เบื่อหน่าย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปัญญา ณ c, 26 มีนาคม 2014.

  1. ปัญญา ณ c

    ปัญญา ณ c เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +172
    แรกๆก็สนุกดีกับการได้ฝึกสติรู้ ได้ดับ จุดต่างๆ โกรธมาปุ๊ปรู้เลยหายเลย

    แต่พอตอนนี้ผมทำไมตัวเบื่อกำเริบ ถึงจะรู้ว่าเบื่อจนความเบื่อหายไป

    แต่อีกเดี๋ยวเดียวก็ผลุบๆมาเวลาเห็นการเกิดดับเกิดดับไม่จบไม่สิ้น

    มันเหมือนกับในแต่ล่ะวันผมต้องคอยรู้ตลอดเวลา ทุกๆเรื่องที่เข้ามามันเกิดดับเกิดดับไปไม่รู้จักจบ มันเหนื่อยๆอยากพัก
     
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ทำไมท่านปฏิบัติแนวทางคล้ายกับที่ข้าพเจ้าเคยปฏิบัติเลย คือโดดมาดูจิต ตามรู้จิตไปเลยว่ากำลังมีอารมณ์ใดปรากฏ ก้อใช้เจริญสติตัดอารมณ์นั้นๆเลย ..ปฏิบัติไปก้อเป็นอย่างท่าน แสดงว่าท่านต้องพักทำสมถะด้วยรึเปล่า จิตจะได้มีแรง.. ถ้าท่านทำถูกทำจริง ผลที่เกิดคือสติจะกลายเป็นสตินทรีย์ คือเมื่อเกิดความคิด สติจะตัดความคิดนั้นให้เลยอัตโนมัติ เผลอคิดไปอีกสติก้อจะตัดให้อีก (ตัดเองโดยไม่ต้องจงใจให้สติเกิด) และถ้ามีอารมณ์แรงๆเกิดขึ้นในจิต จิตจะวางอารมณ์นั้นลงทันที

    แต่ข้าพเจ้าก้อแนะหนทางอะไรให้ไม่ได้นะ เพราะเลิกล้มการปฏิบัติไปหลายครั้ง มันเลยไม่ปะติดปะต่อกัน บวกกับโรคชอบทำร้ายตนเองด้วย เลยยิ่งช้าไปกันใหญ่ เหอะๆ
     
  3. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ถึงที่สุดของความเบื่อหน่าย..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แม้เวลาผ่านไปมันก็จะเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้อีก จนกว่า..จนกว่าจะรู้เท่าทันความเบื่อหน่าย.....
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    วิธีพัก จะมีทั้งเดินหน้าต่อ หรือ ใส่เกียรถอย

    การใส่เกียรถอย ให้กำหนดรู้กลับมาที่ " ปิติ5 " อันเกิดจากกายคตาสติ
    การมีสติอยู่ที่กาย หากเป็นอานาปานสติ ต้องรู้ที่ลม อย่าถอยมาที่กายเนื้อ
    จะไม่พอดี จะเกิดทิฏฐิแทรก เกิดความเสียว ทำให้ผลิกไปข้าง อรูปฌาณ
    จะเสียเวลา

    ถ้ารู้ลมมาที่ลมคือกาย กายคือลม จะเห็น ปิติ ไปพร้อมกับการเห็นจิตสัดส่าย
    หากพอดีๆ จะเห็นเป็นอาการ ยิบๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่เป็นการเห็นความเกิดดับ แต่
    ไม่เกิดความรำคาญใจ ไม่เกิดการเหนื่อย เพราะ มันจะมี ความสุข อันเกิดจาก
    การไปเคล้าเคลียรปิติ ( ระวังการกำเริบไปวิตก วิจาร จะทำให้ เสียว หรือมี
    ทิฏฐิกระซิบหลอก ย้อมจิต เว้นแต่จะ ปัญญากล้า และ มุ่งตัดลูกเดียว ก็สู้ไป
    -- เรียกว่า ภาวนาที่ระดับปฐมฌาณ )

