เลิกยึดมั่นถือมั่นจิต เร็วที่สุด

จนกว่าจะมั่นใจจิตแนบสนิทกะนิพพาน
พระพุทธเจ้ายังใช้เวลาเสวยวิมุตติสุขเพื่อสำรวจตัวเองเลย

 

จนกว่าจะมั่นใจจิตแนบสนิทกะนิพพาน
พระพุทธเจ้ายังใช้เวลาเสวยวิมุตติสุขเพื่อสำรวจตัวเองเลย

 

" จนกว่าจะมั่นใจจิตแนบสนิทกะนิพพาน
พระพุทธเจ้ายังใช้เวลาเสวยวิมุตติสุขเพื่อสำรวจตัวเองเลย "

ดูออกเป่า ฮับ จขกท

อันนี้ เอา สันติ ยี พระเศียร เลยนะ

บรรลุแล้ว ยัง ลังเล ไม่ไปไหน

ต้อง นั่ง ngo ที่เดิม อีกระยะนึง....

อย่างงั่น อย่างงี้

ปล. เน้นแต่ จขกท ...ส่วน ตัวเฮีย
นั้น มันจะมี อาการเที่ยง1000%
ที่จะ บริภาษธรรม ทุกคำพูด โดย
ที่ พูดให้ตายเขาก้ดูไม่ออก

ยิ่งมี การร้อยรัด แรงกล้า ขึ้นเรื่อยๆ

 

พระศาสดา จึง ตรัส ธรรม ปฏิปทา

เพื่อ ความสุข แก่ นิยตมิจฉาฯ ว่า

น่ากลัวมาก 1

เว้นขาดการเสวนา 1

เว้นขาดแม้น นั่งใกล้ 1
(ถึงจะไม่ได้เสวนาด้วย อย่า
เข้าใจว่า ขันธ์จะไม่ กระทบ
กระเพื่อม ..ทั้งนี้เพราะ...
จิตมะใช่เรา ของเรา ฯลฯ..)

 

ธรรมบรรณการ...

กัลยาณธรรม คือ มรรค
มีองค์ ....เปนปัจจัย...

หาก

กัลยาณธรรมยังเปน ตัว ตน
บุคคล เรา เขา นักภาวนามีชื่อ.....
( จิตเคลื่อน รู้ไม่ถึงฐาน มีการ
สะบัดกลับหลัง เกิดขึ้น ด้วนเหตุ.... )

 

ไหนๆ ก้ ไหน อะฮับ

ตาม ธรรมเนียม

ขออนุญาติ ลาก นิดนุง เผื่อๆว่า
ปฏิสัมภิทา....

"ธรรมมีความปราณีต" เหน
ปรารภบ่อย

ถ้า สนใจจะ เสียเวลา แวะ
ฝาก กำหนดรู้ เปน สภาวะ
ธรรม อย่างหนึ่ง เกิด ดับ

ด้วย อะ ฮับ

ถ้า จะรีบจบ ก้ เหนดับ
อย่างเดียว มะว่ากัน

 

ผู้ที่บารมีเต็ม และได้อธิษฐานมาแล้ว
เป็นระยะเวลา 4 อสงไขย
1แสนมหากัป เพื่อบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นจอมศาสดาโลก
เมื่อถึงวาระอุบัติก็ต้อง
อุบัติแน่นอน
ขั้นตอนสุดท้าย ทรงทวนญาณ
12 รอบไม่ใช่เจอปัญหา หรืองง
กับตัวเอง
ตามที่จขคห.กล่าวไว้ด้วยตัวเองรู้
สึกหดหู่ท้อแท้ที่หาเมียยังไม่ได้
ใจอธิษฐานแต่หาเมีย
จึงมองสิ่งอื่นมีค่า สู้การมีเมียไม่ได้
ก็ขอให้เจริญเมีย555

 

ธรรมบรรณการ :

