อรหันต์เป็นผลที่เนื่องมาจากการสร้างเหตุ แต่นิพพานไม่มีเหตุใดทำให้เกิด?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 14 กรกฎาคม 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอยกประเด็นสัจธรรม
    พื้นฐานมารองรับปรับอินทรีย์ของท่านให้
    สักเล็กน้อย เพื่อให้ท่านมีพื้นฐานสัจธรรม
    รองรับข้อมูลต่างๆ ที่ดูออกจะหลุดโลกได้
    เอาละ ผมขอกลับมาพูดเรื่อง " นิพพาน"
    ก็แล้วกัน มันเป็นสัจธรรมพื้นฐานขั้นต้นที่
    ท่านควรเข้าใจก่อนที่จะรับธรรมจากต่าง
    ดาว ซึ่งมีระดับที่สูงขึ้นไปอีกนะครับ ...
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พระอรหันต์ไม่จำเป็นต้องนิพพาน นิพพานกับอรหันต์เป็นคนละสิ่งกัน?


    เอาละ อย่างแรกที่คุณต้องทราบเลยก็คือ "นิพพาน" คือ สัจธรรมแท้ที่
    มีมานานแล้วก่อน "สมมุติทางโลก" จะเกิดขึ้นแบบไม่เที่ยง แล้วดับไป
    จากสมมุติหนึ่ง สู่สมมุติหนึ่ง ต่อเนื่องไปตามแรงขับดันของเหตุปัจจัยที่
    ปรุงแต่งนั้น นั้นละ คือ "ลีลาของสมมุติที่ไม่เที่ยง จึงมีเกิด-ดับ ตามเหตุ
    ปัจจัย" ทว่า "นิพพานเป็นวิมุติธรรม เป็นธรรมแท้ ไม่ใช่สมมุติ จึงไม่ใช่
    สิ่งที่เกิด-ดับ" สรุปง่ายๆ คือ "นิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ มีมานานแล้วก่อน
    ที่จะเกิดสมมุติซึ่งไม่เที่ยงสมมุติที่เกิด-ดับไปนั้น" เอาละ ต่อมาสิ่งที่คุณ
    ควรเข้าใจอีกคือ "อรหันต์คือสมมุติ" อย่างหนึ่ง ที่เกิดจาก "มรรค" เป็น
    เหตุ เมื่อคุณเดินตามมรรคที่ถูกต้อง "เป็นเหตุ" คุณจะได้ "อรหันต์ เป็น
    ผล" ได้ เรียกว่า "อรหันตผล" นั่นเอง ทว่า อย่าลืมนะ นิพพานไม่ใช่ผล
    ของอะไร ไม่อาศัยอะไรๆ เกิด เพราะพ้นแล้วจากการเกิด และการดับนั้น
    ทีนี้ คุณเข้าใจความแตกต่างของคำว่าอรหันต์และคำว่านิพพานแล้วหรือ
    ยัง? เอาละ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ใช่ไหม? ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ข้อสรุปที่ว่า
    "พระอรหันต์ต้องนิพพานเสมอ" หรือ "อรหันต์แล้วจะไม่นิพพาน ไม่ได้"
    ก็หาไม่ เอาละ ยังมีพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้ว "ยังไม่รีบนิพพาน" ทั้ง
    ยังหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ "แบบของตนเอง" ด้วยปัญญาที่ตนมีนั้นๆ
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พระอรหันต์ เป็นสมมุติที่เกิด-ดับได้ ไม่เที่ยง เกิดจาก "มรรค" เป็นเหตุ


    ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "พระอรหันต์" จึงเป็นสมมุติที่ถูกสร้างให้
    เกิดได้ มีได้ และดับได้ ไม่เที่ยง โดยอาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด หรือ
    กล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณเดินมรรคเป็นเหตุ จนเกิดปัญญาในระดับซึ่งเขา
    สมมุติไว้ให้ว่าคือ "อรหันต์" คุณก็จะได้ชื่อว่าอรหันต์ก็แค่นั้นเอง แต่คุณ
    ก็อาจจะยังไม่นิพพานก็ได้ เช่น ถ้าคุณมีบุญ-กรรม เยอะมาก ต้องเสวย
    ไปอีก 10 ชาติจึงหมด แต่คุณมีปัญญาบารมีมากเดินตามมรรคจนได้ผล
    เป็น "อรหันต์" คูณก็คือ อรหันต์ ก็แค่นั้นเอง แต่คุณยังไม่นิพพานหรอก
    เช่น ผู้หญิง เป็นเพศที่มีกรรมมาก อาจต้องเสวยกรรมไปอีก 10 ชาติแต่
    เมื่อมาตั้งใจปฏิบัติตามมรรคแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ยังไม่ถึง
    วาระนิพพาน ก็เท่านั้นเอง เมื่อท่านละสังขารแล้วยังไม่นิพพาน ไปเกิดที่
    สุขาวดี หรือโลกธาตุอื่นๆ ก็ได้ จากนั้น ท่านก็ลงมาเกิดยังโลกอีก ความ
    เป็นพระอรหันต์ "ก็ดับลง" กลายเป็น "ปุถุชนธรรมดา" ใหม่อีกครั้ง แค่
    นั้นเอง ดังนั้น กลุ่มคนที่อาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด "อรหันต์เป็นผล"
    จึงไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป พวกเขาบรรลุธรรมแล้ว จะดำรงอยู่ต่อ
    ไปอีกเพื่อเสวยบุญกรรมที่เหลือให้หมด ซึ่งพวกเขาจะต้องไปอยู่ต่างดาว
    ไม่ใช่ดาวดวงนี้ เพราะวิทยาการของดาวดวงนี้ "ต่ำไปแล้ว สำหรับเขา"
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    นิพพาน สัจธรรมแท้ไม่เกิด-ไม่ดับ ทุกสรรพสิ่งก็คือ "นิพพาน" อยู่แล้ว


    ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "นิพพาน" ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่สมมุติที่ไม่
    เที่ยง ไม่ใช่สมมุติที่ยังวนเวียนอยู่กับการเกิด-ดับ นิพพานคือ สัจธรรมที่
    มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมก่อนเกิดสมมุติ และสรรพสิ่งก็เป็นนิพพาน อยู่แล้วใน
    ตัวมันเอง ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจดังนี้ สมมุติว่าคุณมี "ดินน้ำมัน"
    ก้อนหนึ่ง คุณปั้นให้เกิดเป็นช้าง แล้วคุณก็ทำลายให้ดับไป แล้วคุณก็ปั้น
    ใหม่ให้เป็นม้า ทำอย่างนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถามว่า "ดินน้ำมัน" ก็คือ "ดิน
    น้ำมัน" อยู่ดังเดิมใช่หรือไม่? แม้ว่าจะมีช้าง, ม้า, วัว, ควาย ฯลฯ ที่เกิด
    จากการปั้นแล้วทุบไปเรื่อยๆ เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามที่คนปั้น
    ให้เป็นไป ก็ตาม มันก็ยังคงเป็น "ดินน้ำมัน" อยู่ดังเดิม แต่ช้าง, ม้า, วัว,
    ควาย ฯลฯ อะไรนั้นก็คือ "สมมุติอันไม่เที่ยง" เกิดแล้วดับไปตามเหตุตาม
    ปัจจัย ใช่หรือไม่? เอาละ ดังนั้น "นิพพาน" จึงเป็นสัจธรรมแท้ที่มีอยู่แล้ว
    ใน "ทุกสรรพสิ่ง" แม้แต่ใน "กิเลสก็มีนิพพาน" ใน "อวิชชาก็มีนิพพาน"
    ใน "ความเท็จก็มีนิพพาน" ใน "จิตนาการและความเพ้อฝันก็มีนิพพาน"
    พอเข้าใจตรงนี้หรือไม่? ว่าในทุกสมมุติล้วนมีนิพพานเป็นรากฐาน ทั้งสิ้น
    เมื่อใด "หยุด" ปั้น, หยุดปรุงแต่ง, หยุดสร้างเหตุปัจจัย หนุนเนื่องให้เกิด
    มี "กรรม" มี "ตัวตน" มี "ชาติ-ภพ" ใหม่ๆ ต่อไป มันก็จะสิ้นพลังแรงอัน
    จะหนุนเนื่อง สุดท้าย มันต้องจบ มันต้องนิพพาน เพราะมันนิพพานอยู่แล้ว
    มันมีอยู่แล้ว รอแต่ สมมุติที่บดบัง ดับสิ้น ไม่มีเหตุหนุนให้เกิดอีก ก็เท่านั้น
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    มนุษย์ต่างดาวที่อรหันต์แล้วมีวิทยาการที่หนุนเนื่องให้ไม่รีบนิพพาน ก็ได้