    สังเกตดีๆ มันจะมี ความสว่าง แต่ ความสว่างนั้นอย่าไปเพ่ง อย่าไปฉวยขึ้นมา
    ถ้าฉวยขึ้นมาจิตจะแฉลบไปรูปฌาณอีก เสียเวลาอีก

    เราจะเน้น จิตตั้งมั่น ตามเห็นความแปรปรวน เนืองๆ ที่เป็น เนืองๆแบบถี่ยิบ
    ลาออกไม่ได้ ไม่อยากเห็นไม่ได้ เดี๋ยวมันก็หายไปเอง แต่ถ้าไม่หายไปเลย
    ก็จะไม่มีปัญหาอะไร มันเป็น สิ่งที่เรียกว่า " ทรัพย์ "

    การแฉลบไปข้าง รูปฌาณ อรูปฌาณ แม้นจะพูดว่า เสียเวลา แต่ถ้ามันเกิด
    ขึ้น อันนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ มันเกิดของมันเอง เราจะเห็น ความเป็นอนัตตา
    ของ รูปฌาณ อรูปฌาณ .....ซึ่ง จะเป็นการ ควบการภาวนา สมถะ และ วิปัสสนา
    จะเคียงคู่กันไป จะมี องค์ฌาณเป็นตัวพิจารณาความแปรปรวน แทนการเห็น
    ยิบๆๆๆ

    ตรงนี้จิตจะเดิน ฌาณเพื่อพิจารณาเหตุ ของฌาณแต่ละตัว ด้วยการเห็นเป็น ภพ
    ที่หลอกเด็ก มันจะไม่ดับ หาก อัสมิมานะไม่ดับ ถ้าเห็น ภพ หรือ ดับอัสสมิมานะ
    ดับได้ ว่าเป็นประโยชน์ จิตจะเดินพวก ปฏิสัมภิทาญาณ

    *****************

    การใส่เกียรเดินหน้า คือ วิปัสสนาต่อ ....สามารถเดินต่อได้ ไม่มีปัญหาหรอก
    แต่เวลา จิตมันพอ จืตมันหน่ายวิปัสสนา มันจะพักของมันเอง จิตมันจะถอย
    เข้าไปเห็นแสง เห็นความโปร่ง เห็นความโล่ง แว๊บเดียว ไม่ใช่ วู๊บนะ แว๊บจริงๆ
    เหมือน " ฟ้าผ่า " แล้วก็หายไป นั่นจิตลงไปพักเรียกร้อยแล้ว หลังจากพัก
    มันก็มาวิปัสสนาต่อ แต่จะมีรสชาติไม่เหนือย มันเหมือนคนพึ่งพักมา พึ่งอาบ
    น้ำมา พึ่งกินข้าวมา มีแรงสู้ต่อ ซึ่ง อาจจะยาวต่อเนืองไปอีก หรือ แค่ไปอีก
    ไม่กี่อึดใจก็รวมอีก จิตพักเองอีก

    หากเป็นแบบนี้ ให้กำหนดรู้ สมถะ และ วิปัสสนา เป็นเพียง สิ่งถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิต

    ต้องกำหนดรู้ สมถะ และ วิปัสสนา เป็นเพียง สิ่งแปลกปลอม เข้ามาอีกที ถึงจะ
    ....ถึงจะ.......ถึงจะ........( เอาไป โยนิโสมนสิการเองนะ ตรึกไม่ได้ บอกไม่ได้
    อย่าพยายามจะเรียกชือ หรือ อยากรู้ว่ารู้อะไรเด็ดขาด )

    ถึงจะ รู้ว่า หญ้าปากคอก แท้ๆ น้อ !!! [ อย่าพยายามกำหนดหมาย อะไร นะ
    ไม่งั้น หญ้าปากคอก ก็เป็นเพียงของปลอม ]

