เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #ประสบการณ์ตรง “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)” วัดจันทาราม (ท่าซุง) อุทัยธานี พบ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ภิกษุลึกลับปรากฎตัวในงานบุญ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    “พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อปาน” เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิง” และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิงดำ”

    พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครูบาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ เพียงเท่านี้ก็น่าจะการันตีรับรองความสามารถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิง ดำได้ว่าท่านจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน

    ย้อนมาถึงเรื่องราวของ “หลวงปู่เทพโลกดุดร” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลื่องลือมานานกว่า 70 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนาม เรื่องราวของพระภิกษุลึกลับก็ยิ่งแพร่สะพัดว่า คอยช่วยเหลือทหารที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายจนรอดตายมาได้ และถ้าจะกล่าวว่าผู้ที่นำประวัติพระอภิญญาลึกลับมาเปิดเผยจนกระทั่งโด่งดัง ท่านแรกๆ ก็น่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนี่เอง ท่านเป็นผู้เล่าเรื่องพระองค์ที่ 11 มาตั้งแต่ปี 2518 โน่น เนื้อเรื่องนั้นท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า…

    เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของท่าน เนื่องจากการรับนิมนต์ไปงานของคหบดีท่านหนึ่งที่ จ.ราชบุรี ทันที่ที่คณะพระรับนิมนต์ไปถึงบ้านเจ้าภาพท่านนี้ปรากฏว่ามีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งนั่งหัวแถวคอยอยู่ก่อน พระท่านอื่นๆ ที่สูงวัยกว่าก็งงแต่ก็ไม่ว่าอะไร เจ้าภาพเองก็งง เมื่อสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่คอยล้างเท้าพระก่อนขึ้นเรือนก็ ได้รับคำตอบว่าไม่เห็นท่านเดินผ่านมาเลย ไม่ทราบว่าขึ้นไปบนเรือนได้อย่างไรก็ได้แต่ งง!

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าต่อว่า เมื่อพระลึกลับลับรูปนั้นไม่ยอมขยับถอยลงไป ทางพระที่รับนิมนต์ท่านก็ไม่ว่า เมื่อเจ้าภาพเห็นว่าคณะพระที่รับนิมนต์ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปล่อยตามเรื่องเหมือนกัน เพราะเห็นเป็นเรื่องของพระ เมื่อเวลาพระจะให้ศีลให้พรนั้นปรากฏว่า เมื่อท่านเริ่มสวดขึ้นเสียงของท่านดังไพเราะอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวสวดมนต์สวดพรจบแล้ว จนกระทั่งฉัน ท่านก็ฉันเพียงนิดเดียว คือฉันข้าวคำเดียวเท่านั้น แล้วก็ลาญาติโยม เวลาลาท่านก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงบันได ตรงไปที่ทุ่งนาโล่งๆ ทุกคนมองตามกันหมด เพราะอยากรู้ท่านไปทางไหน พอท่านเดินไปสักพักทุกคนเห็นด้วยตาของตนเลยว่าร่างท่านหายไปในอากาศ เป็นที่น่าอัศจรรย์! นี่เป็นเรื่องของพระแปลกที่ออกมาโปรดญาติโยม

    เนื้อเรื่องเดียวกันนี้ “อาจารย์สิทธา เชตะวัน” ได้เล่าไว้อีกเหตุการณ์หนึ่งว่า ที่บ้านคหบดี จ.นครปฐม ลูกชายโชคดีจับได้ใบดำ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ท่านคหบดีดีใจมากจึงนิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้านทำบุญใหญ่ให้ลูกชาย งานนี้เมื่อถึงเวลาปรากฏว่ามีพระหนุ่มมานั่งหัวแถว เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่า พระที่มาได้รับนิมนต์มาถึงก็งงสร้างความไม่พอใจให้แก่พระเถระอาวุโสเท่าใดนัก เจ้าภาพก็ย้อนมาถามคนคอยล้างเท้าพระว่า พระหนุ่มลึกลับรูปนี้มาแต่ไหน ขึ้นมาได้อย่างไร คนคอยล้างเท้าก็ไม่ทราบเพราะท่านขึ้นไปบนเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทางเจ้าภาพไปเจรจากับพระลึกลับขอให้ท่านไปนั่งท้ายแถว พระลึกลับรูปนี้ก็กล่าวว่า “อาตมาอาวุโสที่สุดในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นอาตมานั่งในที่นี้จึงถูกควรแล้ว”

    เมื่อท่านยืนยันเช่นนั้นก็เป็นที่จนใจแก่เจ้าภาพและพระภิกษุรูปอื่นๆ ท่านเจ้าภาพต้องขอให้พระรูปอื่นๆ อนุโลมยอมตามกันไป สร้างความไม่พอใจแก่คณะพระที่มา ต่างสงสัยว่าพระหนุ่มรูปนี้จะเป็นพระจริงหรือเปล่าหน้าตาแบบนี้เป็นพระหรือเณรกันแน่

    ครั้นแล้วถึงเวลาพระให้ศีลสวดพระพุทธมนต์ เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทันทีที่พระหนุ่มลึกลับเริ่มสวดนะโมขึ้น ดินฟ้าอากาศก็เกิดวิปริต มหาเมฆใหญ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า จนมืดมิดไปหมด เสียงฟ้าร้องครืนคราน พร้อมๆ กันสายอสุนีบาติได้ฟาดลงมาหลายต่อหลายครั้งจนแสบแก้วหู เสียงของพระหนุ่มก้องกังวานใส เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นดูพระหนุ่มดังกล่าวก็ต้องอัศจรรย์ใจ เพราะบัดนี้พระหนุ่มรูปดังกล่าวกลับกลายเป็นพระชราอายุน่าจะร่วมร้อยปี รูปร่างสูงใหญ่ หูยานผิดคนธรรมดา

