ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ประวัติ หนึ่งในวีระชนคนกล้า แห่งล้านนา
    จากเพจ ศักดิ์สิทธิ์

    เจ้าพ่อประตูผา...หนานข้อมือเหล็ก !!!
    .
    หากจะพูดถึงวีรชนคนถูกลืม หนึ่งในชื่อที่เยาวชนคนไทยในรุ่นหลังคงจะไม่คุ้นเคยกันเสียแล้วก็คือชื่อของ "หนานข้อมือเหล็ก" หรือ "เจ้าพ่อประตูผา" วีรชนแห่งเมืองลำปาง (เขลางค์นคร) สมัยยังเปนรัฐอิสระ ที่ต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองและผู้เปนนายจากการรุกรานของทหารพม่าหากแต่ชื่อของท่านกลับไม่ถูกพูดถึงในทางประวัติศาสตร์เท่าที่ควร !!
    .
    -----------------------------
    ปี พ.ศ. ๒๒๑๕ - ๒๒๗๕ ในยุคคาบเกี่ยวระหว่างรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (โอรสในสมเด็จพระเจ้าเสือ) เชื่อมต่อกับช่วงต้นของรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้เกิดความเหินห่างในความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับแว่นแคว้นล้านนาทางตอนเหนือ ส่งผลให้กองทัพพม่าสามารถมาตีชิงเอาหัวเมืองในแถบดังกล่าว ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ลำพูน ไปได้ทั้งหมด !!!
    .
    ---------------------------------
    คงเหลือไว้เฉพาะแต่เพียง "เขลางค์นคร" (ชื่อของนครลำปางในเวลานั้น) ซึ่งเปนรัฐอิสระ ที่ปกครองโดยเจ้าลิ้นก่าน (ตั้งชื่อตามลักษณะลิ้นของพระองค์ซึ่งมีปานดำพาดผ่านลิ้นแต่กำเนิด !!)
    .
    ---------------------------------
    เจ้าลิ้นก่านนั้นเปนเจ้าผู้ครองนครที่ทรงธรรม หากแต่ติดที่เป็นผู้สูงวัยแลไม่เคยมีประสบการณ์สู้รบ ทำให้ไม่ได้รับการเคารพนับถือจากบรรดาขุนนางเท่าที่ควร จนเกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจกันเองระหว่างขุนนางในนครลำปางจนข่าวเริ่มรั่วไปถึงหูพม่า !!!
    .
    ---------------------------------
    อย่างไรก็ตาม เจ้าลิ้นก่านก็มีทหารเสือผู้จงรักภักดีอยู่คนหนึ่ง ทหารเสือผู้นี้มีฉายาว่า "หนานข้อมือเหล็ก" (หนาน - เป็นภาษาเหนือหมายถึงชายผู้เคยผ่านการอุปสมบทมาแล้ว !!) เป็นผู้กำพร้าบิดามารดา ซึ่งญาติๆ ได้นำตัวไปฝากไว้กับสมเด็จอธิการวัดนายางผู้เปน "ตนบุญ" (ผู้มีอิทธิพล - เปนที่เคารพบูชา) ที่มีชื่อเสียงของล้านนาในเวลานั้นผู้หนึ่ง !!!
    .
    -------------------------------
    สมเด็จอธิการวัดนายางได้สั่งสอนวิชาความรู้แขนงต่างๆ ให้แก่เด็กชายกำพร้า จนมีความรู้สรรพวิทยาทั้งวิชาต่อสู้และคาถาอาคม !!!
    .
    -------------------------------
    กล่าวกันว่า หนานข้อมือเหล็ก มีความเชี่ยวชาญการต่อสู้อยู่สามแขนง ได้แก่ ดาบสองมือ ดั้งลงยันต์ และ ทวนคู่ ทำให้หาคู่ต่อสู้มาเปรียบได้ยาก !!!
    .
    -------------------------------
    และผลจากการที่ได้ท่อง "คาถากระดูกเหล็ก" ซึ่งมีการบริกรรมว่า "มะอะอุ นะโมพุทธายะ อิสวาสุ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะโมพุทธายะ เพชชคง สัพพะพันทะนัง กะขะคะฆะงะ" ก่อนสวมปลอกแขน (ดั้ง) ที่ปลุกเสกและลงยันต์...!
    .
    -------------------------------
    ก่อนที่จะเข้าทำการต่อสู้ทุกครั้ง มีผลทำให้กระดูกช่วงที่สวมปลอกแขนนั้น ที่แม้จะถอดเกราะออก ก็ยังคงมีความคงทนต่อศาสตราด้วยวิชาคงกระพัน จึงได้ฉายาว่า "หนานข้อมือเหล็ก" !!!
    .
    ---------------------------------
    วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน การแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างขุนนางทั้งสี่ในเมืองลำปางก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าลิ้นก่านทนไม่ไหว ตัดสินใจหนีไปปลีกวิเวกอยู่เพียงลำพังในบริเวณเขตแดนประตูผา ใกล้กับเขตรอยต่อระหว่างอำเภองาว และ อำเภอแม่เมาะ ในปัจจุบันซึ่งเป็นพื้นที่ๆ "หนานข้อมือเหล็ก" ทำหน้าที่ปกปักรักษาอยู่ !!!
    .
    ---------------------------------
    เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เมือง "เขลางค์นคร" หรือนครลำปางในเวลานั้น ตกอยู่ในสภาพที่ถูกทำให้อ่อนแอโดยแบ่งขั้วทางการเมืองออกเปนสี่ก๊กในทันที ภายใต้การดูแลของ แสนเทพ, แสนบุญเรือน, แสนหนังสือ, และ จเรน้อย (แสน, จเร, หาญ เป็นคำโบราณที่ใช้เรียกตำแหน่งทหารในสมัยนั้น !!)
    .
    ----------------------------------
    "ลมร้ายไม่เคยพัดให้ใครดี" ข่าวความแตกแยกทางการเมืองภายใน "เขลางค์นคร" ได้เปรียบเสมือนลมที่พัดไปต้องหู "ท้าวโป่มหายศ" นายทัพพม่าที่คุมกำลังรักษาเขตอิทธิพลอยู่ที่เมืองลำพูน จนหมายยกทัพขึ้นมาตีชิงเอาเมืองไปอยู่ใต้ร่มธงพม่า !
    .
    ----------------------------------
    ครั้นเมื่อพม่ายกพลบุกเข้าเมืองลำปาง !
    .
    สมเด็จอธิการวัดนายาง รวมทั้งขุนนางผู้รักษาเมืองทั้งสามที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ล้วนถูกสังหารที่ภายในเมือง ! มีเพียง "จเรน้อย" เท่านั้นที่หนีไปขอพึ่งใบบุญ "เจ้าลิ้นก่าน" ที่ดอยประตูผาได้ !!!
    .
    -----------------------------------
    ครั้นเมื่อทัพพม่ายกตามไปถึงที่ดอยประตูผา ซึ่งเปนสถานที่ๆ เจ้าลิ่นก่าน และ จเรน้อย ได้ใช้เปนที่ซุ่มกบดาน มีสภาพเปนหน้าผาสูงชันเดินขึ้นไปได้เพียงทางเดียวนั้น ก็กลับพบกับบุรุษผู้หนึ่งยืนจังก้าขวางทางเข้าหน้าถ้ำไว้ราวกับเทวดาอารักขา !!!
    .
    -------------------------------
    บุรุษผู้นั้นสวมเสื้อหม้อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วย คาดเอวด้วยผ้าแดง สวมรองเท้าหนังสัตว์ ใส่เกราะไม้ไผ่รอบอก สวมปลอกเหล็กลงยันต์หุ้มตั้งแต่ข้อมือลงไปจนถึงข้อศอก ต่างโล่ห์ป้องกันคมศาสตรา สองมือเงื้อง่ากำทวนชี้มั่นมาทางด้านหน้า !!!
    .
    -------------------------------
    "ใครใคร่ทำร้ายนายกู !!? ก็ดาหน้าเข้ามาตายทีละคนกันได้เลย !!!" บุรุษผู้นันร้องท้า !
    .
    -------------------------------
    "หนานข้อมือเหล็ก" ผู้เดียวในสภาพพร้อมรบเต็มที่ ยืนประจันหน้ากับกองทัพพม่าทั้งทัพที่ต่างก็กรูกันไต่ขึ้นไปตามทางลาดชันของดอยประตูผา เพื่อหมายกุดหัว เจ้าลิ่นก่าน ผู้เปนนายที่แท้จริงของนครลำปางไปให้ท้าวโป่มหายศนายทัพ !
    .
    -------------------------------
    ฉัวะ !!! ฉึก !!! ฉุบ !!! ฉับ !!!
    .
    "หนานข้อมือเหล็ก" สลับทวนในมือทั้งสองข้างยักย้ายไปมาเหมือนเขี้ยวอสรพิษ ปักเสียบทะลุร่างพม่ารายแล้วรายเล่าที่ดาหน้ากันเข้าไปสู่ปากถ้ำดอยประตูผา แต่ก็ไม่มีพม่าคนใดเล็ดรอดเข้าไปในถ้ำได้แม้แต่รายเดียวเพราะความทรหดของพ่อหนาน !
    .
    -------------------------------
    "หนานข้อมือเหล็ก" อาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบของผาสูงชันทำให้พม่าไม่สามารถเข้ารุมทีเดียวทั้งทัพ ประกอบกับเพลงทวนที่ว่องไวสังหารพม่าไปได้หลายราย แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าและความเหนื่อยล้าที่ยืนหยัดสู้ตั้งแต่เที่ยงวันยันบ่ายคล้อย ในที่สุดก็ทำให้ทวนทั้งสองข้างและปลอกแขนหักพังสะบั้นเพราะถูกรุมทุบรุมตีจากหลายทิศทาง !!!
    .
    ---------------------------------
    "อ้ายผู้นี้มันทรหดเหนือมนุษย์ ! เห็นทีพวกเราคงจักต้องลงมือเองกันเสียแล้ว !!!"
    .
    หาญฟ้าฟื้น, หาญฟ้าง้ำ, หาญฟ้าแมบ !!
    .
    นายทัพพม่าทั้งสามเมื่อเห็นว่าทหารเลวที่ดาหน้าเข้าไปต่างตายเปนใบไม้ร่วงเช่นนั้จึงตัดสินใจลงจากม้าแล้วเข้าไปรุมตีพร้อมกันจากทั้งสามทิศทาง
    .
    --------------------------------
    พ่อหนานก็ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ทวนในมือจะหักไปทั้งสองข้าง และปลอกเหล็กจะหักไปทั้งสองแขน ก็ยังอุตส่าห์คว้าดาบสองมือขึ้นมายืนหยัดต่อสู้ !!!
    .
    --------------------------------
    "หนานข้อมือเหล็ก" ต้องสู้แบบพะวักพะวง รับมือซ้ายทีขวาที ครั้นเมื่อรับมือและรุกตีให้ฝ่ายหนึ่งถอยไปได้ ก็จะมีการโจมตีจากอีกทางพุ่งเข้ามาจู่โจมต่อทันที ถึงกระนั้นนายทัพพม่าทั้งสามก็ต้องตะลึงกับความทนทายาดของพ่อหนานเป็นอย่างมาก !
    .
    --------------------------------
    เพราะเมื่อพ่อหนานไม่สามารถใช้ดาบรับมือได้ทัน ก็จะเอาแขนทั้งสองข้างที่เคยสวมปลอกเหล็กชูขึ้นมารับอาวุธแทนดาบแต่ก็ไม่ปรากฎว่าพ่อหนานจะได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด !!! กระนั้นด้วยการต่อสู้แบบสามรุมหนึ่งก็ทำให้พ่อหนานพลาดท่าถูกฟันเข้าที่ลำตัวเปนจำนวนหลายแผลมีเลือดไหลไม่หยุด !
    .
    ----------------------------------
    ที่เป็นดั่งนี้อาจมาจากการที่วิชาคงกระพันตำรับของพ่อหนานนั้นไม่ได้มีการบริกรรมคาถาพร้อมลงยาแช่ว่าน, สักยันต์, หรือ เสกน้ำมันทาตัว ฯลฯ เหมือนตำรับของชาวสยาม หากแต่เปนการให้พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ลงอาคมไว้บนอาวุธคู่กาย !
    .
    ----------------------------------
    แล้วให้อาศัยแรงจากการบริกรรมคาถาในแต่ละครั้งพร้อมกับที่ได้สวมอาวุธนั้นประทับไว้กับตัวทำให้อาคมค่อยๆ "ซึม" ลงไปในตัวซึ่งใช้เวลานาน !
    .
    ----------------------------------
    ซึ่งหากเปนตำรับของ "เขาอ้อ" หรือ "เขาสมอคอน" ซึ่งเปนที่เรียนรู้ศาสตร์ของสมเด็จพระเจ้าเสือ และนายทองดี ฟันขาว (พระยาพิชัยดาบหัก) นั้น
    .
    ----------------------------------
    ผู้ที่สำเร็จวิชาจำต้องบริกรรมคาถาพร้อมๆ กับที่โดนหนามแหลมของว่านในรางยาหรือเข็มจารลงบนเนื้อหนังโดยที่สติและคาถาที่บริกรรมไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้กำลัง "มโนมยิทธิ" สร้าง "ฉัพพรรณรังสี" ซึ่งเปน "พุทธานุภาพ" ขึ้นมาคุ้มกายได้แข็งแกร่งกว่าตำรับของ "พ่อหนานข้อมือเหล็ก" มาก !
    .
    ------------------------------------
    ในที่สุด ! พ่อหนานก็สามารถใช้จังหวะการฟันที่รวดเร็วกว่าสังหาร "หาญฟ้าฟื้น" นายทัพพม่าคนหนึ่งลงไปได้เปนผลสำเร็จ แล้วจึงอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายอีกอึกหนึ่งใช้มือเปล่าคว้าจับคมดาบของ "หาญฟ้าง้ำ" เอาไว้โดยไม่กลัวบาดเจ็บหรือพิการเพราะตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะแลกชีวิต...!
    .
    -----------------------------------
    เฟี่ยว !!! ฉึก !!! ฉัวะ !!!
    .
    หัวของหาญฟ้าง้ำขาดกระเด็นตกเขาไปอีกราย !
    .
    ณ บัดนี้เรี่ยวแรงของพ่อหนานได้สูญสิ้นไปจนหมดแล้ว พร้อมๆ กับที่รู้ตัวได้ด้วย "มรณานุสติ" ว่าตนจะต้องจบชีวิตลงในเวลาไม่ช้า หากแต่ดวงใจที่ภักดีและมั่นในหน้าที่ๆ จะพิทักษ์รักษานายดุจดวงตะวันก็ทำให้พ่อหนานมีแรงบริกรรม "คาถากระดูกเหล็ก" ประจำตัวขึ้นมาอีกคำรบ...!
    .
    -----------------------------------
    "...มะอะอุ นะโมพุทธายะ อิสวาสุ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะโมพุทธายะ เพชชคง สัพพะพันทะนัง กะขะคะฆะงะ..."
    .
    -----------------------------------
    และแล้วเหตุการณ์ที่ราวกับปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ! ร่างของพ่อหนานที่สิ้นชีวิตลงแล้วกลับถอยหลังไปชนผนังถ้ำ มือทั้งสองข้างที่ทิ้งลงข้างลำตัวยังคงเกร็งกุมดาบแน่นไม่ยอมปล่อย ข้อศอกที่งอแข็งราวกับเหล็กนัันยันตัวพ่อหนานกับแง่งหินไว้จนแม้จะสิ้นใจตายไปแล้วร่างของพ่อหนานก็ยังไม่ยอมล้มลง !
    .
    -----------------------------------
    ตาทั้งสองที่เบิกโพลงค้างแข็งแน่นิ่งจ้องเขม็งไปยัง "หาญฟ้าแมบ" ศัตรูคนสุดท้าย ! หาญฟ้าแมบเห็นอาการของพ่อหนานเปนดั่งนั้นก็เกิดอาการขนลุก ประกอบกับกระแส "มโนมยิทธิ" เฮือกสุดท้ายที่หมายตาอาฆาตมายังตนที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่ "หนานข้อมือเหล็ก" ยังคงมีชีวิต !!!
    .
    -----------------------------------
    นี่คือตำนาน "ทหารยืนตาย" !!!
    .
    "หาญฟ้าแมบ" ใจตกถึงตาตุ่ม เสียขวัญจนไม่อาจก้าวต่อโกยตีนหมาวิ่งหน้าตั้งออกจากดอยประตูผากลับเมืองลำปางไปอย่างไม่คิดชีวิตในทันที !!!
    .
    ------------------------------------
    เมื่อเสียงจากการสู้รบสิ้นสุดลง เจ้าลิ้นก่าน และ จเรน้อย ได้ออกมาจากภายในถ้ำก็พบกับสภาพของพ่อหนานที่ยืนสิ้นใจตายอยู่ที่ตรงหน้าถ้ำก็มีความเศร้าสลดเสียใจเปนอันมาก เพราะว่าได้สูญเสียทหารเสือผู้มีฝีมือคู่บ้านคู่เมืองคนสำคัญไปคนหนึ่ง จึงได้ตั้งศาลเพียงตาและยกย่องท่านเป็น "เจ้าพ่อประตูผา" เป็นเทพาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์มานับแต่บัดนั้น !
    .
    --------------------------------
    ต่อมากระทรวงกลาโหมได้อันเชิญชื่อของท่านมาสร้างเป็น "ค่ายรบพิเศษประตูผา" รวมทั้งจัดสร้างอนุเสาวรีย์และจัดให้มีการบวงสรวงดวงวิญญาณของเจ้าพ่อประตูผาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในทุกๆ สัปดาห์ที่ ๔ ของทุกเดือนเมษายน !!
    .
    --------------------------------
    นอกจากนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือหรือบ่อน้ำมันฝาง ยังได้จัดสร้างอนุเสาวรีย์เจ้าพ่อข้อมือเหล็กไว้บริเวณทิศตะวันออกของศูนย์พัฒนาปิโตรเลียม กลายเปนอนุสรณ์ให้แก่วีรกรรมความกล้าหาญของ "หนานข้อมือเหล็ก" หรือ "เจ้าพ่อประตูผา" ผู้นี้เอง !!!
    .
    --------------------------------
    อ้างอิง
    .
    วีรชนพื้นถิ่นไทย : โสมชยา ธนังกุล
    วิชาคงกระพันชาตรี : อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร
    กระบี่กระบองฉบับสมบูรณ์ : รศ. ฟอง เกิดแก้ว
    สยามยุทธ มวยโบราณ : รศ.ชัยสวัสดิ์ เทียนวิบูล
    คัมภีร์ไสยศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ : อาจารย์ญาณโชติ
    .
    ขอบพระคุณภาพดีๆ จาก
    .
    ๑. fb : สำนักดาบศรีอยุธยา
    ๒. ช่อง ๗ HD : ละคร อตีตา
    ๓. พงษ์พรรณ เรือนนันชัย / ศิลปินล้านนา
    .
    เรียบเรียงใหม่โดย
    .
    //The Chariot
    .
    -----------------------