    ข้อต่อไปที่คุณควรทราบคือ "วิทยาการจากต่างดาว" ล้วนเป็นวิทยาการ
    ที่ต่อยอดจากนิพพานแล้วทั้งสิ้น กล่าวคือ พวกเขาล้วนบรรลุอรหันต์แล้ว
    และหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไป "ตามแบบของตัวเอง" พวกเขาจึง
    มีวิทยาการที่แตกต่างกันและอยู่คนละดาวกัน ปนกันไม่ได้ พวกเขาจะใช้
    วิธีหนุนเนื่องให้เกิดสมมุติ, ตัวตน และชาติภพใหม่ๆ ไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นก็
    จะไม่รีบนิพพาน ด้วยเหตุนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาบรรลุอรหันต์แล้ว และรู้แจ้งใน
    นิพพานทั้งหมด ก็ตามที เช่น วิทยาการจาก "สุขาวดีโลกธาตุ" ซึ่งจะใช้
    "กิเลสเป็นโพธิ" ก็ดี เพื่อจะหนุนเนื่องให้ตัวตนยืดยาวออกไป ไม่นิพพาน
    ไปเสียก่อน ทว่า "วิทยาการของแต่ละดาว ก็ต่างกัน" เช่น ดาวบางดวงก็
    อยู่ยาวต่อไปได้ด้วยการ "ใช้พลังด้านบวก" แต่อย่างเดียวทั้งยังสามารถ
    "ปลุกพลัง" ฟื้นคืนสภาพได้อีก เมื่อพลังงานด้านบวกลดลง พวกเขาก็ใช้
    การปลุกพลังเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถดำรงอยู่แบบ "เสวยผลบุญ" ต่อไปได้
    เรื่อยๆ ยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่ต้องรีบนิพพาน ก็ได้ เพราะเหตุนี้ ท่าน
    ที่ประสงค์ รับวิทยาการจากต่างดาว จึงควรมีลักษณะเหมือนพวกเขาด้วย
    คือ ควรจะได้ธรรมขั้นพื้นฐานคือ "เรื่องนิพพาน" นั้น ก่อนรับวิทยาการอื่น
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    การทำให้คนบรรลุอรหันต์นั้นอาศัย "มรรคเป็นเหตุ" ได้หลากหลายวิธี


    ข้อต่อไปคือ การสร้าง "อรหันต์" นั้นทำได้มากมายหลายวิธี โดยไม่สน

    ว่าพวกเขาจะนิพพานหรือไม่? ขอเพียงเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานถึงขั้น
    ที่เรียกได้ว่าอรหันต์ก็พอแล้ว แต่คนที่จะนิพพานนั้น "จะมีวาระของเขา"
    ถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา ยังเสวยผลบุญกรรมไม่หมด ก็ยังไม่นิพพาน
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงแยกแยะสัตว์สองกลุ่มนี้ออกจากกันได้ ว่ากลุ่มไหน
    ที่จะนิพพานไปก่อน กลุ่มไหนอรหันต์แล้วยังไม่นิพพาน และยังไปเกิดเพื่อ
    ดูแลพระพุทธศาสนาได้อีก เช่น การที่ท่านมอบบาตรให้พระอชิตะ ท่านนั้น
    ทราบดีว่าพระอชิตะอรหันต์แล้วแต่ยังมีบุญกรรมต้องเสวยอีก ยังไม่หมดก็
    ยังไม่ถึงวาระนิพพาน และยังดูแลพระศาสนาให้ท่านต่อไปได้ ไม่ต่างจาก
    พระมหากัสสปะ, พระอานนท์, พระมหากัจจานะ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนไม่ต่าง
    กัน เอาละ มากล่าวถึง "เทคนิก" การสร้างอรหันต์กันดีกว่า มันไม่ได้ยาก
    อย่างที่คิด เช่น เทคนิกการทำให้เกิด จิตหนึ่ง โดยการทำให้ จิตวิญญาณ
    อื่นๆ "จรออกจากร่างจนเหลือจิตดวงเดียว" เมื่อเทศนาธรรม ก็จะบรรลุได้
    ง่าย, เทคนิกการใช้ ความดับ ของกิเลสชั่วขณะเหมือนเมฆน้อยลอยเลื่อน
    ลับจากดวงจันทร์ไปก็จะไม่มีกิเลสบดบังชั่วขณะนั้นก็ทำนิพพานให้แจ้งได้
    ไม่ยากและอีกหลายเทคนิกมากมาย ล้วนช่วยให้เกิดอรหันต์ได้ ไม่ยากนัก
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ผู้ที่พร้อมนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาด เกือบปัญญาอ่อนก็นิพพานได้


