เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เอาเรื่องภายในวัดของเราก่อน ก็คือการอุปสมบทหมู่ช่วงเข้าพรรษา ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพ เปิดโอกาสให้ผู้บวช มีเวลาตัดสินใจว่าอยู่ไหวหรือไม่ไหวในช่วงเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน เพราะว่าต้องรอรับกฐินด้วย จึงให้บวชก่อนประมาณ ๗ วัน ใครคิดว่าอยู่ไม่ไหว ก็จะได้สึกหาลาเพศเสียก่อนที่จะเข้าพรรษา

    แต่ว่าปีนี้ผิดพลาดตรงที่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้กับทางด้านทิดกวาง (นายกำพร พิเชฐสกุล) ซึ่งเป็นผู้ที่คอยฝึกสอนให้ขานนาค ทำให้เข้าใจกันว่าจะไปบวชในวันอาสาฬหบูชา ซึ่งวัดท่าขนุนของเราไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย จึงทำให้การซักซ้อมขานนาคไม่ทัน

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ให้เลื่อนไปบวชในวันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลาบ่ายโมงตรง เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าวันที่ ๒๒ ช่วงเย็น กระผม/อาตมภาพมีงานพุทธาภิเษกที่วัดกลางบางแก้ว เกรงว่าจะกลับมาไม่ทัน เพราะว่าติดเคอร์ฟิว ถ้าจะให้ไปบวชวันที่ ๒๔ ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา ก็ค่อนข้างจะขลุกขลัก เพราะว่าวัดเรามีงานหลายอย่างด้วยกันอยู่แล้ว

    ส่วนวันนี้เรื่องงานที่ไปมาก็คือ การไปเป็นประธานวางศิลาฤกษ์ตึกสงฆ์อาพาธของโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ที่พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เป็นเจ้าภาพใหญ่ในการหาทุนเพื่อสร้างให้กับทางโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย

    ในเรื่องนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า พระของเรานั้น ในปัจจุบันเป็นเหมือนส่วนเกินของสังคม ไม่เหมือนอย่างกับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ช่วงนั้นพระเราได้รับความเคารพจากญาติโยมเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือ ไปเหนือล่องใต้ ผู้ใดพบเห็นก็ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญใหญ่ ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ฟรีทุกอย่าง

    แต่มาสมัยนี้มีคนจำนวนมากด้วยกัน โดยเฉพาะนักวิชาการที่เรียนสูง ๆ พากันเข้าใจว่าพระเราเป็นกาฝากสังคม เอาเปรียบชาวบ้าน ต่อให้ทำความดีแค่ไหนก็หลับหูหลับตา ทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้น..การที่จะได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากญาติโยมเหมือนก่อนก็เลยน้อยลง

    โดยเฉพาะยามเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ก็ต้องไปนอนปะปนอยู่กับชาวบ้าน ถ้าหากว่าไม่ใช่มีญาติโยมที่มีฐานะช่วยหาห้องพิเศษให้อยู่ต่างหาก หลายต่อหลายครั้งด้วยกันที่กระผม/อาตมภาพ เห็นแล้วเวทนาสงสาร แม้กระทั่งตนเองไปอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ได้แค่วันเดียว ก็ต้องขออนุญาตกลับ เพราะว่ามีเรื่องที่ทำให้พระเราต้องอาบัติศีลขาดหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ประการแรกก็คือ เท่าที่เห็นมาภายในหนึ่งวัน พระท่านที่ไปอยู่โรงพยาบาลสงฆ์ฉันอย่างน้อย ๕ มื้อ ซึ่งตรงนี้อาตมภาพรับไม่ได้ แล้วก็ยังมาเซ้าซี้ซักไซ้กวนใจอาตมภาพในตอนนั้น ซึ่งเพิ่งจะอายุ ๓๐ ว่าทำไมไม่ฉันอาหาร เป็นพระหนุ่มฉันมื้อเดียวจะอยู่ได้อย่างไร ?

    ประการที่สอง พระของเราห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน (ผู้ที่มีศีลน้อยกว่า) ที่เป็นชายเกิน ๓ คืน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น ซึ่งในสมัยพุทธกาลเราไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ในสมัยนี้เราจะเห็นว่าอนุปสัมบันจำนวนหนึ่ง จะเป็นชายก็ไม่ใช่ชาย จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่หญิง พระพุทธเจ้าท่านจึงกันไว้ให้ตั้งแต่ ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว

    ประการที่สามก็คือ พระภิกษุของเราห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบันที่เป็นหญิงแม้ชั่วขณะหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเอนหลังลงแตะพื้นก็โดนอาบัติ ศีลขาดไปแล้ว แต่ว่าที่เห็นก็คือ ญาติโยมที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ไปนอนเฝ้าหลวงปู่หลวงพ่อของตน แล้วก็ยังมีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายที่ทำให้เกิดความสลดใจ

