เพจ บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, 19 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    บารมี ๑๐
    ๑. ทานบารมี พอใจในการให้ทานอยู่เสมอ เป็นการตัดโลภะ ความโลภ
    ๒. ศีลบารมี พยายามรักษาศีลให้ครบถ้วน เป็นการป้องกันอบายภูมิ
    ๓. เนกขัมมบารมี พยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้น ตัดสังโยชน์ไปเสียเป็นเรื่องสุดท้าย ป้องกันความวุ่นวายของจิต
    ๔. ปัญญ…าบารมี ทรงปัญญาไว้ให้ดี ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง คือการตัดอารมณ์กลุ้ม
    ๕. วิริยบารมี ความพากเพียรต่อสู้กับกิเลส กับอารมณ์ของความชั่ว เป็นการค่อย ๆ ทำลายความชั่วให้พินาศไป
    ๖. ขันติบารมี ต้องมีความอดทนใจ เพราะกำลังใจของเราคบกับกิเลสมานาน ถ้าจะห้ำหั่นมันก็ต้องมีการต่อสู้ต้องอดทน
    ๗. สัจจบารมี ความตั้งใจจริง เราตั้งใจว่าจะทำอะไร ทำอย่างนั้น อย่าท้อถอย ไม่ยอมละ
    ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ดีว่า มนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลกเป็นทุกข์ ตั้งใจไว้ให้เฉพาะว่าเราจะไปนิพพาน
    ๙. เมตตาบารมี ทำจิตใจของเราให้ดี มีความแช่มชื่น เห็นคนและสัตว์ทั้งโลกเป็นที่รักของเราทั้งหมด เราไม่มีเวรไม่มีภัยกับใครแล้ว
    ๑๐. อุเบกขาบารมี อดทนต่อความอดกลั้นทั้งหลายต่ออุปสรรคทั้งหมด วางเฉย ไม่ต่อสู้ ไม่รุกราน ไม่หวั่นไหว สร้างกำลังใจไว้โดยเฉพาะ แล้วก็วางเฉยในเรื่องของร่างกาย ร่างกายจะเป็นทุกข์ขนาดไหน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมัน ร่างกายจะแก่ ถือว่ามันเกิดมาเพื่อแก่ ร่างกายจะป่วยไข้ไม่สบาย ถือว่าเกิดมาเพื่อป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายจะปั่นป่วน ถือว่าร่างกายกับเรามันไม่ได้รวมกัน ร่างกายมันเป็นที่อาศัยของเราชั่วคราวเท่านั้น
    นี่บารมี ๑๐ ประการมีอย่างนี้ ถ้าทรงกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ประการไว้ได้ อารมณ์ใจจะเป็นสุข แล้วก็ตามปรารถนา การปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกตอน จะสำเร็จผลทุกอย่าง

    จาก หนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๗๑ หน้า ๑๓๖

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา

    “..เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า “คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน” อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร๑๐๐ เมตร ไม่เกิน ๓ วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้
    แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า “เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ” ถามว่า “ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยยังมีชีวิตอยู่” ตอบว่า “ปกติผมทำสมาธิ” ถามว่า “คุณทำสมาธิเวลาไหน” ตอบว่า “เวลาตอนเช้ากับตอนคํ่าครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนคํ่าก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน”
    การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและ ตอนคํ่าก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉยๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้..”

    1533742985_448_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    สังฆทานเวียนหรือการผาติกรรมสังฆทานมีอานิสงส์ไหม..

    ผู้ถาม : “ทีนี้ก็มีคนสงสัยเรื่องสังฆทานครับ ถามว่าสังฆทานที่มาถวายหลวงพ่อ แล้วก็ผาติกรรมไป แล้วก็กลับมาถวายหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง อานิสงส์จะสมบูรณ์หรือไม่อย่าไงครับ …?”

    หลวงพ่อ : “..เท่ากันแหละ เขาเอาแบงค์มาถวายก็เป็นสังฆทาน ถ้าอยากจะมีของไปรับเอาก็มีค่าเท่ากัน

    ผู้ถาม : “ซื้อมาเองกับผาติกรรมนะครับ…?”

    หลวงพ่อ : “..แต่อย่าลืมว่าสตางค์ของใคร นั่นเป็นสัญลักษณ์เป็นนิมิตออกมา มีของสักหน่อยใจมันก็สบายกว่าไม่มีของใช่ไหม ถ้าเจตนาให้เงินมันเป็นอะไรมันก็เป็นตามนั้น และก็ตั้งใจเฉยๆ เกรงว่าไม่เป็นไปตามนั้นให้มันมีของตั้งอยู่ ถ้าต้องการจีวรต้องการพระพุทธรูป ก็เป็นนิมิตจับ..
    …อย่าลืมว่าอานิสงส์ของสังฆทาน อะไรๆก็ต้องไปดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย ส่งฆทาน กับวิหารทาน จุดแรกต่ำสุด คือดาวดึงส์ หลังจากนั้นจะไปเลวกว่านั้นก็ตามใจ แต่อย่าลืมนะดาวดึงส์นี่เข้ายาก ไม่ใช่เข้าง่ายๆเลย นอกจากทำบุญขั้นสังฆทานและวิหารทานแล้ว ถ้าเป็นบุญเล็กน้อย ก็ต้องเป็นการทำบุญตัดชีวิต….”
    ☆..ถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร เพราะ..?..

    ผู้ถาม : ” ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหารอันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?”

    หลวงพ่อ : “… ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้นเรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไปบอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกันที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า “ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?” เขาบอกว่า
    ☆๑).ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมากเพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ☆๒). ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่งเขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ☆๓). อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์…”

    ผู้ถาม : ” ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดีพรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ? ”
    หลวงพ่อ : “.. อานิสงส์ตามมาคือ
    _๑). จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูปแล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ
    _๒).เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นางวิสาขาเป็นคนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อนได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูปจึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และนางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับเพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาเป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ขวบ…”
    .
    .
    ———————————–
    จาก หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๒๘-๓๑โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1534404905_182_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    คำอธิฐานจิต
    ทุกครั้งที่ทำความดี
    (ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม)

    ให้อธิษฐานขอไปพระนิพพาน ว่า…ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ภพภูมิอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น อบายภูมิ โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหมก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา…ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงพระนิพพานเป็นที่สุด..ตายเมื่อ ไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น..

