เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ทั่วประเทศ วันนี้ก็คงทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทางวัดท่าขนุนของเราก็มีทั้งการทอดผ้าป่าสมทบกองทุนเล่าเรียนหลวง แล้วก็ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบถวายเป็นพระราชกุศล

    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต เราจะเห็นว่าคนไทยของเรารักในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาก แต่เป็นความรักในลักษณะของการบูชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ความรักในลักษณะที่พร้อมจะทำตามสิ่งที่พระองค์ท่านทำให้ดู หรือว่าได้สอนเอาไว้ ซึ่งถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะอย่างนี้แล้วเป็นการปฏิบัติธรรม ก็จะจัดอยู่ในประเภทของ

    อามิสบูชา
    ก็คือการบูชาด้วยสิ่งของ เงินทอง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ พระองค์ท่านสรรเสริญปฏิบัติบูชา ก็คือการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดผลอย่างแท้จริง

    คราวนี้การที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นที่รักของปวงชนชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ แต่ว่าน้อยคนที่จะปฏิบัติตามในสิ่งที่พระองค์ท่านได้ตรัสสอนเอาไว้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าทุกสิ่งที่พระองค์ท่านได้ตรัสสอนไว้ก็ดี ได้ทำไว้ให้ดูก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่ง

    ทุกวันนี้วิธีการทำฝนหลวง การแก้ไขน้ำด้วยการเติมอากาศของกังหันน้ำชัยพัฒนา หรือว่าทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง เป็นที่เลื่องลือไปทั้งโลก แม้กระทั่งการทำเขื่อนกั้นถ้ำหินปูน ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องกัน ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิก ต้องบอกว่าเป็นรายแรก ๆ ของโลก

    พระองค์ท่านพิจารณาแล้วว่า บรรดาถ้ำหินปูนต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็มีลำห้วยลำธารไหลผ่าน บางส่วนก็มีความชื้นสูง เมื่อถึงเวลาหยดลงมารวมกันก็กลายเป็นแหล่งน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็รับน้ำจากฤดูฝน จึงมีพระราชดำริให้กรมชลประทานไปทำโครงการสร้างเขื่อนกั้นถ้ำหินปูน เพื่อที่จะให้ชาวบ้านมีน้ำใช้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    บรรดานักวิชาการทุกคนคัดค้านกันหมด เพราะว่าถ้ำหินปูนส่วนใหญ่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝน ก็ต้องบอกว่า "พรุนเป็นรังผึ้ง" กั้นน้ำเท่าไรก็รั่วหายหมด ท้ายสุดเมื่อพระองค์ท่านเอาจริงขึ้นมา ก็คือได้ตรัสกับบรรดาระดับผู้นำในลักษณะต้องบอกว่า "ตำหนิ" เพราะว่าสั่งแล้วไม่ทำ ก็เลยทำให้กรมชลประทานต้องตัดสินใจทำเขื่อนกั้นถ้ำหินปูน แล้วปรากฏว่าเป็นจริงอย่างที่ว่า คือ น้ำรั่วหายหมด แล้วพระองค์ท่านก็สั่งให้ทำเพิ่มตรงจุดโน้น ตรงจุดนี้ ตรงจุดนั้น ทั้ง ๆ ที่น้ำรั่วหายหมด..!

    ผ่านไปหลายปีเพิ่งจะเห็นว่า บรรดาหมู่บ้านข้างเคียงทั้งหมดอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา เพราะว่าน้ำที่รั่วหายไป ไม่ได้หายไปไหน แต่เข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินรอบข้าง โดยเฉพาะในหมู่บ้าน ทำให้พื้นดินแถวนั้นหายจากความแห้งแล้ง ทำให้มีแหล่งน้ำใต้ดิน สามารถขุดบ่อบาดาลมาใช้งานได้ ซึ่งโครงการแบบนี้ ถ้าเป็นฝรั่งเขาคิดก็ราคาหลายพันล้านบาท แต่ของพระองค์ท่านสร้างแต่ละแห่งอยู่ที่ราคาประมาณ ๑๑ - ๑๒ ล้านบาทเท่านั้น

