หลักการพ้นทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dreamlnw002, 26 มีนาคม 2012.

  1. dreamlnw002

    dreamlnw002 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +11
    ในความคิดส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยคับ


    คือผมว่าหลักการพ้นทุกข์คือ
    1.ต้องมีสมาธิในทุกเหตุการณ์ไม่ว่าจะเกิดเรื่องดี ร้าย หรือ โศกเศร้าเสียใจควรนึกถึง คำที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในใจ

    2. ความรัก เป็นสิ่งที่ำไม่จีรัญยั่งยืน ไม่มีใครรักเราได้ตลอดไป ในสุดท้ายก็ต้องจากไปเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเขาจากไปแล้วเราก็ไม่ควรนึกถึงอดีตที่โศรกเศร้า ควรหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล เขาน่าจะดีใจมากกว่า ที่เราต้องมานั่งโศกเศร้าเสียใจ

    3.ไม่ควรยึดติดกับสิ่งของที่ตนได้แล้ว สมบัติที่ตนได้แล้ว เพราะของสิ่งพวกนี้ตายไปเราก็เอาติดตัวไปไม่ได้แล้ว แม้แต่ 1 สลึง ก็เอาติดตัวไปไม่ได้

    หมวดทุกข์

    สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

    ทฬิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก ความจน เป็นทุกข์ในโลก

    อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลก

    ทุกฺขํ อนาโถ วิหรติ คนไม่มีที่พึ่ง อยู่เป็นทุกข์

    ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต ผู้แพ้ ย่อมอยู่เป็นทุกข์

    อกิญฺจนํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา ทุกข์ ย่อมไม่ตกถึงผู้หมดกังวล

    ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์

    อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ ทุกฺขํ การพบเห็นสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์​


    พุทธศาสนสุภาษิต - หมวดทุกข์
     
  2. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    หลักการพ้นทุกข์ 1.ทำบุญให้ทาน ทำอยู่เนืองๆ เช่น รายได้เดือนละ 7,000 บาท อาจจะทำประมาณเดือนละ 500-600 บาท (ผมเอง) เป็นต้น 2.รักษาศีล มีเจตนาไม่ทำบาปกรรมทั้งปวง ละชั่ว ไม่ทำความชั่ว ถือศีล 5 นั่นเอง 3.ภาวนา คือการปฏิบัติธรรม หลวงตาบัวท่านสอนว่า ให้ทำสมาธิและเดินจงกรม...
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทำสมาธิ และ เดินจงกรม เพื่ออะไรครับ?
     
