เจริญสมาธอยู่สม่ำเสมอค่ะแต่สิ่งที่เจอนี้คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มณีดิน, 27 ตุลาคม 2015.

  1. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    มีใครเคยเป็นบ้างไหมคะ แบบนี้เขาเรียกว่า...ซิกเซ็นท์
    หรือเปล่าไม่ทราบค่ะ ในบางครั้งจะรู้อะไรล่วงหน้าก่อนเสมอ
    มาจากความฝันบ้าง มาจากเสียงกระซิบบ้าง เช่น
    จำได้ว่า หลายปีก่อน ที่ทำงานประจำอยู่ ตอนเช้าจะออกจากบ้านทำงานปรกติ
    วันนั้นรีบร้อนอย่างไรไม่ทราบพอออกจากบ้าน ไปสักพัก ก็มีเสียงกระซิบข้างหูบอกว่า ให้กลับบ้านด่วน
    ก็เลยรีบกลับแบบไม่รีรอ ปรากฏว่าพอเปิดประตูบ้านออกมา ควันโขมงเต็มบ้าน
    คือลืมปิดกะทะไฟฟ้าไว้ จนชามไหม้ดำ
    ครั้งนั้นทำเอาใจหายใจคว่ำ แต่ก็แปลกใจว่าเสียงบอกนี้คืออะไร
    อีกครั้งหนึ่ง ก็ขับรถมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี มีเสียงกระซิบข้างหูบอกให้หักไปทางซ้ายด่วน
    สัญชาติญาณหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้หักซ้ายทันที ปรากฏว่า
    มีรถมอเตอร์ไซด์ฝ่าไฟแดงมาตัดหน้าพอดี มาทางด้านขวามือ
    ถ้าไม่หักซ้ายก็ต้องปะทะกันแน่ ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่รอดมาได้
    ถ้าจะเล่าก็มีอีกหลายครั้งมากที่มาบอกทางความฝัน เช่นฝันว่าจะเจออะไรแล้วก็เจอจริงๆ
    เช่น ฝันว่า คนที่จะไปพบในวันพรุ่งนี้ เขาไม่อยู่หรอก เพราะไม่สบายนอนอยู่โรงพยาบาล
    ตอนเช้าก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่พอไปพบคนๆนี้ก็จริงอย่างที่ฝัน
    และอีกหลายครั้งหลายหนมาก เล่าไม่จบ เอาแบบย่อๆ บางเรื่องก่อนนะคะ
    เพราะมีอีกหลายเรื่องมาก ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ
    และอีกเรื่องที่สงสัยมากก็คือ ทำไมถึงเห็นหน้าคนบางคนจะรู้ได้ว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน
    และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้เลยว่า เขาจะต้องตายในไม่ช้า แต่เวลาที่เหลือกี่วันกี่เดือนนั้นไม่ทราบค่ะ
    รู้เพียงแค่ว่า เขาจะอายุไม่ยืนเช่นนี้เป็นต้น หลายศพแล้วค่ะ ถ้านับก็เป็นสิบกว่าคนแล้ว
    บางครั้งก็คิดว่า หรือเราผิดปรกติหรือเปล่า ความลับเรื่องนี้ไม่เคยบอกใคร
    ที่นีเป็นที่แรกค่ะ เพราะดิฉันเชื่อว่า มีอาจารย์เก่งๆหลายท่านที่อยู่ในพลังจิตจะตอบปัญหานี้ได้
    (เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้อย่างมากมายเป็นเหตุให้ ดิฉันจึงปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิมาตลอดค่ะ )
     
  2. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    เราไม่ใช่อาจารย์เก่งๆ หรอก นะ

    แต่ที่ตอบ เพราะ มีประสบการณ์มาเช่นนั้น เช่นกัน

    เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่เกิดขึ้นกับทุกๆคน ขึ้นกับคนๆนั้นว่า จะสามารถยอมที่จะรับรู้ สิ่งที่มากระทบนั้น ได้มากน้อยแค่ไหน และแปลสัญญานที่เข้ามากระทบนั้น ได้รวดเร็วและแม่นยำแค่ไหน และที่สำคัญต้องมีความสมเหตุสมผลในตัว จึงจะเป็นธรรม

    สัญญานพวกนี้ มีได้หลายลักษณะ ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบัน มาในรูปความฝันบ้าง ความรู้สึกเอะใจบ้าง
    ถ้าดีก็จะเป็นการเอื้อซึ่งกันและกัน ถ้าไม่ดีก็จะขวางเป็นปรปักษ์ต่อกัน
    และถ้าไม่แน่ใจ ก็พิสูจน์ ด้วยการเฝ้าดูนะ (ไม่ใช่ไปเข้าร่วมวงไพบูลย์กับมัน)
    ก็เท่านั้น มีเท่านั้นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ของเก่าสร้างมาดี ส่งผล พอชาตินี้ได้ปฏิบัติธรรมเพิ่มก็เลยส่งผลให้ของเก่าที่เคยสร้างมากลับมา ให้ผลครับ

    ไม่ต้องคิดอะไรมาก รับรุ้แล้วก็ปล่อยวาง มีอีกหลายคนที่เป็นแบบ จขกท ก็ใช้ชีวิตได้ปรกติ ครับ บางคนก็เปิดตัว บางคนก็เก็บไว้ แล้วแต่บุคคล

    ไม่ผิดปรกติหรอกครับ สบายใจได้ แต่ถ้าเอาไปคุยกับคนอื่นที่บ้าหรือไม่ใช่สายปฏิบัติ เค้าก็อาจจะคิดไปต่างๆนาๆ ได้ เหมือนนกกับปลาคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็แนะนำว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปเล่าให้ใครฟัง เพราะเค้าอาจจะเข้าใจเราผิดๆ ทำให้เราจิตตกได้ ถ้าภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงพอ ก็อาจจะจิตตกได้ครับ

    รู้อะไรก็ใช้ปัญญาพิจารณา ครับ เพราะว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่เคยสร้างไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนในอดีต ก็อย่าหวังว่าจะมีจะเห็นอะไรต่างๆในเรื่องพวกนี้ครับ

    ส่วนที่สงสัยว่าทำไมรู้โน้นรู้นี้ ก็เพราะว่า ฤทธิ์ทางใจ เราก็จะรู้ได้ครับ ไม่ผิดปรกติหรอกนะครับ สบายใจได้
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะมีปัญหาอะไรเลยนะ
    แต่ถ้าคุณสงสัยว่า สิ่งนั้นคืออะไร หรือใครกันที่มาบอกคุณ
    ผมก็จะตอบว่า สิ่งนั้นคือบุญ หรือกุศลกรรมดีที่คุณเคยทำไว้
    กลับมาสนองผลให้นั่นเอง บุคคลหว่านพืชเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น
    ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ส่วนผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เรื่อง ฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เขากำลังสอนธรรม ให้กับคุณเจ้าของกระทู้ ทราบไง ฮับว่า

    มันเป็น ของขี้ๆ คนธรรมดา ยังไม่ทัน ทำฮาอะไรเลย ก็สามารถ มีความสามารถ
    เหล่านี้ ได้

