เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เมื่อคืนท่านที่เป็นเวรยามก็คงจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพกลับมาช้า เหตุเพราะว่าคู่เจรจาเจตนาถ่วงเวลา คือกะว่าถ้าไม่ไปสถานีตำรวจแล้ว จะเจรจากับกระผม/อาตมภาพได้ง่ายขึ้น

    บุคคลผู้นี้ก่อเหตุลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว ตามที่ท่านผู้กำกับมนตรี แตงโต ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิท่านไปสืบมา แต่ว่ารอดคดีมาได้ทุกครั้ง เพราะว่าทางด้านเจ้าทุกข์ยอมประนีประนอมด้วย แล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าทุกข์ถึงยอมประนีประนอมด้วย เพราะว่าพ่อเจ้าประคุณ "เล่นของ" มาถึงศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายนี่แล้วยังเล่นอีกต่างหาก..!

    เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นของเด็กอนุบาล ก็คือเป็นไปทางสายพวกเสน่ห์ยาแฝด ในลักษณะทำให้รัก ทำให้หลง ทำให้เมตตา ตามใจเขาทุกประการ แม้กระทั่งวันที่เขานัดมา ก็เป็นวันที่เขาเลือกแล้วว่าเป็นวันพุธ ซึ่งทางโบราณเขาถือว่าเป็นวันที่เจรจาได้ง่ายที่สุด เพราะตามหลักของโหราศาสตร์ เขาถือว่าวันพุธเป็นปาก แต่เขาก็คงไม่รู้ว่า
    กระผม/อาตมภาพเป็นใคร..!

    ดังนั้น..เมื่ออยู่ภายในห้องสอบสวนกัน แล้วเขาขอความเมตตา กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ได้เมตตาให้มาตลอดแล้ว ก็คือเวลามึงทำของใส่แล้วกูไม่สวนให้คว่ำไปตรงนั้นเลย..! ต่อไปให้เลิกเสีย เพราะว่าหาความก้าวหน้าไม่ได้หรอก เนื่องจากว่ากูนี่แหละเป็นต้นตำรับ..!" เขาก็เลยนั่งตะลึงไปประมาณเกือบ ๕ นาที พูดไม่ออกบอกไม่ถูก คาดว่ากลับไปอาจจะ "วิชาเสื่อม" ไปเลย เพราะว่าหมดความมั่นใจ นอกจากเขาจะไม่รู้ว่ากระผม/อาตมภาพเป็นใครแล้ว ยังไม่รู้ว่าภายในศาลา ๑๐๐ ปีฯ แห่งนี้ กระผม/อาตมภาพเอาเบี้ยแก้ตัวครู หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้วใส่พานไว้คู่หนึ่ง..!

    คำว่า เบี้ยแก้ พวกเราต้องเข้าใจว่า คำว่า แก้ คืออะไร ? ส่วนใหญ่คือแก้พวกคุณไสย ไสยเวทย์มนต์ดำอะไรพวกนี้ทุกเรื่อง ถ้าหากว่าบ้านเราอาจจะไม่ชัดเจน แต่ว่าทางพม่าเขาเล่นของพวกนี้หนักกว่าบ้านเรามาก ทุกอย่างทางด้านนั้นถือโชคถือลาง ถือเคล็ด ถือเวทมนตร์ไสยศาสตร์เป็นหลัก กระผม/อาตมภาพเจอเข้าหลายครั้ง ต้องบ่นภาษาวัยรุ่นว่า "กูจะบ้า..!"

    เนื่องเพราะว่าด้วยความเคยชิน พอถึงเวลาจะเดินทาง
    กระผม/อาตมภาพก็กำหนดวันไปวันกลับแน่นอนแล้ว วันนี้จะต้องกลับถึงเมืองไทยให้ได้ แต่พอไปเช่ารถ เขาบอกว่า "วันนี้ไม่วิ่งรถ เพราะว่าเป็นวันจม" คือสมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นการสัญจรทางน้ำ วันจมวันลอยจึงเกี่ยวกับเรื่องของเรือ แต่แม้กระทั่งมาใช้รถแล้ว เขาก็ก็ยังถือวันจมวันลอยอยู่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต แต่คงไม่มีโอกาสสังเกตหรอกกระมัง ? บรรดาผู้หญิงที่มี "อาชีพอย่างว่า" ทางฝั่งโน้น พกแมลงภู่คำทุกคนเลย ส่วนใหญ่ก็มัดติดกับสายยกทรงไว้ เพราะว่าแมลงภู่คำก็อยู่ในลักษณะเดียวกับเบี้ยแก้ ก็คือบรรจุปรอท ซึ่งส่วนใหญ่จะล้างพวกอาถรรพ์ไสยศาสตร์ต่าง ๆ ได้ ช่วยป้องกันการกระทำของผู้ชายได้..!