    Cr. ห้องปิ่นเกล้า : เล่าตำนาน : ประวัติศาสตร์

    FB_IMG_1590894683009.jpg FB_IMG_1590894987253.jpg FB_IMG_1590894992843.jpg FB_IMG_1590894977390.jpg FB_IMG_1590894980976.jpg FB_IMG_1590894995349.jpg FB_IMG_1590894990093.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    โหราศาสตร์

    สุริยุปราคาวงแหวน...ห้ามออกไปโดน เตือนแล้วนะ!!!
    ณ วันอาทิตย์ที่ 21 มิ.ย.63 จะสัมผัสผิวโลกระหว่างเวลา 10:46 ถึง 16:34น. ตามเวลาประเทศไทย
    จะเกิดสุริยะคราสแบบวงแหวน
    ดวงอาทิตย์จะปรากฏเว้าแหว่งมากที่สุด เวลาประมาณ 14:49 น. เวลานี้คือหนักสุดต้องระวังมาก
    พลังงานนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเรา แต่เราอาจมองไม่เห็น ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริง จึงส่งผลกระทบอย่างแน่นอน 100%

    *คำเตือน ในช่วงเวลาดังกล่าว ควรอยู่แต่ในที่ร่มหรือภายในอยู่บ้าน อยู่ใต้อาคารต่างๆ ห้ามออกไปภายนอกโดนพลังสุริยุปราคานี้เด็ดขาด เพราะอาถรรพ์คราสใหญ่ คนไทยเค้าเรียกวันอุบาวท์ใหญ่ ดวงคราสอัพแสงสุริยาเป็นภัยอันตรายมาก!!!
    ทุกวิชาโหราศาสตร์ทุกแขนง ยังมองตรงกันว่า เป็นพลังไม่ดี ที่ดวงดาวรอบนี้รวมกลุ่มกันส่งพลังไม่ดีรุนแรง