    ************

    อนึ่ง พึงทราบว่า ถึงเวลาจริง จิตมันจะผลิกของมันเอง ไม่ได้เกิดจาก
    เจตนาปรุงการปฏิบัติ ดังนั้น บางครั้งเราก็ใช้ กายสักขีวิมุตติ บางครั้ง
    ก็ใช้ทิฏฐิปุตตะ บ้างครั้งก็ใช้ศรัทธาวิมุตติ ไม่ต้องไปนั่งรู้อะไรให้มาก

    การเห็นจิตแสดงการผลิกเองใน หนทางวิมุตติต่างๆ อันนี้ ไม่ต้องไปยกดูนะ
    ไม่เห็นหรอก เห็นยาก ผลิกไปแล้วจึงจะรู้ว่า เป็นอะไร บางครั้ง ผลิกไป
    แล้วก็ไม่รู้หลอกว่า พ้นไปได้ยังไง หรือเกิดอะไร ตรงนี้ สาวกจะรู้แค่ว่า
    ตนล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไร ได้แค่นั้น จะไม่มีทางรู้การเกิดดับของมรรควิธี

    อิงจาก พระสารีบุตร อัครสาวก ถกกับพระโมคคัลลานะ กับใครอีกท่าน
    จำไม่ได้ว่า ถกกันเรื่อง วิมุตติแบบไหนเลิศกว่า ซึ่ง พิจารณากันไม่ได้
    ต้องให้พระสัพพัญญูมาแจง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อีกกรณีหนึ่ง ไม่ต้องสนใจ เรื่องยิบๆ ยับๆ ข้างต้น

    แต่ให้ หัดสังเกตตอนที่ จิตบ่ายไปเสพโลก ไปจมโลก
    เรียกว่า จิตมันกำเริบกลับ

    ให้ยกเห็นเป็น ธรรมสองอย่างไปเลยก็ได้

    ชื่อจะยากหน่อย คือ กุปธรรม กับ อกุปธรรม

    ซึ่ง กุปธรรมมันหมายถึง การกำเริบกลับ กำหนดรู้แล้ว
    จะสามารถยกไปเห็น " เหตุ " อีก

    มันจะมี " เหตุ " เฉพาะตัวที่ เจ้าตัวไม่เคยเห็นเกิดดับ กับ เหตุ ตัวนี้เลย
    นึกไม่ถึงสุดๆ

    จะเป็นอะไรนั้น อันนี้จนใจ มีแต่สัพพัญูพระองค์เดียวที่รู้ได้ เจ้าตัวยังรู้ไม่ได้

    แต่ก็ไม่เกิน " ปัญญาอันยิ่ง "

    เช่น พระเถระในสมัยพุทธกาล ก่อนจะมานั่งทำกรรมฐาน ท่านตั้งจิตว่าจะต้อง
    กวาดลานวัดก่อน .....แล้วมีวันหนึ่ง จิตมันกุปกัปกุปกัป กำเริบกลับอยู่นั่น ไม่
    ข้ามสักที ท่านพิจารณาไปพิจารณามา เลยลุกไปกวาดลานวัด แล้วกลับมา
    นั่ง เท่านั้นแหละ ผึงเลย !!!

    หรือกรณีพระอานนท์ ทำเท่าไหร่ ก็กุปกัปกุปกัปอยู่นั่น ผลิกไป กายคตาอยู่
    นั่น ไม่รู้ทำไม เลย "หายใจทิ้งพลางลมตัวนอน" เท่านั้นแหละ ผึงเลย !!!
     
  6. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    อนุโมทนาบุญครับ
    ตรงนี้ผมเข้าใจแบบนี้ครับ อาจผิดก็ปล่อยผ่านหรือแนะนำทางเพื่อนเป็นประโยชน์กับผม หรือหากเป็นประโยขน์แม้น้อยนิดก็ดีใจแล้วครับ

    ไม่ยึดติด การรู้การเกิดดับ มีข้อแต่งต่าง

    "ผู้ไม่ยึดติด" เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่ง มีตัวตนเป็นผู้กระทำกริยาไ่ม่ยึดติด มักจะเหนื่อย

    "ความไม่ยึดติด" เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะไม่ยึดติดอยู่แล้วโดยตัวของมันเอง โดยไร้ความพยายามใดๆ

