เรื่องเด่น วิธีการทรงฌานในพรหมวิหาร ๔

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 15 ตุลาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    วิธีการทรงฌานในพรหมวิหาร ๔

    lp-ruseelingdam.jpg

    ท่านโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้บรรดาท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว โปรดตั้งใจสดับเรื่องราวของพรหมวิหาร ๔ ต่อไป
    สำหรับการเจริญพระกรรมฐานเพื่อหวังมรรคผล หรือว่าเพื่อฌานสมาบัติ หรือว่าเพียงแค่จิตสงบ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อย่าลืมกฎสำคัญในพระพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสไว้
    " บุคคลใดที่คล่องในอิทธิบาท ๔ หมายความว่าเป็นผู้มีความชำนาญในอิทธิบาท ๔
    บุคคลนั้นจะทำอะไรก็ตามจะมีผลสำเร็จทุกอย่าง "

    ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายที่ตั้งใจสร้างความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดีที่ท่านทั้งหลายตั้งใจทำกัน นั่นก็คือ ความดีแห่งการหมดทุกข์ แต่ทว่า ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมความรู้สึกของท่าน คือ สติสัมปชัญญะและปัญญา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะทำอะไร ใช้สติเป็นเครื่องระลึก ใช้สัมปชัญญะเป็นเครื่องรู้ตัว ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเสียก่อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่การสอนพระกรรมฐาน เราสอนกันอยู่เป็นปกติ ฟังกันเป็นปกติ แต่ก็มีความรู้สึกอยู่ว่าบางท่านขาดสติสัมปชัญญะอยู่มาก และบางรายก็ไร้ทั้งสติสัมปชัญญะและก็ปัญญา อาการที่แสดงออกมาจากการพูดก็ดี จากการกระทำก็ดี บางทีมันทำให้คนอื่นคลายศรัทธาปสาทะ การผิดพลาดในการปฏิบัติ ในงานย่อมมีเป็นของธรรมดา แต่ทว่าถ้าหากว่าท่านผู้นั้นทำไปเพราะอาศัยไม่มีเจตนาร้าย ก็ยังไม่ควรจะติ
    และอีกประการหนึ่ง การจะติ หรือการจะแนะนำ การจะเตือน ก็จงใช้ปัญญาพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าเราควรจะพูดอย่างไรให้เพื่อนร่วมสำนักกันมีความเข้าใจว่าจริยาอย่างนั้น หรือการกระทำอย่างนั้นมันไม่ดี และก็ควรใช้วาจาประเภทสัมโมทนียกถา เราติแต่ว่าแกมชม หรือว่าชมแต่ว่าแกมติ ให้คนนั้นรู้สึกว่าการกระทำของเขาเป็นการกระทำผิด แต่ทว่าอย่าให้ถึงกับสะเทือนใจเกินไป เว้นไว้แต่ว่าถ้าใช้วาจาอย่างนี้ นิสัยคนหยาบย่อมไม่รับฟังไม่รับการปฏิบัติ นั่นจึงควรใช้วาจาที่หนัก เพราะว่านิสัยคนหยาบ ถ้าปลอบก็รู้สึกว่าจะไม่รู้สึกตัวก็ต้องใช้ขู่ตะคอก นี่เป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า " จริยาของเรา มี ๒ อย่าง คือ นิคคหะ ปัคคหะ ถ้าใครดีเราก็ชมเชย ถ้าไม่ดีเราก็ข่มขู่ " แต่ว่าจริยาที่องค์สมเด็จพระบรมครู ก่อนที่จะข่มขู่ด้วยอาการรุนแรง มักจะหาเหตุผลแวดล้อมมาพูดให้เข้าใจก่อน ถ้าไม่เชื่อ องค์สมเด็จพระชินวรก็ใช้ปัพพาชนียกรรม คือขับออกไปจากสถานที่ ดูตัวอย่างเช่น พระวักกลิ เป็นต้น ซึ่งสมเด็จพระทศพล ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้พระวักกลินั่งเฉย ๆ ชมเฉย ๆ อยู่ถึง ๓ ปี แต่ว่าพระวักกลิก็เอาความดีอะไรไม่ได้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงลงโทษด้วยปัพพาชนียกรรม คือขับออกจากสำนัก