    ก็คน ธรรมดา ยังไม่ต้อง ทำฮาอะไรเลย ก็มี ความสามารถปานนี้ได้

    ไอ้พวก ที่นั่งฝึกนอน ฝึก รื้อของเก่า ดุจควักขี้ที่ตนกินไปนานแล้ว หมักหมม
    ไว้ในไส้ไว้นานแล้ว เอาออกมา ใส่ปาก อ้างความสามารถ บรรดามี มันจะ เฮียรับ
    ประทานขนาดไหน โง่ขนาดไหน

    ในเมื่อ เรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องบ้านๆ ของชาวบ้าน เขามีกันได้


    ดังนั้น

    เอามายก ขึ้นดู สรรพสังขารา เป็น อนัตตา ไปเลย เอามาเจริญปัญญาเข้ามา

    เวลา ไปรู้เห็นอะไร จะจริง หรือ เท็จ ให้สังเกต ใจที่มันฟู มันแฟ๊บ

    บางครั้งรู้จริง รู้ก่อน แล้วเจอ อ้าวจริง แล้วใจ มันฟู ไหม

    บางครั้งรู้จริงๆ รู้ก่อน แล้วเจอ อ้าวไม่จริง แล้วใจ มันแฟ็บ ไหม

    สังเกตมาที่ ใจฟู ใจแฟ๊บ ว่าทำไมมันเกิด หละ !!

    คนที่ไม่ยกวิปัสสนา ใจเขาก็ฟู เอาไป ทำกิจอะไรอู้ฟู้ ฉ้อฉล ไม่สนใจ วิปัสสนา
    คนที่ไม่ยกวิปัสสนา ใจเขาก็แฟ็บ เอาไป หากิจกลับมาอู้ฟู้ ฉ้อฉล ไม่สนใจ วิปัสสนา

    เพราะอะไร ....ไช่ไหมที่ จิตมันมีราคะกลุ้มรุมอยู่ จึงได้มี ใจฟู ใจแฟ๊บ

    หากจิตพ้น ราคะกลุ้มรุม มันจะ สะอาด สว่าง และ เป็น อะไรที่ใช่ บริสุทธิ์แน่นอน
    และนี่แหละ ญาณวิเศษ กว่าของ บ้านๆ ของชาวบ้านที่เขาละเมอกินขี้ จมของเก่า ไปวันๆ

    การพ้นราคะ ไม่มีใจฟู ใจแฟ๊บ แม้นการ รู้ซึ่งหนทางพ้นราคะ ก็ไม่ลำพอง สลัดคืนได้แม้น
    สัมมาญาณปัญญา นี่ใช่ไหม ที่เป็น บุญชอบ ชอบบุญ สัมมาบุญญาภินิหาร



    อ่านดีๆ นะฮับ ไม่ได้ให้เลิกฝึก ออกรู้ ออกเห็น

    ให้ฝึกออกรู้ ออกเห็น ด้วยความสามารถ จะหมั่นประกอบ หรือ สะเต๊ะนิ่ม ไปแบบนั้นแหละ ทำให้มากๆ
    แต่ให้ เพิ่มการดูใจฟู ใจแฟ๊ป ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่า การรู้ การเห็นนั้นจะเป็น สัมมา หรือไม่สัมมาก็ตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สมมตินะ สมมติ

    สมมติ จับพลัด จับพลู เกิด " เหาะได้โดยไม่ต้องฝึก " จะยกขึ้นดู ความเป็น
    ธรรมขี้ๆ ของบ้านๆ อย่างไร

    เวลาเหาะได้ ให้ถาม นกกระจอก ว่า

    " เออหนอพ่อ พ่อเห็นไหม เรามี วาสนาได้อย่าง พ่อนกกระจอกเลย ที่เราเหาะได้ "

    นกระจอก มันจะ งง หน่อยนะ เพราะ มันคงรู้ตัวรู้ตน ว่าเป็น นกกระจอก มีบุญเพียง เดรัจฉาน แต่บังเอิญว่า เหาะได้ ...มันคงไม่พูดมากนอกจากร้องว่า ก็แค่ " จิ๊บ จิ๊บ "


    พอนกมันตอบว่า " จิ๊บๆ " ให้ฟาดด้วยไตรลักษณ์ญาณเข้ามาเลย " สัพพสังขารา อนัตตา " หรือ จะ " อนิจจา หนอ " ก็ยังโอ

    ุถ้าไม่ลง จิตไม่ลง ยังคง เหาะ พร้อมด้วยอาการ ฮานาก้า นี่เราได้อะไร เป็นอะไร เหนือกว่าใคร

    ก็คงต้องใช้คำพระ ผมชอบคำพระ ราชรี ท่านจะถาม เบาๆว่า " มะอึง จะเหาะไปไหน !? " เป็นต้น
    แล้วตอบพระท่านว่า " จะเหาะไป...... " ก็ว่ากันไปตามกำลังสติ ปัญญา สัมปชัญญะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม: ถ้าเรื่องกสิณควรจะฝึกกองไหนก่อนครับ ?

    ตอบ: ตามที่หลวงพ่อท่านบอก ท่านบอกว่า เอา ตำรามาอ่านดูก่อน ชอบกองไหนมากที่สุดให้ทำกองนั้น ถ้าหากว่าชอบหลายกองให้ตั้งใจจุดธูปกราบพระ อธิษฐานว่ากองไหนที่ข้าพระพุทธเจ้าทำแล้วได้ผลเร็วที่สุดให้ชอบกองนั้นมาก ที่สุด ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะมีพื้นฐานเดิมอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นบางทีชอบหลายกอง

    ถาม: เคยไปถามพวกที่ฝึกมโน เขาบอกว่าชาติที่แล้วผมน่าจะได้กสิณไฟมาก่อนครับ เพราะตอนนั่งสมาธิถึงจุดหนึ่งมันเหมือนกับมันแตกเป๊ะๆ จากข้างล่างมาถึงข้างบน แล้วก็พอนั่งเป็นประจำจะได้ยินเหมือนอะไรดังปั้ง ?

    ตอบ: นั่นไม่ต้องไปใส่ใจมัน คือถ้าหากว่าเป็นกรรมฐานในอดีตที่จะได้ ถึงเวลาตัวนิมิตจะปรากฏขึ้นเอง อย่างเช่นว่าเคยได้กสิณไฟมันจะปรากฏเป็นเปลวไฟขึ้นมาเอง ถึงเวลานั้นเราก็จับภาวนาต่อไปเลย แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงจุดนั้นกำลังยังไม่พอ อารมณ์ใจเรายังไม่เข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองที่ทำอยู่ นิมิตใหม่มันก็ยังไม่มา พอมันเข้าถึงที่สุดกำลังมันเต็มแล้วได้กองใหม่ก็จะมาเอง

    ถาม: อย่างหนูไม่รู้ว่าจะชอบอะไร ไม่ต้องฝึกก็ได้ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ไม่ต้องฝึก...ได้จ้ะได้ แต่คราวนี้ลุงพุฒ แกจะตกลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดโอกาสที่เราจะพลาดลงอบายภูมิมันเยอะ อย่างน้อยๆ จะต้องลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องยึด ลมหายใจเข้าออกป้องกันความฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด ขณะที่จิตใจ ฟุ้งซ่านไปอารมณ์ที่อื่น ถ้าเราผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกมันก็ไม่ไปหาความลำบากเดือดร้อนให้กับเรา ไม่อย่างนั้นมันก็ให้เราคิดโน่นคิดนี่พาให้เราทุกข์ ไปนั่งซ้อมเอาทุกวันๆ ตรวจสอบความก้าวหน้าตัวเอง




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ที่มา..
    http://palungjit.org/threads/จะฝึกกสิณกองไหนก่อนดี.157415/
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าไม่เคยฝึกอภิญญามาก่อน หากมาฝึกในชาตินี้จะสำเร็จหรือไม่ ?