    คล้ายการเปลี่ยนเกียร์รถ ตามแบบ ตามวัดรอบ ตามไมล์รถ ตื่นตัวอยู่ตลอด
    กับรู้ตัวอยู่ตลอด เปลี่ยนเกียร์ตามความรู้สึก เป็นอัตโนมัติ
    ยินดีในบุญด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  7. thammakarn

    thammakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +376
    เฮาเคยติดอยู่หลายปี หลายปีจริงๆ

    เรื่องของเรื่องก็คือว่า สติมันไม่ทันกับอารมณ์
    บอกว่าสติเห็นเกิดดับเยอะแยะทั้งวัน
    แต่ทำไมถึงมองไม่เห็นการเกิดดับของความเบื่อหน่าย

    หยุดพักด้วยสมถะก็ดี เพราะเมื่อจิตสงบ ย่อมมีความแช่มชื่น ค่อยหาวิธีรับมือต่อไป

    แต่สำคัญที่การฝึกสติต้องเฉียบคมกว่านั้น
    เมื่อเราเห็นอะไรเกิดดับ ก็ต้องหัดสอนใจไปด้วยว่า ไอ้ที่เกิดแล้วก็ดับมันใช่เราไหม?
    ไอ้ความเบื่อหน่ายที่เกิดดับนี้ จิตนี้ควรจะลุกเข้าสู่อารมณ์ความเบื่อหน่ายไหม?
    ถ้าทันตรงนี้น่ะ
    ก็จบไปเปลาะนึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะไปเอาอะไรกับขันธ์...

    มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง เป็นธรรมชาติ ธรรมดาของมันแบบนั้นเอง

    จะไปบังคับให้มันไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่วิสัย

    เพราะ มันต้องเกิด มันต้องดับ มันต้องเปลี่ยนแปลง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้น

    หน้าที่ของเราต่างหาก ที่จะไม่เข้าไปยึดถือมัน จะได้ไม่ต้องไปทุกข์ กับการ เกิด ดับ เปลี่ยนแปลง ของมัน
     
  9. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ความเบื่อหน่ายนี่ละกุญแจ สู่การละวางขันธ์5 กายใจ อันเป็นของหนักนี้ลง....โมทนา
     
  10. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +143
    ที่ว่าเบื่อนี่ใครเบื่อเล่า
    ที่ว่าเหนื่อยนี่ใครเหนื่อยเล่า
    ท่านเบื่อเองรึเปล่า
    ท่านเหนื่อยเองรึเปล่า
    ถ้าเบื่อเองเหนื่อยเอง ก็แสดงว่า
    ท่านยังไปยึดเอาขันธ์5 ไปเป็นของท่านอยู่
    ถ้าท่านไม่ยึด ท่านจะเห็นเพียงว่า
    อารมณ์ทั้งหลาย ความรู้สึกชั่วดีทั้งหลาย ความเฉยๆ ความพอใจ ไม่พอใจทั้งหลาย มันเกิดขึ้นดับไปเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของขันธ์มันเท่านั้น แม้แต่ความเบื่อนี่ก็เป็นเรื่องของขันธ์มัน ความเหนื่อยอยากพักนี่ก็เป็นเรื่องของขันธ์มัน เบื่อได้ เหนื่อยได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราเบื่อเราเหนื่อย
    ขันธ์มันเบื่อ ขันธ์มันเหนื่อย มันเบื่อมันเหนื่อยเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน
    เป็นไปตามธรรมชาติของมัน สักแต่ว่ารู้ สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นก็พอ
    รู้ว่าอ้อ..มันเป็นอย่างนี้
    ชันธ์ทั้งหลายที่ยึดกันมันเป็นอย่างนี้
    โลกทั้งหลาย ที่ยึดกันมันเป็นอย่างนี้
    มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เกี่ยวพัน เสื่อมถอย กันอย่างนี้อย่างนี้
    แค่เข้าใจสภาวะชั่วคราวทั้งหลายเหล่านี้ได้ก็จบ ไม่มีอะไรให้เบื่อให้เหนื่อยแล้ว ก็มันเข้าใจทะลุเปรี้ยงหมดแล้ว ก็ไม่มีตัวตนอะไรไปรองรับความเบื่อความเหนื่อยนั้นแล้ว ถ้าไม่เจตนา ไปเจตนายึดเอากับสมมุติไว้อ่ะนะ
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    โอ๋ ๆ อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งเหนื่อยนะ
    มันเบื่อมันเหนื่อยเพราะในตอนนี้สิ่งที่เรารับรู้ยังเป็น"เรา" อยู่ เราควบคุมไม่ได้มันก็ทำให้หน่ายได้ เรื่องแบบนี้นักปฏิบัติก็ต้องผ่านกันมาทุกๆ ท่าน มันเป็นเรื่องธรรมดา
    ทำไปเรื่อย ๆ จนสิ่งที่เรารับรู้ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่เกิดดับตามธรรมดา เราที่รับรู้เป็นอีกส่วนหนึ่ง จนยอมรับในความเป็นจริง ความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติของมันได้แล้ว โดยที่ไม่คิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไร เพราะสิ่งที่รับรู้ไม่ใช่เราแล้ว พอถึงตรงนี้ก็ยังไม่หายเบื่อหรอกนะ จะเบื่อนักกว่าเดิมด้วย แต่ในความเบื่อมันจะมีความนิ่งสงบแทนนะ