  4. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทำสมาธิเพื่อความสุขใจ สบายกายสบายใจ จิตนิ่งตามดูมัน ราคะ โทสะ โมหะ กำจัดด้วยจิตนิ่ง เอาให้นิ่งให้ได้ที่ เวลาออกจับจุดว่าจะออกตอนไหน มันจะติดตัวเราไป ตรงนี้แหละคือปัญญา เป็นภาคปฏิบัติครับการทำสมาธิ อย่างท่านผู้ที่มีประสพการณ์สูง พอท่านนั่งหลับตา ฌาณ 4 เกิดขึ้นทันทีท่านก็ทำได้ เมื่อทำสมาธิแล้วจิตสงบเราจะมีความสงัดจากอกุศลธรรม ขณะจิตเรานั้นๆจะเป็นอารมณ์วิมุตติเป้นไปตามลำดับ แนะนำว่าทำสมาธิทุกวันครับ ผมก้ทำทุกวัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าสมาธิหรือภาคสมถะเป้นการสำรอกราคะ ก้คือถ้าให้กล่าวนัยยะหนึ่งทำสมาธิเพื่อไม่ให้กามกำเริบ ยิ่งเราทำบ่อยทำแล้วสงัดกามยิ่งดับไปโดยเร็ว และถอนรากถอนโคนมันออกด้วยปัญญา เคยเห็นนายหน้าที่ชำแหละเนื้อสัตว์ไหม นั่นล่ะจินตภาพทำอย่างนั้น ไล่มันไปตั้งแต่ผิวหนังหล่อๆ ขนรักแร้ดกๆน่าเลีย องคชาติหัวบานแดงน่าดูด ถลกหนังเนื้อเอ็นกระดูกออกจนลึกไปถึงกระดูก ยัง ยังไม่พอ กระดุกต้องภาวนาให้มันแตกสลายด้วย เอาไม่เหลือซากเลย นี้คือสมาธิทั้งในส่วนของสมถะภาคความสงบและปัญญาหรือวิปัสสนากรรมฐาน พูดเรื่องกาม ควรงดเที่ยวให้ช่วยตัวเองแทน เวลากระทำก็ไม่ต้องนึกถึงใคร ทำสักแต่ให้ธาตุขันธุ์ผ่อนคลาย และไม่ไปหลงกับมัน หาอะไรทำ สมถะกรรมฐานนี่แหละวิธีดับกาม ส่วนเดินจรงกรมก้เพื่อภาวนาด้านปัญญา เอาเป็นว่ากรรมฐานมี 40 กอง ลองตั้งใจศึกษาแล้วปฏิบัติไปเลยนะครับ ผมจับอยู่ประมาณ 10 กว่ากองไม่ได้จับหมด โอเคนะครับ...
     
  5. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    หลักการพ้นทุกข์คือ

    รู้เท่าทัน ในทุกข์ นั้นๆ อย่างถูกต้อง

    เเล้วทุกข์ ก็ จะถูกทําลายลงไปเอง โดยอัตโนมัต
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    มด กว่าจะสร้างรัง หาอาหาร ต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร ต้องมีความอดทนอย่างมากมาย

    ผู้ที่เริ่มเดินทางในเส้นทางแห่งการปฎิบัติ ซึ่งมีเจตนาที่ดี ในหนทางที่ดี แม้จะเพียงน้อยนิดที่จะสร้างประโยชน์

    ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี ควรแล้วที่จะอนุโมทนา ไม่มีสิ่งใดผิด ไม่มีสิ่งใดถูก เพราะไม่นานสิ่งที่ยึดถืออยู่ก็หายไป

    แม้แต่ตัวตนของเราเองก็จะหายไป โดยใช้ระยะเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก แค่เพียง 500 ปี ก็ไม่มีใครกล่าวถึงอีก

    ผู้ที่มีคนกล่าวถึงส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีคุณงามความดี ที่มากมายจนเหลือคณานับ หรือ เป็นผู้ที่ก้าวข้ามโอฆะ

    หลุดพ้นโดยไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ฉนั้นไม่มีอะไรให้เราหวัง ไม่มีอะไรให้เราสนใจในเรื่องถูก-ผิด

    ขอเป็นกำลังใจให้ จขกท ด้วยครับ อย่าหวั่นไหวในคำพูด ก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ เพราะความไม่มั่นใจทำให้เสียโอกาศครับ

    สาธุครับ
     
  7. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    หลักการพ้นทุกข์
    ก็คือ การเดินทางสายเอกเท่านั้น ทางสายที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เท่านั้น
    ทางสายอื่นไม่มีค่ะ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    กว่าจะมาเข้าทางสายเอกได้ดั่งใจนั้น ต้องผ่านอุปสรรค์มากมาย

    กว่าจะรู้ว่านี่คือทางสายเอก ต้องทดลอง ค้นคว้า ศึกษา ด้วยความยากลำบาก

    หาใช่เพียงแค่อ่านจนรู้แต่ไม่ทดลอง ค้นคว้า ย่อมไม่มีความเข้าใจได้ลึกซึ้งในทางสายเอก

    สาธุครับ
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    โอย... การปฏิบัติไม่ได้มีเพียงแค่นั่งหลับตาติ้วๆๆ เท่านั้นนะ