    ฉะนั้น พวกเราเหล่าพุทธบริษัท คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทุกคนจงรู้ตัวของตนว่าวาจาที่กล่าวออกไปก็ดี และการที่เราทำออกไปก็ดี มันดีหรือว่ามันเลว การทำลายจิตใจของบรรดาเพื่อนสหธรรมมิกด้วยกัน ให้ท้อแท้จากการบำเพ็ญกุศล นี่ชื่อว่าใจของเราหมองหม่นด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลธรรม หรือจะว่ากันไปอีกทีก็ขาดพรหมวิหาร ๔ ซึ่งเรากำลังศึกษากันอยู่

    สำหรับพรหมวิหาร ๔ นี้ เมื่อคราวที่แล้วได้พูดมาถึงลักษณะของพรหมวิหาร และให้ตั้งใจไว้ในขั้นพระโสดาบัน คือว่า พรหมวิหาร ๔ นี้ ท่านบอกว่าต้องทรงฌาน คำว่าทรงฌานในพรหมวิหาร ๔ นี่ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทพึงทราบ ไม่ใช่เราจะไปนั่งภาวนาว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้านั่งภาวนาอย่างนี้ล่ะก็กี่แสนชาติ พรหมวิหาร ๔ ก็ไม่ทรงฌาน
    สำหรับอารมณ์ที่จะทรงฌานให้เป็นปกติ นั่นก็คือ อานาปานุสสติกรรมฐาน เราจะควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน หรือว่าอุปสมานุสสติกรรมฐานก็ได้ตามใจชอบ เวลาที่เราต้องการทรง จิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้วก็ใช้อารมณ์มาคิด สำหรับพรหมวิหาร ๔นี้จะมีการทรงฌานเพราะอาการคิด คือใคร่ครวญน้อมจิตจากอารมณ์ชั่วมาเป็นอารมณ์ดี อารมณ์ชั่วก็คือ ความโหดร้าย คิดจะประทุษร้ายบุคคลอื่น คิดจะกลั่นแกล้งบุคคลอื่น เกลียดชัง หวังจะทำให้เขามีความทุกข์ แต่ทว่า พรหมวิหาร ๔ นี่เป็นปัจจัยแสวงหาความสุขทั้งเรา และทั้งเขา ความจริงเรื่องพรหมวิหาร ๔ นี้ ดูเหมือนว่าผมจะพูดมาสักหลายสิบครั้งแล้ว แต่ว่ายังมีบางท่านที่เป็นผู้ไร้ปัญญา ไร้สติสัมปชัญญะ ยังใช้สติสัมปชัญญะก็ดี ปัญญาก็ดี และก็ปราศจากความใคร่ครวญ พิจารณายังมีอยู่ อาการอย่างนี้น่าสงสารองค์สมเด็จพระบรมครู คือ พระพุทธเจ้าที่พร่ำสอนพวกเรามา กว่าจะได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปจนกว่าบารมีจะเต็ม เอาความรู้อย่างนี้มาสอนเรา แต่ว่าถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งไม่คำนึงถึงความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสอน ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปลงอเวจีมหานรกตั้งต้นกันใหม่
    ต่อแต่นี้ไปจะกล่าวถึงวิธีการทรงฌานในพรหมวิหาร ๔ คือว่าจิตของเรามี ๒ อารมณ์ บางอารมณ์มันเป็นอารมณ์ชอบคิดบางคราว บางคราวชอบคิด แต่บางคราวชอบสงบ ถ้าเวลาที่จิตของเราต้องการความสงบ เราก็ยึดอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐานให้จิตทรงตัว แต่การที่ท่านจะภาวนาว่าอย่างไรร่วมด้วยอันนี้ผมไม่ห้าม เพราะว่าคำภาวนาเป็นเครื่องโยงจิตให้ทรงสมาธิ บางท่านไม่ต้องการภาวนา ก็ใช้แต่เพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกทั้ง ๒ แบบ คือ
