เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 มิถุนายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มิถุนายน 2021
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ขอโอกาสพระภิกษุสามเณร และขอโอกาสญาติโยมทั้งที่นี่และที่บ้านพูดเรื่อง "เพ้อเจ้อ" คือบางเรื่องเป็นเรื่องที่คนเข้าถึงยาก พูดไปก็เพ้อเจ้อ เหมือนกับเต่าไปเล่าให้ปลาฟังว่าบนบกมีอะไรบ้าง ปลาไม่มีทางเข้าใจหรอก ยกเว้นปลาตีนที่เห็นได้ใกล้ ๆ น้ำหน่อย..!
    พระพุทธเจ้าของเรามีพระคุณ ๙ ประการ ที่เรียกว่า นวหรคุณ

    ประการหนึ่งก็คือ โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก แต่คราวนี้โลกที่พระองค์รู้แจ้งนั้น แบ่งออกเป็นหลายอย่างด้วยกัน
    อันดับแรกเลย เขาเรียกว่า โอกาสโลก โลกคือดวงดาวใบนี้และดวงดาวอื่น ๆ ในอนันตจักรวาล
    อันดับต่อไปคือ สังขารโลก โลกคือร่างกายนี้่
    และสุดท้ายคือ สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ทั้งหลาย

    แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสถึงสิ่งหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรจะไปคิด เรียกว่า อจินไตย ประกอบไปด้วย
    พุทธวิสัย สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงทำได้
    ฌานวิสัย เรื่องของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ทรงอภิญญาทำได้

    กรรมวิบาก การส่งผลของการกระทำของเราทั้งดีและชั่ว
    และโลกจินไตย ความเป็นไปของโลก ท่านบอกว่า ผู้ที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า บาลีใช้คำว่า อุมฺมตฺตกภาโค

    แต่วันนี้กระผม/อาตมภาพ จะมาชวนพวกเราบ้า..! จะพูดเรื่องส่วนใหญ่ถึงโอกาสโลก โลกคือดวงดาวที่เราอยู่ กับสังขารโลก โลกก็คือร่างกายนี้

    ผมจะบอกว่า "โลกของเราใบนี้มีชีวิต" บ้าแน่ ๆ เลย..! มีชีวิตในแบบของโลก บรรดานักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ ศึกษาการเกิดของโลก ของดวงดาว ของจักรวาลต่าง ๆ แล้วสรุปได้ว่า ดวงดาวมีเกิดแล้วก็มีตาย ในเมื่อโลกนี้มีชีวิต ก็ย่อมต้องมีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีการแปรปรวนได้ ร่างกายของเราก็เหมือนกัน เรามีชีวิต เราก็เจ็บไข้ได้ป่วยแปรปรวนได้ เมื่อเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จะอาศัยภูมิคุ้มกันต่อต้านสุดชีวิต ส่วนเราก็กินยารักษาตามอาการ แล้วถ้าโลกป่วย โลกจะทำอย่างไร ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    สาเหตุที่โลกป่วย เป็นเพราะเชื้อไวรัสเหมือนกัน ไวรัสพวกนี้ นักโบราณชีวศาสตร์ นักสัตวศาสตร์ เขาเรียกให้รู้กันทั่วว่า "โฮโมซาเปี้ยน (Homo sapiens)" ก็คือมนุษย์นี่แหละ เป็นเชื้อไวรัสทำลายโลก..! ไปที่ไหนก็ยึดครองทุกอย่างเป็นของกู เหนือสุด ใต้สุด แม้กระทั่งใต้ดิน บนฟ้า เอาหมด เชื้อโรคเวลาเข้าไปอยู่ในร่างกายของเราก็ทำแบบเดียวกัน

    คราวนี้ภูมิคุ้นกันของร่างกายออกมาต่อสู้ เชื้อโรคก็ต้องพยายามปรับตัว ปรับพันธุกรรมของตัวเอง เพื่อให้อยู่ได้ แล้วภูมิคุ้มกันของโลกคืออะไร ? ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถึงเวลาก็จะใช้ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละ ออกมาสู้กับเชื้อโรค ซึ่งก็คือมนุษย์..!

    แล้วถ้าหากว่าคนเราเจ็บไข้ได้ป่วย ภูมิคุ้มกันสู้ไม่ไหว ก็ต้องกินยา แล้วโลกกินยาอะไรเข้าไป ? ก็คือยารักษาโรคของมนุษย์นี่แหละ แต่ขออภัย..ไม่ใช่ยารักษาโรคแบบมนุษย์ ยารักษาโรคของโลกคือเชื้อโรค ส่งเข้าไปเพื่อล้างผลาญเชื้อไวรัสอย่างมนุษย์..!