    เนื่องเพราะว่าแม้แต่ในบ้านเราก็เหมือนกัน พวกบาร์ผู้ชาย หรือว่าพวกไนท์คลับที่มีผู้หญิงอยู่
    ไม่มีใครที่ไม่เล่นของพวกนี้ เพราะว่าต้องการดึงให้ลูกค้าติด จะได้มาหาบ่อย ๆ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทไสยศาสตร์ฝ่ายต่ำ ประเภทเด็กอนุบาลอย่างที่กระผม/อาตมภาพว่าไป คือถ้ากำลังใจของเรามีสมาธิทรงตัวก็รอดแล้ว ยกเว้นประเภทที่ทำให้กินเข้าไป

    คราวนี้ของพวกนี้มีทั้งไสยเวทย์อาคม วัตถุอาถรรพ์ต่าง ๆ แม้กระทั่งน้ำมันพราย ถ้าจะเอาตัวรอดกันจริง ๆ ก็พกเบี้ยแก้ หรือว่าแมลงภู่คำที่บรรจุปรอทป่าเอาไว้บ้าง กระผม/อาตมภาพก็พกเบี้ยแก้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพกเบี้ยแก้หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ถามว่าทำไมพกเบี้ยแก้หลวงปู่เจือ ทั้ง ๆ ที่ของหลวงปู่รอด วัดนายโรงก็มี ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วก็มี ? ก็เพราะว่าของเหล่านั้น "เอาไว้ขาย" เป็นของแพง เนื่องจากคนต้องการมาก..!

    ในเรื่องของเบี้ยแก้นั้น ถ้าหลัก ๆ เลยบ้านเรามาจากตำราวัดประดู่โรงธรรม ซึ่งสืบสายมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว หรือถ้าหากว่านามเดิมก็คือพระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถระชาวพม่า ที่ถือว่าเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาก่อน

    บ้านเราถ้าหากว่าเบี้ยแก้นี่ แยกออกเป็นสายหลัก ๆ ได้เลยก็สามสายด้วยกัน ก็คือสายหลวงปู่รอด วัดนายโรง กับสายวัดกลางบางแก้ว แล้วก็สายหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ที่เขาเรียกว่า "สายอ่างทอง" แต่ว่าสายของหลวงปู่รอด วัดนายโรงกับสายวัดกลางบางแก้วนั้น ถือว่าเป็นสายเดียวกัน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เรื่องนี้พระครูธรรมวิจารณ์ หรือหลวงปู่ชุ่ม วัดชีปะขาว ซึ่งปัจจุบันชื่อวัดศรีสุดารามวรวิหาร ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ที่เป็นครูบาอาจารย์สอนวิชาเบี้ยแก้ให้หลวงปู่รอด วัดนายโรงนั้น เป็นพระภิกษุชาวนครชัยศรี ธุดงค์ขึ้นไปทางด้านบางบำหรุแล้วชอบใจพื้นที่ ก็เลยอยู่จำพรรษาที่นั่น จนคนไม่รู้ที่มาที่ไปแล้วว่าเป็นคนมาจากที่ไหน

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ ทางด้านธนบุรีของเราเป็นป่าขนาดไหน เอาแค่สมัยที่กระผม/อาตมภาพเป็นวัยรุ่นก็พอ เพราะว่าบ้านยายอยู่ตรงสามแยกไฟฉาย พอเดินเข้าหลังบ้านไป ก็จะเป็นสวนลักษณะที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าสวนสมรม ก็คือปลูกสารพัดพืชผักด้วยกัน แล้วแต่ละสวนบางทีก็ต่อเนื่องกันไปหลาย ๆ ร้อยไร่..! ดูแลกันไม่ทั่วถึงก็มีสภาพเป็นป่าดี ๆ นี่เอง

    ถ้าถามว่าบ้านคนอยู่ที่ไหน ? ส่วนใหญ่บ้านคนจะปลูกอยู่ริมคลอง มีท่าน้ำยื่นลงไปในคลอง เป็นที่อาบน้ำอาบท่า ซักผ้า ใส่บาตร หรือว่าผูกเรือแพของตนเอง นี่ขนาดช่วงกระผม/อาตมภาพเป็นวัยรุ่นแล้วยังเป็นป่าดี ๆ นี่เอง พวกเสือปลา ชะมด อีเห็นเต็มไปหมด โดยเฉพาะเหี้ย ตัวใหญ่อย่างกับจระเข้ แล้วสมัยรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ จะเป็นป่าขนาดไหน พระท่านถึงไปธุดงค์กันที่นั่น..!

    ดังนั้น..ในส่วนของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา หลวงปู่ปาน วัดกลางบางแก้ว แล้วก็หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ท่านน่าจะศึกษาวิชาจากสายเดียวกัน เพราะว่าต้องเลือกเบี้ยแก้ที่มีฟัน ๓๒ ซี่ และบรรจุปรอทน้ำหนัก ๑ บาท แต่ทางสายอ่างทองของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์นั้น ต้องบอกว่าด้วยความที่ท่านเป็นพระอภิญญา ดัดแปลงวิชาการเอง ทางด้านโน้นก็เลยบรรจุปรอทตามขนาดของเบี้ย ไม่ได้สนใจว่าจะหนักเท่าไร ของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ถือว่าหายากที่สุด ราคาแพงมาก กระผม/อาตมภาพบูชามาตัวสุดท้ายหลายปีก่อน ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท..!