    - แบบมหาสติปัฏฐานสูตร หายใจเข้าหายใจออกรู้อยู่ หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่อย่างนี้ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตร
    - ถ้าตามแบบกรรมฐาน ๔๐ ใช้กำหนดรู้ลมหายใจ ๓ ฐาน เวลาหายใจเข้า ลมกระทบจมูกรู้ กระทบหน้าอกรู้ กระทบศูนย์เหนือสะดือรู้ เวลาหายใจออกลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือว่าริมฝีปากก็รู้ เอาจิตจับจุดเพียงแค่นี้ประเดี๋ยวจิตก็ทรงฌาน ถ้าหากว่าภาวนาว่ายังไงด้วยก็ตามใจหรือไม่ภาวนาเลยก็ตามใจ ทำเพื่อให้จิตสงบ ให้จิตทรงตัว
    ทีนี้บางขณะจิตต้องการคิด ในพรหมวิหาร ๔ ต้องใช้อารมณ์คิด คิดหาเหตุผลว่าคนและสัตว์ทุกคนในโลกนี้ มีเรา เป็นต้น ไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการแต่ความสุข เราไม่ต้องการศัตรู เราต้องการความเป็นมิตร เรื่องคิดไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงเรา กิริยาเช่นใดหรือวาจาเช่นใดที่คนอื่นใดเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ ก็จงมีความรู้สึกว่าอาการวาจาหรือกิริยาเช่นนั้น ถ้าเรากระทำกับคืนอื่น คนอื่นก็ไม่ชอบเหมือนกัน
    นี่การศึกษาธรรมะในศาสนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์เขาสอน เขาคิดเข้ามาหาตัว เอาใจเราเป็นเครื่องวัดว่าเราต้องการความเมตตาปรานีจากคนอื่นฉันใด บุคคลทั้งหลายก็ต้องการความเมตตาปรานีจากเราเหมือนกัน ตอนนี้เห็นว่าพอจะมีความเข้าใจ
    ฉะนั้น อารมณ์ใจของเราก็คิดไว้เสมอว่าเราจะรักคน และรักสัตว์นอกจากตัวเรา เหมือนกับเรารักตัวเรา เราจะสงสารเขาเหมือนกับที่เราต้องการให้คนอื่นเขาสงสารเรา เราจะรักเขาเหมือนกับที่เราต้องการให้เขารักเรา เราจะสงสารเขาคือผู้อื่นทั้งหมดเหมือนกับเราต้องการให้เขาสงสารเรา เราจะไม่อิจฉาริษยาใครเมื่อบุคคลอื่นใดใครได้ดี หรือว่าสมมุติว่าถ้าเรามีลาภสักการะ เรามีความดี ถ้าคนอื่นมาแสดงความยินดีด้วยเราก็พอใจ ฉะนั้นเวลาที่ใครเขาได้ดี แทนที่เราจะอิจฉาริษยา เราก็พลอยยินดีกับความดีของเขา ทำใจให้มันสบายแบบนี้
    และอีกประการหนึ่ง จะมีอะไรก็ตามทีที่มันมีอารมณ์ขัดข้องใจเป็นไปตามสภาวะของโลก เช่น ความแก่ ความป่วย ความตาย อารมณ์ที่เราชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง นี่การพลัดพรากจากของคนรักของชอบใจมันเกิดขึ้น มันของประจำโลก ถือว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา โดยคิดไว้เสมอว่า
    เมื่อเกิดมาแล้วต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นความแก่ไปได้
    เราจะต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้
    เราจะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้
    เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นไปได้

    ทำใจให้มันมีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดา
    หรือเมื่ออาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อารมณ์เราก็ปกติ ไม่มีการหวั่นไหวใดๆ ทั้งหมด มีอารมณ์เฉย ๆ ไม่กระทบกระทั่งใจ