    ข้อต่อไปคือ ผู้ที่พร้อมนิพพานนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาด แม้คนที่

    เกือบปัญญาอ่อน ก็ถึงวาระนิพพานได้ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไร
    เป็นเหตุ ไม่ใช่ต้องอาศัย "ความฉลาด ความมีปัญญาเป็นเหตุ จึงให้
    นิพพานเป็นผล" อย่างนี้ ก็หาไม่ ไม่ใช่เลย ไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือ
    รู้มากอะไรเลย โคตรโง่ แทบปัญญาอ่อน งี่เง่า ไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง
    อะไรสักอย่าง ก็อาจเข้าข่ายพร้อมนิพพานได้ "ถ้ามันถึงวาระจริงๆ"
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือรู้มาก, รู้ไปหมด ก็ได้
    พระพุทธเจ้าบางพระองค์อาจคล้ายคนปัญญาอ่อน, งี่เง่า ไม่ได้เรื่อง
    ก็ได้ แต่ท่านรู้เรื่องนิพพานดี ก็เท่านั้นเอง ท่านเข้าใจคนที่จะนิพพาน
    และสุกงอมพร้อมเต็มที่ ดีว่ามีลักษณะ, วิสัย, พฤติกรรม ฯลฯ อย่าง
    ไร ท่านจึงอธิบายให้ชาวโลกและสังคม เข้าใจและยอมรับได้ว่าพวก
    เขาสามารถอยู่บนโลกต่อไปแบบ "ไม่เอาไหน" บุญไม่ทำ - กรรมไม่
    สร้าง แล้วอย่างไร? การเข้าถึงนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาดเสมอไป
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สังเกตุ คำกล่าวข้างบนกันนะ

    "นิพพาน ไม่มีปัจจัยให้เกิด ให้ดับ" อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ยินกัน ถือว่า ฟังมาไม่ผิด

    แต่พอ เอา "นิพพานไปกล่าวว่า มีอยู่นานแล้ว" ป๊าปเข้าให้ ก็เกิด เงื่อนเวลา
    ขึ้นมา กลายเป็นว่า นิพพานเกิดมาก่อนทุกสรรพสิ่ง และ เป็นที่สุดของทุกสรรพสิ่ง
    ด้วยอำนาจของคำว่า "มีอยู่นานแล้ว" ทำให้ ตรึกหรือมีมิจฉาทิฏฐิแล่นไปสองกาล
    คือ อดีตไกลโพ้นที่จินตนาการไม่ถึง และ อนาคตไกลโพ้นที่จินตนาการไม่ถึง อาศัย
    ลักษณะของ การจินตนาการไม่ถึง มาปิดบังข้อเท็จจริง ทำให้ พิสูจน์ไม่ได้ จำต้อง
    เงียบแล้วเหมือน ยอมรับ

    แต่จริงๆ พุทธวัจนะใช้คำว่า ธรรมเป็น "อกาลิโก" พ้นเงื่อนเรื่อง เวลา หากใคร
    เอา เงื่อนเวลามากล่าวควบหรือบรรยายนิพพาน ก็จะ เกิดอาการมีมิจฉาทิฏฐิ แล่น
    ไปด้วยการ ปิดบังอำพลางด้วยความอับจนในจินตนาการของผู้พูด และ ผู้ฟัง อาศัย
    ความมืดแปดด้าน และ การด้านพูด ทำให้ดูเทห์หากได้กล่าวนำ

