เรื่องเด่น เรียงลำดับจิตตภาวนา ...หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 7 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    a.jpg


    "..อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาอยู่ที่จิตไม่อยู่ที่อื่น อย่างหลวงปู่มั่นท่านแสดง เรากราบราบทันทีเลย ไม่มีใครพูด ในตำราท่านก็ไม่บอก ท่านบอกไว้แต่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ไปเท่านั้น แต่ท่านอาจารย์มั่นท่านมาพูดว่า ฐีติภูตํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเกิดขึ้นจาก ฐีติภูตํ คือจิตแท้ เกิดจากนี้ แต่ท่านเอานี้ออกไป เมื่อเปิดอันนี้แล้ว ฐีติภูตํ ก็จะบริสุทธิ์เอง ท่านว่างั้น เพราะอันนี้เป็นเครื่องปกปิดต่างหาก ท่านจึงพูดตั้งแต่อันนี้เป็นอวิชชาไปเลย ท่านว่างั้น เวลาพิจารณาก็เป็นอย่างนั้น


    พิจารณาเข้าไปถึงนั้นแล้วหมุนเข้าไปหาจิต หมุนเข้าไปหาจิตแล้วมันก็พิจารณาทางจิตอีก สติปัญญานี้มีหลายขั้นนะ คำว่าสติปัญญาการพิจารณา ขั้นล้มลุกคลุกคลาน คือการภาวนาล้มลุกคลุกคลานดังที่เราฝึกเบื้องต้นใช้คำบริกรรม นี้เป็นอันหนึ่ง จากนั้นก็พิจารณาถึงสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วเข้าเป็นปัญญา พิจารณาร่างกายนี้ก็เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง พอพิจารณาร่างกายคล่องแคล่วว่องไวเข้าไป จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาเราก็เรียนในปริยัติตั้งแต่ก่อน งงเป็นไก่ตาแตกไม่รู้ แต่ก็ไม่ถือเป็นอารมณ์อะไรมากนัก


    สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้เห็นได้ยินอะไร หนึ่ง จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณาของคนทั่ว ๆ ไป หนึ่ง ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ หนึ่ง อันนี้หลง คือไม่เข้าใจเลย แต่เวลามันก้าวเข้าถึงภาวนาขั้นพิจารณาร่างกายขยายทุกสัดทุกส่วน แตกกระจัดกระจายไปแล้วปัญญาขั้นนี้เกิด สติปัญญาขั้นนี้หมุนตัวเป็นธรรมจักร ไม่ต้องบังคับบัญชา เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ท่านเรียกว่าแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่ขั้นนี้ไปแล้วแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกิเลสสร้างตัวของมันเป็นอัตโนมัติในจิตใจของสัตว์โลก เป็นอัตโนมัติของกิเลสเหมือนกันหมดเลย ไม่มีใครมาแก้ มาปราบปรามมัน


    ทีนี้พอปัญญาขั้นนี้ขึ้นแล้ว สติปัญญาขั้นอัตโนมัติขึ้น ทีนี้แก้กิเลส กิเลสผูกมัดไว้ที่ไหนจะตามแก้ ตามถอดตามถอนโดยอัตโนมัติของตน ไม่มีวันมีคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับเท่านั้น นี้คือภาวนามยปัญญาของผู้มีความเพียรกล้า คือกล้าต่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว ไม่มีคำว่าหยุดว่าถอย ได้รั้งเอาไว้ ไม่งั้นมันเพลิน มันจะไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน ดังที่ท่านแสดงไว้ในพระโสณะ ว่าท่านความเพียรกล้าจนฝ่าเท้าแตก ไม่แตกได้ยังไงก็ความเพียรอันนี้หมุนตัวไปเอง เดินจงกรมถ้าลงได้เข้าไปสู่ทางจงกรมแล้ว เวลาไหนมันไม่สนใจ ยิ่งกว่าการพิจารณาธรรมภายใจ คือหมุนกันอยู่ภายใน เหมือนนักมวยเข้าวงในกัน นี่สติปัญญาอัตโนมัติหมุนกับกิเลสที่เคยเป็นอัตโนมัติอยู่ภายในจิตใจ ออกจากใจเป็นลำดับลำดา หมุนเข้าไป ๆ