    นั่งหลับตาสมาธิ สำหรับเรานะ เราให้ค่าแค่ให้จิตพักผ่อนมีกำลังเท่านั้น
    เพราะเราอยู่กับความเป็นจริงที่ว่า ฌานได้ยาก
    หากวันใดได้ฌานขึ้นมา ถือว่า เราทำเหตุปัจจัยมาจากชาติก่อนไว้ดี
    ไม่ใช่การพากเพียรชาตินี้แน่นอน ถ้าชาติที่แล้วไม่ได้มีเหตุปัจจัยมา
    ชาตินี้ทำฌานให้ตายก็ไม่ได้ คนที่เค้ารู้
    เค้าก็มุ่งหาปัญญากันไว้ แล้วนำมาสู่วิปัสสนา
    ทำตามพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้เท่านั้นพอ

    คุยแค่นี้นะ เด๋วคุยกันไม่รู้เรื่องอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2012
  10. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    นี่ก็ นะ....เห้อ......
    จะหาทาง ตี กับ คำสอน ของพระพุทธเจ้าร่ำไป แถม มีการ ปรามาส พระสาวก รุ่นถัดๆมาด้วยว่า อาจ แก้ไขพระไตรปิฏกจนเพี้ยนไป....

    ใน มหาสติปัฎฐาน สูตร เขาบอกไว้แล้วว่า...เอกายนมรรค..นี้คือ
    สติปัฎฐานสูตร..เอกายนมรรค นี้ แปลว่า ทางสายเดียว ไม่มีทางสายอื่น...และใน นั้น ก็ไม่ได้บอกว่า ใครจะ มาฝึกหัด สติปัฎฐาน จะต้อง...หัด ทำสมถะ จนจิต เข้าฌาณได้ก่อน

    มันไม่มี ครับ ไป หาอ่านดูได้...ใน สติปัฎฐาน ที่พระพุทธองค์ สอน ท่านให้ หัด ภาวนาเลย ด้วยการ ภาวนาตามที่ท่านสอน ใน สติปัฎฐาน 4..ใคร ถนัดแบบไหน ก็ ทำแบบนั้นไปเลย....ไม่ต้อง ทำ ทุกแบบ ทุกอย่าง..ใน 4 ฐานทุก ฐาน

    สอนยากสอนเย็น...55+ เริ่มเข้าใจ คำว่า เข็นครก ขึ้นเขา..ที่แปลว่า การ กระทำ ที่ยากยิ่ง แต่ ก็ ยัง ดีกว่า การ เข็น ควายขึ้นเขา เพราะ ควายมัน หันมาสู้..5555+++
     
  11. super car

    super car เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +200

    ค่ะ จริงค่ะ ต้องผ่านอุปสรรคมากมายกับการเจริญสติ ...
    และที่สำคัญต้องรู้วิธีด้วยค่ะ ว่าต้องฝึกแบบไหน คนทั่วไปทราบหมดค่ะว่าการเกิดทุกข์ การดับทุกข์ และการพ้นทุกข์ เป็นอย่างไร แต่ที่คนทั่วไปไม่ค่อยทราบคือวิธีและการฝึกในการเจริญสติที่จะใด้มาซึ่งการการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงค่ะ :)
     
  12. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    มากมายจริง ยกมาสักเรื่องซิ มีอะไรบ้าง?