    ************

    ปัจจัยที่เราภาวนา เป็นส่วนตบแต่งได้ คือ สิ้นตัณหา เราสามารถเล็งเห็นตัณหา
    และ หาอุบายนำออกซึ่งตัณหา นานาชนิด จะอสุภะบ้าง สุภะบ้าง ก็เพื่ออบรมจิตให้
    เข้าถึงสภาวะ สิ้นตัณหา ที่มั่นใจได้ว่า สิ้นตัณหาได้อย่างหมดจรด ไม่มีหลงเหลือ
    ความประมาท ลูบคลำด้วยอาการจินตนาการไกลเกินฝัน

    และ สภาวะสิ้นตัณหา นั้น จะมี สภาพธรรมอย่างหนึ่งปรากฏให้น้อมโน้มไปได้ด้วย
    อินทรีย์5 อันเป็น ข้อกำหนดของการเป็น สาวก ซึ่งจะต้อง อาศัยฟังธรรมที่ถูกต้อง
    จากพระพุทธองค์เท่านั้น หากไปฟังธรรมของพวกลากมก มีเวลาแล่นไปแล้ว เขาก็
    จะหยอดบางอย่างเอาไว้ เพื่อ ง๊าบบบบบ!!

    เช่น อาจจะรับรองคุณสาวๆว่า คุณอรหันต์แล้ว แต่ คุณยังไม่ตาย ดังนั้น จุด จุด จุด จุด

    *************

    สรุป คำว่า อรหันต์ ในทางบาลีแปลว่า ผู้ไกลกิเลส( กล่าวโดยคุณลักษณะ) ซึ่งก็หมาย
    ถึง ผู้สิ้นตัณหา( กล่าวโดยอิงมรรคปฏิบัติ ) และ ผู้เที่ยงต่อ "นิพพาน" ( คือ โน้มไป
    หานิพพานได้ไม่ยากไม่ต้องทำกิจใดอีก สามารถปรินิพพานได้ในชาติปัจจุบัน )

    ***************

    อรหันต์ ของผู้มี ธรรมลามก จะมากไปด้วย ข้ออ้าง เพื่อ ง๊าบบบบ เพื่อสวมรอยให้สิโรราบ
    ด้วยความโง่ ยอมให้ผู้กล่าวเทห์ ครองความฉลาด เป็ฯใหญ่ นำหรือ จูงจมูกไปเชือด!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2012
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    ธรรมชาติมีมานานแล้ว นิพานเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง พาสัตว์หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร หลุดพ้นจากธรรมชาติอัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    Oops !! ..............................ออกไปดูก่อน
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระอรหันต์ หมายถึง บุคคลที่ปฏิบัติธรรมพ้นจากธรรมชาติที่เป็นสิ่งสมมติเข้าสู่วิมุติ นิพพานเป็นผลของการปฏิบัติ เป็นหนทางเก่า นั่นคือ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ วิมุติไม่ได้เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น สมมติคือสมมติ วิมุติคือวิมุติ เอามาปนกันไม่ได้ เอาสมมติมาอธิบายวิมุติ นิพพานของพวกคนบ้าครับ
     