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1534946406_102_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าถึงหลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค

    ในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ วันนั้นท่านจะทำงานอะไรอาตมาจำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะฉลองศาลา เป็นงานใหญ่มาก งานที่หลวงพ่อปานจัดไม่มีมหรสพ ปี่พาทย์ก็ไม่มี ท่านบอกว่า ท่านหนวกหู แล้วพระอื่นก็มาหมดแล้ว ถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น พระมาหมด เวลาที่จะลงมือสวดมนต์เย็นก็ประมาณบ่ายสี่โมง หลวงพ่อจงยังไม่มา ท่านก็ให้อาตมาไปตาม

    นายปั๋งเป็นคนญวน เข้ามารับอาสาเอาเรือเร็วให้นั่งไป เขาเป็นคนขับ

    เมื่อไปถึงหลวงพ่อจง ปรากฏว่าหลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ผู้ชาย 5 คน อยู่ที่วัดก็ขึ้นไป เรียนท่านว่า

    เวลานี้พระที่สวดมนต์เย็นมาครบแล้วครับ หลวงพ่อปานให้มาตาม

    ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ฉันรดน้ำมนต์ก่อน เดี๋ยวฉันไปทัน

    ก็เลยกราบเรียนถามว่า หลวงพ่อไปเรือจ้างน่ะ ช้าครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ

    ท่านก็บอก ไม่ต้องหรอก ฉันจะเดินไป เรือมันช้ากว่าเดิน

    แหม แต่ความจริงไปทางเรือไกลกว่าทางเดินประมาณครึ่งเท่า แต่ว่าถ้าจะเดินจริงๆ จากวัดบางนมโคไปวัดหน้าต่างนี้ประมาณ 4 กิโล แล้วเรือวิ่งประมาณ 10 นาทีเศษๆ เดิน ถ้าเดินจริงๆ ก็ถึงชั่วโมง หรือเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่มีทาง ต้องเดินลัดทุ่ง เดินไม่ถนัดนัก

    ท่านก็บอกว่า ไม่ไปเรือมันช้า ฉันจะเดิน

    ก็บอกว่า เรือเร็วขอรับ

    ท่านบอกว่าเร็วก็สู้ฉันเดินไม่ได้ ไปก่อน

    ในที่สุดท่านก็ขับให้มา เมื่อท่านขับให้มา ก็ต้องกลับ

    เมื่อกลับมาถึงวัดบางนมโค แล้วก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปานบอกว่า

    หลวงพ่อจงท่านกำลังจะรดน้ำมนต์คนอยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง หรืออาจจะเย็นหน่อย เพราะต้องเดินลัดทุ่งมา

    พอหลวงพ่อปานฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่า นี่ เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้วละ แกไปดูบนศาลาซิ

    ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก พวกพระครูพระราชาคณะที่ไปในที่นั้น ไม่มีใครนั่งหน้าหลวงพ่อจง เพราะถืออาวุโสเป็นสำคัญ เว้นไว้แต่เข้าวัง เขาถือพัด พัดยศ ถือยศเป็นสำคัญ แต่ข้างนอกนี่เขาไม่ถือยศเป็นสำคัญ เขาถืออาวุโสเป็นสำคัญ ไปถึงก็กราบๆ

    ท่านถามว่า มาถึงนานแล้วรึ

    ก็กราบเรียนท่านว่า พึ่งมาถึงขอรับ ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีก็มานี่

    ท่านก็เลยบอกว่า ฉันบอกแล้วไงล่ะ ว่าไอ้เรือน่ะ มันช้ากว่าฉันเดิน

    เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงนี่เดินยังไง คนหนุ่มๆ ยังเดินตั้งชั่วโมง หลวงพ่อจงเดินแบบไหน นั่งเรือไม่ถึง 15 นาที แล้วหลวงพ่อจงก็กำลังจะรดน้ำมนต์เขา ยังไม่ทันจะรดเลย ขณะที่มากำลังทำน้ำมนต์อยู่ กำลังจะรด แต่ว่านั่งเรือเร็วมา ท่านมาถึงก่อน นี่แปลกใจ กำลังนั่งคิดอยู่ ท่านถามว่าแปลกใจรึ

    ก็บอกว่า แปลกใจขอรับ

    ท่านบอกว่า มีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติไปถึงขั้นเดินเก่งละมันเดินเก่งทุกคนแหละ ถ้าปฏิบัติไม่ถึงมันก็ยังเดินไม่เก่ง

    เรื่องนี้ขอผ่านไป เรื่องของหลวงพ่อจงที่รู้ๆ มามีมาก แต่เอาแค่หอมปากหอมคอ เอาอีกเรื่องเดียวจบกัน

    1534946643_612_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หลวงตาปรารถจะซ่อมแซมผิวพระประธานในโบสถ์ด้วยการปิดทองคำเปลวถวายท่านใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนงานกฐินเดือนพฤศจิกายนนี้ ใช้งบประมาณทั้งสององค์ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันตามกำลังใจ ถวายเป็นพุทธบูชาด้วยกันกับหลวงตาจ้ะ

    โอนร่วมบุญปิดทองพระประธานที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพระพุทธบาท ชื่อบัญชี วัดเขาวง (กองทุนเพื่องานวิหารทาน) เลขที่บัญชี 789-280489-0

    หรือท่านใดจะเป็นเจ้าภาพหลัก ก็ติดต่อสอบถามรายละเอียดโดยตรงกับพระคุณหลวงตา หรือแจ้งทางสำนักงานกลาง โทร.095 250-6540 และ 099 156-5996
    ในเวลาทำการ ๐๘.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ของทุกวัน