    ตามโหราศาสตร์จีน พลังหยางไม่เต็ม ดวงอาทิตย์อับแสง พลังหยินสูงขึ้นทดแทน ดังนั้น หากใครออกไปโดนสุริยุปราคานี้ พลังในดวงจะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หยินหยางสลับขั้วอย่างฉับพลันรุนแรง ถ้าโดน 5 นาที อาจได้รับความซวย เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามาในชีวิตอย่างต่อเนื่องไปได้หลายปี....ซึ่งในทางโหราศาสตร์จีนมองว่าไม่ดีแน่ ถ้าโดนพลังนี้มากระทบกับดวงของเรา คราวนี้ ทุกคนคงตัดสินใจได้แล้วหรือยัง ว่าควรเตรียมการรับมือ ให้หลีกเลี่ยงเป็นอย่างมากที่สุด!!!
    หลังจากเกิดสุริยุปราคา จะเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ไม่ดีเกิดขึ้นทั่วโลก ประมาณ 2 อาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องภาวะเศรษฐกิจที่จะแย่หนัก
    คนรวย กลับมาจนได้
    คนจน พลิกมารวยได้
    ฉะนั้น ทุกคนต้องมีสติให้มาก ดูแลตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เรียนรู้เพิ่มเติม พัฒนาตัวเอง และปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ เพราะ คนที่จะอยู่รอดได้ คือคนที่พร้อมจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อไปต่อ

    วิธีรับมือ สำหรับคนที่อยู่บ้าน
    *ก่อนวัน หรือช่วงวันที่เกิดสุริยุปราคา...
    1.ช่วงเวลาดังกล่าว ห้ามออกนอกบ้าน
    2.ควรสวดมนต์บทพุทธคุณ คุ้มครองป้องกันตัว เพิ่มเติม คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า และคาถาป้องกันภัย10ทิศ คาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ ต่อด้วยคาถาป้องกันภัยจากสุริยุปราคา พระคาถาสุริยะบัพพา พระคาถาจันทบัพพา
    เพื่อน้อมกำลังแห่งแสงสว่างแห่งพระธรรม ตั้งจิตขอพลังพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ส่งพลังคลุมกาย คลุมบ้านวิมานของเราให้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา โดยต้องจุดเทียนขณะสวดมนต์ สำคัญ

    วิธีรับมือ สำหรับคนที่จำเป็นต้องออกจากบ้าน
    *ก่อนวันที่จะต้องออกจากบ้าน
    1.ควรสวดมนต์บทพุทธคุณ คุ้มครองป้องกันตัว เพิ่มเติม คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า และคาถาป้องกันภัย10ทิศ คาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ ต่อด้วยคาถาป้องกันภัยจากสุริยุปราคา พระคาถาสุริยะบัพพา พระคาถาจันทบัพพา เพื่อให้คลุมกายเราไว้ โดยขออำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ส่งพลังคลุมกาย ปกป้องคุ้มครอง ให้มีแสงสว่างตลอดเวลา แบบตัวเรามีออร่า โดยต้องจุดเทียนขณะสวดมนต์ สำคัญ
    2.เมื่อเข้าบ้าน อาบน้ำทันที และให้ตัวเราแช่น้ำที่ใส่เกลือ ประมาณ 5-10 นาที ส่วนบ้านไหนไม่มีอ่างน้ำ ให้เอาเกลือละลายน้ำ โดยใช้ตักอาบตั้งแต่หัวจรดเท้า 9 ขัน เพื่อช่วยสลายพลังไม่ดีออกไป
    3.ทำขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
    4.ถวายผ้าไตรจีวร สังฆทาน และ หลอดไฟ เทียน ไฟฉาย ทำบุญบริจาคเกี่ยวกับไฟฟ้าต่างๆ(ทำบุญไฟอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้)

    Tips :
    1.สามารถจุดเทียนเพิ่มได้อีก 1 เล่ม วางหน้าเราขณะสวดมนต์ เพื่อเพิ่มความสว่างไสว(เทียนใหญ่ได้ก็ดี)
    2.สามารถเพิ่มการเปิดเพลงคาถาต่างๆที่บอกได้ตลอดทั้งช่วงการเกิดสุริยุปราคา โดยเฉพาะช่วงดวงอาทิตย์จะปรากฏเว้าแหว่งมากที่สุด เวลาประมาณ 14:49 น.เดี๋ยวนี้ทันสมัย เปิดได้จากโทรศัพท์เลย หรือเครื่องเล่นต่างๆได้ตามสะดวก
    3.ห้ามปิดไฟในห้องที่อยู่ ควรทำให้พื้นที่ในบ้านที่เราอยู่สว่างไสว ห้ามมืด
    4.คาถาต่างๆ อยู่ใต้คอมเม้น
    5.ห้ามตั้งโต๊ะไหว้ สวดมนต์ กลางแจ้ง ขณะเกิดสุริยุปราคาเด็ดขาด

    ฝากแชร์ให้คนที่คุณรักและห่วงใย
    FB_IMG_1592694158208.jpg
     
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    สุริยุปราคา ครั้งนี้ตรงกับ วันที่21 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์อยู่เหนือสุด ก่อนจะปัดลงมาตรงทิศตะวันออกอีกครั้ง ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ จะส่งผลที่ดีกับชีวิต ด้านอำนาจ พลิกพื้นดวง จากแพ้พ่ายมาเป็นสำเร็จ เริ่มสวดได้ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. ถ้าทำตรงกับช่วงคราส คือ 14.00-15.30 น ก็จะดี

    บทสวดบูชาพระราหู
    กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
    สังวิคคะรูโป อาคัมมะกินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
    สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
    พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
    กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
    สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
    สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
    พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ

    พระคาถาสุริยะบัพพา
    กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ
    โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
    โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติฯ

    พระคาถาจันทบัพพา
    ยัตถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง
    มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ
    กาเสตัง กาติยังมะมะ ยะติกาฯ

    สำหรับคนที่เกิด 21 มิถุนายน ทางที่ดีก็ควรอยู่บ้านทั้งวัน นะครับ
    โปรดใช้วิจารณญาณ
    FB_IMG_1592712077705.jpg
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บ่ายนี้ สวดมนต์ ทำสมาธิเสร็จ
    ด้วยความที่ อยากเห็น สุริยุปราคาวงแหวน ในรอบ 7 ปี
    ตั้งแต่ 10:00 เป็นต้นมา เมฆเต็มท้องฟ้า ฟ้าเปิดเอาบ่ายแก่แล้ว
    ใช้กล้องมือถ่ายตรงๆ ก็ไม่ได้ ดูด้วยตาเปล่าก็อันตราย จึงทบทวนความรู้วิทยาศาสตร์ ม.ศ.5
    หากระจก เทียนไข ไฟแแชค เอามารมควันกระจกให้ดำที่สุด ครั้งแรกรมด้านเดียวไม่พอ แสงยังจ้าไป รมอีกด้าน ทึบที่สุดเท่าที่ทำได้
    ลองส่องด้วยตาเปล่าผ่านกระจกนี้ พอมองเห็น เอากล้องมือถือถ่าย พอสวยงาม

    เชิญชมครับ

    วันอาทิตย์ ที่ 21 มิถุนายน 2563
    เวลา 15:32 น
    1592733252944.jpg IMG_20200621_190149.jpg
     
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    26 - 06 -63

    "พระเจ้าอโศกมหาราช"

    พระองค์เป็นพระราชาที่มีบุญมาก เวลานั้นปกครองชมพูทวีปทั้งหมด ท่านเกิดหลังจากพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว 201 ปี ตอนท่านอายุ 18 ปี พุทธศักราช 218 พอดี ความจริงอานุภาพของท่านมีมาก ต่อมาเกิดมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีลูกหญิงคน ลูกชายคน ลูกชายคนพี่ ลูกหญิงคนน้อง

    ทั้งสองคนคือ "ท่านพระมหินทร์" กับ "พระสังฆวิกาเถรี" ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ และก็เป็นพระอรหันต์ที่นำพระไตรปิฎกแจกจ่ายทั่วไปหมด ตั้งเป็นคณะขึ้นอย่างประเทศเรา ทั้งก็มารวมความว่าพระราชาองค์นี้มีบุญญาธิการมาก

    และที่พระยามาราธิราชต้องละพยศ เพราะเหตุที่พระราชาองค์นี้ฉลองพระพุทธศาสนา ขอเล่าย้อนต้น คือย้อนกลับไปในสมัยที่เกิดใหม่ ๆ อายุน้อย ๆ เรียกว่าพอเดินได้แล้ว ท่านมีน้องชายของท่านองค์หนึ่งชื่อ "ติสสะ" มีน้องชายต่างมารดาอีก 101 องค์ แสดงว่าพระเจ้าพิมทุสารนี่เก่งมาก รวมแล้วมีลูกหญิงลูกชายรวมทั้งหมด 103 คน

    ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง "อเจลก" รู้จักไหมพระชุดวันเกิด พระแก้ผ้า แต่ว่าองค์นี้ได้ทิพจักขุญาณ ถึงแม้เขาจะเป็นพระแก้ผ้าคนละลัทธิก็ตาม แต่ความจริงหลักสูตรสองในวิชชาสาม ห้าในอภิญญาหกนี่ทำได้

    แล้วก็บอกกับแม่ของพระเจ้าอโศกว่า "องค์นี้เลี้ยงให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก" แต่ก่อนที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ จะต้องฆ่าน้องต่างมารดา แล้วก็จะเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมาก สามารถปกครองชมพูทวีปนี้ได้เลย

    ต่อมาเมื่อท่านโตขึ้น พระเจ้าพ่อก็ให้ไปอยู่เมืองด่าน ก็เป็นลูกกษัตริย์ที่มีประชาชนรักมาก เป็นคนดีมาก เมื่อพ่อตายนั้นท่านอายุได้ 18 ปี ยังไม่ถึง 20 ยังไม่ราชาภิเษก ตอนนั้นก็เป็นผู้สำเร็จราชการ รักษาราชการแทนพ่อก็แล้วกัน พูดง่าย ๆ นะ ตอนนั้นน้องชายต่างมารดา 84 องค์ก็ยกทัพมาล้อมวังจะฆ่าสองพี่น้อง

    ความจริงพระเจ้าอโศกตอนนั้นชักเริ่มโศก ก็บอกกับน้องชายว่า "แค่เราสองคนและทหารล้อมวัง คือทหารที่รักษาวังนั้นมีไม่กี่คน ทหารข้างนอกเป็นของเขาหมดเราสู้ไม่ได้ยอมแพ้ดีไหม ?" ท่านติสสะองค์นี้ต่อมาเป็นพระอรหันต์ ก็บอกกับพี่ชายว่า "คำว่ายอมแพ้ไม่มีสำหรับกษัตริย์" (คำว่ากษัตริย์ แปลว่า นักรบ) สู้ได้ไม่ได้ก็ต้องสู้ ต้องตายเพราะการสู้ ถ้ายอมแพ้เราก็ต้องตายเขาไม่ไว้ชีวิตเรา

