เรื่องกิเลสธาตุ หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีดครับ, 22 ตุลาคม 2020.

  1. ไม้ขีดครับ

    ไม้ขีดครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +17
    FB_IMG_1603376738918.jpg

    เรื่องกิเลสธาตุ

    ทำยังไงให้จิตเราพ้นจากอารมณ์ ถ้าพ้นจากอารมณ์ก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้เราใช้อันนี้เป็นเครื่องวัดในการปฏิบัติ ถ้าวัดแล้วไม่พ้นจากอารมณ์ต้องหาแนวทางใหม่ในการปฏิบัติ จิตเรากับอารมณ์มันเป็นคนละอย่าง มันชอบที่จะมาผูกมัดกัน จะมีทางยังไงไม่ให้มันผูกมัดกัน ต้องหาทางแยกมันออกจากกันให้ได้ การฝึกสมาธิสามารถแยกกายกับใจได้ แต่มันแยกเฉพาะตอนเข้าสมาธิเท่านั้น พอออกแล้วจิตกับอารมณ์ก็กลับมาผูกกันอีกเพราะเค้าเคยชิน ปัญหาคือเราไม่สามารถปิดอารมณ์ได้ เวลาออกสมาธิใหม่ๆ จิตเราจะข่มอารมณ์ได้ส่วนหนึ่ง แต่มันก็มีอีกส่วนที่ยังคิดไปข้างนอก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิอย่างเดียวเรายังไม่สามารถขาดจากอารมณ์ได้ บางทีการวางใจให้เป็น
    กลางหรือทำให้ใจเป็นอุเบกขา นึกเสียว่าเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน วางใจกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์แท้จริงมันเป็นแค่อุเบกขาภายนอกยังไม่ใช่อุเบกขาภายในที่แท้จริง และเราไม่สามารถเข้าสมาธิได้ทั้งวันทั้งคืนจึงไม่สามารถข่มอารมณ์ได้ตลอด จิตจึงยังไม่ขาดจากอารมณ์ได้ตลอด การเกิดของจิตเราพบได้ทุกวัน แต่เรายังไม่เห็นหนทางดับของอารมณ์ เราจะใช้ปัญญาไปดูการเกิดก่อนการดับ

    การเกิดของอารมณ์เกิดจากปัจจัย3อย่างคือ

    1.จิตเรา
    2.อายะตนะ
    3.อารมณ์

    ถ้ามีปัจจัย3อย่างนี้จะเกิดอารมณ์ขึ้นทันที เวลาเข้าสมาธิเหตุปัจจัย3อย่างนี้จะไม่เกิด เบื้องหลังปัจจัย3อย่างนี้ยังมีอีก อะไรที่ผลักไสทำให้จิตวิ่งไปทางอายตนะทั้ง6 นั่นคือตัณหาเป็นตัวผลักไสให้จิตวิ่งไป ตัณหาคือความอยากนั่นเอง ถ้าแรงผลักไม่มีจิตก็จะไม่เคลื่อนไปทตามหูตาฯ แรงผลักก็ยังมีเบื้องหลังต่อไปอีก นั่นคือสัญญา สัญญาคือความจดจำ สัญญานี้มีมากมีมาตั้งแต่เกิดเราจดจำไว้หมดเกิดการสั่งสมอารมณ์ตั้งแต่เกิดซึ่งเป็นของเก่าและมีของใหม่เข้ามาด้วย สัญญาจึงเป็นตัวทำให้เกิดตัณหา เกิดอารมณ์ สังขารก็ปรุงแต่งเข้าไปอีกกลายเป็นของใหม่ เบื้องหลังของสัญญาก็ยังมีอีกคือธาตุที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดสัญญา คือกิเลสธาตุ(ราคะโทสะโมหะซึ่งมาจากชาติที่แล้ว) กามธาตุกลายเป็นกามสัญญา พยาบาทธาตุคือความโกรธทั้งปวง วิหิงสาธาตุคือความคิดการเบียดเบียนกัน