    นั่นคือสายพระเนตรอันยาวไกลชนิดที่ไม่มีใครคิดถึง เห็นแต่ว่าพระองค์ท่าน "ทำอะไรเหลวไหล" ในตอนนั้น แต่ปัจจุบันนี้ หมู่บ้านใดที่มีเขื่อนกั้นถ้ำหินปูนไว้ อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งน้ำทุกที่ เพราะว่าพอนานไป ระดับน้ำมากเข้า ๆ น้ำใต้ดินก็ไม่ไหลไปไหนแล้ว เพราะว่าเต็มพื้นที่แล้ว

    เรื่องลักษณะอย่างนี้ก็เหมือนกับการทำความดีของเรา บางทีพวกเราปฏิบัติในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา วันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว อาทิตย์หนึ่งก็แล้ว ครึ่งเดือนก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ยาวนานไป สองเดือน สามเดือน สี่เดือน ห้าเดือน หกเดือน หนึ่งปี ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย แล้วพวกเราก็ท้อถอย

    กระผม/อาตมภาพเคยเล่าให้พวกเราฟังมานานแล้วว่า การปฏิบัติธรรมครั้งแรกของตัวเอง ตั้งใจจะเอาปฐมฌานให้ได้ ภาวนาเพราะอยากจะทรงปฐมฌาน เนื่องจากเห็นคุณประโยชน์ เพราะว่าปฐมฌานสามารถช่วยในการตัดกิเลสระดับของพระโสดาบันและพระสกทาคามีได้ ก็คิดว่าชีวิตนี้เราไม่หวังอะไรมาก เราต้องการแค่ปฐมฌานเท่านั้น แล้วจะก้าวลัดตัดตรงเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้า ระดับพระโสดาบันหรือพระสกทาคามีไปเลย

    ปรากฏว่าทำไปเถอะ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี สองปี สามปี ไม่ได้สักที
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ถ้าเป็นพวกท่าน เชื่อว่าคงเลิกกันหมดแล้ว แต่ผมไม่เลิก สามปีทำฟรี ๆ เหมือนกับไม่ได้อะไร แต่ความจริงแล้วได้เยอะมาก คือได้รู้ว่าไอ้ที่ทำมายังผิดอยู่ เพราะว่าภาวนาเมื่อไรก็ไปไล่จับอาการ ตอนนี้คือวิตกนะ คิดนึกตรึกอยู่ว่าจะภาวนา ตอนนี้คือวิจารนะ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ภาวนาว่าอย่างไรรู้อยู่

    ตอนนี้ปีตินะ มีอาการขนลุกขึ้นมาแล้ว ไปตามจี้ดูทุกขั้นตอน ปรากฏว่าได้แค่นั้นแล้วก็หาย ได้แค่นั้นแล้วก็หาย เพราะว่ากำลังใจที่ต้องการสูงกว่านั้น จะต้องประกอบไปด้วยอุเบกขา ซึ่งกระผม/อาตมภาพสรุปง่าย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะได้หรือไม่ได้..ช่างมัน ถ้าทำแบบนี้จะได้เร็วมาก

    แต่เนื่องจากว่ากระผม/อาตมภาพทำเพราะความอยากได้ ก็เลยไปไล่ดูทุกขั้นตอนชนิดจี้ติดตูดไปเลย จึงเป็นความฟุ้งซ่าน ใจไม่สงบ ทรงฌานไม่ได้ จนกระทั่ง ๓ ปีผ่านไป วันนั้นรู้สึกเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ ทำมา ๓ ปีแล้วไม่ได้อะไร แต่คราวนี้คนที่ทำได้เขามี ในเมื่อคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้บ้าง จะได้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ เรามีหน้าที่ภาวนาก็แล้วกัน กำหนดใจแค่นี้ โป๊ะเดียวได้เลย

    ก่อนหน้านั้นวางกำลังใจสูงเกินไป พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเปรียบว่า เหมือนกับคนยืดคอเลยหน้าต่าง อยากจะมองภาพตรงหน้าต่าง แต่ยืดคอเลยไปก็เห็นแต่ผนัง หรือถ้าหากว่าไม่อยากได้มากจนเกินไป ก็เหมือนกับคนก้มต่ำ ต่ำกว่าช่องไปก็ไม่เห็นอะไรอีกเหมือนกัน ต้องพอเหมาะ พอดี พอควรเท่านั้น เราถึงสามารถที่จะเห็นได้