    --------------------------------------------------------------------------------






    ถาม : คนที่ทรงอภิญญา จำเป็นหรือไม่ที่ต้องสั่งสมบารมีมาก่อนถึงจะฝึกได้ ? และถ้าคนไม่เคยฝึกมาก่อน จะฝึกเอาดีในชาตินี้จะสำเร็จหรือไม่ ?

    ตอบ : การจะฝึกอภิญญาสมาบัติหรือกรรมฐานใดๆ ก็ตาม ต้องมีพื้นฐานมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถ้าใครจะเริ่มต้นชาตินี้ก็อีกประมาณสัก ๔ - ๕ แสนชาติ น่าจะเริ่มได้เห็นผลบ้าง..!

    พวกเราที่นั่งที่นี่ทั้งหมด ต้องเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่เคยทำมาจะไม่มานั่งอย่างนี้ ป่านนี้ก็ไปหกคะเมนตีลังกาสนุกสนานอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕


    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


    http://palungjit.org/threads/ถ้าไม่เคยฝึกอภิญญามาก่อน-หากมาฝึกในชาตินี้จะสำเร็จหรือไม่.407219/
     
  9. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    คุณเอกวีร์ตอบได้ชัดเจนดีจัง ใช่เลยที่ว่า นักปฏิบัติเจอพบเห็น ด้วยอายตนะ ย่อมเป็นเรื่องปรกติวิสัย แต่ที่เห็นไม่จริง รู้ไม่จริง ที่ยังไม่ทันได้ปฏิบัติ คนพวกนี้เยอะจริงๆ ขอบคุณค่ะ จะรู้แล้วเฉยไว้ ไม่ต้องอวด แต่สงสัย ว่าใช่อย่างที่คิดหรือไม่ อยากรุ้ว่าคนอื่นๆที่ปฏบัติมีสัมผัสแบบนี้ไหม แค่ที่พลังจิตที่นี่ก็มีมากมาแล้ว ที่จริงมีเยอะกว่าที่เล่า แต่ขอเก็บไว้เป็นปัจจัตตังเฉพาะตน เก็บไว้สนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ค่ะ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พระพุทธศาสนา เป็น ศาสนาที่อัศจรรยนะ

    บางที่ เราไม่ต้องฝึก ไม่ต้องลงมืออะไร อาศัยเพียง ศรัทธาที่ใสแจ๋ว "ชอบบุญ"
    แบบว่า อ่านประวัติ หรือ ทราบจรณะ ของ เอทัคคะ หรือ อริยสงฆ์ องค์นั้น องค์นี้
    มีปฏิปทาอย่างนี้ มีความสำเร็จอย่างนี้ มีการก้าวข้ามความสำเร็จเหล่านั้นได้เบ็ดเสร็จ
    ไม่เผลอเพลินในธรรมวิจิตรเหล่านั้นได้ ช่างสุดยอด

    แค่เพียง กระทำอัญชลี อุปการะ หรือ แค่ นั่งใกล้(ด้วยจิตเลื่อมใส ศรัทธา) เท่านี้
    ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็น " ญาณลาภีบุคคล "

    คือ จิตรวมแค่ ละราคะสัญญา มีปฐมฌาณเป็นที่ โคจรของจิต อำนาจ ญาณลาภี
    ก็จะมา แสดงธรรม ให้เรา อาศัยระลึกดูใจฟู ใจแฟ๊บ เพื่อ ก้าวผ่าน สำรอกออก
    ได้อย่างท่าน เนืองๆ



    ปล. กรณีเป็น ญาณลาภีบุคคล เวลา จิตเรามันส่งออก มันแสดงกริยาศรัทธาใสแจ๋ว
    มันจะเหมือน เราพบเจอท่านตรงหน้า อย่าเผลอไปสำคัญว่า ท่านมาปรากฏตรงหน้า
    ให้ ย้อนดูใจตนว่า สิ่งเหล่านั้น คือ ศรัทธาที่ออกมาจากจิตตน ไม่ใช่มีใครมาสอน
    มันถึงจะ ยกขึ้นดูใจฟู ใจแฟ๊บได้

    หากไปสำคัญว่า มี บุคคลอื่นมาสอน ไม่เอา จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่งของตน เป็นใหญ่
    ร้อยละร้อย จะเสียของ จะผลิกศาสนา แทนที่ ตรัสรู้ชอบด้วยตัวเองเต็ม ภูมิ ปัจจัตตัง
    มันจะผลิกเป็น ขี้ครอกเต็มภูมิ มีนาย มีทาส มีคนมาสอน ล้มละลาย ก็เพราะ ไม่กำหนดรู้ ให้ถูกต้อง ตามธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระอาจารย์เล็กตอบคำถามเรื่อง "คนที่รู้ความคิดของคนอื่น"

    [​IMG]

    ถาม : ความคิดของทุกคนที่เข้ามา มีแต่แย่ ๆ ?

    ตอบ : เก็บไว้เป็นบทเรียนว่าเราจะไม่คิดอย่างนั้น ไม่พูดอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น คนอื่นเขายังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร เขาถึงคิด ถึงพูด ถึงทำอย่างนั้น

    ถาม : ไม่ได้ต้องการจะฟัง แต่ควบคุมไม่ได้ ?

    ตอบ : ถึงได้บอกว่าฟังไว้เฉย ๆ อย่าไปคิดต่อ อย่าไปฟุ้งซ่านต่อ อย่าไปตำหนิใคร ถือเป็นธรรมดา รู้ก็คือรู้ ในเมื่อเราทำไว้อย่างนี้ เราจำเป็นต้องรู้ก็รู้ไว้ รู้แล้วอย่าไปใส่ใจก็หมดเรื่อง ถ้าไปใส่ใจไปครุ่นคิดเข้าเดี๋ยวเราจะไปเครียดเอง ไปแบกโลกแทน มีคนเขาบอกว่าโลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก ไปแบกโลกแทนคนอื่นเขาเราก็หนัก

    เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ที่ตัวเอง ในเมื่อเราเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจความคิดเขา ก็หมดเรื่องแล้ว น่าจะมีเครื่องมือที่จับครอบเอาไว้ได้ จะได้ไม่ต้องไปฟังความคิด

    ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปฟังความคิดเขา ?

