เรือตาแร่ม

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 24 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "สาวยี่สาร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเรือขุดไม้ตะเคียน

    ดิฉันเป็นเด็กแม่กลอง หรือจะบอกให้ละเอียดกว่านั้นก็คือเป็นคน ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่เรียกกันตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงทุกวันนี้ "แม่กลอง"

    อย่างที่รู้ๆ กันนะคะว่าแม่กลองนอกจากจะมีอาชีพจับกุ้งจับปลาขายมากที่สุดแล้ว ยังเป็นเมืองต้นมะพร้าว เมืองทำน้ำตาลไม่แพ้จังหวัดเพชรบุรีหรอกค่ะ ขนาดมีประเพณีแข่งเรือ กับแข่งกะทะ (เคี่ยวน้ำตาล) ก็แล้วกัน พอจะถึงภาพออกนะคะว่าทำน้ำตาลกันมากขนานไหน?

    นอกจากน้ำตาลยังมีการขายส่งสินค้าอื่นๆ เช่น ปูน, พลูนาบ, ใบมะกรูดแห้ง และตะไคร้ซอยไปยังโรงงานส่งออกอีกด้วย ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มจากการทำสวนและทำน้ำตาล...คนยี่สารขยันทำกินเสียอย่าง ไม่มีอดอยากหรอกค่ะ

    สมัยเด็กๆ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ตำบลยี่สารมีพื้นที่เป็นป่าชายเลนมากที่สุดในอัมพวา ชาวบ้านส่วนใหญ่จะมีอาชีพตัดไม้แถวนั้นไปขายให้โรงงานทำน้ำตาล เช่น ไม้ขวาก ไม้ตะบูน เป็นต้น ก่อนที่จะเริ่มปลูกไม้โกงกางมากขึ้น

    ตอนแรกๆ ก็ตัดไปขายให้พวกชาวประมงนำไปเป็นเสาผูกเรือบ้าง ผูกโป๊ะเรือบ้าง จนกระทั่งค้นพบคุณภาพวิเศษของไม้ชนิดนี้ในเวลาต่อมา

    นั่นคือ นำไปเผาถ่านจะได้ถ่านดีที่สุดค่ะ! มีการหาพันธุ์ไม้โกงกางมาปลูกกันยกใหญ่ เพราะกลายเป็นอาชีพขึ้นหน้าขึ้นมา มีเตาเผาถ่านทั้งเล็กและใหญ่เกือบทุกบ้าน พอไปตัดไม้โกงกางมาก็จะเพาะพันธุ์กล้าไม้ไว้ สำหรับนำไปปลูกทดแทน

    "ยิ่งเผาถ่าน ป่ายิ่งเพิ่ม"

    คำพูดนี้เป็นความจริงค่ะ เพราะเราตัดไม้มาแล้วก็ปลูกขึ้นใหม่ ชาวยี่สารเห็นคุณค่าของไม้โกงกาง ขนาดมีการลงแขกกันปลูกกล้าไม้ กับช่วยกันขนถ่านไปส่งโรงงาน นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ ที่พวกเราล้วนแต่ช่วยเหลือกันคนละไม้ละมือมาตลอด

    เช่น การทำบุญ ชาวยี่สารก็จะทิ้งบ้านไปทำบุญกันหมดทุกคน ไม่ต้องมีการเฝ้าบ้าน และไม่เคยปรากฏว่ามีของหายหรอกค่ะ

    เวลามีคนตาย ญาติๆ ไม่จำเป็นต้องออกปากเชิญใคร แต่เพื่อนบ้านจะบอกข่าวกันเอง ปากต่อปาก ไม่ช้าชาวบ้านก็แห่แหนมาเยี่ยมศพในวันแรกๆ โดยถือเป็นประเพณีมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวดแล้ว

    อ้อ! การไปงานศพน่ะไม่ได้ไปตัวเปล่านะคะ ทุกคนจะหอบหิ้วข้าวสาร น้ำตาล พริก หอมกระเทียมไปช่วยเจ้าภาพอีกด้วย

    ตอนเด็กๆ นั้น ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ซุกซนพอกัน เช่น ชอบว่ายน้ำไปเกาะเรือโยงสินค้า เล่นไต่เชือกที่ผูกโยงระหว่างเรือลำต่างๆ บางทีก็พกหนังสติ๊กเข้าสวนคอยยิงกระรอก เข้าสวนนั้น-ออกสวนนี้ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้ามหวงเลย

    สาเหตุก็คือ กระรอกมันชอบแทะกินลูกมะพร้าวอ่อนๆ ให้เสียหาย ใครยิงกระรอกได้ 1 ตัว ก็จะได้รับมะพร้าวเป็นรางวัล 10 ลูกเชียวค่ะ

    นึกถึงบรรยากาศของเรือกสวนที่ร่มรื่น ปกคลุมด้วยเงาไม้เงียบสงบในครั้งนั้นก็อดใจหายไม่ได้ นึกถึงแม่น้ำลำคลองใสสะอาด กุ้งปลาชุกชุม ตามท่าเทียบเรือน่ะเขาจับกุ้งตัวใหญ่ๆ ด้วยมือเปล่าได้อย่างสบายมาก

    พูดถึงลำคลองทำให้นึกถึงตาแร่มขึ้นมา!

