เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ งานใหญ่งานสำคัญของวัดท่าขนุน ก็คือการหล่อพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ทั้งเนื้อเงินและเนื้อทองคำได้สำเร็จลงด้วยดี

    ขณะเดียวกันหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของพระ ของพรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ที่ท่านสงเคราะห์ให้ แล้วก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพเห็นคนรังแกเทวดาได้..!

    ก็อย่างที่บอกว่า ท้าวมหาราชพร้อมกับบริวารของท่าน มารักษาบริเวณมณฑลพิธีตั้งแต่วันก่อน โดยเฉพาะท่านท้าววิรุฬหกมหาราชยืนอยู่ตรงหน้าป้ายวัดท่าขนุน พวกท่านก็ตั้งเก้าอี้เพิ่มทีละ ๒ ตัว ๓ ตัว ท่านก็ต้องถอยไปเรื่อย ท้ายสุดไปอยู่หลังหลวงพ่อพระพุทธลีลา ๘๔ พรรษาธรรมิกราช (หลวงพ่อหินเขียว) มีบางคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไมเป็นเทวดาไม่รู้จักขึ้นไปอยู่บนอากาศ ? ก็เพราะว่าถ้าขึ้นไปเมื่อไรก็จะอยู่สูงกว่าพระ เพราะฉะนั้น...ถ้าพวกเรามีมากกว่านั้น ท่านก็คงต้องถอยไกลออกไปอีก ยังดีที่ไม่ได้มากไปกว่านั้น

    ส่วนหลายท่านที่ถ่ายรูปแล้ว ได้ภาพปาฏิหาริย์มา ให้เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจของตน เพราะว่าเรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพพูดไป ถ้าหากว่าไม่มีบุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณช่วยยืนยัน ก็กลายเป็นว่าสักแต่พูดไปเปล่า ๆ แต่ว่าเครื่องมือเครื่องไม้สมัยนี้ดีขึ้นมาก และอาจจะเป็นไปได้ว่า เป็นเพราะพระ หรือพรหม หรือเทวดา ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสงเคราะห์ ก็เลยถ่ายติดมา

    โดยเฉพาะฉัพพรรณรังสีที่คลุมมณฑลพิธีอยู่ จนกระทั่งพวกเราเก็บเสร็จแล้วถึงได้ถอนกลับไป กระผม/อาตมภาพได้เตือนทุกท่านตั้งแต่เช้ามืดว่า จะทำความสะอาดหรือจะทำอะไรบริเวณนั้น ก็อย่าได้เอะอะโวยวาย หรือทำอะไรโฉ่งฉ่าง ขาดความเคารพ เพราะว่าพระท่านเสด็จตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

    จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งใจฝึกปฏิบัติกันจริง ๆ กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวไว้แล้วว่า เรื่องของทิพจักขุญาณนั้นเป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น และแถมมาแล้วก็มักจะจัดการไม่ถูก สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก

    ที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "ของแถมในการปฏิบัติ" ก็เพราะว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ตาม ถ้าวิสัยเดิมมาทางด้านวิชชาสาม อภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณสี่ ถ้าจิตสงบลงได้ระดับเมื่อไร ทิพจักขุญาณจะเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องไปดิ้นไปรน ดังที่เคยเปรียบเทียบไว้ว่า ซื้อรถเมื่อไรก็ได้ล้อมาด้วย ไม่มีใครที่ซื้อรถแล้วต้องตะเกียกตะกายไปหาล้อเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความที่ท่านทั้งหลายนั้น ต้องบอกว่าสติปัญญาน้อย จึงจัดการกับทิพจักขุญาณไม่ค่อยจะถูก

    แม้กระทั่งลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เท่าที่กระผม/อาตมภาพสัมผัสมาด้วยตัวเอง ก็นำเอาทิพจักขุญาณไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอ ท่านถึงได้สอนมโนมยิทธิให้ แต่ปรากฏว่าที่ฉลาดพอนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ออกทะเล กู่ไม่กลับ เพราะเมื่อเกิดทิพจักขุญาณขึ้นแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่าง ๆ จะตามมาด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็เคยพลาดอยู่ถึง ๓ ปี กลายเป็น "ขี้ข้าชาวบ้าน" แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นฆราวาส แต่ก็ถือว่าเป็นขี้ข้าชาวบ้านเขา เพราะว่าใครถามอะไรก็บอกเขาหมด แล้วพอได้รับคำชมเชยมาก็ "ตูดกระดก" ลอยทั้งตัว ก็เลยกลายเป็นขี้ข้าของชาวบ้านเขาด้วยความเต็มใจของตัวเอง เพราะว่าอยากได้คำชมอีก..!