    เด็ดเดี่ยวเหมือนกันนะ น้องชายเก่งกว่าจึงเป็นพระอรหันต์ ในที่สุดก็สู้ทั้ง ๆ ที่กำลังทหารน้อยกว่า ผลที่สุดก็จับน้องชายต่างมารดา 84 องค์ได้และทรงสั่งประหารชีวิตหมด เมื่อประหารชีวิตแล้ว ต่อมาวันหนึ่งท่านก็คิดว่า อาการอย่างนี้ไม่น่าจะมีกับเรา เป็นน้องพ่อเดียวกันต้องมาฆ่ากัน เราก็จำจะต้องฆ่า จึงไปถามพระมารดาว่า

    "เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างนี้ตอนสมัยที่เป็นเด็ก มีใครพยากรณ์ไว้บ้างหรือเปล่า ? " แม่ก็บอกว่า "มี" แม่ท่านก็เล่าย้อนหลังให้ฟัง ท่านจึงถามว่า "พระที่พยากรณ์เวลานี้อยู่ที่ไหน" แม่ก็บอกว่า "อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 100 โยชน์" ท่านก็ส่งคานหามไปรับ พร้อมด้วยกองเกียรติยศ

    พอกองเกียรติยศไปรับ ก็นั่งคานหามมา น่ากลัวจะเป็นวอช่อฟ้านะ พอนั่งคานหามมาก็ผ่านสำนักสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณก็อยากจะเบ่งว่า แกเป็นพระนุ่งผ้าพระราชาไม่ต้องการ ฉันเป็นพระแก้ผ้าพระราชานับถือ เอาคานหามมารับต้องเบ่งหน่อยนะ

    ก็ไปบอกกับทหารที่ไปรับว่า "วางก่อนฉันมีกิจต้องไปหารือพระสงฆ์ด้วยกัน" แต่ความจริงเขาจะเข้าไปเบ่ง พอเดินนวยนาดเข้าไปก็แปลกใจ เสือ สิงห์ หมู เม่นอยู่ด้วยกันหมด อยู่กันอย่างสงบไม่ทำอันตรายกัน เขาก็ไปถามพระ พระองค์นั้นท่านก็มารับ

    ถามว่า "ไอ้ตัวนี้คืออะไร เรียกว่าอะไร"
    ท่านก็บอกว่า "ไอ้ตัวนี้เรียก อายตนะ"
    ไอ้ตัวนี้คืออะไร "ท่านก็บอก อายตนะ"
    ถามว่าตัวนั้นชื่ออะไร "ท่านก็บอก อายตนะ"
    พอตอบว่า อายตนะ หมดทุกตัว พระก็ถามว่า "เธอน่ะลืมอายตนะแล้วหรือ ?"

    อเจลกผู้นี้เคยเป็นงูเหลือมมาก่อน พอถามเท่านั้นบุญเก่าเข้าตอบสนองนั่งพับเพียบแป้ เอาขาทับข้างหน้าเกิดความอาย เขามีบุญนะ พระท่านก็เลยเอาสบงส่งให้ เอาจีวรส่งให้ พอส่งสบงจีวรให้ท่านก็เทศน์อายตนะแบบย่อ ก็เป็นพระโสดาบัน

    พอเป็นพระโสดาบันแล้วท่านก็เลยออกมาข้างนอก บอกพวกคานหามว่า "เธอไปเฝ้าพระราชาก่อน กิจที่เราจะสังสรรค์กับพระยังมีอยู่ยังไม่เสร็จ เมื่อเราสังสรรค์เสร็จเมื่อไหร่เราจะไปเอง ไม่ต้องมารับ" พอย้อนกลับไปอีกทีพระก็เทศน์อายตนะตามเดิม ก็เป็นพระอรหันต์

    ในเมื่อเป็นพระราชาขึ้นมาแล้ว ก็มีอำนาจปกครองชมพูทวีปทั้งหมด นั่นหมายความว่าในชมพูทวีปทั้งหมดมีพระราชาเหมือนกัน แต่ต้องขึ้นกับพระเจ้าอโศกมหาราช และก็เป็นพระราชาที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในเมื่อได้เมืองขึ้นทั้งหมดในชมพูทวีปแล้ว ก็คิดว่าในชมพูทวีปเป็นใหญ่แล้วต้องเป็นใหญ่ในพระพุทธศาสนาอีก

    ไม่ใช่หมายความว่าจะเป็นสังฆราช คือผู้ทำบุญใหญ่ จึงสร้างเจดีย์เท่าพระธรรมขันธ์คือ 84,000 องค์ เมื่อสร้างพระเจดีย์ 84,000 องค์แล้ว พระบรมสารีริกธาตุไม่พอบรรจุ ถ้าบรรจุเจดีย์ต่อ 1 องค์ก็ได้แน่แต่น้อยไป เวลานั้นพระอรหันต์มีมาก ก็บอกว่าไปบรรจุที่่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ก็ไปหากัน ไปที่ไหนก็ขุดได้สะดวก

    ก็ไปที่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าขุดลงไปแล้วมีหุ่นยนต์ที่ทำด้วยทองคำเป็นยักษ์ ถือหอกกับลูกธนูวิ่งรอบวิ่งเร็วมาก เข้าไม่ได้ เวลาไปขุดก็มีพระอรหันต์ไปด้วย

    พระอรหันต์ท่านก็อธิษฐานว่า เขาต้องการพระบรมสารีริกธาตุไปบูชา เวลานี้ยังอยู่ใต้ดินคนไม่มีโอกาสบูชา ขออำนาจบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พรหมและเทวดารักษาอยู่ ขอให้หุ่นยนต์นี้หยุด หุ่นยนต์ก็หยุด หุ่นยนต์ทั้งคู่เป็นทองคำ ถ้าเรานะพระธาตุไม่เอา...บาป! เอาหุ่นยนต์ดีกว่า

    ตอนหุ่นยนต์วิ่งเหมือนเป็นทองมิดหมดเลย มองเห็นธูปเทียนที่เขาบูชายังไม่ดับดอกไม้ที่บูชายังสดเหมือนเดิม ตอนนั้นคงเป็นอธิษฐานของพระอรหันต์ที่ท่านแนะนำ ในเมื่อหุ่นยนต์หยุดเข้าไปเจอทรัพย์สินมาก เช่น ทอง เพชรนิลจินดาแก้ว 7 ประการที่เขาบูชากัน

    แล้วก็ไปเจอใบลานทองคำ เขาจารึกอักษรไว้ว่า เราเป็นกษัตริย์ชื่อนั้น...(จำชื่อไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าอโศกมหาราชนะ) เป็นกษัตริย์ที่บรรจุพระธาตุและปกครองเมืองนี้ ชื่อนั้น...ต่อไปเวลาหลังจากนี้ไปพ.ศ. 200 เศษ (ท่านบอกปีตรง แต่จำไม่ได้) จะมีกษัตริย์คนจนองค์หนึ่ง จะนำพระบรมสารีริกธาตุนี่ไปบรรจุเจดีย์ 84,000 องค์

    นั่นพระอรหันต์บอกแน่ แล้วลงชื่อกษัตริย์องค์นั้น พระเจ้าอโศกมหาราชพออ่านแล้วก็โมโห ชะ...ชะ...ชะ....กษัตริย์อย่างเราหรือคนจน กษัตริย์ประเภทนั้นรวยขนาดไหน ?

    พอยกพระบรมสารีริกธาตุออก ข้างล่างมีแก้วมีแหวนเงินทองมหาศาลเลย ที่เขาบูชากัน ก็รวมความว่าขอเล่าลัดต่อไป ไม่ลัดก็ต้องลัดเพราะเรื่องมันไม่มี ต่อไปเมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ต่อมาท่านก็ฉลองพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

    ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ปกครองชมพูทวีปโดยธรรม ปกครองดีเป็นที่รักของกษัตริย์และพระราชาทั้งหมด ท่านนับถือพระพุทธศาสนาดีมาก ลูกชายก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ลูกสาว "สังฆวิกาเถรี" ก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

    และก็ทำพระไตรปิฎกเสร็จ ที่ทำพระไตรปิฎกแจกจ่ายทั่วชมพูทวีปทั้งหมด ที่แพร่หลายกันนี่

    แต่พระเจ้าอโศกมหาราชจริง ๆ เวลาจะตายเมาหมัด จิตเฟื่องไปนิดนึง นี่อย่าลืมนะว่าอธิษฐานบารมีมีความสำคัญมาก จืตเฟื่องไปหน่อย ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นพญานาค อย่านึกว่าการทำบุญมากตายแล้วจะไปสวรรค์เฉย ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราภาวนา ต้องทำไว้นะ

    คือให้ชอบใจบทที่เราภาวนา หรือชอบใจบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราทำนึกถึงทุกวันให้มันชิน ตอนนั้นท่านทำบุญหนักมาก ก่อนตายจิตเศร้าหมองไปหน่อย ไปเกิดเป็นพญานาค อับจนเกิดเป็นพญานาค เป็นยังไงก็ต้องกินปลา วันหนึ่งเอาหางจับกับต้นไม้ต้นนี้ เอาหัวจับกับต้นไม้ต้นนั้น แผ่ตัวเป็นพังพานวิดน้ำในหนองจะเจี๊ยะปลาสิ

    พระมหินทร์ทราบเข้า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีทางช่วย ก็เดินไปถามว่า "นี่พระองค์เป็นพระราชาผู้ทรงธรรม ทำไมทำอย่างนี้ ? ไอ้ทำอย่างนี้มันเป็นบาปควรจะรักษาศีล 5 ให้ครบถ้วน ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์" เพียงเท่านี้พญานาคก็เลิก รักษาศีล 5 ก็อดเจี๊ยะสิ

    นาน ๆ จะมีสัตว์ตายสักที หายาก ตายแล้วก็ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เมื่อตายแล้วก็จบเพียงเท่านี้

    พระราชพรหมยาน,นิตยสารธัมมวิโมกข์ (2559),429,78-84
    Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
    FB_IMG_1593125388970.jpg FB_IMG_1593125384388.jpg
     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านอาจารย์ศุภรัตน์ เล่าเรื่อง มาแล้วครับ

    เรื่อง ภาพยันต์มณีนพรัตนวราภรณ์

    เป็นภาพวาดยันต์ที่ช่วยหนุนชะตา เสริมดวง ป้องกันอิทธิพลจากดาวเคราะห์ และสิ่งอวมงคลทั้งหลาย ทีมีผลต่อดวงชะตาทั้ง 13 ราศี ดั่งบาลีที่ว่า