  12. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    สุดท้ายนี้ การนิพพานแบบบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) นั้น อาจเกิดขึ้น
    ได้แบบพิสดาร เช่น การนิพพานเฉพาะส่วน "จิตวิญญาณ" เหลือ สังขาร
    ไว้เพื่อรอให้ "จิตวิญญาณดวงอื่นมาใช้ร่างสังขารต่อ" ก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นก็
    คือ "การกำเนิดใหม่จากนิพพาน" หมายความว่า หลังจากจิตวิญญาณนั้น
    นิพพานไปแล้วทิ้งเชื้อเหลือสังขารไว้ สังขารจึงเป็นเชื้อเกิดใหม่ได้ โดยใช้
    "จิตวิญญาณ" อื่นๆ ที่เดิมทีไม่ได้อยู่ในร่างสังขารนั้นๆ ทำให้เกิดการ เกิด
    ใหม่จากนิพพาน หรือกำเนิดใหม่หลังนิพพานแล้ว ส่วนใดที่นิพพานไปแล้ว
    ไม่อาจเกิดได้อีกส่วนเหลือจากการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน)
    นั่นแหละ จึงเป็น "เชื้อเกิดใหม่ได้อีก" เอาละ นี่คือ "วิทยาการใหม่ล่าสุด"
    ซึ่งเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้เอง มันไม่เหมือนวิทยาการจากดาวอื่นๆ เดิมๆ ที่
    เคยใช้กัน เพื่อ "ไม่รีบนิพพาน" เพราะวิทยาการเดิมๆ นั้น พวกเขาที่บรรลุ
    อรหันต์แล้ว จิตวิญญาณก็ยังไม่ได้นิพพาน (เช่น อาศัยเพียงกิเลสนิพพาน
    ชั่วขณะเพื่อการบรรลุธรรมแต่ยังไม่รีบนิพพาน) ดังนั้นจำนวนจิตวิญญาณ
    ที่เวียนว่ายอยู่ในจักรวาล จึงมากเกินไป และเริ่มจะล้นโลกมนุษย์ เพราะมา
    แย่งกันเกิดมากเกินไป จำเป็นต้องให้ "จิตวิญญาณนิพพาน" ไปบ้าง บาง
    ส่วนในขณะที่ท่านที่ไม่รีบนิพพานก็ต้องได้ "จิตวิญญาณดวงใหม่" เพื่อที่
    จะใช้ "เวียนว่ายตายเกิดต่อไป" เอาละ มันเหือเชื่อเกินไป ใช่ไหม? ไม่ได้
    ต้องการให้ท่านเชื่อหรอกนะ เล่าให้ฟังเล่นๆ เท่านั้น เพราะว่ามันสูงเกินไป
    เกินกว่าที่ใครจะเชื่อได้ เพราะขนาดอรหันต์ต่างดาวเขายังทำกันไม่ได้เลย


    ขอพลังธรรมแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าจงปรากฏแก่ท่าน สวัสดี

     
  13. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    14 ก.ค. 2555


    "เสียงจากดั้งเดิม"
    รับสื่อสารโดย


    瑠璃王
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    วิญญาญดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไป สังขารสิ้นแล้ว ดับแล้ว สลายไปตามธรรมชาติ ไม่มีวิญญาณดวงไหนมาใช้ร่างสังขารที่ดับแล้ว สังขารสลายแล้วได้สิ้นเชื้อแล้ว นามรูปดับที่ไหน วิญญาณย่อมดับไปในที่นั้น
     
  15. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829

    เมื่อครั้งจิตวิญญาณจรออกจากร่าง
    จิตวิญญาณนั้นมีบารมีเก่าพร้อมมูล
    กิเลสนิพพานชั่วขณะ จิตวิญญาณ
    ดวงนั้นจึง "บรรลุธรรม" ได้ แต่ว่า
    เพราะเป็นการเข้าถึงธรรมแบบแยก
    ส่วน ส่วนสังขารที่รออยู่จึงไม่ทราบ
    ว่าจิตวิญญาณในร่างดวงหนึ่งบริสุทธิ์
    ถึงธรรมแล้ว ดังนั้น กลายเป็นช่องว่าง
    ให้จิตวิญญาณมืดสองดวง ตามเข้ามา
    ประสานในร่างทีหลัง ทำให้ชีวิตคุณเป๋
    ไปมา เหมือนถูกอะไรบางอย่างกระทำ
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๙๔ฝ๒๘๘ ข้อที่ ๒๓๐-๒๓๒
    มหาวรรคที่ ๗
    ๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑
    [๒๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
    เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ...
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ใน
    ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ
    ก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
    ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย
    นั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง
    วิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็น
    ต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้
    ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้
    ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น
    ในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
    [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน
    เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดย
    ความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
    เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง
    ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง
    ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง
    วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
    [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น
    ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม
    แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ
    [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุป
    บาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะ
    สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะ
    อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
    จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็น
    ปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
    ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
    เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
    [๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่าย
    แม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
    ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
    เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
    อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๑
     
  17. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829

    นี่ไม่ใช่วิธีเดียวของการดำรงอยู่
    มันเป็นวิทยาการจากดาวพฤหัส
    ทว่า ยังมีวิทยาการอีกมากกว่านี้
    ซึ่งทำให้ดำรงตัวตนอยู่ต่อไปได้
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮึยยย !! จะถามทำไมนี่

