อาถรรพณ์เหลือเชื่อ, รถสวยกับกลิ่นสาบสาง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 17 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    อ่าเรื่องมีอยู่ว่า

    นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน และ รถสปอร์ตคันสวยสีเหลืองสดที่เคยเป็นพาหนะที่ฉันรักเป็นหนักหนามาก่อน
    และอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะลืมมันไปจากใจได้อย่างไรเพราะมันคือเรื่องราวของพล
    ังงานบางอย่างที่ทำให้ฉันถึงกับช็อกที่ได้พบมันเมื่อปีที่แล้ว
    ทุกอย่างยังคงตราตึงอยู่ในความทรงจำ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง ฉันเป็นคนโชคดีอย่างน้อยก็ก่อนที่จะพบกับเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
    นั่นก็คือฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยอาศัยอยู่กับบ้านญาติข้างแม่ของฉัน
    เรื่องการเรียนของฉันนั้นไม่มีปัญหา ฉันพยายาทตั้งใจเรียนเพราะสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าครอบครัวทางบ้านไม่ได้มีฐานะดีมากมาย
    นัก ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจท่ามกลางสังคมที่สับสนในกรุงเทพฯก็คือการเรียนให้ดีที่
    สุด
    ฉันทุ่มเทในการเรียนอย่างมากมาย และในที่สุดความฝันของฉันก็เป็นจิงเมื่อฉันสามารถเรียนจบได้ด้วยเกรดดีเยี่ยม ทำให้มี บริษัทชั้นนำหลายบริษัทส่งจดหมายเรียกตัวฉันให้เข้าทำงานด้วย ฉันเลือกอย่างรอบคอบก่อนที่จะเข้าทำงานในสถานที่ๆค่อนข้างมีระบบการทำงานแบบอเมริกัน
    และทำให้ฉันต้องฝึกทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศมากขึ้นจากที่เคยเรียนมาในสถาบันอีกม
    ากมายแต่นั่นไมใช่อุปสรรคใหญ่ของฉััน แต่อุปสรรคใหญ่ของฉันคือการเดินทางจากที่พักซึ่งอยู่ในย่านบางชุนเทียนของฉัน หลังจากที่ทนทำงานมาได้หลายเดือน รวมทั้งการได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและเงินพิเศษค่อนข้างมากทำให้ฉันมีเงินเก็บมากพ
    อจะเอาไปซื้อรถมาใช้เพื่อผ่านภาระการเดินทางได้
    ฉันปรึกษากับน้าสาวและน้าชายแล้ว จึงพากันไปซื้อรถมือสองคันหนึ่งที่เต๊นท์รถแถวๆห้วยขวางหลังจากที่ได้อ่านพบใน โฆษณาขายรถ
    น้าชายได้สอนให้ฉันขับรถคล่องก่อนที่จะซื้อรถคันดังกล่าว มันเป็นรถสปอตสีเหลืองสดใส
    ตอนนนั้นฉันไม่เคยนึกสงสัยเลยซักนิสว่าทำไมเจ้าของคนเก่าที่เป็นผู้หญิงถึงได้ครอบคร
    องรถคันนี้อยู่ได้แค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ฉันคิดว่าแค่ได้ขับรถไปทำงานก็พอใจแล้ว
    ฉันขับรถสีเหลืองคันโปรดไปทำงานได้ราวหนึ่งเดือนก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที
    ่ฉันไม่รู้ตัว
    มันเริ่มเกิดขึ้นในคืนที่ฉันต้องทำงานดึก ร่วมกับเพื่อนร่วมงามในออฟฟิศ ซึ่งต้องใช้เวลาในการประชุมและตัดสินใจร่วมกันนานพอดู กว่าจะประชุมและมอบหมายงามเส็จสิ้นก็ล่วงเช้าไปเกือบสองทุ่มแล้ว
    ฉันโทรไปบอกน้าชายน้าสาวว่าจะกลับดึกหน่อย ไม่ต้องห่วง
    พอเส็จงานฉันกหับเพื่อนร่วมงานก็ได้พากันไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
    เพื่อนๆต่างมีรถกันคนละคัน ดังนั้นเวลาไปไหนก็ต่างขับกันไป และทานอาหารเส็จแล้วก็ต่างกลับบ้านใครบ้านมัน ฉันดื่มไวน์มาบ้างนิสหน่อย แต่ก็ไม่ทำให้มึนไปบ้างทั้งๆที่พยายามแค่จิบๆมันไม่ถึงแก้วด้วยซ้ำ แต่อาการมึนของฉันแทบจะหายไปเหมือนปลิดทิ้งเมื่อฉันได้กลิ่นสาบสางบางอย่างภายในรถ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นกลิ่นขี้หมาที่ฉันอาจจะเหยียบมันเข้าไปที่ใดที่หนึ่งก่อนจะขึ้นร
    ถ แต่เมื่อจอดรถติดไฟแดงฉันลองหงายรองเท้าดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
    เมื่อพ้นเขตจอแจก็เข้าสู่เขตต้นไม้ครึ้ม และป่าชายเลนแถบทะเลกรุงเทพฯซึ่งใกล้บ้านฉันเข้าไปทุกขณะ กิล่นสาบสางนั้นยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนคล้ายมีตัวอะไรมาตายอยู่ในรถ แต่ฉันก็ขับกลับบ้านน้าสาวได้ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากกลิ่นสาบสางที่ติดจมูกอยู่นาน ครั้นจะเรียกน้าชายให้มาช่วยดูนถให้ก็ดึกแล้ว ฉันจึงรีบเข้านอนทัที
    พอรุ่งขึ้นก็บอกให้น้าชายตรวจรถให้อย่างละเอียดแต่ก็ไม่มีอะไรตายในรถ น้าชายก็เลยสอบให้ฉันกดปุ่มปิดอากาศพายนอกที่จะเข้ามาข้างใน
    การทำงานหนักทำให้ฉันลืมเรื่องกลิ่นสาบสางนั่นไป แต่แล้วก็มีงานที่ต้องร่วมมือกันเตรียมงามใหญ่อีกที่บริษัทของฉันทำมห้ต้องอยู่ทำงาน
    จนดึกอย่างน้อยสองคืน
    คืนแรกนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจากกลิ่นสาบสางที่ทำให้ฉันหงุดหงิดขึ้นมาอีก ตอนนั้นฉันไม่นึกกลัวด้วยซ้ำหลับรำคาญที่มีกลิ่นแบบนั้นอยู่ในรถ คืนที่สองฉันต้องทำงานดึกกว่าเก่า และคืนนั้นพอเส็จงานประชุมแล้วพอดีเป็นคืนวัน ศุกร์ด้วยวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดพวกเพื่อนจึงชวนกันไปทานข้าวและไปฟังเพลงกันบ้างเพื
    ่อคลายเครียด ฉันเองเห็นว่าลงเรอลำเดียวกันแล้วว่าไงก็ว่าตามกันเลยไปตามคำชวนของเพื่อน กว่าจะได้แยกย้ายกันกลับก็ดึกเที่ยงคืนแล่วคืนั้นฉันมึนๆเล็กน้อยเพราะฤทธ์ไวน์แกล้ว
    เดียว ฉันว่าถ้าลองดื่มไปเรื่อยๆในอนาคตคงเลิกเมาก็ได้
    ฉันขับรถกลับมาโดยที่ได้กลิ่นสาบมาตลอด และมันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าเขตเปลี่ยว มีแต่ฉันลำพังผู้เดียวที่ยังขับรถอยู่บนถนน และเมื่อฉันพยายามมองกระจกส่องหลังเพื่อหารถที่อาจจะตามหลังมาบ้างฉันถึงกับขนลุกซู่