มุขนัยเด็ด จาก พระราชรี

พระราชรี ท่านนึง ท่านชอบกล่าว
ดังฟังชัด ถึง วิมุตติสุข

จุดที่ท่านใช้สังเกต จะเปนคำบาลี
กุปธรรม กับ อกุปธรรม

ก้จะเปน เรื่อง การสะบัดกลับหลัง

หรือ การที่ ปุถุชนทิ่มแทงนักภาวนา
ให้ รู้สึกแปลกแยก ถ่วงความเจริญ
แล้ว กลับไปเสพ คุณค่าบรรดามี
ของสีล ทาน วัตร ในโลก ด้วย
ความไม่ประมาท

ถ้า จิตไม่ตั้งมั่น ก้ จะไหลกลับไป
ตามโลกเขา เรียก กุปธรรม อันมี
ผัสสะ นิทาน นามรูป เวทนา วิญญาน
เปนเหตุ

ส่วน อกุปธรรม ก้จะเปนอะไรที่
ไม่ต้อง บรรยาย เน้น เม้มปาก
นั่งลง รู้ชัดๆ

มุขนัยแบบนี้ จะ อนุเคราะห์ให้
ตรงต่อ การงาน สันติธรรม

 

ปัญญามี อินทรีย์กล้า
จึงจะพอเข้าใจ และสามารถ
จะแสดงความเห็นด้วย
สัมมาทิษฐิ
คับ

 

จะพิจารณาจิตได้ จะต้องมีภูมิธรรม ระดับพระอนาคามี
จึงจะสามารถพินิจพิจารณา ถึง เหตุ และ ผล ของจิตได้
เพราะฉนั้น ใครที่ฟังแล้วงง แสดงว่า ภูมิธรรมอ่อน
จะต้องไปฝึกที่ เรื่องกาย หรือ เรื่องเวทนา ก่อน
จึงจะกลับมาพิจารณาเรื่องจิต ในภายหลัง
ไม่อย่างนั้น จะงงเต๊ก คือ งงเป็นไก่ตาแตกนั่นเอง

จึงไม่ควรไปยุ่งกับเค้า
เค้ากำลังรอ ผู้ที่มีบุญวาสนาเท่ากัน มาโต้ตอบอยู่
ส่วนใครภูมิธรรมอ่อน ให้รอดูอยู่ข้างๆ
เพราะฟังยังไง ก็ไม่อาจจะเข้าใจได้อยู่ดี
วาสนายังไม่ถึง ให้ไปเน้น ดูกาย หรือ ดูเวทนา จะดีกว่า

 

ภาษาของท่าน จะต้องกรองอีกหน่อย
หากสอนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเป็นนิสัย
จะแก้ไม่หาย ในทางธรรม จะเรียกว่า
การสอนที่ไม่ชัดเจน ถูกหลักภาษาไทย
บางครั้งจะทำให้ผู้อ่าน อ่านผิดๆถูกๆ
จนเกิดการแปลความที่กำกวม
ในทางโลกวิญญาน ถือว่ามีความผิดมาก
ถึงขนาดลงนรกเลยทีเดียว

พระที่สอนตามพระไตรปิฏก จะเป็นกันเยอะ
แปลความผิดๆ ใส่ความคิดตัวเองเข้าไป
คิดว่า ตัวเราเอง คือ พระไตรปิฏกเคลื่อนที่
หากท่านจะยกคำบาลีมา
ท่านก็จะต้อง ใส่วงเล็บ และ คำอธิบายไว้ด้วย
ป้องกันความสับสน และ การปรามาส พระบาลี
เพราะคำบาลีก็คือ คาถา หรือ ของสูง ในโลกวิญญาน นั่นเอง

 