    เมื่อท่านสวดจบท้องฟ้าอากาศก็พลันแจ่มใสขึ้น ครั้งเวลาฉันท่านก็ฉันข้าวกับเกลือเพียงคำเดียว แล้วกล่าวว่าอาตมาต้องการมาโปรดญาติโยมทั้งหลาย ผู้ใดใคร่เป็นศิษย์อาตมาให้ไปในป่าแถบกาญจนบุรี ท่านพูดเพียงเท่านี้แล้วก็ลา การลาของท่านนั้นคือตัวท่านค่อยๆ จางหายไปในอากาศ จนหายไปหมดทั้งร่าง สร้างความตะลึงงันแก่ทุกผุ้ทุกคนรวมทั้งพระทุกรูปในงานนั้น นี่คือปาฏิหาริย์จากหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรตามบันทึกของอาจารย์สิทธา เชตะวัน

    ทั้งสองเรื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำและท่านอาจารย์สิทธา เชตะวัน คล้ายกันพฤติการณ์นี้น่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพระทรงอภิญญาหลวงปู่ใหญ่องค์ เดียวกันก็ได้ เพราะคล้ายคลึงกันอยู่มากทีเดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้น ท่านมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระอภิญญามากครั้งด้วยกัน แต่ท่านไม่ระบุว่าเกิดจาก “หลวงปู่โลกอุดร” มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับพระลึกลับซึ่งน่าสนใจมากคือ ท่านเล่าไว้ว่าสมัยหลวงพ่อปานท่านมีชีวิตอยู่นั้น ขณะที่ท่านคุมงานก่อสร้างเสนาสนะในวัดบางนมโค เคยมีพระลึกลับรูปหนึ่งตะโกนเรียก “หลวงพ่อปาน” ว่า “ไอ้ปาน” คนในวัดฟังเข้าก็ไม่ชอบคิดว่าพระรูปนี้เป็นใครกันจึงกล้ามาพูดเช่นนี้

    เมื่อหลวงพ่อปานท่านเห็นพระรูปนี้เข้า ท่านมีตาใน ท่านรู้ว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ปรากฏว่าท่านรีบเข้ามากราบทันที พระลึกลับรูปดังกล่าวก็ลูบหัวหลวงพ่อปาน แล้วสอนว่าถ้าจะทำอะไรแล้วนั้นให้บอกพระประธานก่อนนะ เสมือนว่าเรากราบทูลพระพุทธองค์ก่อน พระลึกลับรูปนี้เปลี่ยนจากท่าทีเกรี้ยวกราดเป็นเมตตาทันทีและเรียกหลวงพ่อปานว่า“ลูก” เมื่อถึงคราวลาท่านเดินออกไปกลางทุ่งแล้วหายตัวไปเลยเป็นที่อัศจรรย์ หลายคนเข้าไปถามหลวงพ่อปานว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ท่านตอบแต่เพียงว่าเป็นพระที่มีความสำคัญมาก สำคัญมากๆ ท่านตอบเพียงเท่านี้แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย

    ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าเอาไว้ เกี่ยวกับพระอภิญญาลึกลับ ที่นี้มาถึงการวินิจฉัยเรื่อง “หลวงปู่โลกอุดร” จากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าไว้อย่างนี้ว่า ท่านเคยสงสัยเรื่องหลวงปู่โลกอุดรเหมือนกัน จนกระทั่งได้เจอกับ “คณะหลวงปู่โลกอุดร” มีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว คณะหลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านเหล่านี้ล้วนเคยปรารถนาพุทธภูมิ มีบารมีแก่กล้ามาแล้วทั้งนั้น มาตอนหลังท่านถอนคำอธิษฐานด้านพุทธภูมิแล้วมาปฏิบัติหน้าที่ ดูแลพระพุทธศาสนาอย่างลึกลับ เรียกว่าคอยช่วยงานแบบปิดทองหลังพระ ท่านเหล่านี้จึงมีฤทธิ์อภิญญามากเป็นพิเศษ นี่คือที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวไว้ และสรุปได้ว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็เป็นท่านหนึ่งที่ยืนยันว่า หลวงปู่ใหญ่โลกอุดรนั้นมีจริง ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนแล้วลา อีกประการคือท่านมีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กล่าวยืนยันว่า หลวงปู่โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็คือ “อุตตระ” เป็นพระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ ความจริงท่านมากัน 2 องค์คือ “อุตตระกับโสณะ” ท่านมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแถบนี้หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ปัจจุบันท่านก็ยังอยู่ …ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท 4 สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง” คำว่ากัปหนึ่งไม่ใช่ 120 ปี แต่หมายถึงกัปที่มีความยาวนานเป็นล้านปี ท่านอยู่ด้วยอำนาจฌานสมบัติ ถ้าอธิษฐานเอาไว้ด้วยกำลังฌานกายสังขารท่านก็ดำรงอยู่ด้วย เรียกว่าอยู่ได้ด้วยฤทธิ์อิทธิบาทณานนั่นเอง

    ที่มา : ทิพยจักร,
    หนังสือบารมีเหนือโลกหลวงปู่เทพโลกอุดร

    69890278_2154023161376082_8110379941255708672_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...