    แจ้งรายละเอียดการทำบุญปิดทองที่อัลบั้มนี้เท่านั้น เพื่อสะดวกในการตรวจสอบ

    .jpg
    หลวงตาปรารถจะซ่อมแซมผิวพระประธานในโบสถ์ด้วยการปิดทองคำเปลวถวายท่านใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนงานกฐินเดือนพฤศจิกายนนี้ ใช้งบประมาณทั้งสององค์ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันตามกำลังใจ ถวายเป็นพุทธบูชาด้วยกันกับหลวงตาจ้ะ

    โอนร่วมบุญปิดทองพระประธานที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพระพุทธบาท ชื่อบัญชี วัดเขาวง (กองทุนเพื่องานวิหารทาน) เลขที่บัญชี 789-280489-0

    หรือท่านใดจะเป็นเจ้าภาพหลัก ก็ติดต่อสอบถามรายละเอียดโดยตรงกับพระคุณหลวงตา หรือแจ้งทางสำนักงานกลาง โทร.095 250-6540 และ 099 156-5996
    ในเวลาทำการ ๐๘.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ของทุกวัน

    แจ้งรายละเอียดการทำบุญปิดทองที่อัลบั้มนี้เท่านั้น เพื่อสะดวกในการตรวจสอบ

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    “…ถ้าหากเราไม่สนใจทุกอย่างในโลกไม่สนใจกายของเราด้วย ไม่สนใจกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจวัตถุธาตุใด ๆ ด้วย คำว่าไม่สนใจในที่นี้จงอย่าไปคิดว่าเราไม่สนใจในร่างกาย เราไม่กินข้าว หิวก็ไม่กิน ร้อนก็ไม่อาบน้ำ หนาวก็ไม่ห่มผ้า อันนี้ไม่ถูกคำว่าไม่สนใจคือ ไม่ติดใจในมัน ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็มีความแปรปรวนเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีอารมณ์คิดต่อไปว่าร่างกายนี้พัง เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก ร่างกายแห่งความเป็นคนก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่มีความสุขจริง เราไม่ต้องการ เราต้องการจริง ๆ คือ พระนิพพานถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ใจของท่านก่อนหลับก็ดี หรือว่าตื่นใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่ง นอนแบบนั้น ตื่นใหม่ ๆใจกำลังสบาย สร้างความรู้สึกว่าร่างกายมันเสื่อมร่างกายเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายต้องตายในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีกเราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน จิตหวังจริง ๆ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงทำได้อย่างนี้ก่อนหลับหรือตื่นใหม่ ๆไม่ต้องนั่งนอนคิดใช้ปัญญา เวลานี้เกิดอารมณ์เบื่อ ชั่วขณะจิตเดียว ไม่หวังร่างกายเพียงแค่ขณะจิตเดียว จิตก็กลับฟื้นคืนสภาพคงที่ตามเดิม เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัทขอยืนยันว่าชาตินี้ก่อนท่านจะตาย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแน่…”

    1537280282_221_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ผู้นับถือศาสนาอื่น ถ้าตายแล้วจะไปนรก-สวรรค์หรือเปล่า?

    ผู้ถาม ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ถ้าตายไปแล้วจะไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่าครับ…?

    หลวงพ่อ ไปทุกศาสนานะคุณ คือว่าสวรรค์หรือนรกนี่ก็มีเหมือนกัน เรือนจำนี่เขาขังเฉพาะผู้ที่นับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นด้วยล่ะ เขาขังทุกศาสนาใช่ไหม…นั่นฉันใด นรกหรือสวรรค์ก็ เหมือนกัน ถ้าทำความชั่วก็ไปนรกแห่งเดียวกัน

    ผู้ถาม ถ้าผมทำความดี ผมจะได้เกิดมาในศาสนาพุทธไหมครับ…?

    หลวงพ่อ ถ้าคุณทำความดี อีกกี่ชาติๆ คุณก็พบศาสนาพุทธตลอด

    ผู้ถาม อย่างนี้ก็หมายความว่า ศาสนาอื่นไม่ดีเท่าศาสนาพุทธซิครับ…?

    หลวงพ่อ เราจะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ได้ ศาสนาทุกศาสนาเขาดีเหมือนกันแหละ แต่ว่าคุณปฏิบัติตามแนวทางศาสนาพุทธคุณก็เกิดในเขตของศาสนาพุทธ ถ้าคุณปฏิบัติในเขตของศาสนาอื่น เพราะจิตใจมันจับอยู่ในศาสดาองค์นั้น ก็ต้องไปเกิดในศาสนานั้น นี่เราจะไปถือว่าศาสนาอื่นไม่ดีไม่ได้ ศาสดาทุกองค์เขาต้องการให้คนเป็นคนดีทั้งหมด เขาจึงได้บัญญัติกฎปฏิบัติขึ้นมา แต่ว่าถ้าจะถือคุณธรรมของศาสนากันจริงๆ แล้วละก็ของเรามีต่างกับเขาอยู่นิดหนึ่ง ที่เรามีอริยสัจ ศาสนาอื่นเขาไม่สอนด้านอริยสัจ ของเรามากกว่าเขาหน่อย จะดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ก็เป็นเรื่องของการพิจารณาของคนนะ อาตมาเป็นพระในศาสนาพุทธ จะมายกย่องศาสนาพุทธมากเกินไปมันก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี พระพุทธเจ้าบอกว่า เชิญมาพิสูจน์เอง

    ผู้ถาม แล้วศาสนาคิด…มีการตกนรกหรือเปล่าครับ…?

    หลวงพ่อ ศาสนาคิด…ถ้าคิดดีๆ ก็ยังไม่ตกนะ คิดหรือคริสต์ ถ้ามันยังคิดอยู่ ยังไม่ตาย ตกได้ยังไง

    ผู้ถาม (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ เอาแล้วไง…นี่เป็นคนไทยยังพูดไทยไม่ชัดเลย มันตกเหมือนกันไม่ว่าศาสนาไหนก็ตกเหมือนกัน เพราะว่านรกไม่ใช่ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง คำว่านรก มันเป็นแดนสำหรับการลงโทษสัตว์ เพราะว่าคนที่ทำความชั่วก็ต้องไปเหมือนกันหมด

    ผู้ถาม แล้วเวลาที่ไปปรากฏกายในนรก สัตว์นรกจะแตกต่างกันด้วยผิวพรรณ เป็นไทย เป็นฝรั่งไหมครับ…?