    จนกระทั่งได้สติขึ้นมา เพราะพินิจพิจารณาแล้วว่า การที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องของอภิญญาสมาบัติ แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องรู้แจ้งเห็นจริง และยอมรับสภาพความเป็นจริงของร่างกายของเรา และตลอดจนกระทั่งร่างกายคนอื่น วัตถุธาตุอื่น ๆ และยอมรับความจริงในโลกนี้ด้วย เมื่อเห็นจริงแล้วก็ปลดการยึดมั่นถือมั่นออก จึงสามารถที่จะหลุดพ้นไปได้

    ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องระลึกชาติได้ ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องรู้ว่าคนตายแล้วไปไหน ? คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ? ไม่จำเป็นต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต มีอย่างเดียวก็คือปฏิบัติตามสายสุกขวิปัสสโก เพื่อเข้าถึงความสิ้นกิเลส

    แต่เท่าที่พบมาก็คือจัดการกับทิพจักขุญาณไม่ถูก ได้มาแล้วก็ "เฟื่อง" คำว่า เฟื่อง ในที่นี้ ที่อาตมภาพเป็นก็คืออาการเดียวกัน "คะนอง" ใช้ทิพจักขุญาณในด้านที่ไม่ถูกต้อง ขาดปัญญา แยกแยะไม่ออกว่าปัจจุบันเราเป็นอะไร จึงไปเอาอดีตเป็นเครื่องยึด รู้แล้วแทนที่จะเข็ดว่า เราเกิดมาทุกข์ยากนับชาติไม่ถ้วน กลับรู้แล้วไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ คนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา

    บุคคลที่กำลังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ แทนที่จะเร่งรีบ เพื่อที่ตัวเองจะได้ขึ้นสู่ฝั่ง พ้นจากภาระต่าง ๆ ไปเข้าสู่เขตแดนที่ปลอดภัย เรากลับไปกอดคอคนโน้นไว้ ฉุดรั้งคนนี้ไว้ด้วยความสัมพันธ์เก่า ๆ ท้ายที่สุดก็จมตายกันทั้งพรวน แล้วการที่เราใช้ทิพจักขุญาณผิด ไม่ได้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง ก็สร้างความเสียหายให้กับครูบาอาจารย์อย่างมาก จนกระทั่งกลายเป็นวลีที่กึ่งดูถูก กึ่งเยาะเย้ยว่า "อย่ามโน"..!

    ดังนั้น...ที่กระผม/อาตมภาพว่าไป กล่าวไป ถ้าไม่มีหลักฐาน ก็คงได้แค่ "มโน" อย่างที่ทุกท่านว่า หรือคนอื่น ๆ ก็จะว่ากล่าวในลักษณะนี้ แต่ยังดีที่ว่าบางอย่างก็พอที่จะมีรูปถ่ายเป็นพยานหลักฐานได้ อย่างเช่นฉัพพรรณรังสีที่คลุมมณฑลพิธีอยู่ เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า งานการทุกอย่างของวัดท่าขนุนทำเหมือนกับง่าย ๆ สำเร็จลงง่าย ๆ แต่ท่านทั้งหลายมาดูเอาผลตอนสุดท้ายแล้ว โดยที่ไม่ได้ดูว่าก่อนที่จะง่ายนั้น ตัวกระผม/อาตมภาพ ตลอดจนกระทั่งทุกคนที่ร่วมงานกันอยู่ ต้องใช้ความเพียรพยายามมากขนาดไหน

    ถ้ายิ่งว่ากล่าวย้อนหลังไปยันอดีตชาติโน่น ก็คงจะออกอาการเดียวกับพระพาหิยะทารุจีริยะ ที่เป็นเอตทัคคะทางขิปปาภิญญา คือตรัสรู้เร็ว แค่พระพุทธเจ้าเทศน์ว่า "จงอย่าสนใจในร่างกาย" แค่นั้นก็บรรลุแล้ว เราไปดูเอาผลตอนที่ท่านบรรลุแล้ว โดยที่ไม่ได้ดูว่าชาติก่อนหน้านั้น ท่านปฏิบัติธรรมถึงขนาดอดตาย..! ก็แปลว่าก่อนที่จะง่ายนั้น ต้องผ่านความยากสาหัสชนิดเลือดตากระเด็นมาแล้วทุกคน..!

    ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชนิพนธ์เอาไว้ว่า "หนทางแห่งเกียรติศักดิ์ จักโรยด้วยดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ฤๅมี" ก็คือกว่าที่จะประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เดินมาบนทางที่ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นหนทางที่เต็มไปด้วยหนามกุหลาบ..! ต้องบาดเจ็บ ต้องเจ็บปวดสารพัด แต่นั่นจะเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดให้เราได้เห็นว่า บุคคลอื่นที่มี ๑๐ นิ้วเท่ากัน ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราใช้ความเพียรพยายาม ใช้การปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญาได้เท่าเทียมกับท่าน เราก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับท่าน

    ท่านทั้งหลายที่อยู่ต่อเพื่อที่จะปฏิบัติธรรมต่อตามหลักสูตร ช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ก็คือทางวัดท่าขนุนของเราจะให้ทุกท่านสมัครผ่านกูเกิ้ลฟอร์ม และดาวน์โหลดวุฒิบัตรของผู้ปฏิบัติธรรมผ่านอีเมล์ ซึ่งหลัก ๆ เลยควรที่จะเป็น gmail เพราะว่าสามารถไปกับกูเกิ้ลฟอร์มได้ดีที่สุด ถ้าหากว่าเป็น hotmail หรือ outlook อาจจะเกิดความผิดพลาดได้

    ก็แปลว่าทุกท่านต้องเริ่มหัดทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือว่าเล่นเฟซบุ๊ก เล่นสไกป์จนกระทั่งลืมไปว่ายังมีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์อยู่ เมื่อปฏิบัติจนถึงวันสุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่เขาก็จะลงหมายเหตุยืนยันว่าท่านอยู่ครบ ถ้าอย่างนั้นเราถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปดาวน์โหลดวุฒิบัตรได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าอยู่ไม่ครบ คิดว่าสมัครลงทะเบียนไปแล้ว อย่างไรก็ต้องได้วุฒิบัตร ขอบอกว่าท่านคิดผิด..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ดังนั้น..ในส่วนที่ท่านทั้งหลายยังอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมให้ครบเวลาตามหลักสูตร ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่าโมทนา เพราะว่าพวกท่านไม่ได้ไหลตามกระแสกิเลสไป มีระยะเวลาหยุดหลายวัน แทนที่จะไปท่องเที่ยวแบบคนอื่น ๆ ที่เก็บกดมานาน กลับมาฝึกฝนขัดเกลา กาย วาจา ใจของตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกว่าจะเข้าถึงเป้าหมายสุดท้าย คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทน อดกลั้น เพียรพยามยามเป็นอย่างสูง ถึงจะสามารถหักห้ามใจตนเองได้

    แต่เมื่อกำลังของเราสูงพอแล้ว เราจะเห็นว่าการที่เรารักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ไม่ใช่เรื่องหนักใจเลย สามารถทำได้แบบเป็นธรรมชาติมาก ในเรื่องของการทรงสมาธิ เราก็สามารถที่จะทรงได้ทุกเวลาที่ต้องการ ถ้ามาถึงระดับนี้แล้ว ก็เหลือเพียงการใช้ปัญญาพิจารณาเท่านั้น ว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทุกชนิดก็ตาม มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารให้ยึดถือมั่นหมายได้

    ยิ่งเห็นชัดมากเท่าไร สภาพจิตของเราก็ยิ่งถอนออกจากการยึดมั่นถือมั่นมากเท่านั้น ท้ายที่สุดถ้าสามารถถอนออกมาได้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน


    วันนี้ที่บอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายให้ชัดเจน ก็เพราะว่าบางคนที่ได้ทิพจักขุญาณแล้ว มีสิทธิ์ที่จะหลงทาง ต้องรู้จักระมัดระวัง รู้อะไรไม่ใช่พูดได้ทั้งหมด บุคคลที่รู้จริงต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารู้นั้น พูดได้เท่าไร บางเรื่องรู้มา ๑๐๐ พูดได้แค่ ๒ แค่ ๓ จะอกแตกตาย..! แต่ก็ต้องกัดฟันทนไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไปละเมิดกฎของกรรมโดยไม่รู้ตัว

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...