    เป็นอันว่าอย่างนี้เรียกว่า อุเบกขา หรือว่าโลกธรรมใด ๆ มันเกิดขึ้น ความมีลาภเกิดขึ้นหรือลาภสลายตัวไป การได้ยศมา ยศสลายตัวไป ความสุขจากกามารมณ์โลกีย์วิสัยเกิดขึ้น สุขนั้นสลายไปมีทุกข์มาแทน ได้รับคำนินทา หรือได้รับคำสรรเสริญ อาการอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา เราก็มีความเฉย ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นธรรมดาของชาวโลก เกิดมาอย่างนี้มันต้องกระทบกระทั่งไม่มีใครสามารถล่วงพ้นไปได้ อย่างนี้ชื่อว่า พรหมวิหาร ๔ ของเราครบถ้วน
    ถ้าเราถูกนินทาว่าร้าย แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารคนที่เขาว่าเรา เขานินทาเรา เพราะว่านั่นเขาสร้างศัตรูเพื่อสร้างความทุกข์ และก็นั่งคอยดูว่าคนเขานินทาว่าร้ายเรา เขาจะหาความสุขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจิตใจของเราทรงพรหมวิหาร ๔ อยู่เป็นปกติ ถ้าเขาคิดทำลายเราประเภทไหน อาการอย่างนั้นนั่นแหละมันจะเข้ากับเขาในไม่ช้า ที่โบราณท่านกล่าวว่า " การตบมือข้างเดียวไม่ดัง " หรือว่า " การถ่มน้ำลายรดฟ้ามันก็ลงหน้าตัวเอง " แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารว่าเขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น
    สำหรับอารมณ์จิตที่เป็นฌานในพรหมวิหาร ๔ ก็คือว่ามีอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหวต่ออาการใด ๆ ที่เข้ามากระทบกระทั่งใจ แทนที่จะเกลียด แทนที่จะโกรธ เราก็ยังมีเมตตา ความรัก เรามีความกรุณา ความสงสาร มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาเขา เมื่อเขาพลาดพลั้งเราไม่ซ้ำเติม เฉย ถือว่าเป็นกฏของกรรม นี่ว่ากันโดยอาการของการทรงพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นฌาน
    คำว่า ฌาน นี้ไม่ใช่นั่งหลับตา ฌานนั่งหลับตาน่ะ มันฌานไม่จริง ฌานจริง ๆ นั้นก็คือว่า อารมณ์มันทรงอยู่เป็นปกติ หลับตาหรือลืมตา พูดอยู่ คุยอยู่ ทำงานอยู่ จิตใจเยือกเย็นมีความสุข ปรารถนาที่จะเกื้อกูลบุคคลที่มีความทุกข์ให้มีความสุข นี่ชื่อว่าฌานของพรหมวิหาร ๔ คือ อารมณ์ ๔ ประการนี่ต้องทรงตัวจะทรงตัวได้เพราะอะไร เพราะว่าใจของเราทรงอิทธิบาท ๔ คือ
    ฉันทะ เรามีความพอใจในพรหมวิหาร ๔
    วิริยะ อาการอย่างไรที่เขาจะขัดข้อง คือความโหดร้ายของใจมันจะมีขึ้น อารมณ์อิจฉาริษยามันจะมีขึ้น อย่างนี้เราต้องใช้วิริยะ ความเพียร เตือนใจว่านั่นมันเป็นความเลวของจิต มันไม่ใช่สถานะที่สร้างความเป็นมิตร สร้างความสุข หาความทุกข์มาให้ตน อารมณ์ที่เป็นอกุศลอย่างนี้จะต้องไม่มีสำหรับเรา เพียรทำลายมันเสีย
    จิตตะ
    เอาใจจดจ่อ มีความรู้สึกอยู่เสมอในเรื่องของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่าไปท่องแบบนี้นะ เรื่องของความรัก ความสงสาร ความไม่อิจฉาริษยาใคร ใจวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง ดูตัวอย่างพระพุทธรูป ทำใจของเราให้เหมือนใจพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา หนาวก็ยิ้ม ร้อนก็ยิ้ม ใครเขาเอาอะไรไปถวายก็ยิ้ม เขาไม่ถวายก็ยิ้ม เขาด่าท่านก็ยิ้ม เขาชมท่านก็ยิ้ม พระพุทธรูปไม่มีจิตวิญญาณ แต่ทว่าเรามีจิตวิญญาณ ควรทำอาการของใจ คือ วางเฉยเช่นเดียวกับพระพุทธรูป นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของการทรงฌานของพรหมวิหาร ๔ แต่ว่าการทรงฌานเพียงเท่านี้ยังดีไม่พอ เพราะอะไรดีไม่ได้ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ นี่เราก็ต้องการให้มันดีไปกว่านั้น