    สู้ต่อไป หาทางใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ละ
     
  12. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    คุณเบื่ออะไร อะไรทำให้เบื่อ มันเกิด และดับ ไม๊ สลับไป หรือยังคงอยู่ ตั้งอยู่แล้วดับไป เรื่อย ๆ จึงรู้สึกเบื่อ เบือการเกิด การดับ เช่นนี้ใช่ไม๊ มีจิตไม่อยากดูหรืออย่างไร ท่านลองทำจิตให้สงบว่าง ๆ แล้วหาคำตอบดูนะ ที่เราเรียกกันว่าวิปัสสนานะครับ บางที่จิตพร้อมที่จะหาคำตอบการเบื่อ การเกิด การคงอยู่ และการดับ จนในที่สุดก็จะปลด ทำลายล้างวงจรการเกิดและดับได้ ขออนุโมทนากับท่านครับ จงพิจารณาอย่างมีสติ และค่อย ๆ ปลด ออก เอาออก ไม่ยึดถือ ขออนุโมทนาครับ
     
  13. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เราก็เบื่อ จะด่าใครก็ไม่ได้ เพราะรู้สึกผิด อีกใจคอยจะด่า อีกใจคอยจะเบรคว่าไม่สมควร อย่าทำ มันขัดกันวันละหลายๆครั้ง ไม่ว่าคิดจะด่าใครแช่งใครทำไม่ได้ดังใจนึกอะ แต่คนอื่นทำไมมันยืนด่าที่หน้าบ้านเป็นชั่วโมงเลย โดยไม่สำนึกบ้าง แค่บอกอย่าเอาขยะมาวางหน้าบ้านคนอื่น มันผิดนะ มันยังยืนด่าตั้งแต่ แปดโมงเช้าถึงเที่ยง อดรนทนไม่ไหวรักษาศีลแค่ครึ่งวันก็ได้วะ เปิดประตูออกไปด่าบ้าง แต่เราก็ด่าคำหยาบๆไม่เป็นเป็น แค่พูดว่ามึงหยุดเห่าได้แล้ว ถังขยะอย่าซี้ซั้ววางก็ไม่มีเรื่องละ แล้วก็ปิดประตูเข้าบ้าน ส่่วนมันก็ยืนด่าต่อ เจ็บใจจริงๆ จะด่าจะเช่งใครก็ไม่ได้ จิตมันไม่อำนวย อีกจิตด่าอีกจิตเบรค ก็ชักเบื่อเหมือนกันแหละ
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นี่คือการส่งจิตออกนอก การส่งจิตออกนอก มันไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้หรอก เพราะตัวการส่งออกนอกเอง นั่นแหละคือตัวทุกข์