    ตอบ : เราลองนึกถึงเรดาร์สนามบิน เขาเอาไว้ควบคุมการบินของเครื่องบินใช่ไหม ? นกกากี่ตัวเข้ามาก็รู้หมด แต่เขาเจาะเอาเฉพาะเครื่องบิน ถ้าไปสนใจนกพวกนั้นก็ประสาทกินตายพอดี เราก็ต้องใช้วิธีนั้นแหละ เลือก เฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ในเมื่อเราไม่สนใจอย่างอื่น พอความชำนาญมีมากขึ้น ก็จะรู้ว่าควรจะละอันไหน ควรจะรับอันไหน อันไหนที่ดีเหมาะสมควรกับกาลเวลานั้นก็รับไว้ อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้งไป ฉะนั้น..ท่องไว้ว่า อันไหนเราจะรับ อันไหนเราจะละ เดี๋ยวพอทำได้คล่องตัวก็จะสนุก เหมือนกับเลือกเพชรพลอย อันไหนดีเราชอบก็เก็บไว้ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งไป มีเฉพาะพวกนกกาก็ยังดี บางทีดันมีคนโยนถุงขยะมาอีก เครื่องดีก็รับได้หมดแหละ

    อารมณ์ใจตอนนี้ ให้จำไว้ว่า เป็นอารมณ์ที่เราไม่รับข้างนอก แต่ถ้าเราตั้งใจมากกว่านี้นิดเดียวจะรับได้ทันทีเลย มี ๒ อย่าง ก็คือ ถอยออกมาให้อยู่ในช่วงนี้ หรือไม่ก็พุ่งเข้าไปลึกกว่านี้ เหมือนอยู่คนละช่องคลื่นก็รับกันไม่ได้แล้ว

    ถาม : ถ้าตั้งใจเมื่อไรจะหายไปหมดเลย ?

    ตอบ : ถ้ากำลังใจลึกเกินไปจะไม่รู้ ถ้าตื้นเกินไปก็จะไม่รู้ เราต้องปรับของเราเอง ที่ผ่านมาเรายังปรับไม่เป็น

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕

    เนื้อหาและภาพ : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
  12. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มีทิพจักขุญาณ รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตังสญาณ รู้สั้น ๆ

    พระอาจารย์ กล่าวว่า "การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณ ที่เรียกง่ายๆ ว่า ตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น

    ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่ง ก็คือ อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว และ เตโชกสิณ กสิณไฟ

    แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำ ก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคตเขาก็ไปดูในอ่างน้ำ อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถาม หลวงพ่อวัดท่าซุง แล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้ อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็น ทิพจักขุญาณ ด้วย เพราะฉะนั้น..ใครทำอาโปกสิณจะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ...

    แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึก มโนมยิทธิ จะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อตีตังสญาณ

    รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตังสญาณ รู้ปัจจุบัน เรียกว่า ปัจจุปันนังสญาณ รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไรและจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ"

    "ทั้งหมดเกิดจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว แค่เปลี่ยนวิธีใช้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าต้องการ ก็ลองใช้ ๒ อย่าง อย่างแรกลองฝึกมโนมยิทธิดู ที่วัดท่าซุงมีสอนทุกวัน บ้านสายลมทุกเสาร์ - อาทิตย์ต้นเดือนก็มีสอน

    ถ้าฝึกเองก็ใช้กสิณ เพ่ง สีขาว เพ่งแสงสว่าง หรือลูกแก้วก็ได้ หรือไม่ก็เพ่งไฟ พออารมณ์ใจทรงตัว ภาพกสิณจะติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เราก็เอาสติช่วยประคับประคองไว้ จนภาพกสิณนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ก็ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ ให้เล็กดู

    ถ้าใหญ่ได้เล็กได้ มาได้ไปได้ ก็อธิษฐานขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ได้ ใช้ความพยายามหน่อยจ้ะ ไม่กี่ชาติก็ได้แล้ว..!

    การฝึกปฏิบัติเป็นการสั่งสมบารมี ไม่สำเร็จรูปเหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อไปซื้อเอา เพราะฉะนั้น..ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป ต้องการอะไรตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำ ให้ลืมความต้องการนั้นเสีย เรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียว ถึงเวลาผลจะเกิดเอง

    เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยของเราไป ดูแลกำจัดวัชพืช กำจัดหนอนแมลงไป ถึงเวลาต้นไม้ก็ออกดอกออกผลเอง ไม่ใช่เราไปเร่ง ดึงยอดให้โตเร็ว ๆ หน่อย แบบนั้นเดี๋ยวก็ตายคามือ..!"


    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2833&page=5
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มโนมยิทธิ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (๒/๗)

    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on June 13th, 2010 Comments Off

    [​IMG] <center>อนาคตังสญาณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน</center>
    อนาคตังสญาณ นี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็นทิพจักขุญาณนั่นเอง คือ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเรา และรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ เราก็ใช้กำลังของ มโนมยิทธิที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิพจักขุญาณดูก็ได้