    อย่างเช่นว่าหายป่วยแล้วแต่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาล ทะเลาะกับหมอทะเลาะกับพยาบาลอยู่ทุกวัน ต้องการจะอยู่ต่อเพราะว่ามีรายได้ดี..! เนื่องจากคนไปสงเคราะห์พระป่วยกันเป็นจำนวนมาก ต่างคนต่างแย่งเตียงที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด เพราะว่าญาติโยมที่เข้ามาก็จะเริ่มถวายจากตรงนั้นก่อน เป็นการประกันว่างานนี้ได้แน่..! ในเมื่อทนไม่ไหว อาตมภาพก็เลยต้องหมอบอกว่า "ขอกลับไปตายที่วัด..!" ทนดูพวกเดียวกันไม่ได้ นั่นเป็นประการหนึ่ง

    อีกประการหนึ่งก็คือ การที่พระของเราพอไม่ได้อยู่ต่างหาก ก็จะเป็นเหตุให้ต้องอาบัติศีลขาดได้มาก จึงต้องมีการสร้างตึกสงฆ์อาพาธเพื่อแยกพระออกมาอยู่ต่างหาก ถ้าหากว่าทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีความเข้าใจ จัดหาหมอหรือพยาบาลที่รู้จักดูแลภิกษุไข้มาได้ ก็จะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก แต่ถึงทำไม่ได้ ขอให้แยกออกมาต่างหาก เพื่อป้องกันอาบัติต่าง ๆ ไปได้หลายข้อก็ยังดี

    อย่างของอาตมภาพนั้น แม้ว่านอนเตียงอยู่ ดึงม่านปิดรอบเตียงแล้ว ก็มีโยมผู้หญิงที่เฝ้าหลวงปู่เตียงข้าง ๆ มาเปิดทุกครั้ง ทันทีที่ปิดม่าน เขาก็จะรูดเปิดทันที จนกระทั่งอดรนทนไม่ไหวถามว่ามายุ่งอะไรกับเตียงของอาตมาด้วย ? เขาบอกว่า "ขออาศัยพัดลมด้วย ของเตียงหลวงปู่เตียงเดียวเย็นไม่พอ" ทันทีที่รูดม่านปิด ก็แปลว่าเขาจะไม่ได้พัดลมจากทางด้านนี้ อาตมาถึงได้ "เซ็ง" ในอารมณ์ว่า "กูพยายามจะหนีอาบัติ แต่มันก็ทำให้กูต้องอาบัติทุกครั้ง..!" ก็เลยอยู่ไม่ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แล้วการที่เราสร้างตึกสงฆ์อาพาธขึ้นมา ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวเรา แต่ว่าเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์ในทิศทั้ง ๔ หมายความว่า ทั้งสังฆมณฑล ท่านใดเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามาบริเวณนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะใช้งานร่วมกันได้

    ถ้าหากว่าเป็นโรงพยาบาลทองผาภูมินี่ไม่มีปัญหา ต่อให้เขาบอกว่าเตียงเต็ม หาเตียงไม่ได้อย่างไร ถ้ากระผม/อาตมภาพยกหูโทรศัพท์โทรไป เตียงจะมีทันที เพราะว่าถ้าเตียงโรงพยาบาลไม่พอ ก็มายกเอาเตียงพยาบาลจากวัดท่าขนุนไปได้ แต่ว่าที่อื่นไม่ใช่อย่างนั้น

    ดังนั้น...ถ้าหากว่ามีกำลังพอ มีงบประมาณพอ จึงควรที่จะช่วยกันสร้างเพื่อให้มีทุกโรงพยาบาล อย่างน้อย ๆ พระภิกษุสามเณรของเราจะได้รับความสะดวกสบายในการดูแล และถ้าสามารถตั้งกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรได้อย่างวัดท่าขนุน ก็จะยิ่งเป็นการแบ่งเบาภาระของพระภิกษุสามเณรได้อีกมาก เพราะว่าท่านทั้งหลายเมื่อมาบวชแล้ว ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับทางครอบครัว เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมัยนี้เข้าโรงพยาบาลทีหนึ่งก็หลายพันหรือเป็นหมื่น ถ้าเข้าโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะโดนเป็นแสน..!

    ดังนั้น...ถ้ามีกองทุนขึ้นมาก็จะช่วยตรงนี้ได้มาก แต่อาตมภาพก็จำกัดเอาไว้ว่า "ห้ามเข้าโรงพยาบาลเอกชน" ยกเว้นอยู่ท่านเดียวก็คือมหาหนึ่ง (พระมหานันทวัฒน์ อคฺคธมฺโม) เพราะว่าเส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน มัวแต่ไปรอโรงพยาบาลรัฐ อาจจะมรณภาพเสียก่อน..! ก็เลยให้นำเข้าโรงพยาบาลเอกชนไป ขนาดนอนแค่พักเดียวเท่านั้น โดนไป ๗๘,๐๐๐ บาท..! ถ้าไม่มีกองทุนรักษาพยาบาลฯ ก็คงได้สิ้นลมกันไปข้างหนึ่ง

    เรื่องต่อมาก็คือระหว่างที่วางศิลาฤกษ์ ทางโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ยรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เข้ามาหลายราย รถพยาบาลวิ่งมาส่ง เจ้าหน้าที่ซึ่งสวมชุดป้องกันทางการแพทย์ (PPE) นำเข้าไปในสถานที่ซึ่งแยกออกมาเป็นพิเศษต่างหาก

    ขอให้พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนทั้งญาติโยมทั้งอยู่ที่นี่และอยู่ที่บ้านได้เข้าใจว่า เรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ นั้น ไม่ได้จากเราไปง่าย ๆ ยิ่งการบริหารจัดการแบบเปะปะ หาทิศทางไม่ได้ หวังประโยชน์มากกว่าที่จะหวังความสุขของประชาชน ก็ยิ่งทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายมากขึ้นไปอีก..!