    “นักขัตตะยักขะภูตานัง ปาปัคคะหะนิวาระณา
    ปะริตตัสสานุภาเวนะ หันตะวา เตสัง อุปัททะเว”
    และ
    “ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะ เทวะตา
    สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ
    สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวัน ตุ เม”

    มีอานุภาพสามารถป้องกันบาปพระเคราะห์ อันเกิดจากอำนาจแห่งดาวนักษัตร เหล่ายักษ์ และภูตผีปีศาจ ทั้งหลาย เปลี่ยนเป็นสุขพระเคราะห์ ทำให้เคราะห์หนักเป็นเบา หรือเบาเป็นหาย ไม่สามารถทำอันตรายแก่ตนเองได้ ด้วยอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทพดาทั้งปวงจงรักษาท่าน ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่เราท่านทั้งหลายตลอดไป

    ภาพวาดยันต์ได้ลงรายละเอียดดังนี้
    1. ดวงมหาโพธิสัตว์ เป็นดวงหลวงปู่ดู่ ดวงอาจารย์ศุภกฤษณชัยวงค์ แสงจันทร์ ดวงพระราม ดวงรัชกาลที่ 9 ใช้ดวงหลวงปู่ดู่เป็นหลัก สร้างกำลังดาวพฤหัส ส่งผลต่อดวงทั้ง 13 ราศี โดยวาดเป็นภาพจักรวาลอยู่ตรงกลางภาพ เหมือนวางรหัสส่งสัญญาณเชื่อมดาวต่างภพ

    2. รอบดวงมหาโพธิสัตว์ วาดเป็นเจดีย์ไตรสรณคมน์ และมงกุฎพระพุทธเจ้า จำนวน 12 องค์ ขั้นด้วยดวงบทสุริยันจันทราขององค์จตุคามรามเทพ จำนวน 4 องค์ เว้นช่วงด้วยบทอิติปิโส 8 ทิศ บูชาพระนารายณ์ และดวงตาพระยายมราช 4 ทิศ แทนการเปิดดวงตาที่ 3 เพื่อระงับยับยั้งกรรมที่ส่งผลต่อดวงชะตาในชาติปัจจุบันให้บรรเทาเบาบางลงไปหรือดับไปไม่ให้เกิดขึ้น

    3. ด้านบนซ้ายขวาของภาพวาดรหัสเลขมหัศจรรย์ต่อชีวิตมนุษย์ด้วยตัวเลขที่รวมได้ 15 เป็นสูตรจักรพรรดิ ตรงกลางเป็นรูปปิรามิด มีรูปคนแทนผู้ที่อยู่ใน 13 ราศี ในปิรามิดลงด้วยบทไตรสรณคมน์กับมงกุฎพระพุทธเจ้า ล้อมรอบวงด้วยบทจตุโรบังเกิดลาภ ดั่งบาลีที่ว่า “จตุโร นะวะโม ทะเวโช ตรีนิ ปัญจะ สัตตะ อัฏฐะเอกะ ฉัฏฐี ธาเรตุ สัพพะโสตถึภะวันตุเม” และบทพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ลงไว้เสกยารักษาโรค

    4. คำไหว้ลายลักษณ์รอยพระพุทธบาท 108 ภาพ เพื่อสรรเสริญรอยพระพุทธบาทที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับไว้ ณ สถานที่ต่างๆบนดินแดนสุวรรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ดั่งส่วนหนึ่งของคำไหว้ลายลักษณ์ที่ว่า “พระบาทหนึ่งปรากฏ อยู่เขาบรรพต ชื่อสุวรรณคีรี พระบาทสองนั้นไซร้ อยู่ในกรุงศรี ประเทศธานี อโยธยานคร พระบาทสามนั้นโศก อยู่เขาบรมโกษ ลังกาบวร พระบาทสี่ทศพล อยู่บนสิงขร เหนือเมืองนคร นพรัตน์บุรี พระบาทห้าประดิษฐาน อยู่แถบชลธาร แม่น้ำนที”

    5. นามพระเกจิทุกภาคในอดีตของเมืองไทย เช่น หลวงปู่ทวด สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อกลั่น หลวงปู่ศุข พระเกจิสายหลวงปู่มั่น เป็นต้น ประมาณ 200 รูป

    6. พระนามมหาเทพที่เกี่ยวกับการสร้างโลก ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ พระพิฆเนศ พระอินทร์ เป็นต้น ประมาณ 75 พระนาม และพระนามวีรกษัตริย์ที่กู้ชาติไทย เช่น สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน เป็นต้น

    7. ใช้เส้นสี 9 สี ร่วมกับ สีเงิน สีทอง ลากเป็นรูปดาว 5 แฉก ใช้แทนธาตุทั้ง 5 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ กำหนดเดินปราณผ่านจักระทั้ง 5 จุด เพื่อแก้ไขพื้นดวงทั้ง 13 ราศี พลิกฟื้นดวงชะตา

    เริ่มวาดภาพวันที่ 24 มีนาคม 2563 เสร็จวันที่ 5 เมษายน 2563 ใช้เวลา 13 วันตามราศีพอดี ใช้ทั้งอักขระ ขอม ล้านนา บาลี รวมกันอยู่ เป็นภาพที่เขียนด้วยการใช้กำลังจิตดึงพลังงานภูติมาอยู่ในภาพเดียว ให้เป็นที่พึ่งต่อผู้ประพฤติดีปฏิบัติดี ตามรอยองค์พระมหาโพธิสัตว์ที่เราท่านเคารพนับถือ

    อาจารย์ศุภกฤษณชัยวงค์(ศุภรัตน์) แสงจันทร์
    วันที่ 1 กรกฎาคม 2563
    ณ บ้านพุทธฉัตร พระนครศรีอยุธยา
    FB_IMG_1593619181719.jpg
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ด่วนจี๋ ก่อนยอดเต็ม
    ติดต่อตามรายละเอียดเลยครับ
    ขออนุญาติประชาสัมพันธ์ครับ
    ใครที่พลาดการบูชา
    " ตระกรุดเมพระราชพรหมยาน วัดธรรมยาน รุ่น 1 "
    ไปนั้น บัดนี้หลวงพ่อพระปลัดวิรัช โอภาโส เจ้าอาวาสวัดธรรมยานได้เมตตาจัดสร้าง ตระกรุดเมพระราชพรหมยาน รุ่น 2 และมีพิธีพุทธาภิเษกไปแล้วเมื่อวานนี้
    ในรุ่น 2 นี้ทางวัดได้จัดสร้างเฉพาะเนื้อเงินเพียง จำนวน 252 ดอกเท่านั้น โดนรันหมายเลขต่อจากรุ่นแรก
    ตระกรุดเมหรือตระกรุดมหาสะท้อนทั้งสองรุ่นนี้หลวงพ่อวิรัชได้จัดสร้างตามแบบอย่างที่หลวงปู่ฤาษีลิงดำวัดท่าซุงที่ได้เคยสร้างไว้ในอดีต
    ยันต์บนตระกรุดยิงด้วยเลเซอร์รูปลักษณ์สวยงาม
    บูชาดอกล่ะ 5,000 บาท ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้หลวงพ่อจะนำไปสบทบทุนสร้าง " มหาเจดียทองคำ "
    ซึ่งดำเนินการสร้างไปแล้วบนเขาด้านหลังพระอุโบสถวัดธรรมยาน เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่แต่ยังขาดปัจจัยอีกจำนวนมาก
    หากใครที่มีศรัทธาหรือชื่นชอบการสะสมวัตถุมงคลสามารถติดต่อไปยังเบอร์โทรและไอดีไลน์ที่มีในรูปที่ 3 ได้เลยครับ
    จึงขออนุญาติประชาสัมพันธ์บอกบุญและเผยแผ่บารมีครูบาอาจารย์สืบไป ขอบคุณครับ
    FB_IMG_1594053573443.jpg FB_IMG_1594053567575.jpg FB_IMG_1594053570581.jpg FB_IMG_1594053517480.jpg FB_IMG_1594053565165.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    สงสัยมานาน เกี่ยวกับ เด็กชายไข่ วัดเจดีย์


    #ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ นับถอยหลังไปเกือบ ๓๐๐ปี ครั้นกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี มีเถระแห่งดินแดนศรีวิชัย ผู้คนต่างเรียกขานท่านในนาม "หลวงปู่ทวด" ได้เดินทางธุดงค์มุ่งสู่เมืองหลวง ครั้งมาถึงฐานถิ่นวัดเจดีย์ ด้วยมีสหายธรรม ผู้เรียนวิชาธรรมยังเมืองคอน นามว่า "ขรัวทอง" เลยถือโอกาสแวะเยี่ยมเยือน มิลืมเลือนว่าสหาย เป็นสมภารเจ้าวัดอยู่
    ในการนั้น "หลวงปู่ทวด" เอง ได้นำพากายาเด็กชาย หมายให้ปรนนิบัติ ด้วยเห็นว่าฐานถิ่นนี้ต่อไป จะศิวิไลเจริญรุ่งเรือง จึงบอกเด็กชายผู้นั้นว่า.. "เจ้าจงอยู่ที่นี้เถิด จะก่อเกิดผลดี มีความหมาย ด้วยเจ้าจงเฝ้าสู่ดังคำเราทำนาย ให้หมั่นหมายเจริญในเชิงธรรม"
    แล้วกำชับเพื่อนธรรม ขอฝากเด็กชายผู้นี้ด้วย จากนั้นก็เดินทางธุดงค์ต่อไป ยังอยุทธยาราชธานี เด็กชายจึงกลายกลับ เป็นเด็กวัดเจดีย์ นับจากนั้นเป็นต้นมา ดังมีเรื่องราวในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช.. กล่าวถึง เหตุการณ์ครั้นเจ้าพระยาคืนเมือง มีท้องตรามายังเมือง "อลอง" (ต.ฉลอง ในปัจจุบัน) มีบันทึกว่า..
    มาถึงเมืองอลอง แวะพักหนึ่งคืน นมัสการสมภารทอง มีศิษย์เกะกะชื่อไอ้ไข่เด็กวัด.." ถึงจะเป็นเด็กเกะกะซุกซน แต่ไอ้ไข่ก็เปี่ยมด้วยอนุภาพพิเศษ แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป ชอบช่วยเหลือผู้คน หากใครมีปัญหาที่หมดปัญญาที่จะแก้ไข เป็นต้องมาออกปากไอ้ไข่ทุกคราไป จึงไม่มีใครเกียดชังถึงจะซุกซนเกเร
    ด้วยเป็นเด็กที่จริงจัง ทั้งวาจา และจิตใจ รับปากใครแล้วเป็นต้องทำให้ได้ ถึงจะเป็นอันตรายก็ตาม ว่ากันว่าควายตัวไหนพยศ หากไอ้ไข่จับหางติดจะไม่ปล่อยเป็นเด็ดขาด ถึงควายจะวิ่งอย่างไร จนควายตัวนั้นต้องละพยศหมดฤทธิ์ ไอ้ไข่ จึงกลายเป็นเด็กที่เป็นขวัญใจของคนในยุคนั้น
    เด็กชายอยู่วัดเจดีย์ จนวันหนึ่งรู้ด้วยญาณของเด็กศักดิ์สิทธิ์ ว่าพระอาจารย์เราจะเดินทางกลับ ครันจะอยู่รอรับก็กลัวท่านจะพาตัวกลับไป ด้วยสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ว่าจะอยู่ดูแลสถานที่นี้ จึงเดินมุ่งหน้าลงในสระ หมายสละกายเหลือเพียงจิต เพื่อสิงสถิตย์ดูแล ดังคำที่ได้ให้ไว้กับ "หลวงปู่ทวด
    จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเด็กชายคนนั้นอีกเลย ไม่พบแม้แต่ร่าง ไม่เห็นแม้แต่เงา ด้วยพลีกายละสังขาร เหลือแต่ดวงวิญาณรักษาฐานถิ่น #วัดเจดีย์ สืบมา..
    ตำนาน คือ ตำนาน ที่เล่าขานกันสืบมา
    ***ด้วยความศรัทธา สาธุ
    FB_IMG_1596871196857.jpg
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่ื่องเล่า......จากงานพระราชทานเพลิง
    พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร) วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์