ใช่คับ มันยากต่อการเข้าใจแต่
ก็ไม่ได้กีดกันความเห็นของ
ผู้ยังมี ปัญญาและอินทรีพละยังอ่อนอยู่
หากมีความเห็น
ที่บริสุทธิ์ใจก็แชร์กันได้ครับ
โดยไม่คิดว่าจะมีผลกระทบต่อ จขกท.
เพราะไม่ให้ราคากับจิตแล้วขณะที่จิตเกิด
กระทบจากทางตา อันเนื่องมาจากการอ่าน
ความเห็นต่างๆ

 

เค้าเป็นนิสสัยไปเรียบร้อยแล้ว แก้ไม่ได้
แน่นอน
คนอ่านคัดกรอง เรียบเรียงตัดต่อเอาเอง
และหากไม่มีพื้นฐานมาเลย
จะไม่มีทางเข้าใจอะไรเพิ่มจึ้นมาเลย
แต่จะมีประโยชน์อยู่พอสมควร
หากมีพื้นฐานดีพอสมควรคับ

 

แต่ดูแล้ว ผู้ที่มีภูมิธรรมอ่อนกว่า
จะเน้นกระทบกระเทียบ ให้เกิดกรรมเสียมากกว่า
ผู้ที่ไม่รู้อาจจะติดกรรม ที่ดูถูกคนอื่นไว้
ถ้าจะให้ดี เราไม่ควรทำจิต คิดปรามาสคนอื่น
เพราะทุกคน มีสิทธิ์บรรลุธรรมได้ทุกคน
หากไม่เผลอไปปรามาสบุคคลอื่นเอาไว้

 

จริงคับ ผู้ที่ได้อัตภาพเป็นคนทุกคนมีสิทธิ์
บรรลุธรรมได้
หากได้ใส่ใจและขวนขวาย
ศึกษาด้วยความศรัทธา
และตั้งใจปรารถนา
ล่วงทุกข์จริงๆ

 

นิพพานแล้วจะเอาอะไร ไปแนบกับอะไร
อีกเพราะมันไม่อะไรเหลือให้มีอาการ
ทำอะไรอีกแล้ว
มันมีเหลือแค่ใจที่ "ว่างกับรู้"
ที่ไม่มีตัวมีตนให้ต้องมาทำอะไร

 

เมือวานโดดแดดเผามานิดหน่อยครับ
ตัวเลยร้อน55

 

ผมเคยเห็น อาการจิตไม่เอารูป ไม่ปรุงแต่งรูปคือลดการปรุงแต่งรูปลงด้วยตัวจิตเอง
จากเคยปรุงแต่ง100%ลดเหลือ50%ละกัน
ทีนี่พอลดเหลือ50% กำลังจิตที่เหลืออีก50%ไปไหน...มันก็ไปเกาะอยู่กับกายสังขารเป็นอัตโนมัติ50% การปฎิบัติกายคตาสติปัฎฐาน จึงเป็นเรื่องง่ายไป50%
จากเรื่องจิตลดการปรุงแต่งรูป ก็เลยพอจะจินตนาการเอาได้ว่า จิต..ไม่เอาจิต หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นยังไง
ก็ที่พระท่านเรียก..มีแต่ไม่เอานั้นแหละ
แต่จะทำยังไงให้มันไม่เอา อันนี้ยังจน
ปัญญา
อยากรู้จังว่าเมื่อจิต ไม่เอา ขันธ์5ทั้งหมด กำลังจิตที่เหลือ มันจะไปเกาะอยู่ตรงไหนหนอ...สติจะบันเจิดขนาดไหนหนอ...
ใครๆก็ก็อยากให้ได้ผลเร็วๆ แต่มันไม่ได้...
ถ้ามีความเห็นถูกทำเหตุได้ถูก ยังไงก็ต้องได้
แต่ถ้ามีความเห็นผิด ทำเหตุผิด เพียรให้ตาย5ชาติไหนๆก็ไม่ได้

 

มีใจว่างๆมาแจกจ่าย..

มีใจไม่เกาะเกี่ยวสิ่งใดมาแจกจ่าย..

 

แปะ แปะ แปะ..

 

แปะ แปะ แปะ..