    หลวงพ่อ ที่นั่นมันเป็นผิวนรกทั้งหมดรูปร่างก็เป็นรูปร่างของนรกทั้งหมด ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองไปดูซิ เอาขุมไหนก็ได้

    ผู้ถาม กระผมยังไม่มีความสามารถจะฝึกได้ครับ

    หลวงพ่อ ไม่ใช่…ลงไปอยู่เลย

    ผู้ถาม โอ้โฮ ไม่ไหวล่ะครับ แล้วทำไมมนุษย์เราจึงมากขึ้นครับ…?

    หลวงพ่อ ก็ตายแล้วเกิดใหม่นี่ ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่มากใช่ไหม ไอ้ที่เกิดใหม่ หรือมนุษย์มากขึ้น คุณอย่าลืมว่า ไอ้พวกสัตว์นั่นก็คือมนุษย์นะ ที่ทำความชั่วไปแล้วเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์นรก ทั้งหมดก็คือมนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็มนุษย์ เพราะรักษาความดี ถ้าหมดความดีก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าหมดอำนาจความชั่วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ทีนี้ไอ้สัตว์ต่างๆ ที่คุณกินเข้าไปทุกวันๆ นะ คุณมั่นใจหรือว่าจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าใจหรือยัง…อย่าลืมนะว่า สัตว์ทุกประเภทก็คือมนุษย์ที่สร้างความชั่วนั่นเอง

    ผู้ถาม ครับ…เข้าใจแล้วครับ ผมเรียนถามอีกอย่างนะครับคือว่า…เมืองนรกอยู่ที่ไหน…?

    หลวงพ่อ เมืองนรก เขาก็อยู่ที่เมืองนรก เมืองนรกจะไปอยู่ที่เมืองมนุษย์ไม่ได้ คุณอยากจะไปดูไหมล่ะ?

    ผู้ถาม อยากครับ

    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซินะ ถ้าคุณเป็นคนไม่มีมานะทิฏฐิ คุณถือว่าคำสอนเป็นคำสอน คุณจะยอมรับปฏิบัติตามคำแนะนำของครู ถ้าคุณอยากจะรู้จักนรก สวรรค์ พรหมโลกหรือนิพพาน ไปพิสูจน์ได้ที่วัดท่าซุง ถ้าคุณมีความมั่นใจจริงๆ ไม่เกิน ๓ วัน ไปเที่ยวได้ แต่ว่าคุณจะต้องเชื่อครูนะ ไม่ใช่จิตของคุณมีมานะทิฏฐิอย่างนี้ไม่ได้ เหมือนกับคุณมาเป็นนักเรียนนายร้อย ถ้าคุณเรียนมาจากสถาบันอื่นแล้ว แต่ทว่าคุณมาโรงเรียนนี้เขาสอนวิชาทหารคุณถือว่าไม่ใช่ ฉันเคยเรียนมาอย่างนี้ อย่างนี้คุณก็ไม่มีโอกาสจบหลักสูตรนี้ได้ ถ้าคุณต้องการฝึกอภิญญาสมาบัติคุณไปวัดท่าซุงได้ เขามีฝึกกันทุกวัน

    จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
    (หน้า ๔-๖)

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
  10. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    อุเบกขาตัวนี้ คือวางเฉยต่ออาการของชาวบ้าน ชาวบ้านที่ทำให้เราไม่ชอบใจก็ดี ทำให้เราชอบใจก็ตาม เราเฉยเสียไม่ยอมรับนับถือทั้งชอบใจและไม่ชอบใจนะขอรับ นี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ นะ แล้วถ้าสูงขึ้นไปอีกนิด ก็อุเบกขาเหมือนกัน วางเฉยในขันธ์ 5 นี่สำคัญนะขอรับตัวนี้เป็นตัวแท้ ไอ้ตัวเมื่อกี่นี้ตัวหน้าตัววางเฉยเรื่องราวของชาวบ้านที่เขาพูดไม่ถูกหรือทำไม่ถูกใจ หรือทำไม่ถูกใจ พูดไม่ถูกใจ เราวางเฉยไม่เอาอารมณ์ไปยุ่ง ไอ้ยังงี้เป็นเรื่องเปลือกๆ เป็นอาการของเปลือก ไม่ใช่เนื้อ อุเบกขาที่แท้ต้องเป็นสังขารรุเปกขาญาณวางเฉยในขันธ์ 5 เรื่องของขันธ์ 5 มันจะรับอะไรมาก็ตาม เราเฉยเสีย คิดว่านี่เป็นธรรมของคนที่เกิดมามีชีวิต คนที่เกิดมามีขันธ์ 5 มันต้องมีอาการอย่างนี้เป็นปกติ ไม่มีใครจะพ้นอาการอย่างนี้ไปได้ ถึงแม้ว่าเราจะหลีกหนีให้พ้นไปสักขนาดใดก็ตาม เราจะมีเงินมีทองมีอำนาจวาสนาบารมียังไงก็ตาม ไม่สามารถจะพ้นโลกธรรม 8 ประการไปได้ คือ 1. มีลาภ 2. เสื่อมลาภ 3. มียศ 4. เสื่อมยศ 5. นินทา 6. สรรเสริญ 7. สุข 8.ทุกข์