    [​IMG]
    ทีนี้เราพูดกันว่าเรื่องเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ต่อแต่นี้ไปเราก็สร้างความรัก สร้างความสงสารในตัวเราให้มาก ทำอารมณ์ก้าวเข้าไปสู่ความเป็นอนาคามี สำหรับพระสกิทาคามีนี่ผมไม่พูดถึง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ถ้าทรงพรหมวิหาร ๔ จริง ๆ นี่การเป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามีอยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องมีอะไรมาก พระอริยะ ๒ ระดับนี้อยู่ในกระเป๋าแน่นอน เป็นอันว่าได้กันแน่ไม่มีทางที่จะหลีกพ้นไปได้ ถ้าหากว่าทรงพรหมวิหาร ๔ จริง ๆ นะ ต้องเป็นพระอริยเจ้าขั้นนี้ได้จริง ๆ ถ้าทรงไม่จริงมันก็ลงนรกกันเท่านั้นแหละ ขาดพรหมวิหาร ๔ ตัวใดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมวิหาร ๔ นี่ถ้าเขาพร่องตัวใดตัวหนึ่งหรือข้อใดข้อหนึ่ง นั่นคือเราลงนรกแน่ พรหมวิหาร ๔ ผมได้บอกแล้วว่าเป็นอาหารเลี้ยงจิตใจด้านศีล เลี้ยงสมาธิ เลี้ยงปัญญา เป็นอันว่าการเจริญของพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นพระอรหันต์ง่ายที่สุด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแต่สภาพเย็น
    ต่อไปเราก็มานั่งคิดเมตตาตัว เมตตาใจของเรา เมตตาคือความรักใจเรา กรุณา สงสารใจเรา มุทิตา พลอยยินดีกับใจของเรา อุเบกขา วางเฉยกับใจของเรา ผมพูดแบบนี้นี่ดีไม่ดีนักปราชญ์เขาจะหาว่าผมบ้า แต่ความจริงผมก็พร้อมแล้วที่จะยอมรับความเป็นบ้า เพราะอะไร เพราะผมบ้ามานานแล้ว ผมเป็นคนชอบบ้า และบ้าแบบไหนประเดี๋ยวจะคิดว่าออกนอกลู่นอกทาง คืออาการอย่างใดที่ชาวโลกเขาต้องการกัน ถ้าอาการอย่างนั้นเราไม่ทำอย่างเขา เขาก็หาว่าเราบ้า อย่างคนเขากินเหล้าเราไปนั่งพูดธรรมะ เขาก็หาว่าเราบ้า คนเขาคุยธรรมะกันอยู่ เราไปกินเหล้าในวงธรรมะ เขาก็หาว่าเราบ้า อาการอย่างไรถ้าไม่เหมือนสังคมนั้น ๆ เขาก็หาว่าเราบ้า ตอนนี้เราก็มาบ้ากัน บ้ารักใจตัวเอง บ้าสงสารตัวเอง บ้ายินดีกับใจของตัวเอง บ้าวางเฉยกับใจของตัวเอง บ้าตรงไหนล่ะ เราก็มานั่งเมตตาจิตของเราว่า โอหนอ ... การปรารถนาในกามารมณ์ ปรารถนาในการครองคู่ ที่เขาถือว่าการแต่งงานเป็นความสุขน่ะ เราต้องพิจารณาดูซิ คนที่เขาแต่งงานน่ะมันสุขหรือว่ามันทุกข์ ดูคนที่เขาแต่งงานแล้วกิจการ มันก็ต้องเพิ่มขึ้น ก่อนที่เขาจะแต่งงานกันเขาเลือกแล้ว สวยแล้ว ดีแล้ว วิเศษแล้ว แข็งแรงดีแล้ว แต่ว่าแต่ละคนทรงสภาพอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ช้าก็แก่ลงไปทุกวัน ๆ และคู่วิวาห์นั้นเขานั่งยิ้มกันอยู่ตลอดวันตลอดคืนหรือเปล่า ดีไม่ดีแกก็นั่งทะเลาะกันให้เราฟัง ถ้าเขามีลูกหลานขึ้นมา มันสร้างความสุขหรือว่าสร้างความทุกข์ หาความจริงกันก็แล้วกัน ดูของจริง คือของจริงเขามีให้เราดู ว่าคู่วิวาห์แต่ละคู่น่ะเขาสุขหรือว่าเขาทุกข์ มองหากันเอง
