เรื่องเด่น ศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานของความดีทั้งปวง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    0E47C509-BA63-461F-8185-2E0AF249FF8A.jpeg

    วันนี้มีคนถามปัญหาว่า ตนเองต้องการความเป็นพระโสดาบัน แต่กำลังใจไม่ทรงตัว ถึงเวลาพูดคุยกับเพื่อนฝูงหรือทำการงาน สมาธิมักจะเคลื่อนหลุดไป

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ทุกท่านต้องเข้าใจว่า ความเป็นพระโสดาบันนั้นไม่ใช่อยู่ที่สมาธิอย่างเดียว ความเป็นโสดาบันนั้น ต้องถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาเช่นกัน แต่ว่าเป็นศีล สมาธิ ปัญญาขั้นต้นในระดับพระโสดาบัน

    ในเรื่องของศีลนั้น พระโสดาบันท่านรักษาศีลทุกสิกขาบทโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นต้น
    การที่ศีลของพระโสดาบันท่านทรงตัวสมบูรณ์บริบูรณ์นั้น เนื่องเพราะเห็นความเป็นจริงที่ว่า เป็นธรรมดาของคนและสัตว์ทุกรูปทุกนาม ไม่มีใครต้องการให้ผู้อื่นมาฆ่าหรือทำร้ายตนเอง เมื่อเป็นดังนี้จึงได้ละเว้นการฆ่าหรือทำร้ายผู้อื่น

    มีความเห็นชัดว่า การลักขโมย หยิบฉวย ช่วงชิง หรือฉ้อโกงทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตนนั้น มีทุกข์มีโทษอย่างไร ? จึงละเว้นจากการกระทำอย่างนั้น

    มีความเห็นอย่างชัดเจนว่า การที่เราไปช่วงชิงสิ่งของที่เขารัก คนที่เขารัก ทำให้ผู้อื่นและตนเองเดือดร้อนอย่างไร ? จึงได้ละเว้นไม่กระทำสิ่งนั้น

    มีความเห็นอย่างชัดเจนว่า การพูดจาในสิ่งที่ดี มีประโยชน์อย่างไร ? และการพูดจาโกหกมดเท็จนั้น มีโทษต่อผู้อื่นและตนเองอย่างไร ? จึงได้ละเว้นจากการโกหก พูดแต่ความจริงเท่านั้น

    มีความเห็นอย่างชัดเจนว่า การดื่มสุราและเสพติดทั้งปวงนั้น ทำให้สติสัมปชัญญะของตนบกพร่องอย่างไร ? เป็นเหตุให้ล่วงศีลในสิกขาบทอื่น ๆ ได้อย่างไร ? เมื่อเห็นชัดดังนี้จึงละเว้นจากสุรายาเสพติดทั้งปวง

    ในเมื่อเห็นชัดว่าปฏิบัติในศีลมีคุณอย่างไร ? ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะไม่มีโทษอย่างไร ? พระโสดาบันจึงได้ตั้งใจปฏิบัติรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต เพราะศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานของความดีทั้งปวง ศีลเป็นบันไดที่จะนำเราไปสู่พระนิพพาน พระโสดาบันจึงรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต แม้มีเหตุให้ชีวิตตกล่วงไปก็ไม่ยอมละเมิดศีล

    ข้อต่อไปก็คือ มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ เพราะเห็นคุณที่แท้จริงของพระรัตนตรัยแล้วว่าเป็นอย่างไร ?

    คือ เห็นในพระบริสุทธิคุณ เห็นในพระปัญญาคุณ เห็นในพระกรุณาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สู้อุตส่าห์ค้นคว้าหาธรรมด้วยความยากลำบาก เมื่อตรัสรู้แล้วยังตรากตรำพระวรกายถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ เพื่อที่จะสอนสั่งสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์

    เห็นคุณของพระธรรมว่า รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว ให้ล่วงพ้นจากอบายภูมิ ให้ก้าวเข้าสู่ภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ท้ายสุดก็นำพาให้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