    อาการ 8 ประการนี้ คนในโลกทั้งหมดหนีไม่พ้น ที่นี้เมื่ออาการภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมา เราก็วางเฉยเสีย ถือว่าเรื่องของขันธ์ 5 เป็นธรรมดา คนมีขันธ์ 5 ต้องมีการกระทบกระทั่งทั้งทางหูและทางตา หนีไม่ได้ก็ปล่อยมัน เหมือนกับคนเดินอยู่กลางทุ่งที่ไม่มีอะไรบัง ฝนจะตกก็ดี แดดจะออกก็ดี ก็ต้องถูกตัว แต่เราก็ไม่โกรธแดดโกรธฝน เพราะถือเราเป็นคนเดินดิน มันหนีไม่พ้น ทีนี้มาถ้าขันธ์ 5 มันป่วยไข้ไม่สบาย หรือมันจะตาย เราก็วางเฉยอีก เพราะว่าขันธ์ 5 สภาวะมันเป็นอย่างนี้ มันจะพังอย่างนี้ มันจะต้องป่วยอย่างนี้เป็นของธรรมดา เราก็เฉยมันเสียแต่ไม่เฉยเปล่านะ เอาจิตเข้าไปจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ด้วย และนอกจากนั้น ถ้ารักษาเพื่อระงับเวทนาได้ก็ควรรักษา เมื่อรักษามันหายก็หาย ไม่หายก็ตามใจ นี่เรื่องของมัน วางเฉยไว้ คิดว่าถ้ามันทรงอยู่เราก็จะเลี้ยงมันไว้ ถ้ามันทรงอยู่ไม่ได้ เราก็จะไปนิพพาน ขันธ์ 5 มันเป็นตัวถ่วง เป็นตัวให้เกิดในวัฏฏสงสาร ถ้าเราข้องใจในมันเมื่อไร ความทุกข์ก็ไม่ถึงที่สุดเมื่อนั้น หมายความว่าความทุกข์มันก็จะปรากฏเมื่อนั้น ถ้าเราเลิกข้องใจกับมันเมื่อไร เลิกสนใจกับมันเมื่อไร เราก็สิ้นทุกข์เมื่อนั้น

    จาก หนังสือ มหาสติปัฏฐาน4 หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    1538239386_52_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    “…ฉันอุตส่าห์ยอมทนทุกขเวทนาอยู่กระทั่งทุกวันนี้ เพื่อรอโปรดลูกหลานให้ทั่วหน้ากัน อุตส่าห์ปักหลักรออยู่

    แต่บางคนมาถึงแล้วแทนที่จะรีบๆ แต่กลับค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งอีก กว่าจะเข้ามาถึงก็เล่นให้รอเสียเหนื่อยเลย..”

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ให้นึกถึงความดีที่เคยทำ

    นักเจริญกรรมฐานนี่เขาต้องจับเอา “อานาปานุสสติ” เป็นอารมณ์ ต้องภาวนาตาม นึกถึงบุญตามธรรมดาคิดว่า

    ๑. ศีล เราเคยสมาทานแล้ว
    ๒. ทาน เราเคยถวายพระแล้ว สังฆทาน
    ๓. เทศน์ เราเคยฟังแล้ว

    นึกถึงภาพที่เคยทำตามความดีไว้อย่างนี้เป็นปกติ แต่ว่าเวลาที่จะตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมันมีทุกขเวทนามาก บางคนจะไปนึกถึงบุญ แต่ทว่าอย่าลืมว่าเวลาที่ป่วยใหม่ๆ เวลานั้นจิตก็ยังดีอยู่ ให้นึกถึงความดีที่เคยทำว่า

    ๑. ศีล เราเคยสมาทานแล้ว นึกถึงภาพพระที่เคยให้ศีลกับเรา ประการที่ ๒ ทาน เราเคยถวายแล้ว นึกถึงภาพพระที่เราเคยถวายสังฆทาน ประการที่ ๓ เทศน์ เราเคยฟัง นึกถึงภาพพระเทศน์ที่เราเคยฟัง

    ตั้งใจไว้อย่างนี้ก็ดี หรือว่าจะภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ตามใจชอบ ให้จิตเป็นมหากุศลไว้ หลังจากนั้น ถ้าทุกขเวทนามันมาก มันจะลืมไปบ้างก็ไม่เป็นไร

    “เพราะจิตมีสภาพจำ” ถ้าคิดอย่างนี้ อย่างน้อยตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์

    จากหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๒๕ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๙ หน้า ๖๒ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    1539756747_653_บันทึกธรรมพระราชพรหมยา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    อยากได้อภิญญา.

    ผู้ถาม :- กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้มาฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลมแล้วปรากฏว่า ชัดเจนแจ่มใสดีเป็นอย่างมาก.

    แต่ว่าความโลภของลูกอีกซิ มันอยากจะได้ให้ดีกว่านั้น วงเล็บ คือ อยากจะได้อภิญญาหก.

    วันหนึ่งลูกขึ้นไปพบพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า เคยเป็นพ่อของลูกมาช้านาน ท่านสอนกสิณทั้ง ๑๐ กองในเวลาเดียวกัน.

    แล้วบอกว่าเอ็งต้องใช้เตโชกสิณ จะได้ดีเป็นอย่างมาก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า…

    ถ้าลูกฝึกเหมือนอย่างข้างบน โดยฝึกข้างล่างอย่างนี้แล้ว ชาตินี้จะมีโอกาสได้อภิญญาหกหรือเปล่าครับ.?

    หลวงพ่อ :- เป็นยังไง ฝึกข้างบน ฝึกข้างล่าง ฝึกข้างบน ฝึกข้างล่างเป็นไง ? ถ้าพุทธเจ้าตรัสมา ทำตามนั้นนะ อย่าถามคนอื่น.

    ผู้ถาม :- หลวงพ่อครับ ฆราวาสนี่ มีสิทธิ์ได้อภิญญาหก หรือครับ .?

    หลวงพ่อ :- โอ้ย…เยอะแยะไป อภิญญาหก นั่นหมายความว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเรียกอภิญญาหก ถ้าอภิญญาโลกีย์ แค่อภิญญาห้่า ใช่ไหม? อาสวักขยญาณ นั่นคือ ตัดกิเลสได้ พระโสดาบันขึ้นไป ถือว่าตัด.

    ผู้ถาม :- งั้นคนที่ถามนี่ ก็มีสิทธิ์ซิครับ.?

    หลวงพ่อ :- ก็ต้องตามท่านสั่ง อย่าเบี้ยว.