    หากอยากพ้นทุกข์ ให้ฝึกมองกลับเข้ามาภายใน ดูสภาวะภายในจิตของตน
    แต่การจะระลึกรู้กลับเข้ามาในจิตของตนนั้น ให้เริ่มที่การทำความรู้สึกอยู่กับร่างกายของตนเสียก่อน เป็นฐานของการปฏิบัติของเรา นะครับ
     
  15. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เราเป็นผู้พิจารณาธรรมแล้วนะ เชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่แหมมันอยู่ยากจริงๆ ใครจะรู้จิตใจเราละ ชาวบ้านก็คอยยุอีก ทำไมปล่อยมันด่าเป็นชั่วโมง จริงๆเราก็สงสารมันนะ ที่มันเต้นเป็นชั่วโมงยืนด่าอยู่นั่นละ มีทุกอี เลย แต่มันด่าเป็นภาษาลาว ฟังไม่ออกหรอก ฟังออกแต่ คำว่า อีเล็กมึงแน่จริงออกนะ อีดอก สุดท้ายมันไม่รู้จะด่าอะไรอีก เลยด่าไอ้หน้าญี่ปุ่น เพราะเป็นจีน หน้าออกไปทางญี่ปุ่นเกาหลี ดีนะที่มันไม่ด่าไอ้หน้าเจ็ก คงเจ็บใจกว่านี้ ได้แต่นึกในใจดีกว่าเมิงละกันไอ้หน้าลาว บางทีก็ขำ บางทีก็สงสารมัน อย่างกะไส้เดือนโดนน้ำร้อน คนเรามันช่างทุเรศสิ้นดี เอาขยะมาวางหน้าบ้านผู้อื่น บอกอย่าวาง มันไม่งาม แค่นี้ มันด่าตั้งแต่ 8-12 จริงๆนะ เราด่ามันคำเดียว หยุดเห่าได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2014
  16. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เราได้แต่นึกนะ การด่าคนนั้นมันไม่อยากหรอก แต่การหักห้ามใจไม่ให้โกรธด่าตอบนี่มันยากจริงๆ มันยังคอยหลอนอยู่นั้นแหละ
     
  17. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ฟุ้งซ่านไปแล้วครับ
    ความเกิดดับมีไว้แค่ให้รู้แบบพอเข้าใจ
    ไม่ใช่ให้ไปตามรู้ตามดูตลอดเวลา
    รู้ เข้าใจ แล้วปล่อยวางครับ
    ถ้าปล่อยวางไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์
    ฝึกดูเพื่อรู้จะได้วางครับนี่คือจุดประสงค์
     
  18. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ลืมบอกไปว่ามีพระอาจารย์ท่านนึงเคยเตือนว่า การปฏิบัติแบบเรานี้ผิดทาง แต่ตอนนั้นเราไม่ได้เอะใจฟังท่านเลย ก้อที่เราแคลงใจเรื่องคำสอนของลพ.ปมงัย..นั่นแหละ
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....มันเป็นเรื่อง ของอินทรีย์:cool:
     
  20. ปัญญา ณ c

    ปัญญา ณ c เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +172
    จริงอย่างหลายๆท่านว่าครับ ผมรู้แต่ไม่ปล่อยวาง และผมยังยึดขันธ์5อยู่

    หรือถ้าปล่อยวาง ก็ยังคงเป็นสภาวะของผู้ที่ปล่อยวางอยู่

    ที่สำคัญผมชอบไปบังคับให้มันหายไปบ้าง บังคับฝืนตัวเองให้นิ่งไม่คิดอะไร เพราะกลัวหลงคิดมากกังวลไปกับความคิดต่างๆนาๆจนอาการทางประสาทกำเริบเหมือนที่ผ่านมา

    แต่ตอนนี้อาการเบื่อหน่ายก็ดีขึ้นมาครับ

    ต้องขอขอบคุณทุกท่านจริงๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...