    <center>อนาคตังสญาณ</center>
    อนาคตังสญาณ นี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็น ทิพจักขุญาณ นั่นเอง ก็รวมความว่า เราปฏิบัติใน ทิพจักขุญาณ อย่างเดียว เป็นผลมาจากมโนมยิทธิ เราก็รู้อนาคตได้
    อนาคตังสญาณ คือ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเรา และรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ และอยากจะทราบว่า (ถ้าเป็นคนไทยนะ) ประเทศไทยข้างหน้า จะเป็นอย่างไร จะหมดสภาพความเป็นไทยไหม ถ้าสงครามเกิดขึ้น (เวลานี้สงครามก็ล้อมรอบประเทศไทย)
    อ่านหนังสือพิมพ์พบ ปรากฏว่าญวนยกทัพเข้ามาประชิดไล่เขมร แต่ติดเขตไทย และทางด้านลาวก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ คือ กลางแม่น้ำโขง ทางด้านจังหวัดน่าน เขาก็ชิดเข้ามา ทางด้านตะวันตกก็ไว้ใจไม่ได้ ทางด้านใต้ ตะวันตก ตะวันออกก็ไว้ใจไม่ได้ รวมความว่าในทะเลหลวง เราก็ไว้ใจไม่ได้
    อยากจะรู้ว่า ในสถานที่รอบประเทศมีอะไรบ้าง เราก็ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิพจักขุญาณ ดูก็ได้ ดู อนาคตังสญาณ ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะวุ่นวายขนาดไหน ใครจะเป็นอะไรบ้าง อันนี้เราต้องการ…ทราบได้
    ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปดูสถานที่ตั้ง ทิพจักขุญาณ เราก็ทราบ เห็นสถานที่ตั้งได้ แต่มันไม่ชัดนัก ไม่แน่ใจ ไปให้มันถึงที่ โดยใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปในที่ตั้งของเขาเลย เขาตั้งกองทหารอยู่ที่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง และมีกำลังเท่าไร บางทีเห็นแล้วจะตกใจ เพราะอาวุธของเขามากมายเหลือเกิน ของประเทศไทยเรามีไม่เท่าเขา
    กำลังคนไม่สำคัญ ความสามารถสำคัญ ความฉลาดสำคัญ ความสามัคคีสำคัญ ที่เราจะทรงความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่ได้ เราทราบ
    เราทราบถึงการปะทะ ระหว่างทหารไทยกับทหารข้าศึก ว่ามีสภาพเป็นอย่างไรในวันหน้า เราก็ทราบ จะได้สร้างความสบายใจให้ปรากฏ
    เรื่องการทราบข้างหน้านี่ การพูดอย่างนี้ ไม่ได้สอนธรรมะกันอย่างเดียว มันเป็นเรื่องประวัติของผมด้วย แต่อย่าลืมนะครับ ไอ้เรื่องการทราบข้างหน้านี่ผมกลายเป็นคนบ้ามาหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมก็พูดเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ว่า “ในประเทศไทยมีน้ำมันมหาศาล มีทั้งแกสทั้งน้ำมัน” เวลานั้นกลิ่นคาวน้ำมันยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏตามเสียงผมพูด คือ มีเสียงย้อนเข้ามาถึงหูว่าผมบ้า
    <center>เขาหาว่าผมบ้า</center>
    ผมก็เลยนั่งนิ่ง ๆ ใครจะว่าดี ใครจะว่าชั่ว เป็นเรื่องของท่านผู้นั้น จะมีความ เห็น เราไปทำลายความเห็นกันไม่ได้ เรามีสิทธิ์จะพูดตามความที่เรารู้เราก็พูด ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิจะด่าจะว่า เป็นเรื่องของท่าน
    ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อย่าลืมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก วัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น หิน ปูน เป็นต้น ก็ยังถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเอง ก็ยังถูกนินทา เขานินทายังไม่พอ เขายังด่าพระองค์ต่อหน้าอีกด้วย
    ฉะนั้นทุกคนให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสะดุ้งอย่าไปสะเทือน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขานินทา เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาติเตียน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราก็ทำตามเรื่อง เราอยากจะทำอะไรตามความรู้ของเรา เราก็ทำ ท่านอยากจะด่าเราตามความรู้สึกของท่าน ท่านก็ด่า ให้เป็นเรื่องของท่านไป
    <center>ได้รู้วิถีชีวิตของเราเอง ว่าข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร</center>
    อนาคตังสญาณ นี่มีประโยชน์มาก ได้รู้วิถีชีวิตของเราเอง ว่าข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เวลาที่เรายังไม่ตาย ปีไหนจะมีสภาพเป็นอย่างไร จะป่วยไข้ไม่สบายเป็นยังไง จะมีความดี จะมีคนชม จะมีคนติเป็นยังไง ชีวิตเราจะรุ่งเรือง หรือจะซบเซาเป็นอย่างไร เราต้องการรู้ รู้แล้วก็บันทึกไว้ อย่าพูดไป รู้ไว้คนเดียว กาลเวลามันยังไม่ถึง ทางที่ดี รู้ยาว ๆ และก็ รู้สั้น ๆ ด้วย
    คำว่า รู้ยาว ๆ หมายความว่า รู้ข้างหน้าไกลออกไปหลาย ๆ ปี หรือตลอดชีวิต และก็ รู้สั้น ๆ ก็วันสองวัน ห้าวันหกวัน เก้าวันสิบวัน นี่สำคัญมากเป็นเครื่อง วัดระยะยาว ที่เราเข้าใจ มีความรู้สึก มันจะถูกจะต้องไหม ถ้าระยะสั้นถูก ระยะยาวมันก็ถูก ถ้าระยะสั้นไม่ถูก ระยะยาวก็ไม่ถูก นี่ให้มีความรู้สึกตามนี้
    แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราก็รู้เรื่องของเราไป ถ้าระยะสั้น ระยะยาวมันถูกหมด เราก็ดูอนาคตไกลแสนไกล นั่นคือ ตายไปแล้ว เราตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ก็วัดกำลังใจของเราไว้ด้วย ตายไปแล้ว จะไปอยู่สวรรค์ หรืออยู่พรหมโลก หรือว่าไปนิพพาน
    หรือว่าสถานสามสถานไม่เป็นที่พอใจ เราอาจจะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะถอยหลังไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ดูกฎของกรรมที่เราทำ มันจะให้ผลไปไหน อันนี้เราก็ทราบ
    <center>เมื่อเราทราบเรื่องของเราได้ เราก็ทราบเรื่องของคนอื่นได้</center>
    ว่าคนที่เราสัมผัส ที่เราคบหาสมาคม เขาจะดี หรือเขาจะเลว เวลานี้เขาดี เวลาหน้าเขาเป็นอย่างไร
    ไอ้ผมน่ะมันก็เป็นคนจัญไร เรารู้แล้ว ความจริงเราเฉย ๆ ไว้ดีกว่า ความเมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนเหมือนกัน ถ้าเมตตาไม่ถูกทาง และผมก็เคยผ่านมาแล้ว ให้ความเมตตาปรานี แต่ความดีไม่ปรากฏ สิ่งที่สะท้อนย้อนหลังเข้ามา คือ เพื่อนเลวไม่ต้องการ พอดีแล้ว เขาลืมเลย อันนี้เยอะ
    แต่ต่อไป ความเร่าร้อน ความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เกิดขึ้น ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น พอย้อนถอยหลัง กลับเข้ามาใหม่ ทีนี้ทำอย่างไร ผมก็รับในฐานะที่ผมคิดว่า “ผมเป็นมิตรที่ดีของคนทุกคนและสัตว์ทุกประเภทในโลก”
    ผมถือว่า ผมจะเป็นมิตรที่ดี ตามกำลังใจที่ผมจะอดทนได้ แต่ว่าเรื่องการสงเคราะห์แบบนั้นก็เลิกกัน ถืออุเบกขา ถ้ามาถาม ก็จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างวางหมด ผมก็วางจริง ๆ ครับ วางหมด หมายความว่า ผมไม่ยุ่งกับเรื่องของใคร ใครเขาจะดี เขาจะเลว เป็นยังไง จะพยากรณ์ให้ไม่มีอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมเข็ด
    <center>อนาคตังสญาณของคนอื่น</center>
    บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่มีกำลังศรัทธาในพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านก็ดี มีหลายประเภท บางท่านก็องอาจ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านก็นั่งขรึมอะไรของท่าน แต่ละคนจริยาไม่เหมือนกัน บางท่านก็มีความเมตตาปรานีโอภาปราศรัยดี บางท่านก็เงียบ
    เราก็ใช้ อนาคตังสญาณ ว่าพระองค์นี้ ถ้าตายจากความเป็นคน จะเป็นเทวดา หรือจะเป็นพรหม หรือจะไปนิพพาน หรือว่าท่านไม่อยากจะไป จะถอยหลังกลับไปโลกันตนรก อเวจีมหานรก หรือนรกขุมไหน เป็นเปรต เป็นอสุรกายก็ได้
    ใช้ อนาคตังสญาณ ดู ถ้าดูแล้ว เห็นแล้ว มีความเข้าใจแล้ว บันทึกไว้ วันหลังทำใจให้สบายลืมเรื่องเก่าเสียก่อน ลืมเรื่องที่บันทึกไว้ก่อน รวบรวมกำลังใจไปนิพพาน ถ้าจิตไปถึงตรงนั้น มันเป็นอุเบกขาจริง ๆ ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด จิตสะอาดมาก
    หลังจากนั้นก็ทิ้งเรื่องเก่า กราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ว่าคนนั้น ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ชีวิตในความเป็นมนุษย์ ชีวิตเมื่อตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้น สมเด็จพระภควันต์ ก็สามารถจะบอกได้ ท่านบอกได้แน่
    ก็มีคนหลายคนที่ท่าทางอีเหละเขะขะ ๆ ท่าทางมองกันแล้วไม่ค่อยจะดีนัก แต่ว่าความรู้สึกว่าเวลาข้างหน้าคนนี้จะดี แล้วเก็บความรู้สึกไว้ บางทีจะคิดว่าเราจะมีความเมตตาเกินไป แต่ว่าในที่สุดเขาก็ดีตามนั้น
    <center>ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง</center>
    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าใช้ อนาคตังสญาณ ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง ก็เคยพบมามาก ระยะใกล้ ๆ เห็นญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเอาเงินไปทอดกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง อันนี้ไม่ใช่ทั่วไปนะ อาตมาพบในสถานที่ใกล้จริง ๆ ของอาตมา พอกฐินเข้ามา ผ้าป่าเข้ามา ก็มีเหล้าเต็มศาลา เลี้ยงเหล้าเอะอะโวยวาย ได้ รับกฐินผ้าป่าที ห้าหมื่นหกหมื่น ถึงแสนก็มี ผ้าป่าทั้งปีรับหลายครั้ง คิดแล้วปีละเป็นแสน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย เงินหมด อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการทำบุญผิด
    ถ้าเราใช้ อนาคตังสญาณ หรือ เจโตปริยญาณ ก็ได้
    เจโตปริยญาณ ดูกำลังใจของบุคคลผู้รับผลทานจากเรา ที่เราไปทำบุญ หรือ ถวายเป็นทาน ทอดกฐิน ผ้าป่า
    แต่ว่า อนาคตตังสญาณ ดูข้างหน้า ว่าเงินจำนวนนี้ ถ้าเราไปถวายไว้ เงินจะไปไหนบ้าง เราก็จะทราบชัด
    ถ้ารู้ว่าเงินมันไปผิดทาง เราก็ไม่ให้เสียเลยก็หมดเรื่อง ไม่ทำ และก่อนจะไปจองกฐิน ก่อนจะไปบุ๊คสถานที่ที่เราทำบุญ เราก็ดูเสียก่อนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ อันนี้จะมีประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งหมด
    <center>ฝึกกำลังใจ ให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่ต้องการ</center>
    แต่อย่าลืมนะ รักษากำลังใจ ตามที่กล่าวมา ภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พยายามทรงเวลาให้มันทรงตัว จับให้ชัดเจนแจ่มใสไว้ อย่าลืม ฝึกกำลังใจ ให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่เราต้องการ
    ยามว่างเกิดขึ้นเมื่อไร ใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมทันที หรือ จับภาพพระพุทธรูปแก้วใส ที่เราใช้เป็นนิมิต ให้ติดตาติดใจไว้ตลอดเวลา
    <center>ต้องหัดทรงสมาธิตลอดเวลา</center>
    บอกว่าไม่มีเวลาจะทำ โถ… ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้เวลามาก นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ ยามปกติของผม สมัยที่ผมฝึก ผมเห็นของผมได้ตลอดวันตลอดคืน เว้นไว้แต่หลับ ถ้าเห็นภาพพระในอก เห็นภาพพระคลุมตัวผม ผมจะชื่นใจ จิตมีความสุข
    และการ ภาวนา นี่ ผมก็แปลกกว่าคนอื่นเขา อาจจะมีคนดีกว่าผมก็มาก นั่นคือ เวลาเดินบิณฑบาต ผมแทนที่จะว่า พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น ผมล่อ อิติปิโส ทั้งบท ว่าทั้งบทนี่เราไม่ลืม ต้องพยายามนึกในใจเบา ๆ ช้า ๆ ให้เคลื่อนไปจนกว่าจะจบ จนกว่าจะเดินไปบิณฑบาต จนกว่าจะเดินกลับ จนกว่าจะเลิก เข้ามากลับถึงที่ นั่นแหละ ผมถึงจะเลิกภาวนา อิติปิโส ทำอย่างนี้จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัว
    เมื่อใช้บทยาว ๆ ภาวนา ธุระที่จะคุยมันก็คุยไม่ได้ ถ้าคุยแล้วภาวนาจะขาด เราก็เลยไม่อยากจะคุย ในเมื่อไม่คุย จิตคุมอารมณ์ ผลต่าง ๆ มันก็เกิดตามมาทั้ง หมด ญาณต่าง ๆ มันก็เกิดปรากฏขึ้น และการจะใช้อารมณ์เข้าคุยกับเทวดาหรือพรหม หรือใครก็ตาม จะใช้เวลาได้แบบตามสบาย ๆ และการนึกถึง อิติปิโส กว่าจะไปบิณฑบาตกลับ มันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย
    นั่นหมายความว่า หัดทรงสมาธิทั้ง ๆ ที่มีงาน อันนี้มีความสำคัญมาก นักเจริญสมาธิเฉพาะเวลาสงัด ใช้ไม่ได้.
    <center>ก่อนหน้า ๒/๖ อ่านต่อ ๒/๘</center> <center> </center> <center>มโนมยิทธิ ๒ อนาคตังสญาณ « ศูนย์พุทธศรัทธา</center>
     