    การฝึกอภิญญา ต้องใช้ความกล้าและบ้ามากๆ คือเอาจริงเอาจัง ไม่เหลาะแหละ จึงจะได้ผล.

    สมัยก่อนพระอภิญญามีเยอะ ปัจจุบันก็เยอะ แต่ท่านอยู่ในป่า แต่ก็ระวังให้ดี ได้อภิญญาแล้ว ยังไม่ตัดกิเลสก็มีสิทธิ์ไปนรกได้ เช่น พระเทวทัต.

    วิธีตัดกิเลส คือ ต้องตัดสังโยชน์ ขั้นแรก คือ สังโยชน์ ๓ เป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามี.

    ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว นั่งในที่นั่งเดียวนั่นแหละ เป็นพระอรหันต์ได้ บางคนอาจจะสงสัยเป็นได้อย่างไร ? ก็ดูคำตอบจากคำถามนี้.

    จากหนังสือ : ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ หน้าที่ ๙.หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระราชพรหมยานรำลึก

    30 ตุลาคม. 2535 เวลา 16.10 น. เป็นวันที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้ละสังขาร ณ โรงพยาบาลศิริราชปีนี้ครบรอบ 26 ปี

    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง ที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ในครอบครัวของชาวนาซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี บิดาชื่อ นายควง สังข์สุวรรณ มารดาชื่อนางสมบุญ สังข์สุวรรณ ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 จากพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน ดังนี้

    นายวงษ์ สังข์สุวรรณ เกิดปี 2453 ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ถึงแก่กรรมที่วัดท่าซุง เมื่อคราวมาช่วยหลวงพ่อที่วัดท่าซุง อายุ 60 ปีนางสำเภา ยาหอมทอง (สังข์สุวรรณ) เกิดปี 2457 ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2545 อายุ 88 ปี อยู่บ้านสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรีพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)นายเวก (หวั่น) สังข์สุวรรณ ต่อมาได้อุปสมบทเป็น พระครูพิศาลวุฒิธรรม (พระมหาเวก อักกวังโส) อยู่วัดดาวดึงษาราม กทม.เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม 2463 อุปสมบทที่วัดบางนมโคเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2492 เมื่ออายุได้ 26 ปี 59 พรรษา มรณภาพเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 รวมอายุ 85 ปี 3 เดือน 26 วันด.ญ. อุบล สังข์สุวรรณ ถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ

    ก่อนที่พระราชพรหมยานจะเกิดนั้น มารดาของท่านฝันว่า เห็นพระพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ หลวงพ่อเล็ก เกสโร ซึ่งมีฐานะเป็นลุง ได้กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า “พรหม” และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น “สังเวียน” ท่านยายกับชาวบ้านเรียกว่า “เล็ก” ส่วนท่านมารดาและพี่ ๆ น้องๆ เรียกว่า “พ่อกลาง”

    พ.ศ. 2466 อายุ 7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ 3

    พ.ศ. 2474 อายุ 15 ปี อาศัยกับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ

    พ.ศ. 2476 อายุ 17 ปี ช่วยราชการปราบกบฏบวรเดช

    พ.ศ. 2478 อายุ 19 ปี เข้าทำงานเป็นเภสัชกรทหาร สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)

    อุปสมบทแก้ไข

    พ.ศ. 2479 อายุ 20 ปี อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 เวลา 13.00 น. ที่พัทธสีมาวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ (อยู่ ติสฺโส) เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนนฺโท) เจ้าอาวาสวัดบางนมโคเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ (ปาน) หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า “3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2 องค์นี้พอครบ 10 พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ 20 พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ”

    การแสวงหาและการปฏิบัติธรรมแก้ไขพ.ศ. 2480 อายุ 21 ปี สอบได้นักธรรมชั้นตรีพ.ศ. 2481 อายุ 22 ปี สอบได้นักธรรมชั้นโทพ.ศ. 2482 อายุ 23 ปี สอบได้นักธรรมชั้นเอก

    ระหว่างพรรษาที่ 1 – 4

    – เรียนอภิญญา- ธุดงค์ป่าช้า, ป่าศรีประจันต์, พระพุทธบาท, พระพุทธฉาย, เขาวงพระจันทร์ , เขาชอนเดื่อ, ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์, ดงพระยาเย็น, ภูกระดึง, พระแท่นดงรัง ฯลฯ- ศึกษาวิปัสสนา

    ระหว่างปี พ.ศ. 2480-2483 ได้ศึกษาพระกัมมัฏฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนนฺโท) เจ้าอาวาสวัดบางนมโค หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค พระครูรัตนาภิรมย์ (อยู่ ติสฺโส) เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

    พ.ศ. 2483 อายุ 24 ปี เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี จากนั้นย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคารามในช่วงออกพรรษาในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสโร) อยู่วัดช่างเหล็กในช่วงเข้าพรรษา ระหว่างนี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกรรมฐานกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และพบพระสุปฏิปันโนอีกมาก เช่น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย)เป็นต้น

    พ.ศ. 2486 อายุ 27 ปี สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยคเปลี่ยนชื่อจาก “พระมหาสังเวียน” [1] เป็น “พระมหาวีระ” เพื่อไม่ให้คล้ายกับ พระมหาสำเนียง ที่อยู่วัดช่างเหล็ก ที่เดียวกัน

    พ.ศ. 2488 อายุ 29 ปี สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ย้ายมาอยู่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ได้เป็นรองเจ้าคณะ 4 วัดประยูรวงศาวาส และฝึกหัดการเป็นนักเทศน์

    พ.ศ. 2492 อายุ 33 ปี จำพรรษาที่วัดลาวทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

    พ.ศ. 2494 อายุ 35 ปี จึงกลับไปอยู่วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค

    พ.ศ. 2500 อายุ 41 ปี อาพาธหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ

    พ.ศ. 2502 อายุ 43 ปี พักฟื้นที่วัดชิโนรสาราม กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงได้ย้ายไปอยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ ได้ลูกศิษย์รุ่นแรก 6 คน

    พ.ศ. 2505 อายุ 46 ปี ไปจำพรรษาที่วัดพรวน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาทเป็นเวลา 1 พรรษา