    อุปสรรคมากมายน่ะไม่ใช่เรา พระพุทธองค์ต่างหากที่ทรงผ่านอุปสรรคมามากมาย
    เมื่อข้ามพ้นแล้วพระองค์จึงทรงนำมาบอกว่าเส้นทางนี้เป็นทางที่บริสุทธิ์ปราศจากทุกข์สิ้นเชิง
    ก็แสดงว่า ถ้าเชื่อพระพุทธองค์แล้วปลอดภัยจะไม่ประสบทุกข์
    เปรียบประดุจพระองค์ปรุงอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าตักใส่ปากแล้วเคี้ยวกลืนเท่านั้นเอง
    บุคคลที่ว่าต้องผ่านอุปสรรคมากมายนั้นเพราะไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระองค์
    คิดเองเออเองด้นเดาเอาเอง ไม่ผิดอะไรกับเด็กดื้อด้านว่ายากสอนยาก
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คนที่มัวแต่กลัวย่อมนึกคิดเช่นที่คุณกล่าวครับ ผู้ที่จะได้ฌาณนั้นกว่าจะถึงขั้นที่แสดงผลของชาติก่อน

    ก็ต้องพากเพียรอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ หาใช่เพียงเป็นผลจากชาติก่อนเพียงเท่านั้น

    ปฎิบัติจนกว่าจะได้ฌาณ ก็ใช่ว่าจะได้มาอย่างง่ายดาย ในบางชาติก็ไม่ได้ปฎิบัติ

    กว่าจะได้กลับมาปฎิบัติ ก็ผ่านไปหลายชาติแล้ว ผลที่เคยสร้างไว้กว่าจะส่งผล

    บางท่านก็เพียรจนได้ฌาณร่วมกันถึง 5 ชาติจึงจะส่งผล หากกล่าวในเรื่องเช่นนี้

    บ่งบอกได้แต่ว่า กลัวตั้งแต่ยังไม่ได้ทดลองกระทำเลย ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นจึงจะเจริญสติปัฎฐาน 4

    ที่ส่งผลได้ดี หาไม่แล้ว ก็เผลอไหลไปตามอารมณ์โดยไม่ทันรู้ตัว แค่เพียงอารมณ์ไม่พอใจที่เกิดขึ้นได้ง่าย

    ก็เป็นสิ่งที่ชี้ชัดแล้วครับ ยิ่งมองแค่เพียงเวลานี้ เวลานั้นอย่างเจาะจงด้วยแล้ว

    ระยะเวลาที่นานเนิ่นแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นมีจิตที่ตั้งมั่นเพียงใดครับ ไม่ใช่โกรธง่ายแต่หายเร็ว

    เพราะจะโกรธอยู่เรื่อยๆ สนทนากับคนโกรธ จะมีผู้ใดต้องการครับ นี่เพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น

    สาธุครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    แค่คุณคอยตามผมอยู่ทุกวันนี้ก็ชี้ชัดอยู่แล้วครับ ว่าผมแสดงออกไม่ถูกใจคุณ

    เกิดความเป็นทุกข์ถึงได้คอยตาม จะด้วยหวังดี หรือ อย่างไรไม่สำคัญครับ

    แต่ความเป็นปกติในตอนก่อนที่จะสนทนากับผม ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนแล้ว

    เมื่อใดที่ไม่ได้ชี้โทษของตัวผม ก็จะรู้สึกหงุดหงิด จนทนอยู่ไม่ได้ ต้องแสดงออก

    หากเป็นดั่งที่คุณกล่าวจริง คงไม่ต้องเพียรปฎิบัติธรรม แค่เพียงศึกษาพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงชี้บอก

    ก็หลุดพ้นได้แล้วสิครับ แม้แต่ตำราทำอาหารก็ยังต้องทดลองทำด้วยตนเองเลยครับ

    กว่าอาหารนั้นจะอร่อยอย่างที่ต้องการ ก็ยังต้องใช้ระยะเวลาในการปรุง

    สาธุครับ
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผู้ที่ได้นับถือพระพุทธศาสนา นั้นคือ เป็นผู้มีบารมีมามากแล้วทั้งนั้น
    แต่จะได้เข้าช่อง ถูกที่ถูกทางก็ตาม วิบากกรรม

