สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอน จะไปดู นรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้อย่างไร?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 20 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอน จะไปดู นรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้อย่างไร?
    [​IMG]
    เมื่อหลวงพ่อได้ยืนยันให้ข้าพเจ้าทราบ อย่างแน่ชัดแล้วว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน มีจริงตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะได้ไปรู้ไปเห็นกับเขาบ้าง จะได้ไม่ต้องมาเป็นมนุษย์หลงโลก หรือปลาหลงหนองน้ำเน่าอย่างที่หลวงพ่อว่าอีกต่อไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบถามหลวงพ่อต่อในทันใดว่า

    “ถ้านรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริง แล้วผมจะไปดูกับเขาบ้างได้ไหมครับหลวงพ่อ?”

    หลวงพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ถามข้าพเจ้าว่า

    “เออ! ที่คุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้มาจนถึงทุกวันนี้นั้น เป็นเพราะคุณเชื่อตามครูที่เขาสอนคุณใช่หรือไม่?”

    ข้าพเจ้านิ่งคิดเพราะไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมารูปใดแน่ แต่ก็ตอบว่า

    “ครับ ต้องเชื่อครู”

    “ถ้าครูเขาสอนว่า ก.ไก่ ต้องเขียนอย่างนี้ ข.ไข่ ต้องเขียนอย่างนี้ แต่คุณไม่สนใจ กลับหนีไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองเสีย คุณจะรู้ไหมว่า ก.ไก่ เขียนอย่างไร ข.ไข่ เขียนอย่างไร?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

    “คงไม่ทราบครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างระแวง

    “ถ้าครูเขาสอน กอ-อะ-กะ, กอ-อา-กา แล้วคุณไม่ฟังไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองอีก คุณจะอ่านออกเสียงกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามต่อ

    “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “คราวนี้ถ้าครูสอนให้อ่าน ตาดี ตีงู... แล้วคุณก็ยังหนีไปเล่นหยอดหลุมทอยกองอีก คุณคิดว่าคุณจะผสมคำอ่านไปกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

    “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบ

    “รวมความที่ว่าคุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ เพราะคุณเชื่อตามที่ครูสอนแน่นะ” หลวงพ่อถามย้ำ

    “ครับต้องเชื่อครู”

    “นั่นแหละเหมือนกัน ถ้าคุณอยากจะไปดูว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ คุณก็ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ

    คราวนี้คุณลองถามตัวเองดูซิว่า คุณเคยให้ทานไหม เคยรักษาศีลไหม เคยเจริญสมถกรรมฐานไหม เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานไหม เคยบูชาพระหรือไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำไหม เคยรู้จักระงับนิวรณ์ ๕ บ้างไหม เคยทรงพรหมวิหาร ๔ บ้างไหม... เป็นต้น

    ถ้าคุณไม่ตอบ ฉันก็จะตอบแทนให้ในหลักใหญ่ๆ ว่า ทาน นั้นคุณอาจทำได้บ้างโดยเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง ศีล ของคุณเอาแต่ศีล ๕ ก็รู้สึกว่าจะกระพร่องกระแพร่งเต็มที โดยเฉพาะศีลข้อ ๕ ของคุณนั้นขาดกระจุย ยิ่งการเจริญภาวนา ด้วยแล้ว คุณไม่มีเลยนะ

    นี่ฉันพูดชี้ให้คุณเห็นเฉพาะแค่ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเป็นบันได ๓ ขั้นเท่านั้นนะ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็คงจะตอบตัวเองได้ใช่ไหมว่า คุณนั้นหาได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาอย่างจริงจังไม่

    ดังนั้นการที่คนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เชื่อครู ฉันใด คุณก็ย่อมไม่มีวันที่จะได้ไปเห็น นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน เพราะคุณไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าฉันนั้น”

    ข้าพเจ้านั่งตาปริบๆ ฟังหลวงพ่ออย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ใจซึ่งเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิอยากที่จะโต้แย้งบ้าง แต่ก็อับจนปัญญาไม่ทราบว่าจะโต้ไปแบบใด เพราะหลวงพ่อพูดความจริงทุกอย่าง จึงได้แต่ส่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ

    หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้านั่งฟังด้วยอาการสงบ ก็พูดต่อว่า

    “การที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักการให้ทานนั้น ก็เพราะทานเป็นพื้นฐานของบุญขั้นแรก หากคุณปฏิบัติตามได้จะมีผลอย่างมหาศาล คุณลองพิจารณาดู

    ทุกครั้งที่คุณควักเงินออกบริจาคให้ทาน จิตของคุณในขณะที่ให้ท่านย่อมไม่มีความโลภใช่ไหม เพราะถ้ามีความโลภ คุณก็บริจาคทานไม่ได้ เงิน ๑๐ บาท ๒๐ บาท ก็มีความหมายใช่ไหม

    และจิตของคุณในขณะที่ให้ทานก็ย่อมไม่มีความโกรธใช่ไหม เพราะถ้าคุณมีความโกรธอยู่ใครมาขอเงินแค่ ๑ บาท คุณก็ไล่ตะเพิดไปแน่ๆ ใช่ไหม

    และเมื่อจิตไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ก็ย่อมไม่มีความหลงใช่หรือไม่ และผลที่ตามมาจากการให้ทานบ่อยๆ นี้เองจะทำให้คุณเกิดพรหมวิหาร ๔ ใน ๒ ข้อแรก คือ เมตตา ( ความรัก) และกรุณา (ความสงสาร) ขึ้น โดยไม่รู้ตัว

    และเมื่อความเมตตา กรุณาเกิดขึ้นในจิต ก็จะทำให้คุณยิงนก ตกปลา ฆ่าชีวิตคนและสัตว์ไม่ได้ จะลักขโมยของผู้ใดก็เกิดความสงสารเห็นใจ จะเป็นชู้กับลูกเมียใครก็ทำไม่ได้ จะโกหกมุสาใครแม้นัดเขาไว้ไม่ไปตามนัดก็สงสารเขา

    จะเสพย์สุราเมาก็สงสารลูกเมียในที่สุด คุณก็จะรักษาศีล ๕ ได้โดยไม่ยากเย็น เป็นการก้าวสู่บันไดขั้นที่ ๒ ของบุญได้ใช่ไหม และเมื่อใดศีล ๕ ของคุณบริสุทธิ์ การเจริญภาวนาซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ ๓ ก็ย่อมไม่มีอุปสรรคมากนัก”

    ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่ออธิบายอย่างเพลิดเพลิน และคิดตามไปด้วยเหตุและผลโดยตลอด แม้จะยืดยาวเพียงไร ข้าพเจ้าก็จดจำได้อย่างแม่นยำ และจำได้ตลอดกาลด้วย (สำหรับเรื่องการจำแม่นนี้ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเคยสร้างสมมาแต่ปางก่อนก็ได้ เพราะตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าสอบได้ที่ ๑ มาโดยตลอดก็เพราะสามารถอ่านหนังสือครั้งเดียวจำได้ โดยไม่ต้องนั่งท่องจำเหมือนคนอื่นให้เสียเวลาเลย)

    หลวงพ่อก็คงจะรู้ว่าข้าพเจ้าเข้าใจที่ท่านพูด และยังมีความสนใจฟังต่ออย่างไม่รู้เบื่อหน่าย จึงอธิบายต่อว่า

    “การที่จะนั่งพิสูจน์ค้นคว้าเกี่ยวกับนรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน หรือหลักสูตรพระพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆ นั้น จะมาค้นหากันในด้านวัตถุของโลกวิทยาศาสตร์นั้นย่อมไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป็นการค้นหาและพิสูจน์ที่ไม่ตรงจุด ถ้าจะให้ตรงจุดก็จะต้องใช้อารมณ์ค้นคว้าเพราะพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้ด้านอารมณ์

    ดังนั้นคุณก็จะต้องหัดทรงอารมณ์ดีขั้นต้นๆ ๓ ประการให้ได้เสียก่อน คือ ๑. เลิกสนใจกับความดีความชั่วของคนอื่น สนใจแต่อารมณ์ของตนเองให้ทรงอยู่ในความดีโดยเฉพาะ ๒. ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดกาล ไม่แนะนำให้คนอื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำลายศีล ๓. ระงับนิวรณ์ ๕ ให้ได้