  15. มณีดิน

    มณีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +537
    การที่เรารู้วาระของชีวิตคนอื่น เป็นธรรมะอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ
    บางคนเห็นหน้าเขาก็รู้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็รู้แค่เพียงบางคน ก็ได้แต่เก็บความรู้นี้ไว้ในใจ
    แล้วรอดูกรรมส่งผล เช่นนี้ คงเป็นธรรมะที่ท่านเจตนาสอนให้รู้สัจจธรรม ว่า เกิด แก่ เจ็บตาย เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าพิจารณา หยุดแค่ตรงนี้ จะเป็นเพียง จิตที่เดินถึง " เมตตา "

    เห็นเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    และ ด้วยอารมณ์เมตตา นั่นแหละ ที่ไปเปิด "อยาตนะ " ไปรู้ของเขา

    ทีนี้

    มันต้องเดินไปให้ถึง " อุเบกขา "

    อุเบกขา หากเดิน จิตถึง การปรารภ " ธรรม " จะเปลี่ยนคุณภาพ
    เป็น " สรรพสัตว์ล้วนมีการเกิด การตาย มีกรรมเป็นของตน "

    ซึ่งพอเดินจิตถึง อุเบกขา ให้สังเกต จิตที่มันจะอยู่ที่ " ฐาน "

    ฐานจิต หากรู้เข้ามาได้ มันจะ เห็นการ ข้าม เรื่องราววิจิตร โลกๆ
    ทั้งที่เป็นเรื่องของโลก และ อายตนะไปรู้โลก จะวางลงพร้อมกัน ไม่มี
    หน้าไม่มีหลัง ไม่มีค้างคา ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีล่าง ไม่มีบน ไม่มีลังเลในส่วนไหน


    จิตจะอยู่ที่ฐานจิต

    เพื่ออะไร

    เพื่อเห็นว่า ญาณความรู้นั้นไม่เที่ยง จิตเขาไม่เที่ยง เดี๋ยวเป็นผู้มีญาณ
    เดี๋ยวเป็นผู้ตรึก(ข้องโลก เข้าหาโลก) เดี๋ยวเป็นผู้คิด( จะสรรสร้าง โน้น
    นั่นนี่ เอง จะไปจัดการมันก่อนหน้า )

    ให้สังเกต ความแปรปรวนของจิต โดยมี ความตั้งมั่นเป็นคนดู อยู่อีกส่วนหนึ่ง

    หากยกได้บ่อยๆ ไม่จมไปส่วน เจโตสมาธิ หรือ ความฝุ้งทางธรรม(ปัญญา)