    ใครจะรู้ว่า
    พระจุฬปันถก เคยหรือไม่เคยทำฌานมาแต่ปางก่อน
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    หล่อมาแต่เที่ยงเลย รับกาแฟสักแก้วไหม๊ พี่ ป.ปราบ
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอลาเต้ แก้วนึง ครับ ^^
     
  18. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    เอางี้นะ จะพูดง่ายๆ นะ คนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้

    ไม่ได้สามารถทำฌานกันได้ทุกคน

    แล้วคนไหนล่ะ ที่ทำฌานได้

    ***ก็คนที่เกิดมาพร้อมด้วยเหตุครบ3 ที่ทำฌานได้ พวกนี้เท่านั้นจริงๆ

    เช่น หลวงพ่อที่เรานับถือกันมีมากมายที่ท่านได้ฌาน อภิญญา

    คนทั่วๆ ไป ก็มี แม่ชีก็มี เป็นต้น ถ้าคุณoatthidet เกิดมาด้วยเหตุ3

    คุณต้องได้ฌานแน่ๆ นั่งคู้บัลลังตั้งกายตรงดำรงสติมั่น ไม่นานหรอก

    ได้ฌานแล้ว รับรอง คุณลองประเมินตัวเองดูทีสิ ทำมากี่ปีแล้ว เดินบนน้ำ

    ได้หรือยัง ถ้าได้ปฐมฌาน ก็ต่อปื้ดๆๆๆไปจนถึงอภิญญาได้แล้ว

    นี่มันกี่ปีมาแล้ว คุณoatthidet หายตัวได้รึยัง ยังมาเล่นเวปอยู่ทุกวัน

    ถ้าได้ฌานแล้ว ไม่มาเล่นเวปแล้ว เค้าต้องเก็บตัวอย่างแรง ไม่งั้นฌานเสื่อม

    ***ส่วนคนที่เกิดมาพร้อมด้วยเหตุแค่2 คือพวกที่ทำฌานไม่ได้

    เช่น ใครบ้างที่รู้ตัว ยกมือ เรายกมือคนแรกเลย

    แล้วคนที่เกิดมาทำฌานไม่ได้ แม้ว่าจะเรียนเก่ง เก่งสารพัด

    ก็ไม่ได้หมายความว่า เก่งทางโลกแล้วจะไอคิวสูงจะทำฌานได้นะ ไม่เกี่ยว

    เค้านับกันที่เหตุ ในการเกิดเท่านั้น

    .......บอกให้ศึกษา ศึกษา ก็ไม่่่เชื่อ ทำไปเถอะ ทำให้ตายก็ไม่ได้ฌาน
    ถ้าไม่ได้เกิดมาพร้อมด้วยเหตุ3ที่ทำฌานได้

    เคยเห็นมั้ย คนที่สมถะทำมา 10 ปี 20 ปี ยังไม่ฌาน เอาฌานจริงๆ นะ
    ไม่นับพวกที่หลง โดนหลอกว่าได้ฌานนะ

    ที่นี้จะเสียเวลานั่งติ้วๆๆ ทำไม หาเหตุปัจจัยให้ชาติหน้าไว้ด้วยดีกว่านะ
    ไปศึกษาหาปัญญาใส่ตัว ชาติหน้าก็เกิดมาด้วยเหตุครบ ทำฌานได้
    แล้วยังแถม ปฏิบัติวิปัสสนาได้อย่างถูกต้องด้วย มหากุศลก็ได้ด้วย
    จากการอ่าน ฟังธรรมด้วยการพิจารณา นี่เค้าก็เรียกว่า การภาวนา
    ถ้าเกิดมาเหตุด้วยเหตุ2 ชาตินี้แก้ไขไม่ได้แล้ว นั่งจนตายคาห้องพระ ก็ไม่ได้ฌาน
    แต่ได้ มหากุศล เอาไปเป็นวิปากที่เป็นกุศล เห็นความเป็นอยู่ชาตินี้ดีขึ้น
    ชาติหน้าก็มีความสุข