    กิเลสมันละเอียดเท่าไร สติปัญญานี้ละเอียดเข้าไปจนกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา ขึ้นกับสติปัญญาอัตโนมัตินั้นแลเป็นเครื่องเสริม พอสติปัญญาก้าวเข้าสู่มหาสติ มหาปัญญาแล้ว ทีนี้ความเพียรมันซึมซาบไปเลย ทั้งวันทั้งคืน ละเอียดลออสุขุมคัมภีรภาพ ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ แล้วที่นี่ มันใกล้ขนาดนั้น มีตั้งแต่ที่จะพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ถอยไม่ได้ๆ มีแต่พุ่งเรื่อย นี่แหละสติปัญญาอัตโนมัติก้าวเข้าไปสู่มหาสติมหาปัญญาอัตโนมัติ ปล่อยได้เป็นลำดับลำดา จนถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาอัตโนมัติ นั่นละเข้าอวิชชาละที่นี่ มหาสติ มหาปัญญานี้เข้าอวิชชา รากแก้วแห่งวัฏจักร คือจิตตอวิชชาละที่นี่ เข้าไปตรงนั้น พิจารณาตรงนั้น


    เมื่อเข้าตรงนั้นแล้วถอนพรวดขึ้นมาเลย ไม่มีเหลือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดับพรึบ แล้วก็ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา พลิกกันปุ๊บเลย เมื่ออวิชชาดับ วิญญาณดับ สังขารดับ อะไรเรื่อย มันก็ดับละซิตัวใหญ่มันดับ เหมือนต้นไม้ ต้นไม้มีกิ่งก้านสาขาดอกใบของมันจะสดสวยงดงามขนาดไหนก็ตาม เมื่อถอนรากแก้วมันขึ้นมาแล้ว กิ่งก้านไหนมันก็ดับไปตาม ๆ กันหมด ใบก็ดับ กิ่งก็ดับ เหี่ยวยุบยอบมาดับ ๆ ๆ หมด เพราะรากแก้วมันหมดแล้ว


    อันนี้อวิชชาดับปุ๊บเท่านั้น สังขารก็เป็นสังขารล้วน ๆ อวิชชาพาสังขารเป็นสมุทัย วิญญาณ นามรูปทุกอย่างเป็นสมุทัยไปหมด เพราะอวิชชาพาให้เป็นปัจจัย ปัจจัยหนุนกันไป พออวิชชาถอนตัวออกมาแล้ว เรื่อง อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา พออวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ ผัสสะ ตัณหา ภพชาติดับไปตาม ๆ กันหมดจากอวิชชา หมด นั่นน่ะท่านถอนวัฏจักรท่านถอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านถอนอย่างนั้น สาวกท่านถอนอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะถอนอย่างนั้นเหมือนกันหมด เพราะเป็นทางแถวเดียวกัน กิเลสแบบเดียวกัน ธรรมะเครื่องแก้กิเลสแก้แบบเดียวกัน ขาดสะบั้นลงไปตาม ๆ กันหมด


    ทีนี้พออวิชชาดับพรึบเท่านี้ จิตนี้ขาดสะบั้นลงไปจากภพจากชาติโดยไม่ต้องไปถามผู้หนึ่งผู้ใดเลย เพราะมันเกี่ยวโยงกันมามากน้อยเพียงไรมันรู้อยู่กับจิต พออวิชชาขาดก็เท่ากับว่าโลกธาตุ หรือสมมุติทั้งมวลขาดไปพร้อมกันจากใจ นั่น ท่านว่า ท่านตรัสรู้ หรือท่านบรรลุธรรม ผางขึ้นมาจะไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประกาศไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เด็ดขาดแล้ว ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นบรรดาสาวกที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วจึงไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าก็เนื่องจาก สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองของตัวเองเต็มหัวใจ ประกาศขึ้นมา


    นี่การอบรมจิตใจ ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้นะ อย่างนี้ละ มรรค ผล นิพพาน.."


    ที่มา
    เรียงลำดับจิตตภาวนา
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม
    เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1756&CatID=2


    ฟังผ่าน YouTube





    ไฟล์ ดาวน์โหลด
    a23-12-45yen เรียงลำดับจิตตภาวนา.wma
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,065
     

แชร์หน้านี้

Loading...