เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ อากาศเปลี่ยนแรงมาก สงสารคนน้ำท่วมที่อยู่ ๆ ก็จะเจอหนาว เหตุที่รู้ตัวเพราะว่า วันนี้กระผม/อาตมภาพเจ็บตั้งแต่หัวถึงเท้า..! ใครที่เคยเป็นมาลาเรียอยู่จะรู้ เพราะว่าถ้าอากาศเปลี่ยนเมื่อไร อาการจะกำเริบทันที

    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่ารู้จักสังเกต ก็จะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ในช่วงรอยต่อของอากาศ อย่างเช่นว่าปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ หรือว่าปลายหนาวต้นร้อน ปลายร้อนต้นฝน ถ้าหากว่าในบ้านมีคนแก่หรือคนป่วย ต้องดูแลให้ดี เผลอเมื่อไรจะทนสภาพอากาศไม่ได้ แล้วก็เสียชีวิตเอาง่าย ๆ

    เรื่องพวกนี้โบราณเขาช่างสังเกตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือว่าภัยพิบัติหลายอย่าง สังเกตจากสัตว์เป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่ามดขนไข่ขึ้นที่สูง แปลว่าฝนจะตกหนัก ทางวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่า เมื่อถึงเวลาฝนจะตกหนัก ความกดอากาศต่ำ ทำให้ความชื้นระบายออกได้ยาก ซึ่งพวกเราก็จะรู้สึกว่าร้อน คราวนี้ความชื้นในรังมดระบายออกไม่ได้ ทำให้อบอ้าวมาก มดก็รู้ว่าฝนจะตกหนัก จึงต้องขนไข่ขึ้นที่สูง เพื่อที่จะได้รอดพ้น ไม่โดนน้ำท่วม

    คราวนี้ในเรื่องอื่น ๆ อย่างสมัยโบราณ มีการเดินเรือทะเลกันมาก ถ้าหากว่าอยู่ ๆ เรือลำไหน หนูหรือแมลงสาบวิ่งพลุกพล่านหนีขึ้นฝั่งกันหมด ให้ถือเป็นข้อสังเกตว่าอย่าไปกับเรือลำนั้น เรือลำนั้นจะเกิดอุบัติเหตุจมลงอย่างแน่นอน แล้วทำไมหนูกับแมลงสาบถึงรู้ก่อน ? เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็คือเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม ที่ภาษาบาลีเรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ เขาจำเป็นที่จะต้องรู้แบบนี้เพื่อที่จะต้องเอาตัวรอด เพื่อที่จะทำให้สามารถที่จะดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้

    อย่างเช่นว่า บรรดา ปลา หมา หรือว่า แมว เมื่อจะเกิดแผ่นดินไหว จะรู้ตัวล่วงหน้า แม้จะบอกได้ไม่นานก็ตาม มาระยะหลังบางทีท่านก็จะเห็นว่า มีคลิปที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด อยู่ ๆ หมาที่อยู่ในตึกก็เผ่นพรวดพราดออกไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ตึกหลังนั้นก็ถล่มลงมา ซึ่งถ้าหากว่าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็คือ หมามี หู ตา จมูก ดีกว่าคนหลายเท่า อาจจะได้ยินเสียงลั่นของโครงสร้างภายในที่หูคนไม่ได้ยิน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    แต่ในส่วนของเรื่องอื่น ๆ นั้น ความช่างสังเกตของโบราณก็สามารถที่จะทำให้พยากรณ์ฟ้าฝน หรือว่าดินฟ้าอากาศของปีนั้น ๆ ได้ อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่านกกระจาบทำรังต่ำ ๆ ซึ่งตัวกระผม/อาตมภาพเคยเจอมา ก็คือรังสูงเลยหัวไปนิดเดียว ปกติแล้วนกกระจาบจะทำรังสูงมาก แล้วก็ทำที่ปลาย ๆ กิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากศัตรูต่าง ๆ ถ้าปีไหนนกกระจาบทำรังต่ำกว่าปกติ ให้รู้ว่าปีนั้นฝนฟ้าจะแรงมาก โดยเฉพาะลมกรรโชกแรง

    หรือถ้าหากว่าปูเจาะรูที่ริมตลิ่งสูงเท่าไร ให้รู้ว่าน้ำจะขึ้นสูงเท่านั้น เพราะว่ารูปูจะปริ่มน้ำเสมอ หรือถ้าหากว่าสังเกตต้นไม้ ปีไหนหน่อไม้ไผ่ขึ้นสูงกว่ากอแม่ ปีนั้นน้ำจะมาก ถ้าเราสังเกตว่าหน่อไม้ขึ้นพรวดพราด สูงขึ้นไปแล้วยังไม่แตกใบแตกกิ่ง แล้วสูงกว่ากอเดิม ปีนั้นน้ำจะมาก

    หรือที่โบราณเขาเห็นนกนางแอ่นบินลงมาหากินแมลงต่ำ ๆ หรือว่าแมลงปอบินเวียนต่ำเกือบจะติดพื้น พยากรณ์ได้ว่าวันนั้นฝนตกแน่นอน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าความกดอากาศต่ำ ทำให้แมลงบินต่ำลง บรรดานกหรือว่าแมลงปอที่อาศัยแมลงเป็นอาหาร ก็จะต้องบินต่ำตามลงมา เพื่อที่จะหาอาหารกิน