    ชายชราอายุห้าสิบเศษ ร่างเล็กแต่กำยำ ผิวคล้ำ ผมขาว นัยน์ตาดุ ชอบร่ำสุราเป็นประจำ เล่ากันว่าน้ำตาลเมากับปลาสลิดย่างเป็นของโปรดที่สุด ลูกเต้าเติบโตก็ไปอยู่กรุงเทพฯ หมด ตาแร่มอยู่กับยายเหลือสองคน ช่วยกันทำมาหากินทางตัดไม้โกงกางมาเผาถ่านขายตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวมาแล้ว

    สองผัวเมียมีเรือขุดแบบโบราณทำจากไม้ตะเคียน สำหรับใช้ขนไม้โกงกางที่ตัดมาเต็มลำ เที่ยวละหลายร้อยท่อน...หลายๆ คนเชื่อว่าไม้ตะเคียนมีผีสิงนะคะ แต่พวกเราก็ใช้เรือขุดจากไม้ตะเคียนมาหลายชั่วคนแล้วล่ะค่ะ

    วันหนึ่ง ตาแร่มเสร็จงานก็เมาน้ำตาลอยู่หลังบ้าน ยายเหลือมาตักน้ำหรือจะอาบน้ำก็ไม่ทราบแน่ชัด ตาแร่มเรียกหาปลาสลิดย่างก็ไม่มีเสียงขานรับ ครั้นลุกออกมาดูก็เห็นเมียแกคว่ำหน้าตายปริ่มๆ น้ำ...มีเสียงพูดกันว่ายายเหลือเป็นลมบ้าง โดยผีน้ำมาเอาตัวไปบ้าง...บางคนเชื่อว่าเป็นอาถรรพ์เรือตะเคียนก็มี

    งานศพผ่านไปแล้ว ลูกเต้าที่มางานศพแม่กลับไปหมดแล้ว ตาแร่มออกไปตัดไม้โกงกางมาเลี้ยงชีพตามเดิม ชาวบ้านเคยเห็นสองตายายบรรทุกไม้โกงกางกลับบ้าน ใช้กระดานพาดเรือกับชายฝั่ง แล้วช่วยกันขนไม้ลำเลียงขึ้นมาซ้อนไว้เป็นกองใหญ่หน้าบ้าน...บัดนี้ตาแร่มต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด

    ตาแร่มหน้าตาหมองคล้ำลงทุกที ท่าทางเหนื่อยหน่ายคล้ายหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ตอนเย็นๆ ก็ไปนั่งซดน้ำตาลเงียบๆ ริมคลองคนเดียว สูบยาแดงวาบๆ จนเด็กๆ เห็นตอนโพล้เพล้ถึงกับวิ่งอ้าว เพราะนึกว่าโดนผีหลอก

    เคยเผาถ่านเองก็ขายถูกๆ ให้เขาเอาไปเผา ไปส่งโรงงานน้ำตาล...แกเองก็ไม่ค่อยจะออกไปตัดไม้โกงกางมาขายเหมือนเมื่อก่อน

    หลายคนเคยเห็นแกนั่งซดน้ำตาลอยู่เงียบเชียบ จู่ๆ ก็กวักมือไปที่เรือขุดไม้ตะเคียน ร้องเรียกเสียงดังจนได้ยินว่า...ขึ้นมาหาข้าสิ ยายเหลือเอ๊ย! แกจะนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ทำไม?

    มองไปที่เรือเห็นโคลงเคลงนิดๆ ตามระลอกคลื่นก็ไม่เห็นมีใครสักคนเดียว เล่นเอาขนลุกซ่า รีบเดินหนีแข้งขาสั่น หัวใจเต้นครึกโครมไปตามๆ กัน

    ต่อมาไม่นาน ก็มีคนพบศพตาแร่มนอนหงายเหยียดยาวอยู่ในเรือขุดของแก นัยน์ตาเบิกโพลง มีแววสดใสคล้ายเห็นหน้าใครที่แกรอคอยมานานแสนนาน

    บ้านเล็กๆ หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำก็กลายเป็นบ้านร้าง ในที่สุดทรุดโทรมลงไปกองกับพื้น เรือขุดไม้ตะเคียนก็ไม่มีใครแยแส กลายเป็นเรือรั่วแตกร้าว...จมหายไปใต้น้ำ เหลือแต่เรื่องเล่าน่าขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เท่านั้นเองค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...