    พ.ศ. 2506 อายุ 47 ปี กลับมาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ภาวนาราม พอกลางเดือนมิถุนายน ก็ได้ลาพุทธภูมิ

    พ.ศ. 2508 อายุ 49 ปี จำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท แล้วเริ่มไป – กลับวัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เพื่อสอนพระกรรมฐาน

    พ.ศ. 2510 อายุ 51 ปี ได้สอนวิชามโนมยิทธิ แล้วจึงจำพรรษาที่วัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท

    เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงพ.ศ. 2511 อายุ 52 ปี ในวันที่ 25 มีนาคม จึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ได้ทำบูรณะ สร้างและขยายวัด จากเดิมมีพื้นที่ 6 ไร่ 2 งาน 07 2/10 ตารางวา จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ 289 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา มีอาคารและถาวรวัตถุต่าง ๆ จำนวน 144 รายการในวัด สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 611,949,193 บาท สิ่งก่อสร้างทั้งในวัดและนอกวัด อาทิเช่น หอสวดมนต์, พระพุทธรูป, อาคารปฏิบัติกรรมฐาน, ศาลาการเปรียญ, วิหาร 100 เมตร, โบสถ์ใหม่, บูรณะโบสถ์เก่า, ศาลา 2 ไร่, 3 ไร่, 4 ไร่ และ 12 ไร่, หอไตร, โรงพยาบาลศูนย์แม่และเด็ก ชนบทที่ 61, พระจุฬามณี, มณฑปท้าวมหาราชทั้ง 4, พระบรมราชานุสาวรีย์ 6 พระองค์, พระชำระหนี้สงฆ์, โรงไฟฟ้า, โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา, ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ เป็นต้น ทั้งยังได้ช่วยการก่อสร้างที่วัดอื่น ๆ ในประเทศไทยอีกมากมาย

    พ.ศ. 2520 อายุ 61 ปี ตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม

    พ.ศ. 2526 อายุ 67 ปี สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กชนบทที่ 61 และมอบให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

    พ.ศ. 2528 อายุ 69 ปี สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา

    พ.ศ. 2535 อายุ 76 ปี ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2535 เวลา 16.10 น. ปัจจุบันศพของหลวงพ่อได้บรรจุไว้ในโลงแก้วบนบุษบกทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรงดงาม ณ วัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี [2]
    ที่มา วิกิพีเดีย

    -30-ตุ.jpg
    -30-ตุ.jpg
    -30-ตุ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ลูกรักทั้งหลายขึ้นชื่อชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่มีการตายอีกต่อไป นั่นก็คือ พระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูก ว่าพระนิพพานสมาบัติจะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ….แต่ถ้าลูกรักของพ่อ ลืมความดีนี้เสียเมื่อไหร่ จิตใจไปพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในความโลภก็ดี พัวพันอยู่ในความโกรธ ความพยาบาทก็ดี พัวพันอยู่ในความหลงก็ดี เป็นอันว่า ลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางกันเดิน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่เวลาตายจริงๆ เราตามกันไม่ไหว หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะทำได้ คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือพยายามละทีละน้อย ปลดเปลื้องมันออกไป ไม่ช้ามันก็หมด
    ลูกรักต้องถือว่าอภิญญาสมาบัติที่พ่อให้ลูกไว้ เป็นสมาบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานมา ถ้าพ่อตายลงเมื่อไร ขอลูกจงถือว่าอภิญญาสมาบัตินี่แหละ คือชีวิตของพ่อที่อยู่กับกายกับใจของลูกตลอดเวลา คิดถึงพ่อคราวใด จงคิดถึงอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้ และลูกก็จงภูมิใจว่า ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่า นั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจนักว่า จะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดเป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยของลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหน ก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ

    นับแต่นี้เป็นต้นไป ขอลูกรักทั้งหลาย จงอย่าสนใจในร่างกายพ่อ และก็จงอย่าสนใจในร่างกายของลูก และก็จงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลใดทั้งหมด จงกำหนดจิตว่าไม่ช้าร่างกายนี้มันต้องสลายตัว เพื่อทำให้กำลังใจเป็นสุข

    ลูกรัก จงนึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ทั้ง 3 ประการ คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ 3 ประการนี้ให้ประจำใจของลูก ลูกจะมีความสุข และหลังจากนั้นจงปฏิบัติในศีล 5 ประการ ให้เคร่งครัด และปฏิบัติให้เป็นอัตโนมัติ คือเป็นปกติ จิตนี้คิดไว้เสมอว่า ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว ขึ้นชื่อว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการนั่นก็คือ พระนิพพาน

    ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงเห็นว่าชีวิตมีความหมายน้อยกว่าความดี เราเกิดมาแล้วคราวนี้ เราก็ต้องตาย ไหนๆจะตาย ขอให้เราตายอยู่กับความดีเท่านี้เป็นพอ และถ้าความดีนี้เป็นความดีสูงสุด ลูกรักทั้งหมดของพ่อก็จะไปนิพพานได้

    จากหนังสือ พ่อสอนลูก หน้า 2-3 โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    “จิตของเราถ้าหากนิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งเมื่อไร มันก็เป็นฌานเมื่อนั้น นี่มันก็ไม่มีอะไรยากถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็ง จะไม่ยอมเชื่อไอ้ตัวร้ายนิวรณ์นี่ ที่นี้ในเมื่อเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น ขณะที่พิจารณาก็มองดูแต่ขันธ์ ๕ อย่างเดียว และเวลาภาวนาก็จับเฉพาะลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนาว่า พุทโธ อันนี้นิวรณ์มันไม่กวน จิตเข้าถึงปฐมฌานทันที”

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    “บารมีเขาแปลว่า กำลังใจ มีบารมีแก่กล้าคือมีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน”

    -กำลังใจ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    “..คนเมาแต่ธาตุของตัวยังพอดี เรียกว่าทุกข์น้อย ถ้าเมาในธาตุของบุคคลอื่นด้วยเรียกว่าทุกข์หนักขึ้นไป ถ้ายิ่งเมาอยากจะมีลูก เมาอยากจะมีหลาน เมาอยากจะมีเหลน ก็ยิ่งหนักเข้าไปทุกที

    ของที่มันอยู่บนบ่าเราชิ้นหนึ่งก็หนักอยู่แล้ว ไปเพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่ง มันก็หนักเข้าไปอีกเท่าตัว เพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่งหนักเข้าไปอีก ของยิ่งหนักอยู่แล้วไปแสวงหามาให้หนักมากขึ้น

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนัก..”