    ดังนั้น..พวกเราต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะว่าพวกเรามีข้อบกพร่องอยู่ก็คือ พอนานไปก็มักจะประมาทแล้วก็หย่อนยาน อาตมภาพเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ ในช่วงจังหวะที่ข้าศึกหย่อนยานเมื่อไร จะโดนอาตมภาพตีค่ายแตกทุกครั้่ง ต่อให้เขาไม่หย่อนยาน อาตมภาพกับพวกพ้องก็จะก่อกวนทุกคืนจนกระทั่งหย่อนยานไปเอง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    ถ้าพวกเราสังเกต จะเห็นว่าช่วงเดือนแรกที่เขาประกาศเรื่องเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด พระวัดท่าขนุนไม่ป้องกันอะไรเลย บิณฑบาตกันตามสบาย แต่พอเดือนที่สอง อาตมาสั่งใส่หน้ากากอนามัยทุกรูปทันที เพราะว่านั่นจะเป็นช่วงที่คนอื่นเริ่มประมาทแล้ว เพราะว่าผ่านมาเป็นเดือน แล้วทุกคนก็เห็นว่าสิ่งที่อาตมภาพทำไปนั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าตอนนั้นอาจจะคิดไม่ถึง

    อีกประการหนึ่งก็คือ ทางวัดของเรา ในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันอาสาฬหบูชา ไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรารับบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย ๑ เข็มเข้ามาปฏิบัติธรรม เหตุที่ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน ก็เพราะว่าช่วงนี้ญาติโยมนั้นเคว้งคว้าง หาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ถ้าหากว่าเรายังไม่เปิดโอกาสให้มาวัดได้ ให้มาปฏิบัติธรรมได้ ก็จะโดนกิเลสพาไปกินเสียหมด..!


    ในวาระที่โยมต้องการที่พึ่งมากที่สุด พระต้องเป็นที่พึ่งของเขาได้ คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายจะเป็นที่พึ่งของเขาได้ ก็ต้องพยายามปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้เต็มที่ แต่ไม่ใช่ปฏิบัติโง่ ๆ แบบท่านปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) บอกว่าผมปฏิบัติมาทั้งวันไม่บรรลุ ผมหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ไอ้นั่นมันควายชัด ๆ..! ลองไปอ่านดูในพระไตรปิฏกสิ หลวงปู่หลวงตาบางรูปปฏิบัติตั้งแต่เริ่มบวชตอนอายุ ๒๐ ไปบรรลุตอน ๘๐ สั่งสมผลการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาถึง ๖๐ ปีเต็ม ๆ มึงทำวันเดียวจะบรรลุ เก่งเกินไปไหม..!?


    ตรงจุดนี้จึงเตือนว่า ให้พวกเราใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แต่การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสั่งสมความดี เราไม่ใช่สุดยอดบุคคลอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังธรรมแล้วบรรลุเลย เราเป็นได้แค่เนยยบุคคล ที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชปากเปียกปากแฉะกันอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะต้องบ่นตัวเองด่าตัวเอง เพื่อที่จะเอาดีให้ได้ ดังนั้น..จึงต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะความอดทน ถ้าอดทนไม่พอ เป็นพระเป็นเณรไม่ได้สักรายหนึ่ง เพราะว่าถึงเวลาก็มักจะสึกหาลาเพศไปก่อน


    ดังนั้น..รักที่จะปฏิบัติธรรมก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วย หัดดูเสียบ้างว่าครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละท่าน กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว เย็บจนเข็มหลง ไม่รู้ว่าจะเย็บตรงไหนก่อน ไม่ใช่ว่าถึงเวลามานั่ง "ชิล ๆ" ๑๐ นาทีแล้วกูก็ต้องบรรลุ..! แบบนั้นต้องสร้างบารมีมาอย่างน้อยก็ ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป ไม่ใช่ทำแค่ไม่กี่วันอย่างพวกเรา


    ถ้าใครยังเข้าใจผิดตรงนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชีฆราวาส จะอยู่ในวัดหรืออยู่ทางบ้านก็ตาม โปรดเข้าใจเสียใหม่

    ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า "หนทางแห่งเกียรติศักดิ์ จักโรยด้วยดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ฤๅมี" ไม่มีอะไรง่ายครับ ยากทั้งนั้น ถ้าไม่ยาก ก็วัดไม่ได้ว่าบารมีของเราเพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลหรือเปล่า รบกวนเวลาทุกท่านมามากพอแล้ว ก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...