    และทรงอารมณ์ดี ๓ ประการได้แล้ว ก็พยายามทรงพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ให้ครบถ้วนตลอดเวลาที่มีลมปราณอยู่ และให้ทรงได้เป็นปกติด้วย ต่อจากนั้นไป คุณก็ฝึกจับนิมิตด้วยกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๓ อย่างนี้ คือ ๑. เตโชกสิณ (เพ่งไฟ) ๒. โอทาตกสิณ (เพ่งสีขาว) ๓. อาโลกกสิณ (เพ่งแสงสว่าง)

    การเพ่งนั้นเมื่อคุณทรงอารมณ์ขั้นต้นจนเป็นปกติ ผลของการเพ่งจะไม่มีอะไรยาก ใช้เวลาอย่างช้าไม่เกิน ๗ วัน ก็จะทรงนิมิตเป็นฌานได้อย่างสบาย และใช้นิมิตนั้นเป็นสื่อ นรก สวรรค์ และพรหมได้ และเมื่อใดหากคุณทรงวิปัสนาญาณได้อารมณ์ถึงโคตรภูญาณเป็นอย่างน้อยคุณก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระนิพพานนั้นมีจริงอีกด้วย

    และถ้าจะให้ดีอีกสักนิด เห็นชัดอีกสักหน่อย คุณก็พยายามละโลกธรรม ๘ ประการเสียเลย เรื่องได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทาจงปล่อยไป ไม่สนใจเอามาเป็นอารมณ์ หากทำได้เช่นนี้แล้ว คุณก็จะสามารถจะพิสูจน์ความจริงได้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพานนั้นมีจริง อ้าวนั้นคุณนั่งหลับไปแล้วรึ”

    “เปล่าครับ หลวงพ่อผมเข้าสมาธิฟังครับ ผมถนัดในการนั่งหลับตาฟังเพราะจำได้แม่นยำดี อ้อ! หลวงพ่อครับ โคตรภูญาณ คืออะไรครับ?” ข้าพเจ้ารีบตอบแล้วถามต่อ

    “เมื่อคุณเจริญสมถกรรมฐาน ด้วยการเพ่งกสิณจนได้ทิพยจักษุญาณแล้ว คุณก็จะต้องเจริญวิปัสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ ยังไงล่ะ โคตรภูญาณนั้นจะอยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตระ คือ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน แต่อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตรชน คือใกล้จะเป็นพระโสดาบันนั่นแหละ” หลวงพ่อตอบ

    “เป็นไงยังงงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นไรต่อไปฉันจะเขียนคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานให้อ่านดูแล้วปฏิบัติตามไป สักวันหนึ่งไม่นานเกินรอคุณก็จะเข้าใจที่ฉันพูดมานี้ทุกอย่างได้เอง”

    “หลวงพ่อครับ แล้วมโนมยิทธิล่ะครับ ไปดูนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ได้ไหม?” ข้าพเจ้ารีบถามเพราะเคยได้ยินบางท่านพูดถึงกัน

    “คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่ามโนมยิทธินั้น หมายถึงอะไร มโนมยิทธิแปลว่ามีฤทธิทางใจ ถ้ามโนมยิทธิแบบเต็มกำลังแล้ว ท่านหมายถึงการถอดจิตออกจากร่างแล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ และผู้ที่จะสามารถทำได้ จะต้องทรงวิชชาสาม หรือ ทรงอภิญญา ๖ คุณไม่เข้าใจอีกละซิ เห็นนั่งทำหน้างงๆ ไม่เป็นไรถ้าอยากจะรู้ว่าวิชชาสามและอภิญญา ๖ มีอะไรบ้าง ฉันจะเขียนไว้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานแล้วคุณไปนั่งอ่านเอาเองก็แล้วกัน

    เอาเป็นว่าถ้าหากคุณทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๓ อย่างที่ฉันว่า แต่ขอแนะนำให้เจริญอาโลกกสิณ คือ เพ่งแสงสว่าง จะเป็นการดี เพราะเป็นกสิณที่สร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง เมื่อได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็ทำจิตให้โปร่งสว่างไสว แล้วกำหนดจิตว่าขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง ก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่