    เพราะฉะนั้น..เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จึงเป็นเชื้อที่ต้องบอกว่า ทำลายล้างมนุษย์ได้รุนแรงมาก เพราะว่าเป็นยาที่โลกใช้รักษาตัวเอง เริ่มบ้าแล้วนะ..! ไปไกลแล้ว อย่าลืมนะ...ผู้ที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า ส่วนผู้ที่ฟังไม่ต้องห่วง...บ้าแน่นอน...!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    แต่คราวนี้ในเมื่อโลกเราก็ดี ร่างกายนี้ก็ดี มีความสัมพันธ์กัน อย่าลืมว่าร่างกายของเรามีเชื้อโรคที่ดี ช่วยในการย่อยสลายอาหาร ช่วยในการกระตุ้นร่างกายนี้ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำอย่างไรที่เรากับโลกจะอยู่รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวแบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่กอบโกยด้วยการทำลายล้างอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ท้ายสุดโลกก็ต้องส่งยาเข้ามารักษา

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ช่วงการปฏิบัติธรรมที่ทางวัดท่าขนุนจัด จะสังเกตว่าผมนำพวกเราแผ่เมตตาอยู่เสมอ เมตตาเป็นสิ่งที่เรียกว่า สัพพัตถกรรมฐาน กรรมฐานสารพัดประโยชน์ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักปฏิบัติธรรม เพราะว่าขาดเมื่อไร สภาพจิตใจจะแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว ทำอะไรไม่ค่อยก้าวหน้า

    ผมเคยแผ่เมตตาให้บรรดาเชื้อโรคในช่วงไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดไม่นาน มีความรู้สึกเหมือนอย่างกับว่าตัวเราอยู่ในน้ำ อากาศรอบตัวเราเหมือนอย่างกับน้ำ แล้วพวกเชื้อโรคเหมือนกับเป็นลูกอ๊อด ลูกกบ ลูกเขียด ว่ายไปมาเต็มไปหมด แต่เป็นลูกกบลูกเขียดประเภทปลาปิรันย่า ก็คือถ้าหากว่าเจอสิ่งที่คิดว่าเป็นศัตรู ก็เข้าไปลุยกินกระจายเลย แต่ถ้าเป็นพวกเดียวกัน สิ่งนี้ก็คือลูกกบ ลูกเขียด ที่ภาษาอีสานเรียกว่าลูกฮวก ไม่มีอันตรายอะไรเลย ต่อให้เป็นลูกกบภูเขาตัวเท่าฝ่ามือ ก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    สิ่งนี้อยากฝากไว้เป็นการบ้านให้กับพระภิกษุสามเณร แม่ชี และฆราวาส ไม่ว่าจะอยู่ในวัดนี้ อยู่ที่บ้าน อยู่ในประเทศ อยู่ต่างประเทศ ลองประพฤติปฏิบัติดู วัคซีนรักษาโรคช่วยเราได้น้อย แต่ดีกว่าไม่ช่วยเลย แต่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นยารักษาโรคที่ดีมาก ถ้าใครสามารถเข้าถึงเคล็ดลับได้จริง ๆ โดยไม่เกินกฎของกรรมแล้ว สามารถรักษาได้ทุกโรค

    ลองไปแผ่เมตตาดูให้เป็นปกติ โดยเฉพาะกำหนดใจไปตามธัมมุทเทส ๔ ที่พระรัฐบาลเถระทูลถวายต่อพระเจ้าโกรัพยะว่า โลกคือหมู่สัตว์..อันชรานำไปไม่ยั่งยืน ไม่มีใครไม่แก่ และไม่มีใครไม่ตาย

    โลกคือหมู่สัตว์..ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน แค่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อย่างเดียวก็ไปไม่รอดแล้ว จะเป็นใหญ่ได้อย่างไร ?


    โลกคือหมู่สัตว์..ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละในสิ่งทั้งปวง ตรงนี้ชัดเจน ไม่ต้องอธิบายมาก


    ข้อสุดท้าย โลกคือหมู่สัตว์..พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา


    ทำอย่างไรที่เราจะลดตัณหา คือความอยากมี อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อที่เราจะอยู่ร่วมกับโลกนี้และร่างกายนี้อย่างดีที่สุด มีความทุกข์ให้น้อยที่สุด


    ก็แปลว่าต้องเป็นพวกเดียวกัน ในเมื่อต้องเป็นพวกเดียวกัน จะทำอะไร ก็ต้องทำด้วยเมตตา จะพูดอะไรก็ต้องพูดด้วยเมตตา จะคิดอะไรก็ต้องคิดด้วยเมตตา เราต้องรักเขา เขาถึงจะรักเรา


    การบ้านนี้เป็นการบ้านที่ยากมาก เพราะว่าผมฝึกกรรมฐาน ๔๐ กอง ตามแบบที่หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงสอนมา พรหมวิหาร ๔ กับอรูปฌาน ๔ ยากที่สุด โดยเฉพาะพรหมวิหาร ๔ ต้องเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจเราจริง ๆ เท่านั้น ไม่สามารถที่จะเสแสร้งแกล้งดัดอะไรได้เลย

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่อยากเดือดร้อน เพราะว่าโลกใบนี้เห็นเราเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดแต่โทษอย่างเดียว เราก็ต้องทำตัวให้โลกนี้เห็นว่า เราเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นประโยชน์ อยู่ไปแล้วช่วยให้โลกดีขึ้น

    ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ฆราวาสในเรื่อง "เพ้อเจ้อ" ฟังดูไม่น่าจะรู้เรื่องเอาไว้แต่เพียงเท่านี้..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...