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมด แต่ว่าคนที่ช่างสังเกต ก็จะรับรู้ได้และสามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้ในประมาณหนึ่ง อย่างปีนี้ทางทองผาภูมิของเราฝนตกมาก ถ้าเป็นโบราณบอกว่าปีไหนฝนมาก ปีนั้นหนาวจัด แต่ว่าปีนี้ของเรา อากาศบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นทองผาภูมิหรือส่วนอื่น ๆ ก็ตาม เพราะว่าอากาศหนาวจะมาแบบปุบปับ แล้วก็ไปเอาดื้อ ๆ หลังจากนั้นก็มาใหม่ ไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะฉะนั้น...บรรดาคนแก่คนป่วย ต้องระมัดระวังและดูแลกันให้ดี

    เราไม่มีกัมมวิปากชาฤทธิ์เหมือนกับบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ก็คืออาศัยการดูฟ้าดูดินของบุคคลที่มีประสบการณ์ ก็สามารถที่จะทำนายสภาพอากาศของปีนั้น ๆ ได้เหมือนกัน

    แต่ถ้าท่านทั้งหลายเจริญกรรมฐานไปถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตสงบระงับ บางทีถ้าวิสัยเดิมมีมาทางด้านของอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ พอจิตสงบได้ที่ ความนิ่งเกิดขึ้น สิ่งต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในจิตของตนเองได้ ถ้าหากว่าไม่หลงไปยึดเกาะเอาสิ่งที่หาความเจริญไม่ได้ ดีไม่ดีก็เป็นสิ่งที่ขวางทางปฏิบัติของเราด้วย เป็นผู้ที่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ก็อาจจะสามารถบอกกล่าวเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปของโลกล่วงหน้าได้นาน ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    ปกติสภาพจิตของคนจะกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา เพราะความฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติในสมาธิภาวนา สภาพจิตเริ่มสงบนิ่ง ก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำนิ่งสามารถที่จะสะท้อนเงาสิ่งต่าง ๆ รอบด้านลงไปได้ชัดเจนเหมือนจริง

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อรู้แล้วส่วนใหญ่ก็พาเสีย อย่างเช่นว่า หลายท่านก็ไปบอกใบ้ให้หวย แรก ๆ ก็แค่อยากจะทดลองว่าสิ่งที่รู้เห็นนั้นเป็นจริงหรือเปล่า แต่พอชื่อเสียงเกียรติยศไหลมาเทมา ก็กลายเป็นสภาพจิตไม่นิ่ง แทนที่ปฏิบัติธรรมเพื่อการสงบระงับจากกิเลส ก็กลายเป็นปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะดูหวย ในเมื่อสภาพจิตไม่นิ่งเหมือนเดิม การรู้เห็นก็ไม่เป็นไปเหมือนเดิม หลายท่านก็ต้องใช้วิธี "มั่วเอา" แล้วท้ายที่สุดก็เสียผู้เสียคนไปเลย


    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้น นอกจากถ้าไม่ระมัดระวังจะพาเราเสียหายแล้ว บางท่านที่ยึดติด ก็ยังทำให้ตนเองไปไหนไม่ได้เลย คำว่า "ไปไหนไม่ได้" ก็คือการปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเลย โดนหลอกให้หลงทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย จนไม่มีเวลาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของตนเอง ต้องบอกว่าเป็นที่น่าสงสารมาก

    เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติ เมื่อเกิดนิมิตต่าง ๆ ขึ้นมา อย่าได้ไปใส่ใจ แต่เป็นเรื่องแปลกมากว่า เรายิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เพราะว่าถ้าเราสนใจเมื่อไร สภาพจิตของเราก็เริ่มฟุ้งซ่าน ความชัดเจนก็จะลดน้อยลงหรือว่าหายไปเลย


    เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่สนใจ เคยภาวนาอย่างไร ก็ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเราไปอย่างนั้น หรือถ้าหากว่าพิจารณาธรรมอยู่ก็พิจารณาต่อไปว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป แม้กระทั่งการรู้เห็นนี้ก็เช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะโดนหลอก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,373
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย แล้วก็จะโดนเขากระทืบตาย เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่..! สิ่งที่เราเห็น เราเห็นจริง ๆ ว่าเขากำลังไล่ฆ่าไล่ฟันกัน แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่จริง เพราะว่าเขากำลังแสดงหนัง ถ่ายหนังกันอยู่

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เรามีโอกาสที่จะโดนหลอกได้ในลักษณะแบบนี้สูงมาก แรก ๆ ก็บอกเรื่องจริงกับเรามาก ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วท้ายที่สุดก็สอดแทรกเรื่องไม่จริงเข้ามาทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งเราหลงเตลิดเปิดเปิง แล้วพอคนอื่นบอกกล่าวความเป็นจริงให้ทราบ เราก็ไม่เชื่อ เหตุที่ไม่เชื่อ เพราะไปยึดมั่นถือมั่นว่า "กูเห็น กูจึงเชื่อ"

    ดังนั้น...การที่มีทิพจักขุญาณ หรือว่าการรู้เห็นต่าง ๆ จะว่าไปแล้ว เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าเราไปยึดมั่นถือมั่น ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ จึงเป็นเรื่องที่บรรดานักปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
    สำหรับวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...