เรื่องเด่น สำนึกผิดแห่งองค์วสวัตตีมาราธิราช

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 2 มิถุนายน 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ___360.jpg


    มารที่มาผจญพระพุทธเจ้าในคราวออกผนวช และก่อนตรัสรู้ ซึ่งมีนามว่า พญามารวสวัตตีมาร เป็นเทวปุตตมาร ดังมีประวัติความเป็นมาดังนี้

    จักขอกล่าวถึงบรมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภาคหมู่มาร พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นั้น ก็คือพญาเจ้าฟ้าแห่งหมู่มารนั่นเอง สังเขปประวัติการสั่งสมพระบารมี
    เพื่อพระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณของท่านพญาเจ้าฟ้าหมู่มารนั้น ปรากฏมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
    พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มาร แห่งปรนิมมิตวสวัตตีสรรค์นี้ (สวรรค์ชั้นสูงสุดคือชั้นที่ 6) เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมีเช่นทานศีลเป็นอาทิมามากต่อมาก แต่กองพระบารมีอันหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้สำเร็จ ก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย (กล่าวคือใน) สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณบรมโลกุตมาจารย์ทรงอุบัติขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี้เกิดเป็นมนุษย์ มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยหนักหนา

    กาลวันหนึ่งพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้ทรงทราบว่าสมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ เสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่ และใกล้จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า “พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ผลบุญมหาศาลล้ำเลิศ

    บัดนี้เราจักถวายท่านแด่พระองค์” แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า“ถ้าบุคคลผู้ใด ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น” แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย

    ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกาก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค มิได้อาลัยในชีวิต พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น 2 ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความคารวะว่า “ข้าแต่ท่านเสนาบดี ! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้” ท่านอำมาตย์ได้ฟังแล้วดำริว่า“ถ้าเราจักบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่

    เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้ว ทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริง แม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่” แล้วจึงบอกไปว่า “เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า” พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที

    สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหาริย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียว แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า“ดูกรโพธิเสนาบดี ! ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เลื่อมใสในตถาคตเถิด”

    โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ จึงนำห่อภัตตาหารทั้งของตนกับภรรยาอัญชลีน้อมเกล้าเข้าถวายแด่องค์พระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง! ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาทได้ตรัส(รู้)เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นเถิด”

    สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แล้วทรพยากรณ์ว่า “ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด…..ดูกรท่านเสนาบดี ! ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็พระพุทธเจ้า ได้ตรัส(รู้)แก่พระปรมาภิกเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง” เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร(มีอายุเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี) ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง (แต่)เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ทดลองบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.

    มงคลโสฬสพญามาร

    พญามารเป็นเทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางกามคุณอารมณ์ ต้องการให้สัตว์โลกทั้งหลายเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณอารมณ์ ผู้ใดตรึกที่จะออกจากกามคุณ ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการบรรพชา อุปสมบท ทำฌานหรือวิปัสสนาก็ตาม เมื่อมารรู้เข้า ก็จะตามผจญผู้นั้นเพื่อมิให้ออกจากกามคุณไปได้

    ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นวิสาขะ ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญามารได้นำพลพรรคเสนามารมาเป็นจำนวนมาก เพื่อขัดขวางเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้แก่อำนาจบารมีที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บำเพ็ญมา
    พญามาราธิราชจึงเกิดความเสียใจไปนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ แล้วขีดเส้นลงบนแผ่นดิน ๑๖ เส้น หรือสิบหกช่องตารางแต่ละเส้นหรือช่องก็ดำริเหตุเเห่งการพ่ายเเพ้พุทธบารมีความหมายดังนี้

    เส้นที่ ๑ เราไม่ได้บำเพ็ญ ทานบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๒ เราไม่ได้บำเพ็ญ ศีลบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๓ เราไม่ได้บำเพ็ญ เนกขัมมบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๔ เราไม่ได้บำเพ็ญ ปัญญาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๕ เราไม่ได้บำเพ็ญ วิริยะบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๖ เราไม่ได้บำเพ็ญ ขันติบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๗ เราไม่ได้บำเพ็ญ สัจจบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๘ เราไม่ได้บำเพ็ญ อธิษฐานบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๙เราไม่ได้บำเพ็ญ เมตตาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๐ ไม่ได้บำเพ็ญ อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้


    เส้นที่ ๑๑ เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด อินทริยปโรปริยัตติญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๒เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด อาสยานุสยญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๓ เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด มหากรุณาสมาปัตติญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๔ เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด ยมกปาฏิหาริยญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๕ เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด อนาวรณญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

    เส้นที่ ๑๖ เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด สัพพัญญุตญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้


    มารนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้นอยู่ที่ทางใหญ่ด้วยความเสียใจ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้

    ก็สมัยนั้นธิดาของมาร ๓ นางคือ นางตัณหา นางอรตี และ นางราคา คิดว่าบัดนี้บิดาของพวกเราอยู่ที่ไหนหนอ จึงพากันมองหา ได้เห็นบิดาผู้มีความโทมนัสนั่งขีดแผ่นดินอยู่ จึงพากันไปหาแล้วถามว่า ท่านพ่อเพราะเหตุไรท่านพ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ

    มารกล่าวว่าลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ (หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ (เวลา ๗ ปี) ไม่อาจได้เห็นช่องคือโทษของสมณะนี้ เพราะเหตุนั้นพ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ

    ธิดามารกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านพ่ออย่าเสียใจเลย ลูกๆจักทำมหาสมณะนั่นไว้ในอำนาจของพวกตน แล้วพามา

    มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ยมหาสมณะนี้ ใครๆไม่อาจทำไว้ในอำนาจได้ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหว

    ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกลูกชื่อว่าเป็นสตรี ลูกๆจักเอาบ่วงคือ "ราคะ" เป็นต้น ผูกมหาสมณะนั้น แล้วนำมาเดี๋ยวนี้แหละ ครั้นแล้วธิดามารจึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจะบำเรอบาทของพระองค์

    พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่ใจถึงคำของพวกนาง ทั้งไม่ทรงลืมพระเนตรแลดู ทรงนั่งเสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกอย่างเดียว เพราะทรงน้อมพระทัยไปในธรรมอันเป็นเครื่องสิ้นแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม (อุปธิ เป็นชื่อของ กิเลสก็ได้ ขันธ์ก็ได้)

    ธิดามารคิดกันอีกว่า ความประสงค์ของผู้ชายเอาแน่ไม่ได้ บางพวกมีความรักหญิงเด็กๆ บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางพวกรักผู้หญิงอยู่ในมัชฌิมวัย ถ้ากระไรพวกเราควรเอารูปต่างๆอย่างเข้าไปล่อ แต่ละนางจึงเนรมิตอัตภาพของตน โดยเป็นหญิงวัยรุ่น หญิงกลางคน หญิงผู้ใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้ง แล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าทั้งหลายจะบำเรอบาทพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่พระทัยแต่ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม (นิพพาน)

    ธิดามารเหล่านั้นพากันกล่าวคำเป็นต้นว่า เป็นความจริงบิดาของพวกเราได้กล่าวไว้ว่า พระอรหันต์สุคตเจ้าในโลก ใครๆจะนำไปง่ายๆด้วยราคะ หาได้ไม่ ดังนี้แล้วพากันกลับมายังที่อยู่ของบิดาตน
    เหตุ..สิบหกประการเท่านั้นที่พระยามาราธิราชมีไม่เสมอพุทธองค์...จึงได้ชื่อว่าโสฬสมงคลคือ..เหตุ16ประการ เเห่งการพ้นบ่วงมาร ของบรมโพธิสัตว์เป็นมงคลเเก่โลกที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

    (จากหนังสือโลกทีปนี รจนาโดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดดอน และเจ้าคณะเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร
     
  2. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    ?temp_hash=3d5d25df63cc69be91f0ad3d33d05bf2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    หลายชีวิต ทำบารมีไม่ครบหมวด30ทัศ

    หลายชีวิต หนักมาทางทานบารมี แต่ไม่ถึงทานปรมัตถบารมี

    มีภาวนา บำเพ็ญฌาณ สมาบัติมาบ้าง ทำให้มีพลังจิตใช้ฤทธิ์โลกียะได้

    มีบริวารติดตามมามาก ซึ่งเหล่าบริวารนั้นก็ยังไม่หนักมาทางสัมมาทิฐิ

    ฯลฯ

    เมื่อมาเกิดในโลก อยู่ในฐานะอันไม่ต้องสยบต่อใคร

    ทนเห็นการบำเพ็ญธรรมของเหล่าชนผู้บำเพ็ญอริยะมรรคไม่ได้
    ทนเห็นการบำเพ็ญของเหล่าโพธิสัตว์ไม่ได้
    หรือ ไม่เห็นด้วย ขัดแย้ง ลามไปจนถึง ขัดขวาง
    กระทำการอันก่อสร้างอกุศลกรรมต่อสัมมาชนเหล่านั้น
    มีจิตมืดบอด

    ก่อเกิดพลังมิจฉาทิฐิที่สร้างใหม่ ร่วมกับพลังมิจฉาทิฐิเดิมที่มีในจิตใจ
    ที่หนักมาก จะถูกพลังอกุศลที่มีมา เก่าแก่แต่บรรพกาล

    ส่งกำลังมาให้ มีลาภ ยศ สักการะ ทรัพย์สิน ฯลฯ เพื่อให้เหลิง
    สยบต่อสิ่งเหล่านั้น
    แล้วหลอกล่อ เปิดทาง ใช้เป็นฐาน เป็นหุ่น

    สร้างผลการก่ออกุศลกรรมของชนหมู่มาก แล้วเก็บพลังอกุศลรวมของชนหมู่มาก
    เหล่านั้น ย้อนกลับมาเป็นวิบากอกุศล ภัยพิบัติ มายังสัตว์โลก


    ในทางกลับกัน หมู่ชนที่สร้างเส้นทางชีวิตมาบนฐานบารมี10ทัศ แล้วขยายละเอียดเป็น30ทัศ จะเป็นฐานให้กับพลังกุศลที่มีมาแต่บรรพกาล
    ส่งกลับมาแต่สุขทั้งทางโลกและทางธรรม จนไปถึงมรรค ผล นิพพาน มายังสัตว์โลกทั้งสามภพ

    อายตนะภพทั้งหลายอันเป็นที่รองรับวิบากกรรมของสัตว์โลก ก็เกิดขึ้น
    ตั้งแต่โลกันต์ นรก เดรัจฉาน มนุษย์ เทวะ พรหม

    สูงสุดจนภพสามรับไม่ได้ ฝ่ายสูงจะหลุดไปยังพระนิพพาน


     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,359
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,119
    ค่าพลัง:
    +70,465
    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...