    ฮ้วย....ข้อยขี้เกียจอธิบายแล้วเด้ออออออ
    แวะมาตอบให้คุณoatthidet หายข้องใจ

    นี่จะบอกให้นะคุณoatthidet
    เปิด Fm 107.5 สถานีวิทยุของมหาจุฬาฯ
    ฟังเพลงนี้กัน.......เรียนพระอภิธรรม ทำให้เราฉลาด.............
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    จะมีวิธี รู้ได้อย่างไร ว่า

    ***ก็คนที่เกิดมาพร้อมด้วยเหตุครบ3***

    หรือ

    ***ส่วนคนที่เกิดมาพร้อมด้วยเหตุแค่2***
     
  20. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    ถ้าจะพูดให้ครบ ก็มีคนที่เกิดมาด้วยเหตุ และไม่มีเหตุ ด้วย
    มี 4 พวก คือ
    1. ปฏิสนธิแบบไม่มีเหตุพวกที่ไปเกิดอบายภูมิ 4 เรียกว่าทุคติอเหตุกบุคคล
    2. ปฏิสนธิแบบไม่มีเหตุพวกที่เกิดมาในสุคติภูมิ เรียกว่าสุคติอเหตุกบุคคล
    เป็นมนุษย์พิการแต่กำเหนิด และ เทวดาชั้นจาตุมฯ
    ที่เป็นเทวดาระดับล่างๆ
    3. พวกที่ปฏิสนธิมาด้วยเหตุ2 เรียก ทวิเหตุกบุคคล
    4. พวกที่ปฏิสนธิมาด้วยเหตุ3 เรียก ติเหตุกปุถุชน1 และอริยผลบุคคล 4

    จะรู้ว่า เกิดมาด้วยเหตุ 2 หรือ 3

    ก็ต้องทำฌานได้ นั่นแหล่ะ ถึงจะรู้ตัวว่าเกิดด้วยเหตุ3
    จะเห็นว่า คนที่ปฏิสนธิด้วยเหตุ3 นั้น เป็นปฏิสนธิเหตุเดียวกับพระอริยะ
    พูดแล้วขนลุก เราคิดเองล่ะกัน อย่างเราๆ เทียบกับบุคคลที่เป็นพระอริยะ
    เราก็พอจะประเมินตัวเองได้เน๊อะว่าป่าวล่ะ ก็ลองอ่านประวัติหลวงพ่อดังๆ ดู
    ว่า ท่านประกอบกิจชีวิตประจำวันอย่างไร เอาแค่หลวงพ่อดังๆ มีอภิญญา
    ดูประวัติท่านล่ะกัน ว่าท่านเป็นอย่างไร แล้วเราเป็นอย่างไร....อันนี้ความคิด
    เห็นเรานะ แต่ที่แน่เค้าดูกันว่า ทำฌานได้หรือไม่ได้
    ถ้าทำฌานได้ ก็ปฏิสนธิด้วยเหตุ3 ค่ะ

    หรือ ประเมินตนเองแล้วว่า เรามีวิริยะขนาดนี้ ยังไม่ได้ฌานซะที
    เราทำสมถะ มาเป็นปี, 10 ปีก็แล้ว 20ปีก็แล้ว
    ทำไมยังไม่ได้ฌาน นั่นแหล่ะ น่าจะเป็น ทวิเหตุกบุคคล ปฏิสนธิด้วยเหตุ2
    หรือเปล่านะเรา

    หมายเหตุ ต้องสังเกตุให้ดีด้วยว่า ที่ว่าได้ฌานนั้นจริงมั้ย เป็น อฌานหรือไม่
    ต้องสอบอารมณ์กับครูอาจารย์ที่เก่งๆ ซะหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งแน่ใจ ถูกหลอก
    เยอะ เราเองยังเคยคิดเลยว่าตัวเราเองได้ฌาน อิๆ ไม่อยากบอกเล้ย อายเหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...