    เบี้ยแก้สายอ่างทองรองลงไปเป็นของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ แล้วก็หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน เบี้ยแก้ของสองท่านนี้แยกจากกันยากมาก เพราะว่าซื้อหอยเบี้ยจากร้านเดียวกันมาทำ แล้วถึงเวลาลูกศิษย์เอาไปเลี่ยม ก็ร้านเดียวกันอีก แต่คราวนี้เป็นที่สังเกตว่า ถ้าเป็นเบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ เวลาเราเขย่าจะมีเสียงเหมือนมีทรายอยู่ข้างใน ถ้าเป็นของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ก็จะเป็นเสียงปรอทขลุก ๆ ตามปกติ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    กระผม/อาตมภาพไปกราบหลวงปู่เจือ ตั้งใจว่าจะไม่รบกวนท่าน ตั้งท่าไปบูชาวัตถุมงคลในตู้เอง ท่านกวักมือเรียก บอกว่า "จะเอาเบี้ยให้มาเอาที่ผมนี่..!" ถึงท่านไม่พูดอีก ก็เป็นอันว่ารู้กันว่าในตู้นั่นปลอมทั้งนั้น..! เพราะว่าไอ้คนขายก็คือคนที่ทำเบี้ยแก้ให้ท่านนั่นแหละ แล้วก็ทำขายเองด้วย เพียงแต่หลวงปู่ไม่ได้เสก ไม่ได้ลงให้..!

    คราวนี้ถ้าหากว่าเป็นเบี้ยแก้สายอื่นที่มีหลุดรอดออกไปจากสายวัดกลางบางแก้ว มีหลวงพ่อกา วัดแค นครชัยศรี อันนี้ก็สายเหนียว สังเกตง่าย เบี้ยแก้มีห่วงเดียว แล้วห่อด้วยผ้ามุ้งชุบรัก เพราะฉะนั้น..จะเป็นตาข่ายยิบ ๆ แล้วก็มีห่วงเดียว ถัดจากนั้นก็หลุดไปโน่นเลย หลวงพ่อไพล วัดบางแคกลาง สมุทรสงคราม ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ? ไม่รู้ว่าใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน แต่เบี้ยแก้ของท่าน แถวนั้นนิยมมาก บอกว่ากันผีเด็ดขาดที่สุด..!

    แล้วถ้าจะเอาหายากสุด ๆ ก็เบี้ยแก้พอกครั่ง หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เพราะว่าเบี้ยแก้พอกครั่งของท่านก็มาจากการที่ท่านทำในเรื่องครั่งจนกระทั่งดังแล้ว ก็เลยเอามาใช้กับเบี้ยแก้ด้วย แต่ในชีวิตของกระผม/อาตมภาพ ได้มาแค่ ๕ - ๖ ตัว ต้องบอกว่าได้มาน้อยกว่าของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ที่หายากเสียอีก..!

    คราวนี้ในเรื่องของเบี้ยแก้ ถ้าหากว่าเราพกติดตัว ไม่ว่าจะอยู่ในป่า อยู่ในบ้าน ต้องปลุกไว้เป็นปกติ ไม่ใช่ว่าพกเอาไว้เฉย ๆ เหมือนอย่างกับพกสากกะเบือ..! วัตถุมงคลทุกอย่าง ถ้าเราจะใช้ให้เกิดผล จะต้องมีการปลุกเป็นปกติ คาถาไปหาเอาได้ ตาม "กูเกิ้ล" มีเยอะแยะไป ชอบใจบทไหนก็ว่าไปเลย อานุภาพมีครบแต่เน้นด้านใดเท่านั้น มีของสายวัดกลางบางแก้วที่หลากหลายหน่อย จะใช้ประเภทปกติทั่วไป หรือจะเอาประเภทเหนียว หรือจะเอาประเภทถอนคุณถอนของนั่นมีหมด ส่วนใหญ่ของสายอื่นจะไปเน้นเรื่องความเหนียวมากกว่า

    ดังนั้น..ไอ้ตัวแสบไม่รู้ว่า นอกจากเบี้ยแก้ตัวครู หลวงปู่เจือในศาลานี้แล้ว กระผม/อาตมภาพยังพกเบี้ยแก้ติดตัวด้วย ทำไปก็เหนื่อยเปล่า รำคาญก็เลยเตือนไป บอกว่า "ให้เลิกซะ..ไม่มีประโยชน์หรอก เหมือนอย่างกับเด็กอนุบาลจะมาเล่นอะไรกับคนจบปริญญา คุณก็หาเรื่องเดือดร้อนเอง..!"

    แต่คราวนี้พอไกล่เกลี่ยเสร็จ แต่คาดว่าเขาคงทำไม่ได้หรอก เพราะว่าผู้กำกับท่านคงเห็นแล้วว่า ไม่มีทางหรอกที่จะทำงานเราให้เสร็จ แต่ว่าถ้าหากว่าเขาไม่ทำตามสัญญาภายในสิ้นเดือนมกราคม แล้วส่งหัวรถจักรให้เรา เราสามารถฟ้องในข้อหาฉ้อโกงได้เลย เพราะว่าเขาตั้งเจตนาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...