หลวงปู่ดู่สอน http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=13.0

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย santosos, 18 พฤษภาคม 2011.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    มีอยู่คืนหนึ่ง หลวงปู่เล่าว่า ท่านฝันว่ากินดาว ๓ ดวง ลักษณะที่กินเหมือนกินขนมปังกรอบ เมื่อตื่นขึ้นมานึกสงสัยว่า เราจะมีโชคลาภถูกรางวัลที่ ๑ กระมัง เมื่อคิดไปคิดมาหลายตลบก็ยังลงเอยไม่ได้ แต่คิดว่าคงเป็นของสูงกว่านี้ ประกอบกับในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณ (หลวงปู่ใหญ่) เจ้าอาวาสวัดสะแก ท่านได้ให้หลวงปู่ช่วยเสกพระสมเด็จให้ท่าน พร้อมทั้งกำชับให้หาคาถาเพื่อใช้กับองค์พระด้วย หลวงปู่บอกว่าสูบบุหรี่ไปหลายมวน ก็ยังหาคาถาไม่ได้ ในแวบหนึ่งของจิตท่าน คิดว่า ทั้งสามโลกนี้ จะหาอะไรมาสูงสุดเทียบกับอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านมองไปที่ถาดพระสมเด็จ แล้วระลึกถึงไตรสรณคมน์เท่านั้น ก็เป็นขึ้น คำว่า "ขึ้น" ในที่นี้คือ อาการเกิดปิติขึ้น ทางกาย ทางใจ และมีสิ่งที่ติดตามมาอีกหลายอย่าง เช่น ความสว่าง เป็นต้น จนในที่สุดท่านก็สรุปคาถาที่จะให้กับอาจารย์ใหญ่ว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" และหลังจากนั้นท่านก็ได้มอบคาถานี้ให้กับลูกศิษย์ที่ต้องการคำภาวนา หลวงปู่พูดว่า "หลวง ปู่ทวดกล่าวว่า ไตรสรณคมน์ นั้น เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก่อนบวชก็เป็นพระสงฆ์ เมื่อมาค้นพบสัจจธรรมก็เป็นพระพุทธเจ้า พุทโธ นั้นแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งเป็นดอกหรือผลที่เกิดขึ้น ต้องมีไตรสรณคมน์ก่อนจึงจะเป็นผู้รู้ได้"

    เกี่ยวกับพระไตรสรณคมน์นี้ หลวงปู่บอกว่า "ถ้าจิตเราเป็นแล้ว เพียงฟังคนอื่นเขาพูดก็เป็นขึ้นมาได้ เมื่อกึ่งพุทธกาลวันนั้น ฉันเดินไปถาน (ห้องส้วม) ซึ่งเมื่อก่อนอยู่หลังวัด แค่หูแว่วไปได้ยินเสียงเจ้าคุณกำลังให้ศีลบนศาลา พอได้ฟังแค่นั้นก็เป็นแล้ว แสงสว่างที่ปรากฎเต็มไปหมด ตั้งแต่นั้นมาก็มืดเลย แก้ไม่ถูก ไม่รู้จะแก้อย่างไร"

    การที่หลวงปู่พูดเช่นนี้ ลูกศิษย์ทั้งหลายเข้าใจว่า หลวงปู่โดยปกติเป็นผู้ถ่อมตัว เมื่อมีคนไปถามเรื่องอะไรมากๆ ท่านจะพูดว่า "ข้าไม่รู้ ข้ายังมืดอยู่ มืดมาตั้งแต่กึ่งพุทธกาลแล้ว" ผู้เขียนเองเคยเรียนถามท่านว่า "มืดแล้วใจของหลวงปู่เป็นอย่างไรครับ" ท่านตอบว่า "ก็เฉยๆ สบายดี ไม่เห็นเป็นอะไร ตามเรื่องของมัน จะสว่างเมื่อไรก็ช่าง สว่างเมื่อไรข้าก็อยู่ไม่นานแล้ว" และสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนสบายใจ เมื่อหลวงปู่พูดว่า "ขืนบอกว่าสว่างซิ รถจากวัดสะแกไปถึงถนนใหญ่ยังไม่พอเลย จะตายไวขึ้น" มีครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยเรียนถามท่านถึงการปฏิบัติสมาธิว่า "การที่หลวงปู่สร้างผงพระนั้น หลวงปู่ก็ต้องเคยพบกับความสงบแล้วซิครับ" ซึ่งสาเหตุของการถามเรื่องนี้ เกิดจากการที่ท่านสอนว่า "พยายามปฏิบัติเข้า ให้ใจถึงความสงบ ข้าเองปฏิบัติมาตั้งนาน ยังไม่สงบซักที" แต่สิ่งที่หลวงปู่ตอบ ทำให้ผู้เขียนมีความปิติใจมาก คือ ท่านตอบว่า "สงบแบบนั้น มันครั้งคราวไม่แน่นอน แต่เมื่อถึงพุทธกาลน่ะซิ สงบจริงๆ" คงจะเข้าตามหลักที่ท่านว่า "นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี" สงบที่แท้จริงนั้นคือ สงบจากกิเลส ตัณหา และอุปทานกระมัง ที่หลวงปู่ท่านได้รับ และสิ่งที่ท่านบอกว่าท่านมืด อาจหมายถึงอวิชชานั่นเองที่มืด คือไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้อีก เพราะจิตที่สะอาด สว่าง และสงบเท่านั้น คือความว่างอย่างแท้จริง ซึ่งหลวงปู่คงให้ปริศนาธรรมสำหรับพวกเรา ซึ่งยังมืดบอดคลำหาหนทางอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...