    เพราะฉะนั้นกิเลสธาตุเป็นต้นเหง้าของปัญหาทั้งหมด กิเลสธาตุก่อให้เกิดเป็นสัญญา แล้วเกิดตัณหาวิ่งไป ทำให้เกิดอารมณ์ เราต้องกำจัดธาตุนี้ออกก่อนไม่งั้นเราจะจบงานนี้ไม่ได้ การวิ่งของจิตหรือความคิดประจำวันนั้นเป็นอาหารของกิเลส ยิ่งคิดเท่าไรกิเลสยิ่งเพิ่มเท่านั้น การออกของความคิดคือการเข้าของกิเลสทาส ความคิดจึงเป็นอาหารมัน สะสมไปทุกวันธาตุตัวนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆข้ามภพข้ามชาติได้ ทำยังไงให้มันสลายตัว ทำยังไงผ้าที่เปื้อนกิเลสผืนนี้จะกลับมาขาวอีกครั้ง กามธาตุเกิดจากสุภะธาตุทำให้เกิดราคะ พยาบาทธาตุเกิดจากปฏิฆะธาตุทำให้เกิดโทสะ วิหิงสาธาตุมาจากอโยนิโสมะนะสิการทำให้เกิดโมหะ สุภะธาตุเกิดจากการคิดถึงเพศตรงข้ามจะต้องแก้ด้วยเนกขัมมะธาตุหรืออสุภะ และอะพยาบาทธาตุ อะวิหิงสาธาตุ ตามลำดับ

    การคิดถึงคนอื่นมาจากภาพในใจเราซึ่งก่อให้เกิดกิเลสธาตุ เราจะต้องใช้การอบรมมรรคเข้าไปแก้ ให้คิดถึงอสุภะในกายตนเพียงอย่างเดียว ใช้ภาพอสุภะเราไปลบภาพของคนอื่น คิดแต่ภาพเราทั้งวันทั้งคืน กิเลสธาตุถึงจะถูกกำจัดออก และต้องรักษาภาพอสุภะเราเอาไว้ด้วย การที่จะทำให้เห็นภาพอสุภะของตนเองจะต้องใช้สัญญาเข้ามาช่วย เช่นไปดูคนแก่ เจ็บ ตาย เน่าพองอืด ให้น้อมตัวเองเป็นคนตายขึ้นอืดพอง ให้ขยันนึกอยู่ตลอดเวลาพาจิตคิดอยู่เสมอไม่งั้นสัญญาข้างนอกจะเข้ามาเบียดทันที และจะมีอนิจจะสัญญาเป็นที่สุดคือการนึกถึงความไม่เที่ยงของกายเรา เมื่อพิจารณานานเข้าๆจะเรารู้สึกว่ามีการเบาลงของกิเลส พิจารณาไปเรื่อยๆให้มากขึ้นๆจนถึงจุดๆหนึ่งคือพระโสดาบัน พระอนาคามี แล้วจะระลึกถึงความตายโดยอัตโนมัติ ปฏิบัติให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่นานอสุภธาตุ อะพยาบาทธาตุ อะวิหิงสาธาตุ จะเข้าไปแทนกิเลสธาตุ สามารถเข้าสู่นิพพานธาตุได้ เมื่อไม่มีกิเลสแล้วจิตก็จะไม่ไปตามอายะตนะทั้ง6 การปฏิบัติแบบนี้จึงถือว่าเป็นการสำรอกกิเลสในกายเรา เรียกว่าการปฏิบัติมรรค

    เมื่อเราเอาจิตมาท่องเที่ยวในตัวเรามากขึ้นๆจนเห็นแจ้งในตัวเรา จะรู้ว่าตัวเราเป็นของว่างเปล่า ไม่มีตัวตน เราไม่มีในร่างนี้ ร่างนี้ไม่มีในเรา เกิดญาณทัศนะขึ้น จากเห็นร่างอสุภะเกิดเห็นร่างสดๆขึ้นชัดเจนทั้งร่าง อริยสัจ4จะเริ่มเปิด รู้เหตุผล เริ่มที่จะเป็นโสดาบัน เห็นสัญญาเป็นของว่างเปล่า เวทนา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของเรา มีจิตชนิดใส และจิตบริสุทธิ์ตามมา

    หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...