    ผมเห็น กระทู้เขานำเสนอเรื่องแปลก แหวกแนว ซึ่ง เป็นเรื่องที่ตรง
    กับห้องกระทู้ วิทยาศาสตร์ทางจิต

    ผมก็เลย โพส ข้อความที่แปลก แหวกแนว ขึ้นมาอีกข้อความหนึ่ง
    เท่านั้นเอง

    มองให้เป็นหนึ่ง จิตหนึ่งมี เกิด ก็จะเห็นว่า ที่ จขกท กล่าว หรือแม้
    แต่ที่ผมกล่าว หรือ แม้แต่ใครๆกล่าว ก็ล้วนเป็น ข้อความแปลก หนึ่ง
    เดียวกัน

    หากใครอ่านแล้ว เห็นว่า แตกต่าง

    ความแตกต่างจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ ผู้อ่านให้ความชอบใจ ยึดมั่น
    ถือมั่น ทิฏฐิใดทิฏฐิหนึ่ง ขึ้นแล้ว ตัณหาก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้ใกล้ต่อ
    กิเลสขึ้นมาทันที

    แต่ถ้า ตามรู้ตามดูจิตหนึ่ง เอ้อ ใครพูดอะไร ก็ถือเป็นเรื่อง แปลกหนึ่ง
    เดียวเหมือนกันทั้งนั้น จึงฟังได้ ใครพูดอะไรมาก็ฟังได้ แบบนี้ ก็ไกล
    จากตัณหา ไม่ยึดมั่นถือมั่น คล้ายๆจะเป็น ผู้ไกลจากกิเลส

    หากตามรู้ตามดู การเป็นผู้คล้ายไกลกิเลสไว้เนืองๆ เห็นความไม่เที่ยง
    ของการเป็นผู้คล้ายไกลกิเลสไว้ ก็ไม่แน่......ไม่แน่.......ออกไปดูก่อน
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๓๙๗/๔๑๘
    พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรอชิตะ
    โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่(เพราะ
    ความประมาท) เรากล่าวตัณหา ว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ ทุกข์เป็น
    ภัยใหญ่ของโลกนั้น ฯ
    อ. กระแสทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแส
    ทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสทั้ง
    หลายอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยธรรมอะไร ฯ
    พ. ดูกรอชิตะ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสในโลก เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่อง
    กั้นกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยปัญญา ฯ
    อ. ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ปัญญา สติ และนามรูป ธรรมทั้งหมดนี้ย่อม
    ดับไป ณ ที่ไหน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอก
    ปัญหาข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
    พ. ดูกรอชิตะ เราจะบอกปัญหาที่ท่านได้ถามแล้วแก่ท่าน นามและรูปย่อม
    ดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติและปัญญานี้ย่อมดับไป ณ ที่นั้นเพราะ
    ความดับแห่งวิญญาณ ฯ

    อ. ชนเหล่าใดผู้มีธรรมอันพิจารณาเห็นแล้ว และชนเหล่าใดผู้ยังต้องศึกษา
    อยู่เป็นอันมากมีอยู่ในโลกนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระองค์ผู้มี
    ปัญญารักษาตน อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกความเป็นไป
    ของชนเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
    พ. ภิกษุไม่กำหนัดยินดีในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรม
    ทั้งปวง มีสติ พึงเว้นรอบ ฯ
     
  20. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829

    มองโลกในแง่ดี


    ช่วงแรกที่จิตวิญญาณใสมากๆ
    จะดำรงในสังขารได้ยาก มันไม่
    เข้ากับสังขารที่ไม่บริสุทธิ์ มันจึง
    เกิดการปรับดุลยภาพของสังขาร
    การมีจิตวิญญาณมืดครอบงำ นั้น
    อาจเป็นการช่วยยื้อชีวิตให้คุณก่อน
    ถ้าคุณไม่มีสิ่งนี้ อาจละสังขารไปแล้ว


    การค้นพบพระธรรมกายสำคัญต่อการ
    สืบทอดพระพุทธศาสนามาก เขาจึง
    ต้องยื้อชีวิตคุณให้ดำรงอยู่ต่อไป


    สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณจึงเรียกว่า
    "ใสหุ้มเกราะ" ไงละ
     

แชร์หน้านี้

Loading...