    นั่นก็คือลักษณะของการวางกำลังใจแบบว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะเป็นอย่างไร ได้หรือไม่ได้ ช่างมัน นั่นคือตัวอุเบกขาในอารมณ์ของสมาธิระดับแนบแน่นที่เรียกว่าฌาน ถ้าไม่ถึงตัวอุเบกขา เราไม่มีทางที่จะทรงฌานได้ แต่อุเบกขาตัวนี้ต้องวางได้ด้วยตนเอง คนอื่นบอกก็เป็นแค่แนวทางเท่านั้น ส่วนเราจะทำได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    เรื่องพวกนี้หลายคนก็อยู่ในลักษณะ "คนมีเวลามาก" โดยเฉพาะพระเณรของเรา บวชเข้ามาแล้วไม่ได้ให้ความจริงจังในการร่ำเรียนหรือว่าปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าตายเสียก่อน เราจะขาดทุนมาก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ในเมื่อวันนี้เป็นวันระลึกถึงวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙ กระผม/อาตมภาพก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนเป็นฆราวาสไม่ดูหนังฟังเพลง แต่ถ้าเป็นข่าวในพระราชสำนักจะดู มีอยู่วันหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานแนวพระราชดำริให้กับข้าราชการที่ตามเสด็จว่า "ลองไปศึกษาดูว่าต้นไม้แต่ละประเภท ที่ใบใหญ่ ใบเล็ก ใบกลม ใบยาว คายออกซิเจนและรับคาร์บอนไดออกไซด์มากน้อยเท่าไร ?" คาดว่าพระองค์ท่านคิดโครงการอะไรในลักษณะของการที่จะสามารถปรับปรุงสภาพอากาศได้ แต่ปรากฏว่าผู้ตามเสด็จตอบทันควันว่า "ทำไม่ได้หรอกครับ"

    กระผม/อาตมภาพเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ท่านอย่างชัดเจนเลย แม้ว่าสมัยนั้นจะเป็นโทรทัศน์ขาวดำ ก็คือสีพระพักตร์ประมาณว่า "เหนื่อยใจฉิบหายเลย..!" แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสว่า "ที่บอกว่าทำไม่ได้นั้น ได้ลองทำแล้วหรือยัง ?"

    นี่คือลักษณะในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพมองดูแล้ว พระเณรของเราก็แบบเดียวกับข้าราชการตามเสด็จ ซึ่งถ้าเป็นตัวกระผม/อาตมภาพเอง ได้รับพระราชดำริแบบนั้น ก็คือทำถวายด้วยชีวิต สำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าข้าราชการทั้งหลายเหล่านั้น พอเห็นว่ามีทางที่จะได้งานยากก็ปฏิเสธทันที ทำให้โครงการดี ๆ โครงการหนึ่งที่ทรงพระราชดำริเอาไว้ไม่ปรากฏขึ้นมาในโลก

    แบบเดียวกับหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้ว่าดีแค่ไหน วิเศษแค่ไหน ทำเมื่อไรก็เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และคนรอบข้างอย่างไร แต่แทนที่เราทั้งหลายจะตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เอาตนเองเป็นเครื่องพิสูจน์ เมื่อเกิดผลแล้วจะได้บอกต่อผู้อื่นอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ปรากฏว่าพวกเรากลับทำในลักษณะ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง"

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมรณภาพ หรือว่าตายลงไปเมื่อไรแล้วจะเสียดายเวลา เพราะว่าการเวียนว่ายตายเกิดแต่ละชาตินั้นทุกข์ไม่รู้จบ ต้องบอกว่าถ้ามองเห็นตั้งแต่ต้นยันปลาย มีปัญญาเพียงพอจะเห็นว่า ความทุกข์มันยาวนานเหลือที่จะทน ผู้ที่ฉลาดก็ต้องรีบดิ้นรนเพื่อที่จะให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ไปนอนกลิ้งอยู่ด้วยความสบายใจว่าจะไปเมื่อไรก็ได้ "ไอ้จะไปเมื่อไรก็ได้นั้น มั่นใจแล้วหรือว่าจะไปได้ !?"

    วันนี้ก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...