    วันรุ่งขึ้นคณะกรรมการได้จัดพิธีอาบน้ำศพหลวงพ่อขึ้น เมื่อเริ่มพิธีผู้คนหลั่งใหลมาจากทั่วสารทิศ มีทั้งผู้แทนจังหวัดนครสวรรค์ นายเกษม บุญศรี ตลอดพ่อค้า คหบดีชาวกรุงเทพฯ และชาวบ้านใกล้เคียง เมื่อรดน้ำศพแล้วต่างพากันแย่งชิงฉีกจีวรที่ครองศพหลวงพ่ออยู่ คณะกรรมการสุดจะโต้แย้งเพราะผู้คนมากมายก็ได้แต่ขอเวลาเปลี่ยนจีวรหลวงพ่อใหม่ กี่ชุดๆ ก็ไม่พอเพราะคนรุมฉีกทิ้งกันเพื่อเอาไปเป็นที่ระลึก จนในที่สุดเห็นว่าจีวรจะไม่พอครององค์หลวงพ่อจึงได้ประกาศห้ามฉีก จึงสามารถรักษาจีวรให้ครองติดศพหลวงพ่อได้ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อหลวงพ่อแม้ยามที่มรณภาพไปแล้ว น้ำอาบศพเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในตอนรดน้ำศพหลวงพ่อเดิมนั้น พวกหนุ่มๆ และคนแก่ ที่นับถือองค์หลวงพ่อได้พากันไปอยู่ใต้ถุนศาลาอาบน้ำศพหลวงพ่อ พร้อมทั้งเอาขัน เอาแก้ว หรือบางคนก็แหงนหน้ารองน้ำอาบศพหลวงพ่อ ต่างน้ำมนต์กลืนกินเข้าไปอย่างไม่รังเกียจด้วยศรัทธาสูงสุด ข้างบนก็ฉีกทิ้งจีวรหลวงพ่อให้ชุลมุน ข้างล่างก็รองน้ำศพให้วุ่นหมด ลานวัดคนเดินกันเกลื่อนแทบจะหลีกกันไม่พ้น เหมือนหลวงพ่อจะแสดงปาฏิหารย์คนที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อกลุ่มหนึ่ง เมื่อเดินออกมานอกวัด ก็เจอกับอริอีกกลุ่มหนึ่งพอดี ได้เข้าตะลุมบอนกันเป็นพักใหญ่ กลุ่มที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อไม่เป็นอะไรเลยเป็นแต่หัวร้างข้างโน บวม ปูด ส่วนอริหัวร้างข้างแตกกันเป็นระนาว พอข่าวแพร่ คนก็ไปกินน้ำอาบศพหลวงพ่อกันอีก ท่านผู้อ่านก็ลองวาดภาพดูก็แล้วกันครับว่าเป็นอย่างไร นี่แหละครับบารมีหลวงพ่อ ต้องมีเวรยามรักษาศพหลวงพ่อ หลังจากรดน้ำศพก็ได้มีการตั้งศพหลวงพ่อสวดพระอภิธรรม มีเจ้าภาพจองกันยาวยืดจนครบ ร้อยวันในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๙๔ และได้เก็บศพของหลวงพ่อไว้เพื่อรอพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในตอนนี้ได้มีผู้ศรัทธาในหลวงพ่อต้องการได้อัฐิของหลวงพ่อเดิม ได้พยายามลอบเข้าไปเพื่อจะดึงอัฐิของหลวงพ่อก่อนที่ยังมิได้พระราชทานเพลิง ด้วยความเลื่อมใสถือเป็นเครื่องรางของขลัง กรรมการวัดรู้เข้าก็ต้องจัดเวรยามดูแล เพราะไม่เช่นนั้นกว่าจะพระราชทานเพลิงศพแล้วสรีระของหลวงพ่อคงไม่เหลืออยู่แน่ เป็นที่น่าเศร้าสลดใจของผู้ที่จะได้รู้ข่าวจึงได้ป้องกันไว้ก่อนจะสายไป ครั้นจะห้ามเสียเลยก็จะเป็นการทำลายน้ำใจผู้ศรัทธาจึงหาทางอื่นที่นุ่มนวลคือเฝ้าระวังกันเอาอัฐเถ้าอังคารคนแย่งกันทั้งยังร้อนระอุ ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ มีมหรสพทุกชนิด ที่ลูกศิษย์ลูกหาพากันมาแสดง เพื่อเป็นการไว้อาลัยหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไฟพระราชทานมาถึงแล้ว ประธานในพิธีได้จุดไฟพระราชทานต่อจากนั้น ก็เป็นขบวนของชาวบ้านร้านตลาด ตั้งแต่บ่ายยันค่ำคนไม่ลดน้อยลงไปเลย ใส่ไฟแล้วก็ไม่ไปไหนคงซุ่มอยู่แถวนั้น เมื่อไฟพระราชทานได้เผาสรีระของหลวงพ่อมอดไหม้ไปแล้วท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมา เป็นละอองเบาๆก่อความเย็นให้แก่ผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดกัน กรรมการวัดได้ขึ้นเก็บอัฐิและเถ้าอังคารส่วนหนึ่ง เพื่อนำไปบรรจุในเจดีย์เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านหนองโพ และผู้ได้มาเยี่ยมเยือนในภายหลัง เมื่อคณะกรรมการเก็บอัฐิแล้ว ไฟยังไม่ทันจะหายร้อน บรรดาชาวบ้านและผู้เคารพนับถือ ต่างก็เฮละโลกันขึ้นไปบนเมรุเบียดเสียดเยียดยัดกัน เหยียบกัน ล้มคว่ำคะมำหงาย เพื่อแย่งชิงอัฐิของหลวงพ่อเดิม เพื่อนำไปสักการะบูชา ที่แข็งแรงไปถึงก่อนก็ได้อัฐิไป ที่มาทีหลังหรือเข้าไม่ถึงก็ได้เถ้าอังคาร ตามแต่จะเก็บได้ หลังจากคลื่นฝูงชนซาลงไปแล้วปรากฏว่าไม่มีอัฐิ หรือเถ้าอังคารของหลวงพ่อติดเมรุอยู่เลยแม้แต่น้อย เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าทั้งๆ ที่ไฟบนเมรุยังร้อนอยู่ แต่คนที่แย่งชิงกันนั้น ไม่มีใครมือพองเพราะความร้อนของเมรุแม้แต่น้อยเลย สรุปความท้ายประวัติ สิ้นไปแล้วดวงประทีปแห่งหนองโพ หลวงพ่อผู้ทรงความเมตตากรุณา หลวงพ่อผู้เป็นผู้ให้แต่อย่างเดียวพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร) วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์

