิดอะไรมาก

    ถ้าหากว่าพวกท่านสังเกต เอาแค่เด็กวัดอย่างไพศาลคนหนึ่ง สันติคนหนึ่ง พระเดินบิณฑบาต ไม่ว่าจะ ๒๐ กว่ารูป ๓๐ กว่ารูป หรือว่าแค่ ๗ - ๘ รูป ก็ไม่เคยเก็บกับข้าวได้ทั่วสักวัน เพราะว่าเขาไม่เคยคิดเผื่อคนอื่น คิดเฉพาะหน้าของตนเท่านั้น

    ลักษณะอย่างนี้ ผมบอกว่านิสัยสาวกภูมิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ถ้ามีวิสัยพุทธภูมิบ้าง จะคิดเผื่อคนอื่น คิดเผื่อส่วนรวม โดยเฉพาะจะมองภาพกว้างในลักษณะของมหภาค อย่างเช่นว่า เอาภาพรวมของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าหนักเกินไป ก็เอาภาพรวมของพระภิกษุสงฆ์มหานิกาย เล็กลงมาหน่อยหนึ่งก็คณะสงฆ์หนกลาง เล็กลงมาอีกหน่อยก็คณะสงฆ์ภาค ๑๔ เล็กลงไปอีกก็คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี เล็กลงไปอีกก็คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ เล็กไปลงอีกก็คณะสงฆ์ตำบลท่าขนุน จนกระทั่งเล็กที่สุด ก็คือคณะสงฆ์วัดท่าขนุน แต่ก็ยังคิดเพื่อส่วนรวม ไม่ได้คิดเฉพาะตน

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าเราหวังความก้าวหน้า ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ต้องมองภาพรวมให้เป็น ผมไปทำงานทีหลังพระครูแสง ๓ ปี ใช้เวลาไม่กี่เดือน ผมแซงไปเลย เพราะผมจะมองว่างานนี้ทำถึงตรงนี้ ต่อไปเขาจะทำอะไร แล้วเตรียมการรอไว้ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีวิสัยอย่างนี้ เขาจะเอาเฉพาะหน้าของตัวเอง ไอ้ที่แย่ที่สุดก็คือสั่งคำทำที ถ้าไม่สั่ง กูถือว่าไม่มีงาน ไม่ได้คิดจะขวนขวายอะไรเพื่อคนอื่นเลย

    เพราะฉะนั้น...มหากว้างไม่ต้องไปหงุดหงิด สันดานเขาเป็นอย่างนั้น มหากว้างเดินบิณฑบาตไปก็หงุดหงิดไป ผมไม่ด่าหรอก เลิกด่ามานานแล้ว เพราะว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ด่าไปก็ดีขึ้นแค่วัน ๒ วัน แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนเดิม บอกว่าเวลาเข้าไปในตลาดให้ระมัดระวัง โยมเขาถ่ายรูปกันมาก เขาก็ยังบังกล้องทุกกล้องเลย ถ้าผมด่าตรงนั้น ก็ระวังอยู่ ๕ นาที แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนเดิม แล้วลักษณะอย่างนี้ ผมจะไปด่าต่อทำไม ? เผลอเมื่อไรกำลังใจของเราเสียอีกต่างหาก..!

    ดังนั้น...ในส่วนนี้ที่เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรและบอกแก่ญาติโยมก็คือ ถ้าเรารู้จักมองภาพรวม เอาเสียว่าภาพรวมของประเทศชาติ รู้จักทำวันนี้ให้ดีที่สุด ความเจริญจะมาถึงตัวเราเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปดิ้นรนไขว่คว้า โดยเฉพาะความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่พึงหวังได้ ก็ขอถวายทุกท่านและเจริญพรให้กับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...