    ต่อจากนี้ก็กำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้ กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อจากนี้ก็ค่อยบังคับกายนั้นให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาทิเช่น ตับไต ไส้ปอด เส้นเลือดทุกเส้น ลำไส้ทุกส่วน ประสาททุกส่วน บังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั่วทั้งร่างกาย จะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเส้นเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย เสมือนเดินอยู่บนถนนสายใหญ่ เห็นร่างกายเรานี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่

    เมื่อท่องเที่ยวในร่างกายจนชำนาญแล้ว ก็ควรหาความรู้ในสภาพของอวัยวะต่างๆ ตลอดจนสภาพความสกปรกโสมมในร่างกายของเราไปด้วย เมื่อมีความชำนาญในการเที่ยวและการตรวจสอบสภาพร่างกายของเราดีแล้ว

    ก็กำหนดจิตว่าเราจะไปนรกขุมใด สวรรค์ชั้นใด พรหมชั้นใด หรือพระนิพพาน หรือบ้านใด เมืองใด ดาวดวงใด ก็พุ่งกายออกไป ก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาที เมื่อถึงแล้วจิตจะบอกเองว่าสภาพที่นั้นเป็นภพภูมิใด บ้านเมืองใด ใครบ้างที่พบ โดยไม่ต้องมีคนบอก เพราะสภาพของจิตเป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไปด้วย จึงรู้อะไรได้ตามควาเป็นจริงเสมอ

    เป็นยังไงล่ะ คุณมนูญ นั่งฟังเพลินเลย น่าสนุกนะ หากฝึกได้ละก้อคุณได้เที่ยวสนุกแน่ ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นใดเลยนะ ไม่ต้องไปเที่ยวยืมจมูกใครหายใจ ไม่ต้องเสียเวลาขออนุญาตเจ้านาย ไม่ต้องไปทำพาสปอร์ตหรือว่า จะไปที่ใดก็ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านเจ้าของสถานที่ สามารถเข้าไปตรวจสอบอะไรต่ออะไรได้หมดเลยนะ”

    “ครับ ผมจะพยายามฝึก” ข้าพเจ้าตอบ

    เป็นยังไงครับ ท่านผู้อ่านท่านใดอยากรู้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ จะไม่ลองพิสูจน์โดยการฝึกปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนบ้างหรือ ยิ่งในปัจจุบันนี้ หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อก็มีการจัดพิมพ์ขึ้นมาแล้ว มิหนำซ้ำหลวงพ่อยังได้เมตตาฝึกมโนมยิทธิให้ลูก หลาน ญาติ มิตร อยู่อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนที่บ้านพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ ซอยสายลมอีกด้วย จึงนับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งของท่านที่สนใจทั้งหลาย

    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็แอบภูมิใจอยู่มิใช่น้อยที่ถามข้อนี้ของข้าพเจ้ามีส่วนช่วยผลักดัน ให้หลวงพ่อต้องจัดทำหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานขึ้นมา เพราะหลวงพ่อคงได้พิจารณาแล้วว่าหากไม่จัดทำขึ้น ก็คงต้องทนนั่งตอบคำถามของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนขี้สงสัยอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้นนั่นเอง

    และแม้ข้าพเจ้าจะหมดสงสัย ลูกหลานญาติมิตรของหลวงพ่ออีกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคน ก็คงจะสงสัยโน่น สงสัยนี่กันอีก และหลวงพ่อก็คงจะต้องตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี

    ดังนั้นหากท่านผู้อ่านไม่เข้าใจในศัพท์บางคำที่ข้าพเจ้าเขียนก็ดีหรือปฏิบัติไปแล้วติดขัดในขั้นตอนใดก็ดี ขอจงได้อ่านในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานบ้าง ไตรภูมิบ้าง มหาสติปัฏฐาน ๔ และหนังสืออื่นๆ ที่หลวงพ่อเขียนไว้เถิด ก็จะเข้าใจได้เอง ยิ่งปฏิบัติไป ปัญญาก็จะยิ่งเกิดจนในที่สุดท่านจะสามารถถามเองตอบเองได้อย่างน่าพิศวง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...