    วันรุ่งขึ้นคณะกรรมการได้จัดพิธีอาบน้ำศพหลวงพ่อขึ้น เมื่อเริ่มพิธีผู้คนหลั่งใหลมาจากทั่วสารทิศ มีทั้งผู้แทนจังหวัดนครสวรรค์ นายเกษม บุญศรี ตลอดพ่อค้า คหบดีชาวกรุงเทพฯ และชาวบ้านใกล้เคียง เมื่อรดน้ำศพแล้วต่างพากันแย่งชิงฉีกจีวรที่ครองศพหลวงพ่ออยู่ คณะกรรมการสุดจะโต้แย้งเพราะผู้คนมากมายก็ได้แต่ขอเวลาเปลี่ยนจีวรหลวงพ่อใหม่ กี่ชุดๆ ก็ไม่พอเพราะคนรุมฉีกทิ้งกันเพื่อเอาไปเป็นที่ระลึก จนในที่สุดเห็นว่าจีวรจะไม่พอครององค์หลวงพ่อจึงได้ประกาศห้ามฉีก จึงสามารถรักษาจีวรให้ครองติดศพหลวงพ่อได้ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อหลวงพ่อแม้ยามที่มรณภาพไปแล้ว น้ำอาบศพเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในตอนรดน้ำศพหลวงพ่อเดิมนั้น พวกหนุ่มๆ และคนแก่ ที่นับถือองค์หลวงพ่อได้พากันไปอยู่ใต้ถุนศาลาอาบน้ำศพหลวงพ่อ พร้อมทั้งเอาขัน เอาแก้ว หรือบางคนก็แหงนหน้ารองน้ำอาบศพหลวงพ่อ ต่างน้ำมนต์กลืนกินเข้าไปอย่างไม่รังเกียจด้วยศรัทธาสูงสุด ข้างบนก็ฉีกทิ้งจีวรหลวงพ่อให้ชุลมุน ข้างล่างก็รองน้ำศพให้วุ่นหมด ลานวัดคนเดินกันเกลื่อนแทบจะหลีกกันไม่พ้น เหมือนหลวงพ่อจะแสดงปาฏิหารย์คนที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อกลุ่มหนึ่ง เมื่อเดินออกมานอกวัด ก็เจอกับอริอีกกลุ่มหนึ่งพอดี ได้เข้าตะลุมบอนกันเป็นพักใหญ่ กลุ่มที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อไม่เป็นอะไรเลยเป็นแต่หัวร้างข้างโน บวม ปูด ส่วนอริหัวร้างข้างแตกกันเป็นระนาว พอข่าวแพร่ คนก็ไปกินน้ำอาบศพหลวงพ่อกันอีก ท่านผู้อ่านก็ลองวาดภาพดูก็แล้วกันครับว่าเป็นอย่างไร นี่แหละครับบารมีหลวงพ่อ ต้องมีเวรยามรักษาศพหลวงพ่อ หลังจากรดน้ำศพก็ได้มีการตั้งศพหลวงพ่อสวดพระอภิธรรม มีเจ้าภาพจองกันยาวยืดจนครบ ร้อยวันในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๙๔ และได้เก็บศพของหลวงพ่อไว้เพื่อรอพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในตอนนี้ได้มีผู้ศรัทธาในหลวงพ่อต้องการได้อัฐิของหลวงพ่อเดิม ได้พยายามลอบเข้าไปเพื่อจะดึงอัฐิของหลวงพ่อก่อนที่ยังมิได้พระราชทานเพลิง ด้วยความเลื่อมใสถือเป็นเครื่องรางของขลัง กรรมการวัดรู้เข้าก็ต้องจัดเวรยามดูแล เพราะไม่เช่นนั้นกว่าจะพระราชทานเพลิงศพแล้วสรีระของหลวงพ่อคงไม่เหลืออยู่แน่ เป็นที่น่าเศร้าสลดใจของผู้ที่จะได้รู้ข่าวจึงได้ป้องกันไว้ก่อนจะสายไป ครั้นจะห้ามเสียเลยก็จะเป็นการทำลายน้ำใจผู้ศรัทธาจึงหาทางอื่นที่นุ่มนวลคือเฝ้าระวังกันเอาอัฐเถ้าอังคารคนแย่งกันทั้งยังร้อนระอุ ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ มีมหรสพทุกชนิด ที่ลูกศิษย์ลูกหาพากันมาแสดง เพื่อเป็นการไว้อาลัยหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไฟพระราชทานมาถึงแล้ว ประธานในพิธีได้จุดไฟพระราชทานต่อจากนั้น ก็เป็นขบวนของชาวบ้านร้านตลาด ตั้งแต่บ่ายยันค่ำคนไม่ลดน้อยลงไปเลย ใส่ไฟแล้วก็ไม่ไปไหนคงซุ่มอยู่แถวนั้น เมื่อไฟพระราชทานได้เผาสรีระของหลวงพ่อมอดไหม้ไปแล้วท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมา เป็นละอองเบาๆก่อความเย็นให้แก่ผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดกัน กรรมการวัดได้ขึ้นเก็บอัฐิและเถ้าอังคารส่วนหนึ่ง เพื่อนำไปบรรจุในเจดีย์เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านหนองโพ และผู้ได้มาเยี่ยมเยือนในภายหลัง เมื่อคณะกรรมการเก็บอัฐิแล้ว ไฟยังไม่ทันจะหายร้อน บรรดาชาวบ้านและผู้เคารพนับถือ ต่างก็เฮละโลกันขึ้นไปบนเมรุเบียดเสียดเยียดยัดกัน เหยียบกัน ล้มคว่ำคะมำหงาย เพื่อแย่งชิงอัฐิของหลวงพ่อเดิม เพื่อนำไปสักการะบูชา ที่แข็งแรงไปถึงก่อนก็ได้อัฐิไป ที่มาทีหลังหรือเข้าไม่ถึงก็ได้เถ้าอังคาร ตามแต่จะเก็บได้ หลังจากคลื่นฝูงชนซาลงไปแล้วปรากฏว่าไม่มีอัฐิ หรือเถ้าอังคารของหลวงพ่อติดเมรุอยู่เลยแม้แต่น้อย เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าทั้งๆ ที่ไฟบนเมรุยังร้อนอยู่ แต่คนที่แย่งชิงกันนั้น ไม่มีใครมือพองเพราะความร้อนของเมรุแม้แต่น้อยเลย สรุปความท้ายประวัติ สิ้นไปแล้วดวงประทีปแห่งหนองโพ หลวงพ่อผู้ทรงความเมตตากรุณา หลวงพ่อผู้เป็นผู้ให้แต่อย่างเดียว

    ผูู้ที่ร่วมอยู่ในงานนั้นและเป็นศิษย์องค์สุดท้าย เป็นผู้ที่วิ่งนำหน้าญาติโยมเข้าไปเก็บเถ้าอังคาร อัฐิท่านหลวงพ่อเดิม ขณะที่ไฟยังคุกรุ่นอยู่ คือท่านหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม และเถ้าอังคาร อัฐิส่วนที่ได้มานั้น

    # ได้ถูกนำผสมอยู่ในพระวัดพรหมบุรี ปี พศ.๒๔๙๖ # บางพิมพ์ # บางเนื้อ#
    FB_IMG_1598590789835.jpg FB_IMG_1598590792023.jpg
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    กระซิบ

    พระดี.....ที่หลายคนมองข้าม.

    วันนี้นั่งสนทนากับ อ.ศุภรัตน์ แสงจันทร์
    ผู้เขียนจึงเอ่ยถามว่าปิดตาลอยองค์ ทำไมคนไม่ให้ความสนใจเลย.

    อาจารย์เปิดกระเป๋า แล้วเอาออกมาให้ชมบอกรุ่นนี้ใช่มั้ย.และได้เริ่มย้อนอดีตให้ฟัง
    โดยพิมพ์ได้หาพิมพ์มาสร้างจากการได้พูดคุยกับหลวงปู่ดู่ เรื่องการเสกพระปิดตา จึงนำพิมพ์ที่มีต้นแบบคล้ายพระหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานมาทำ และเขียนใต้ฐานว่าพรหมปัญโญ.

    และสร้างจำนวนแค่ไม่มาก. หลัก สอง-สามร้อยองค์เท่านั้น โดยส่วนน้อยจะมีการจารเปียกใต้ฐานโดย อ.ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    ที่คนไม่นิยมเพราะคิดว่าสร้างจำนวนมากๆ
    เอาละครับ พระปิดตาสร้างหลักร้อย.....ที่ราคาเช่าไม่ถึงพัน.

    ใครรู้แล้วรีบหาเก็บด่วน ก่อนราคาจะไปไกลกว่านี้

    Dangsticker.
    FB_IMG_1603959999606.jpg
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ร่วมรำลึก

    วันนี้วันที่ ๓๐ ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ รำลึก ๒๘ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาและแตกฉานในการสอนธรรม" ท่านเป็นพระอริยบุคคล ผู้อยู่ด้วยความกรุณาเป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะ และสิ่งทีเป็นประโยชน์สงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น“ศากยบุตรพุทธชิโนรส"อย่างแท้จริง

    "..คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ
    ๑.ศิษย์ชั้น ๓ คือ พยายามรักษาศีล ๕ เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือ ศิษย์ขนาดจิ๋ว

    ๒.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ คือ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง

    ๓.ศิษย์เอก มีปฏิปทา ดังนี้ คือ รักษาศีล ๕ ครบถ้วนเป็นปกติ มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ..."

    ประวัติหลวงพ่อฤาษีลิงดำ โดยย่อ
    ท่านถือกำเนิดตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เกิดที่ต.สาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่ท่านจะเกิดนั้น มารดาของท่านฝันว่า เห็นพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ หลวงพ่อเล็ก เกสโร ซึ่งมีฐานะเป็นลุง ได้กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า "พรหม" และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น "สังเวียน" ท่านยายกับชาวบ้านเรียกว่า "เล็ก" ส่วนท่านมารดาและพี่ๆ น้องๆ เรียกว่า "พ่อกลาง"

    เมื่ออายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) พออายุครบบวช ๒๐ ปี ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ พัทธสีมาวัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ(หลวงพ่อปาน โสนันโท)เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

    คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อปาน หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า "๓ องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน ๒ องค์นี้พอครบ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ ๒๐ พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ"

    ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่น หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

    พ.ศ.๒๕๑๑ เข้ามาบูรณะวัดท่าซุง และรับตำแหน่งเจ้าอาวาส
    พ.ศ.๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำอาพาธด้วยโรคปอดบวมและติดเชื้อในกระแสโลหิต ท่านมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    "..การอยู่ธุดงค์ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่าการที่จะต้องอดข้าวกินจะต้องระวังทางด้านจิตใจ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันต้องกวนตลอดเวลา คำว่า นิวรณ์ แปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่าคนใดถ้านิวรณ์รบกวนใจ ประจำใจอยู่ เวลานั้นเป็นคนไร้ปัญญา นิวรณ์ ๕ ประการก็คือ

    ๑.ความรักในระหว่างเพศ ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ขอบอกสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้ว ถ้วยโถโอชามสร้อยถนิมพิมพา ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อนมันมีน้อย ถ้าเกิดรักคนสวยขึ้นมานี่ ความเร่าร้อนมันมีมาก เลยถือใช้คำนี้เป็นคำสำคัญ และก็
    ๒.อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่นอยู่เสมอ
    ๓.ความง่วงในขณะที่ปฏิบัติความดี
    ๔.อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ
    ๕.สงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกฏของกรรม

    รวมความว่า ทั้ง ๕ อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมีไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีขึ้นเดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป
    ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ ภายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง
    ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร ๔ เข้าหักล้าง
    ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอาน้ำล้างหน้า หักล้าง
    ถ้า ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นจับ อานาปานสติ หักล้าง
    ถ้า ความสงสัยเกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญความเป็นจริง ถึงความ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความแก่ ความเก่า ในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางการแตกสลายในที่สุด.."