    อยู่คนเดียวทำอะไรได้ตามใจชอบ ถ้ามีคู่ครอง เราจะต้องเอาใจใส่คู่ครอง จะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามใจเราชอบไม่ได้ แล้วคู่ครองทุกคู่เขาเคยทะเลาะกันไหม คู่ครองทุกคู่เคยต้องลำบากยากเย็นเพราะอำนาจของคู่ครองมีไหม การมีบุตรมีธิดาน่ะมันมีความสุขหรือความทุกข์ มีบุตรธิดาคือมีลูกหญิงลูกชาย เป็นอันว่าการทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาการของความทุกข์ ถ้าไม่รู้จักทุกข์ล่ะก็ไปนั่งจ้องมองดูเขาแล้วก็มาตัดสินใจกำลังใจเราว่า เราจะมาหลงใหลใฝ่ฝันกับกามารมณ์ด้วยเรื่องอะไร เพราะร่างกายของคนมีสภาพสกปรก หันเข้าไปจับกายคตานุสสติกรรมฐานและก็หันเข้าไปจับอสุภกรรมฐาน ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ตอนนี้เห็นจะไม่ต้องว่ามาก จนกระทั่งกำลังใจของเราคิดว่าคนทุกคนมีร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเต็มไปด้วยสภาพสกปรก การอยู่สองครองคู่เต็มไปด้วยความทุกข์มันหาความสุขไม่ได้ เราจะปล่อยใจของเราให้ไปหลงระเริงอยู่ในกามารมณ์เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าเรารักใจของเรา เราก็ห้ามใจมันไว้ว่าสิ่งนี้มันเป็นทุกข์ ถ้าเราสงสารใจของเรา เราก็ห้ามใจมันไว้ว่า อย่าไปยุ่งกับความทุกข์ มันไม่ใช่แดนของความสุข ถ้าเราสามารถห้ามมันได้จิตมันทรงตัว จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง เราก็ยินดีกับจิตของเราที่เรียกว่า มุทิตา ต่อมาก็ใช้สังขารุเปกขาญาณ คือ อุเบกขา วางเฉย จนกระทั่งอารมณ์ของเรามีความรู้สึกว่า เห็นเพศ ตรงข้ามเรา ไม่มีความรู้สึกนึกจะรักอยากจะครองคู่ แต่จิตเมตตาจิตสงสารมีอยู่ ปรารถนาจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุขในฐานะที่ทรงตัว
    ถ้าจิตใจของท่านทั้งหลายสามารถทรงตัวได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าเข้าไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ในการที่จะเป็นพระอนาคามี
    อย่าลืมนะ ค่อย ๆ ทำไปง่าย ๆ ถ้ามันไม่แน่ใจ ก็ต้องหันไปจับกายคตานุสสติกรรมฐาน กับ อสุภกรรมฐาน กับ สักกายทิฏฐิ บวกกัน ถอยหลังไปฟังตอนต้น ๆ ก็แล้วกัน พูดไปมันก็มากความเปล่า ๆ เพราะอธิบายมาแล้ว
    เอาล่ะ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เวลานี้เวลาที่จะพูดหมดไปแล้ว ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่ท่านต้องการเห็นว่ามันเป็นความสุข จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร
    สวัสดี
    ( จากเทปเรื่อง พรหมวิหาร ๔ ปี ๒๕๒๑ )
    ( ม้วน ๒ หน้า ก )ที่มา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2019
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2019
  3. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    การทรงฌานในพรหมวิหาร ๔ พยายามแต่ยังไม่ได้เป็นปกติ จะทำต่อไป สาธุ
     
  4. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  5. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    SadhuKa.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...