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ฉบับ ๔๑๙ หน้า ๕๗

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ฝึกทรงอารมณ์

    “..อารมณ์ทรงสมาธิถึงแม้ว่าจะทรงไม่ได้นาน แต่ถ้าทำด้วยความเคารพก็มีผลมหาศาล ตามที่ทราบมาแล้วในเรื่องมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร แต่ถ้ารักษาอารมณ์ได้นานกว่ามีสมาธิดีกว่าจะมีผลมากกว่านั้นมาก การฝึกทรงอารมณ์ให้อยู่นานหรือที่เรียกว่ามีสมาธินานนั้น ในขั้นแรกให้ทำดังนี้
    ให้ท่านภาวนาควบกับรู้ลมหายใจเข้าออกหายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ดังนี้ นับเป็นหนึ่ง นับอย่างนี้สิบครั้งโดยตั้งใจว่า ในขณะที่ภาวนาและรู้ลมเข้าลมออกอย่างนี้ ในระยะสิบครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก คือไม่ยอมคิดอย่างอื่น จะประคองใจให้อยู่ในคำภาวนาและรู้ลมเข้าลมออก ทำครั้งละสิบ
    เพียงเท่านี้ไม่ช้าสมาธิของท่านจะทรงตัวอยู่อย่างน้อยสิบนาที หรือถึงครึ่งชั่วโมง จะเป็นอารมณ์ที่สงัดมาก อารมณ์จะสบาย จงพยายามทำอย่างนี้เสมอๆ ทางที่ดีทำแบบนี้เมื่อเวลานอนก่อนหลับและตื่นใหม่ๆ จะดีมาก บังคับอารมณ์เพียงสิบเท่านั้น ถ้าใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน จะสามารถทรงอารมณ์เป็นฌานได้เป็นอย่างดี..”

    วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    QQ พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ ๕ – (๑) QQ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไป ก็ขอได้โปรดสดับเรื่องราวของพรหมวิหาร ๔ สำหรับการเจริญพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอได้โปรดจงอย่าทิ้ง อารมณ์ของอานาปานุสสติกรรมฐาน หรือว่าคำภาวนาใดๆ ที่สามารถทำกำลังใจของท่านให้พ้นจากความฟุ้งซ่านของจิต หมายความว่า จิตเอาอารมณ์อื่นเข้ามาคิดแทน การฝึกสมาธิย่อมมีประโยชน์ ในการที่ให้จิตมีกำลังควบคุมด้วยอำนาจสมาธิ เมื่อจิตมีกำลังควบคุมด้วยอำนาจของสมาธิแล้ว เมื่อจิตเยือกเย็นปัญญาก็เกิด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ การเจริญพระกรรมฐานที่ทำกันได้ดี ก็เพราะว่า

    ถ้าจิตต้องการคิด เราก็หาทางคิดในขอบเขต ในวงการของกรรมฐานบทนั้นๆ ถ้าเห็นว่าจิตซ่านออกไป กำลังใจคุมไม่อยู่ อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมครูทรงแนะนำให้ทิ้งอารมณ์คิดเสีย หันมาจับอานาปานุสสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ถ้ากำลังจิตเป็นสุขทรงตัวดี ที่เรียกกันว่าเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์สบาย ใจไม่สอดส่ายไปหาอย่างอื่น ก็หันเข้าไปใช้การพิจารณาใหม่ เพราะทำกันแบบนี้ ผลดีจึงเกิด ถ้าหากว่าทำกันประเภทส่งเดชมันก็ใช้อะไรไม่ได้

    และอีกประการหนึ่งอารมณ์สมาธิก็ดี อารมณ์คิดก็ดี คิดไหมว่าต้องคิดอยู่ในขอบเขตของวงการกรรมฐานที่เราต้องการ ก็จงอย่ามีแต่เฉพาะเวลาที่เราใช้อารมณ์สงัด หรือว่าเวลาสงัด เช่นตั้งเวลาไว้ว่า เวลา ๒ ทุ่มบ้าง ๓ ทุ่มบ้าง ตี ๑ บ้าง ตี ๒ บ้าง ถ้าใช้เฉพาะเวลาอย่างนี้ละก็บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีผล กำลังใจของเราที่เรียกกันว่าสมาธิ คือการทางกำลังจิตให้มันคิดอยู่ในขอบเขตของกรรมฐานที่เราต้องการ ว่ากันตามปกติก็คือทั้งวัน ถ้าจิตเรามีงานอย่างอื่นก็ทำอย่างอื่นไป จิตว่างจากงานนั้นเมื่อไร ก็หันมาจับอารมณ์ของกรรมฐาน อย่างนี้ทั้งสมถะและวิปัสสนาจะมีผลกับท่านโดยรวดเร็ว และก็เกินคาด อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทใช้อารมณ์ฝึกมโนมยิทธิก็ดี ฝึกทิพจักขุญานก็ดี ที่ได้ยาก นั่นก็หมายความว่าทิ้งอารมณ์ คือไม่ทรงอารมณ์ไว้ นี่อย่างหนึ่ง และประการที่ ๒ เวลาที่กระทำ ตั้งใจคิดอยากจะไปเกินไป จัดว่าเป็นอุทธัจจะในนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้ไม่ได้ผล

    จาก หนังสือคู่มือปฏิบัติคู่วัดท่าซุง เล่ม ๒ หน้า๑๓๓-๑๓๓ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    qq-พรหมวิหาร-๔-ตอนที่-๕-๑-qq-ท.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...