    ฉันมองเห็นสิ่งที่คล้ายๆผู้หญิงผมยาวที่มีผมปิดหน้าอยู่ที่เบาะหลังโดยที่หญิงคนนั้น
    ค่อยๆเงยหน้าช้อนตาขึ้นมามองฉันช้าๆฉันเห็นแววตาแดงเพลิงนั้นถนัดตา ฉันพยายามคิดว่าฉันฝันไป ฉันคงเมาตาลายมากกว่า และฉันก็เลิกมองกระจกส่องหลังไปทันทีกลิ่นสาบตลบอบอวลอยู่ในรถ ฉันอยากรู้ว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้เป็นเพียงอาการตาฝาดหรือไม่ จึงได้มองไปที่กระจงหลังอีกครั้งคราวนี้ฉันเห็นใบหน้าของหญิงคนนั้นถนัดตา หน้านั้นมีเลือดเกรอะกรังไปหมด ฉันจึงเลิกมองกระจกหลังไปเลย ตอนนั้นฉันสับสนไปหมดพยายามคิดว่าตัวเองเมาตาฝาดไป
    ฉันพยายามนึกถึงสิ่งอื่นๆให้ลืมเรื่องนี้ไป แต่ก็ไม่เป็นผล ตอนนั้นระยะทางยังอยู่ห่างจากบ้าน4-5กิโล ฉันคิดว่าอดทนขับไปอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านน้าแล้ว ฉันทำใจแข็งไว้ แต่แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองกระจกหลังอีกที คราวนี้ฉันพบใบหน้าที่แสยะยิ้มน่ากลัวและผมที่ปลิวไสวขิงสาวคนนั้น ฉันแทบครองสติไม่อยู่แล้ว พยายามนึกถึงพระพุทธคุณให้มาคุ้มครองฉัน
    นานพอดูที่ไม่มองกระจกหลังและเหลือระยะทางอีกราว 1กิโล
    และแล้วสิ่งที่ฉันไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้น นั่นก็คือจู่ๆโฉมหน้าของวิญญาญที่อยู่ที่เบาะหลังรถของฉันก็หายวับไปเมื่อฉันทำใจแข็
    ง หันไปมองที่กระจกหลังอีกครั้งเพราะใจชื้นคิดว่าอยู่ใกล้บ้านเต็มที่แล้ว
    และฉันก็ต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดดดด สุดเสียงงงง แทบสิ้นสติ เมื่อพบว่าหน้าผู้หญิงที่น่ากลัวนั้นแม้จะหายไปจากเบาะหลัง แต่กลับมาแนบหน้าชิดกับกระจกด้านข้างผู้โดยสารตอนหน้า ราวกับจะฝุงหน้าทะลุกระจกเข้ามาในรถให้ได้ ฉันขนลุกซู่ เกิดอาการกลับจุบใจ แต่เท้าก็ยังคงเหยียบคันเร่งอยู่ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำที่นานแสนนาน
    ใบหน้านั้นไม่มีลำตัว มีแต่ใบหน้าและเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วใบหน้า ปากที่แยกเขี้ยวและดูเหหมือนจะพยายามพูดหรือบอกอะไรบางอยา่งให้ฉันได้รับรู้นั้นขยับ
    ไปเรื่อยๆผมก็สยายปลิวไปมา ใบหน้าก็แนบติดกระจกอยู่ตลอดทั้งๆที่ฉันก็ขับรถด้วยความเร็วราวๆ 80 ก.ม./ช.ม.
    "โครม" เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่าดังขึ้นและฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
    เมื่อลืนตาขึ้นมา คนแรกที่ฉันเห็นคือแม่ของฉัน
    ฉันรับรู้พายหลังว่าฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา3วันโดยไม่ได้สติ รถสีเหลืองคันโปรดของฉันนั้นพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทางจนพังยับ
    ฉันพยายามจะถามอะไรต่อไปอีกแต่น้าสาวห้ามไม่ให้ถามมาก เพราะเป็นห่วงว่าฉันจะเป็นกังวล... ฉันพบว่าตัวฉันนั้นกระดูกขาหักทั้งสองข้าง ซี่โครงก็หักตาม และหน้าตาของฉันนั้นหวิดเสียโฉมมม เมื่อกิ่งไม้ใหญ่ที่พุ่งเข้ามาในกระจกหน้ารถนั้นเฉียดหน้าฉันไปนิดเดียวแต่ก็ทิ่งเข้
    าไปในไฟปลาร้าจนหักสะบ้น

    ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นแล้วฉันเลยขอให้น้าชายเล่าเรื่องให้ฟังน้าชายบอกว่า จากการสืบสวนของตำรวจ พบว่ารถคันนั้นเจ้าของเดิมเป็นผู้หญิง ทำงานในฝ่ายวิจัยอาหารอยู่ในโรงงานผลิตอาหารแห่งหนึ่ง ต่อมาผู้หญิงคนนั้นไปจอดรถติดไฟแดงอยู่ในตอนดึกและมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเปิดประตูรถเข
    ้าไปได้โดยที่เธอไม่ทันได้ล็อกรถเรพาะเป็นรุ่นเก่าไม่มีเซ็นทรัลล็อก วัยรุ่นกลุ่มนั้นพากันข่มขืนเจ้าของรถคันเก่านั้นจนปางตาย ก่อนจะฆ่าตัดหัวเพื่ออำพรางคดี ดดยที่แยกร่างและหัวออกจากกัน ส่วนหัวนั้นทิ้งไว้ในรถก่อนที่จะเข็นลงคลอง ส่วนตัวของผู้หญิงที่เป็นเหยื่อนั้นก็เอาไปใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่และเอาไปทิ้งที่อ
    ื่น
    น้าชายเล่าต่อไปว่า ต่อมากลุ่มวัยรุ่นนั่นถูกจับได้ และรถคันนั้นก็ถูกกู้ขึ้นมาตามคำสารภาพ ก่อนที่จะมีการทำเครื่องและทำสีใหม่ก่อนจะนำไปขายและไม่รู้ไปยังไงมายังไงถึงมาจอดที
    ่เต๊นท์รถในย่านหัวขวางจนมีคนไปซื้อมาได้
    คนที่ซื้อรถคันนั้นก็คือฉันเอง น้าชายบอกว่าตอนพบร่างของฉันติดอยู่ในรถนั้น ฉันยังกำพระไว้แน่นในกำมือ เมื่อฉันเล่าให้น้าชายฟังว่าคืนนั้นฉันพบกับอะไรบ้างน้าชายถึงกับหนาถอดสี
    ฉันกับครอบครัวถึงกับต้องไปรดน้ำมนต์กันใหญ่ทุกวันนี้ฉันเก็บเงินอีกก้อนหนึ่งเพื่อเ
    อาไปซื้อรถอีก
    คราวนี้ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ซื้อรถมือสองเด็ดขาด ฉันจะซื้อรถป้ายแดงอย่างเดียวเท่าันั้น หะหะหะ

    อ้างอิงจากหนังสือ อาถรรพณ์เหลือเชื่อ จบซะที
     

แชร์หน้านี้

Loading...