    ก็จะเห็น วิมุตติทั้งส่วนเจโต และ ปัญญา มีจิตตั้งมั่น เห็นทางสายกลาง

    เห็นต้นจิตคิด เห็นต้นทางปฏิบัติ เห็น สัมมาสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สายสาวกภูมิ ส่วนใหญ่จะยอมรับกฏแห่งกรรม ไม่ยุ่งกับกรรมผู้อื่น ไม่ฝืนกฏแห่งกรรม

    สายพุทธภูมิ ส่วนใหญ่จะชอบแหกกฏแห่งกรรมฝืนกฏแห่งกรรมช่วยเหลือผู้อื่น แล้วตัวเองก็ยอมรับกรรมแทนผู้อื่น

    ดังนั้นพิจารณาด้วยตัวเองครับ เรื่องบางเรื่อง การที่เราไปยุ่งเรื่องคนอื่น กรรมของผู้อื่นไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็อาจจะจิตตกได้ นะ

    ส่วนตัวผมก็จะบอกว่า ถ้าอยู่ในฐานะที่มีโอกาสช่วยได้ ก็ช่วย ถ้าเค้าไม่รับก็ปล่อยวางครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

    เช่น เจอคนเอาลูกแมวใส่กล่องมาปล่อยทิ้งไว้ แล้วก็มีหมากำลังกัดลูกแมวในกล่องนั้น ถ้าเราคิดว่า เป็นกรรมของเค้า ปล่อยไปตามกรรม ลูกแมวก็โดนกัดไส้แตกหมด
    แต่ถ้าชอบแส่กรรมผู้อื่น เข้าไป ไปช่วยเหลือ ก็เป็นการสร้างบารมี สร้างบุญกุศลกรรม ครับ

    ดังนั้นก็ต้องดูตาม้า ตาเรือให้ดีถ้าคิดจะขวางกฏแห่งกรรม

    แนะนำว่า จขกท ลองอ่านกระทู้นี้ดูครับ แล้วพิจารณาด้วยตัวเอง
    กดเบาๆ www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3379
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อายตนะ 6 ประการคือ การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางตะวันตกหรือพวกฝรั่งหลายประเภท จะไม่ไว้ใจการรับรู้ทาง ใจ และปฏิเสธการรับรู้ทางใจ เพราะมันไปปนกันกับ การมโนไปเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว พวกมโนเอาเอง มีอยู่เกลื่อนไปหมด แล้วมาอ้างเอาว่าเป็น มโนมยิทธิ พวกเหล่านี้ "ไม่นานย่อมไปอยู่ในโรงพยาบาล รักษาผู้ป่วยทางจิต"

    +++ อายตนะที่ 6 เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาอังกฤษเรียกว่า "เซ็นท์ที่ 6" (sense = อายตนะ) ทุกอายตนะ จะทำงานได้ดีและ "ตรงตามความเป็นจริงได้" ก็ต่อเมื่อไม่มีอะไรมา บดบัง ขวางทาง

    +++ เช่น "ตา" จะเห็นอะไรไม่ชัดในยามที่ มีฝุ่นผง หรือ ในยามเช้ามี ขี้ตา มาบดบัง "หู" จะฟังการพูดคุยไม่ชัดในยามที่เปิดเพลงเสียงดัง "จมูก" ในยามเป็นหวัดจะดมกลิ่นไม่ชัดเจน "ลิ้น" ในยามเป็นไข้จะรับรสชาติอาหารเพี้ยนไปไม่ถูกต้อง "กาย" ในยามภูมิอากาศไม่ปกติต้องใส่เสื้อแบบไม่ปกติ ก็จะทำให้ผัสสะพร่าเลือนไป

    +++ "ใจ" ก็เช่นกัน จะทำงานได้ตรงตามความเป็นจริงได้ ก็ต้อง "ไม่มีความคิดมาบดบัง" หรือ "ไม่มีมโนเอาเอง" เป็นต้น และในเบื้องต้น ในยามที่ "ไม่มีจิตส่งออก" ในยามนั้นแหละที่ "อายตนะใจ" จะทำงานได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าหาก "ชำนาญแล้ว" แม้ในขณะที่ "จิตส่งออก" อายตนะใจก็ยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์

    +++ ตรงนี้ผมเรียกมันว่า "จิตสื่อสาร" เป็นการสื่อสารของ จิตอื่น ที่สื่อสารเข้ามา ตรงนี้เป็นการสื่อสารของ "วจีจิตตะสังขาร จากจิตอื่น" สื่อสารมายัง "มโนจิตตะสังขาร ในจิตเรา" ในกรณีนี้อาจเป็น เจ้าที่เจ้าทาง คนผ่านทางที่รู้จักคุณ เพื่อนบ้านหรือใครก็ได้ที่รู้จักคุณ เมื่อผ่านมาเห็นเหตุการณ์ "ไฟใหม้" จิตของเขาเหล่านั้นจะ "ระลึกถึงคุณ โดยทันทีตามธรรมชาติทางจิต" และปรารถนาให้คุณกลับเข้ามายังเหตุการณ์ ตรงนี้ "เป็นจิตสื่อสาร ประเภท บันดาลใจ" แต่ส่วนใหญ่ "มักจะแฝงภาษา คำพูด มาด้วยกัน" ตรงนี้เป็น เหตุการณ์ธรรมชาติทางจิต

    +++ ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน ในยามที่ อายตนะ ใจ ไม่มีสิ่งปกปิด ก็ย่อมทำงานได้ "ตรงตามความเป็นจริง"

    +++ ค่อย ๆ ศึกษาด้วยการ "สังเกตุความเป็นจริง" ของ "อายตนะใจ" ไปเรื่อย ๆ ก็จะเฉลยปริศนาต่าง ๆ ได้ รวมทั้งเรื่องราว "หลังความตายและกฏแห่งกรรม (กฏเกณท์การทำงานทางจิต)" ได้เองตามธรรมชาติการทำงานของ อายตนะนี้

    +++ หากอายตนะนี้ บริสุทธิ์พอเพียง ให้สังเกตุวิวัฒนาการเอาว่า การก้าวข้ามพ้น "ภาษา" จะมาก่อน แล้วทุกอย่างจะรู้จักรู้เรื่องตรง ๆ "ตามอาการที่เกิดขึ้น" กับอายตนะนี้ จะตามมา

    +++ เมื่อถึงบริเวณนี้แล้ว ก็จะค่อย ๆ ทราบเองว่า "ความรู้สึกทางใจ เป็นภูมิ การเห็นภาพทางใจ เป็นภพ การกระทำที่ตอบสนองทางใจ เป็นกรรม (กิริยาจิต) รวมทั้งกฏเกณท์ของมัน"

    +++ เมื่อถึงขั้นตอนนี้แล้ว "หากไม่หลง ภพภูมิ" แล้วหันมาสังเกตุตรง ๆ ที่ "กิริยาจิต" ไม่นานก็จะหา "ผู้สร้าง" กิริยาจิตได้ ตรงนี้ผมเรียกมันว่า "อัตตาจิต หรือ ตัวดู"

    +++ ในยามใดที่ "สำเหนียก" ได้ว่า จริง ๆ แล้ว "ตัวดูนั้น มันถูกรู้ได้" ไม่นาน "ตัวดู" ก็จะถูกแยกออกไปจาก "สภาวะรู้" จนเหลือแต่ "รู้บริสุทธิ์" เท่านั้น

    +++ ส่วน "ตัวดู" ที่เคยเป็น "อัตตา" ก็จะกลายสภาพไปเป็น "อนัตตา" ด้วยตัวของมันเอง ตามกระบวนการธรรมชาติทางจิต

    +++ จากนั้นคุณก็จะเป็น "อิสระภาพ" จากการผูกมัดของ "ตัวดู รวมทั้ง กระบวนการทำงานของมัน"

    +++ หลังจากนั้นคุณก็จะรู้จัก "ความเป็นตัวของตัวเอง" ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาท ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง นะครับ
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    การแก้กรรม



    <hr style="COLOR: #998049; BACKGROUND-COLOR: #998049" size="1">ถาม : การแก้กรรมมีจริงไหมคะ ?