    เห็นคุณของพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อปฏิบัติในธรรมได้แล้ว ก็นำมาสั่งสอนต่อประชาชนทั้งหลาย สั่งสอนเราทั้งหลาย ให้ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับท่านทั้งหลายเหล่านั้น

    ดังนั้น..ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพระโสดาบันนั้น จึงเป็นการเคารพเพราะว่าเห็นคุณของพระรัตนตรัยจริง ๆ จึงไม่ล่วงล้ำก้ำเกินแม้ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ตาม

    ข้อสุดท้ายนั้น พระโสดาบันมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าตนเองจะต้องตาย โดยเฉพาะอย่างที่เรากำลังจับลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนี้ ก็จะมีความรู้สึกว่า เมื่อหายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน ความตายมีอยู่กับตัวตนของเราในทุกลมหายใจ

    ดังนั้น..บุคคลที่เป็นพระโสดาบัน เมื่อรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ก็เอาจิตสุดท้ายเกาะอยู่กับพระนิพพาน

    เราจะเห็นได้ว่าในเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญานั้น จะต้องทำควบคู่กันไปทั้ง ๓ ประการ ก็คือ เมื่อรักษาศีลให้ทรงตัวแล้ว การปฏิบัติภาวนาในสมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย และมีปัญญาเห็นว่าตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี จะต้องตายอย่างแน่นอน ถ้าตายแล้วขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

    ไม่ได้เน้นเฉพาะในเรื่องของสมาธิอย่างท่านที่ถามในตอนช่วงบ่าย เพราะสมาธิจะเสื่อมไปบ้าง จะสูญไปบ้าง เมื่อเราพูดคุยหรือทำการทำงาน เมื่อถึงเวลาก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ เพื่อช่วยสร้างให้สติสมาธิของเราเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อเป็นฐานที่จะรองรับปัญญาที่เกิดขึ้น จะได้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรละ ควรวาง

    เมื่อศีล สมาธิ และปัญญา จำเป็นที่จะต้องมีโดยครบถ้วนสมบูรณ์ การที่ท่านไปเข้าใจว่า ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ทำให้ไม่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกแค่ส่วนเดียว

    เพราะว่าความเป็นพระโสดาบันนั้น ศีลทุกสิกขาบทจะต้องทรงตัว ชนิดที่ตัวตายดีกว่าศีลขาด สมาธิก็ต้องทรงเป็นอัปปนาสมาธิ ต่ำสุดก็ต้องระดับปฐมฌานขึ้นไป จึงมีกำลังพอที่จะตัดกิเลสได้ และท้ายสุดต้องมีปัญญาเห็นเป็นอย่างน้อยว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา เราก้าวเข้าไปหาความตายอยู่เสมอ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก

    จึงสามารถสรุปลงตรงที่ว่า พระโสดาบันนั้น ใช้แค่อนุสติก็สามารถเข้าถึงได้แล้ว อนุสติในที่นี้ก็คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือ การเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ สีลานุสติ คือ การรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ก้าวล่วงในศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำการล่วงศีล

    มรณานุสติ คือ รู้ตัวอยู่เสมอว่าตนเองจะต้องตาย อุปมานุสติ เมื่อตายแล้วตั้งความปรารถนาว่าจะไปพระนิพพานแห่งเดียว

    เมื่อเราเห็นชัดว่าในความเป็นพระโสดาบันนั้น เพียงแค่อนุสติก็สามารถที่จะไปได้แล้ว จึงขอให้ทุกท่านหมั่นสร้างอนุสติทั้งหลายเหล่านี้ ก็คือ เริ่มด้วยอานาปานุสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ มรณานุสติ และอุปมานุสติ

    ถ้าสามารถทำดังนี้ได้ ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิทั้งสี่ ไม่ไปเกิดในนรก ในแดนเปรต ในแดนอสุรกาย ในเขตของความเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    เกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดา อย่างมากที่สุดก็ ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างดีที่สุดก็คือชาติเดียวเท่านั้น ก็บรรลุมรรคผลเข้าสู่พระนิพพาน
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    ขอขอบคุณภาพจาก คุณ A'tist Toon
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...