    ตอบ : การแก้กรรมมีจริง แต่บุคคลที่แก้กรรมให้ต้องรู้จริง ๆ สามารถติดต่อเจ้ากรรมนายเวรได้จริง ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาบอกให้ทำแบบไหนก็ทำแบบนั้นสิ่งนั้นก็จะพ้นไปได้

    อย่างเช่น บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกรรมอะไรบางอย่าง เขาต้องการทดแทนแบบไหน ก็ทำให้เขาไป อาการป่วยนั้นจะหายทันที ไม่ต้องรักษาอะไรก็ได้

    แต่อย่าลืมนะคนนั้นต้องรู้จริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริงอาจจะลำบากหน่อย โดนเขาหลอกได้ง่าย

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา : www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=74003#post74003

    ********************************************************************************************

    ขอยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติม (ป้องกันผู้อ่านบางคนเข้าใจผิด)

    เรื่องที่ ๑๒๑
    ท่านอายุวัฒนกุมารจะต้องตายเพราะอุปฆาตกรรม พระพุทธเจ้าทรงช่วยไว้จึงไม่ต้องเป็นสัมภเวสี


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน (โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    "..ท่านอายุวัฒนกุมาร เป็นลูกของพราหมณ์ พ่อแม่ของท่านมีเพื่อนเป็นพราหมณ์อยู่คนหนึ่งได้ทิพพจักขุญาณ ทราบข่าวว่าเพื่อนคนนี้จะเข้ามาในเขตเมืองก็พากันไปหา เมื่อคุยกันพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกชายอายุยังไม่ถึง ๗ ปี ให้แก่แม่ กราบลาเพื่อกลับ เพื่อนก็บอกว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า "ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด" เมื่อท่านพ่อกราบแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ขอให้ท่านมีอายุยืนยาวเถิด"

    แล้วจับลูกให้กราบ ท่านพราหมณ์ก็นิ่งเฉยไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่ก็สงสัยเลยถามว่า "เวลาที่ผมกับเมียกราบลาท่าน ท่านบอกว่า จงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมท่านจึงทำเฉยๆ" ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ก็ลูกของท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิด" เขาก็เลยถามว่า "ท่านรู้วิธีแก้ไหม" ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้ไม่รู้ คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียวคือ สมเด็จพระสมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตาย ก็ไปหาพระพุทธเจ้าเถิด ท่านแก้ได้"

    พ่อแม่ของเด็กทราบว่าเด็กจะตายภายใน ๗ วัน ก็ตกใจเพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายด้วย จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงก็ทำแบบนั้นที่ทำกับเพื่อนพราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ ตอนลูกชายกราบลา ท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่า "ลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน" เขาก็ถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้ พระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าก็บอกว่า "ถ้าต้องการแบบนั้นได้เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ อุปฆาตกรรมเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีของเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อนจะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาแล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่เวลานี้กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาลิดรอนจึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน" และพระองค์ก็ตรัสแนะว่า

    "พราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้า แล้วนิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกท่านก็จะไม่ตาย"

    พราหมณ์พ่อแม่เด็กก็กลับไปทำโรงพิธี นิมนต์พระไปนั่งล้อมโรงพิธีไม่ต้องใช้สายสิญจน์เพราะพระสมัยนั้นมีมาก เมื่อล้อมแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้างแต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวพอถึงวันที่เจ็ดพระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา และคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นลูกน้องของ ท่านท้าวเวสสุวัณ ตอนนี้เมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูทรงประทับนั่งตั้งแต่เริ่มต้นของวันจนที่สุดของวันคือ อรุณใหม่ เพราะว่าผู้ที่จะมาเอาชีวิตของเด็กเป็นยักษ์ที่ได้รับพรจากท่านท้าวเวสสุวัณ ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้นเมื่อมาคอยอยู่ ๖ วันแล้ว พระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้นก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าถ้าเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ เป็นวันสุดท้าย ก็ตั้งใจว่าวันนี้จะเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มากที่เป็นโทษปาณาติบาต แต่ความดีก็มีมาก

    ในเมื่อเห็นท่าว่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่ารอให้พระเผลอ แต่พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพรหมลงมา ยักษ์ตนนี้ก็ต้องถอยหลังไปพ้นเขตพรหม และเทวดาลงมา ยักษ์ตนนี้มีบุญน้อยกว่าก็ต้องถอยหลังออกไปอีก ในที่สุดต้องออกไปอยู่ขอบจักรวาลเพราะพรหมและเทวดามีปริมาณมาก และสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประทับนั่งจนหมดเวลา

    เป็นอัน ว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตาย เกินเวลา ๗ วันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ เมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้วถึงเวลาอายุ ๗ ขวบ ท่านอายุวัฒนกุมารก็บวชเณรแล้วก็ได้อรหัตผล อยู่มาได้ถึงอายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสไว้

    บรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทำให้คนตายก่อนอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี บรรดา สัมภเวสีที่เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมาในโลกมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น มีความกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก ถ้าญาติของเราตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกรถชนตาย เป็นต้นแต่ก็ไม่แน่นักบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่ก็เผื่อเหนียว ไว้ก่อน สมมติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป อย่าทุบแม้แต่ไข่สัก ๑ ฟอง เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่ามีเหล้ายาปลาปิ้ง เมื่อทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน.."

    ที่มา : http://www.luangporruesi.com/760.html
     
  20. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    บางครั้ง ทักเตือนได้มีวาระให้ทำ ก็ทำไป โดยอ้อมๆ อย่าไปบอกตรงๆ เดวจิตตก ยิ่งไปกันใหญ่

    บางครั้ง ไม่มีวาระ ก้ปล่อยผ่านไป

    เราเห็นชีวิตหลายคน ก่อนตายและกำลังจะสิ้นอายุขัย มาเยอะ พอควร เช่นกัน ทั้งๆที่ไม่มีทีท่า ว่าจะตายเร็ว ... แต่จะบอกตอนนั้น ให้ระวัง เขาไม่มีวันเชื่อแน่
    บางคน ก็ร้องขอ มีอะไรช่วยบอกด้วย ... ก็จะบอก เท่าที่ควรจะบอก

    ความสามารถพิเศษเหล่านี้ บางครั้ง ให้ทั้งคุณ และ ให้ทั้งโทษ ... เอาแน่เอานอนไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...