    กราบ กราบ กราบ


    ขอขอบคุณ เพจ คำสอนหลวงพ่อ
    FB_IMG_1604057645886.jpg FB_IMG_1604057627541.jpg FB_IMG_1604057622181.jpg
     
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    น้อมกราบมุทิตาสักการะ
    สมเด็จพระญาณวชิโรดม พุทธาคมวิศิษฐ์ จิตตานุภาพ พัฒนดิลก สาธกธรรมวิจิตร วิเทศศาสนกิจไพศาล วิปัสสนาญาณธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสร
    บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี สถิต ณ วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร กรุงเทพมหานคร

    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

    ขอให้หลวงพ่อสุขภาพแข็งแรง
    ขอให้หลวงพ่อสุขภาพแข็งแรง
    ขอให้หลวงพ่อสุขภาพแข็งแรง
    FB_IMG_1604317524602.jpg FB_IMG_1604317526578.jpg FB_IMG_1604317475503.jpg FB_IMG_1604317494353.jpg IMG_20201102_185411.jpg IMG_20201102_185425.jpg IMG_20201102_185436.jpg IMG_20201102_185446.jpg
    IMG_20201102_190707.jpg IMG_20201102_190648.jpg IMG_20201102_190637.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2020
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ข่าวสารจาก บ้านพุทธฉัตร

    ท่านอาจารย์ฯ เล่าเรื่อง มาแล้วครับ

    เรื่อง ดวงอาจารย์

    ศิษย์ : ป้าฟอง ดูหมอแม่นค่ะ ติดตามอยู่

    อาจารย์ : ตรวจดูย้อนหลังให้ตั้งแต่ปลาย ธ.ค.60 เจอดาวกระหน่ำ 3 ดวง พฤหัส เสาร์ ราหู ถึงขั้นดวงแตกในช่วง ก.ค.63 ถึง ส.ค.63 ซึ่งป่วยพอดี ป้าฟองบอกถ้าไม่แกร่งจริงๆ บางคนถึงขั้นโยนผ้าขาว บารมีพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ บุญบารมีที่ร่วมกันสร้าง พึ่งพาได้มิต้องสงสัย ถ้ามีช่วงตกฟากที่แน่นอนจะแม่นมาก

    ศิษย์ : ใช่ค่ะ ดวงอาต๊อดจะดีหลังจาก วันที่ 14 พ.ย.63 จะดีสุด 5 ธ.ค.63

    อาจารย์ : หลังวันที่ 14 พ.ย.63 ดาวพฤหัสถึงกลับมามีกำลัง ตอนนี้เดินซ้อนดาวเสาร์พอดี ส่งให้พระสยามเทวาธิราชถึงมีอานุภาพ

    ศิษย์ : สิ่งลี้ลับช่วยชาติไทยให้คงอยู่ต่อไปใช้ไหมครับ

    อาจารย์ : พลังบวก พลังภูติพระเจ้า ของสยามแข็งแกร่ง และทรงอานุภาพ เป็นธรรมาวุธที่สำคัญ ยิ่งกว่าชาติใดในโลก
    ในช่วงนี้ดาวใหญ่จะขยับย่อมเกิดผลข้างเคียงกับโลก ประเทศ ผู้คน อย่าประมาท สวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานขอบารมีหลักเมืองทุกที่ให้ช่วยประเทศ ที่อยุธยาหลักเมือง ลป.ดู่ ได้อธิษฐานไว้ ใครมีเวลาไปขอพรจะดี ถ้าไม่สะดวกไปหลักเมืองที่กรุงเทพฯ จนถึงวันที่ 14 พ.ย.นี้

    ศิษย์ : สาธุครับ

    ท่านใดมีเวลาก็ขอให้ช่วยกันสวดมนต์ขอพรหลักเมืองในแต่ละจังหวัดที่ท่านอยู่นะครับ
    FB_IMG_1604931883500.jpg
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1606864049109.jpg FB_IMG_1606864051686.jpg FB_IMG_1606864055905.jpg FB_IMG_1606864268044.jpg

    เก็บไว้อ่าน ทบทวน

    ทำไมพระคาถาชินบัญชร จึงศักดิ์สิทธิ์ ?
    ----------------------------------------------


    ถาม : ขณะนี้ไปที่ไหนก็จะมีคนพูดถึงการสวดคาถาชินบัญชร และพูดกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก อยากทราบว่าคาถานี้มีความหมายว่าอย่างไร? ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? ทำไมจึงมีความศักดิ์สิทธิ์?

    ตอบ : พระคาถาชินบัญชรเป็นพระคาถาสำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เป็นบทคาถาสำคัญที่เจ้าประคุณสมเด็จใช้ปลุกเสกพระสมเด็จ คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งถามเจ้าประคุณสมเด็จว่าเหตุใดพระสมเด็จวัดระฆังจึงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าประคุณสมเด็จถวายพระพรตอบว่าเหตุที่สมเด็จวัดระฆังมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะปลุกเสกด้วยพระคาถาชินบัญชร

    มีความนิยมสวดพระคาถาชินบัญชรมาตั้งแต่ครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่ ตลอดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่าทรงอานุภาพ มีความศักดิ์สิทธิ์จริง ผมเองก็เคยสัมผัสพบเห็นเป็นที่ประจักษ์หลายครั้ง และเพื่อนชาวพุทธจำนวนมากก็มีประสบการณ์จากการสัมผัสด้วยตนเอง เหตุนี้จึงเป็นที่นิยมสวดกันโดยทั่วไป เพราะเชื่อว่ามีอานุภาพในการคุ้มครองป้องกันสรรพภัย สรรพโรค สรรพทุกข์ และยังให้เกิดความมงคลแก่ชีวิต

    เมื่อไม่กี่ปีมานี้เคยมีคนอ้างว่าต้นฉบับพระคาถาชินบัญชรมีมาแต่ครั้งที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่ในประเทศลังกา แล้วพระคาถานี้ก็เคยมีจารจารึกไว้ในคัมภีร์ใบลานที่ภาคเหนือ มีเนื้อความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์หรือนักปราชญ์ชาวพุทธต้องค้นคว้าหาความจริงกันต่อไป แต่ในชั้นนี้ก็พึงเป็นที่เข้าใจว่าพระคาถาชินบัญชรเป็นคาถาสำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    ความหมายและความสำคัญตลอดจนเหตุผลที่พระคาถานี้มีความศักดิ์สิทธิ์ได้เคยเขียนในเชิงตอบคำถามไว้ในหนังสือเรื่อง "ศิษย์สมเด็จ" แล้ว ดังที่จะยกมาพรรณนาดังต่อไปนี้

    "ความจริงชื่อพระคาถาชินบัญชรนั้นแปลว่าหน้าต่างของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเนื้อความในบทพระคาถาอันยาวเหยียดนั้นอาจจำแนกได้เป็นห้าตอน คือ

    ตอนที่ ๑ เป็นบทสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ได้ตรัสรู้อริยสัจสี่ แล้วเสวยวิมุตติสุขจากความตรัสรู้นั้นแล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ มีสมเด็จพระตัณหังกรพระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เสด็จมาอยู่ ณ เบื้องกระหม่อม

    ตอนที่ ๒ เป็นบทอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาสถิตอยู่ที่ศีรษะ ที่ดวงตา และหน้าอก

    ตอนที่ ๓ เป็นบทอาราธนาพระอริยสาวกทั้งปวง มีพระสาลีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธเถระเป็นต้น ให้มาสถิต ณ ส่วนและอวัยวะต่าง ๆ

    ตอนที่ ๔ เป็นบทอัญเชิญพระสูตรทั้งปวง มีรัตนสูตรเป็นต้น มาสถิตอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ และกางกั้นอยู่เบื้องบนอากาศ และเป็นกำแพงอันล้อมรอบ

    ตอนที่ ๕ เป็นบทอานิสงส์และเงื่อนไขของพระคาถาชินบัญชร สำหรับผู้ร่ำเรียนท่องบ่นมนต์นี้ ซึ่งมีสามส่วนคือ

    ส่วนที่ ๑ เป็นส่วนอานิสงส์หรือผลที่จะได้รับ ซึ่งขออานิสงส์ให้อุปัทวันตรายทั้งหลายภายนอกและอุปัทวันตรายทั้งหลายภายในอันเกิดแต่เหตุต่าง ๆ มีลมกำเริบและดีซ่านเป็นต้นให้ดับสูญไป

    ส่วนที่ ๒ เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันว่า “เมื่อข้าพเจ้าประกอบการงานของตนอยู่ในขอบเขตในพระบัญชรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ขอได้โปรดคุ้มครองรักษาข้าพเจ้า”

    ส่วนที่ ๓ เป็นเงื่อนไขและคำมั่นสัญญาในอนาคตว่า “ด้วยประการฉะนี้เป็นอันข้าพเจ้าได้คุ้มครองไว้ด้วยดีและด้วยอานุภาพของสมเด็จพระชินสีห์สัมพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อุปัทวะทั้งปวง ด้วย อานุภาพของพระธรรมขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่หมู่อริศัตรูทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อันตรายทั้งปวง ข้าพเจ้าผู้อันอานุภาพแห่งพระสัทธรรมคุ้มครองรักษาแล้วจะประพฤติตนอยู่ในขอบเขตพระบัญชรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไปเทอญ”

    มาภายหลังได้พิเคราะห์ดูแล้วเข้าใจว่าบทพระคาถาชินบัญชรนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะเหตุสองสถาน

    สถานแรก เป็นความศักดิ์สิทธิ์ด้วยลักษณะของบทมนต์ เช่นเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของมนต์คาถาที่มีมาในทุกศาสนา ทุกลัทธิความเชื่อ ซึ่งเรียกว่า “วิชชามัยฤทธิ์” คือบันดาลให้เกิดความสำเร็จเพราะวิชาหรือมนต์วิธี และที่ศักดิ์สิทธิ์มากก็เพราะว่าลักษณะของบทมนต์นั้นเป็นการอัญเชิญบุญญาบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ของพระธรรม ของพระอริยสาวกทั้งหลาย ตลอดจนพระธรรมทั้งปวงอันพระตถาคตเจ้าได้แสดงแล้ว จึงนับว่าเป็นบทมนต์ที่เป็นธรรมขาวหรือที่เรียกว่าเศวตเวทย์ ไม่ใช่ไสยเวทย์ซึ่งเป็นธรรมดำหรือคุณไสย

    สถานที่สอง เป็นบทที่มีลักษณะการสาธยายมนต์โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา และจิตที่ไกลจากกิเลสาสวะโดยลำดับแล้ว คำว่าชินบัญชรแปลว่าหน้าต่างของพระพุทธเจ้า หน้าต่างของพระพุทธเจ้าคืออะไร ตรงนี้วินิจฉัยโดยนัยยะความที่มีมาแต่โบราณว่า

    “อันดวงตาคือหน้าต่างของดวงจิต เมื่อใจคิดงามงดตาสดใส
    คิดชั่วช้าตาก็บอกออกความนัย รักษาใจให้เลิศไว้เถิดเอย”

    บัญชรของพระพุทธเจ้าก็คือดวงตาของพระพุทธเจ้า นั่นคือดวงตาที่เห็นธรรมแต่อีกนัยหนึ่งก็อาจจะหมายความได้ว่าเป็นหน้าต่างที่จะมองเห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งก็คือการมองเห็นธรรมดังพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ดังนั้นบทพระคาถาชินบัญชรที่แม้จะมีเนื้อความยืดยาวแต่รวมความก็คือการให้มีความศรัทธา ความเพียร มีสติ มีสมาธิ และมีปัญญารู้แจ้ง ซึ่งพระธรรมอันประเสริฐที่พระตถาคตเจ้าได้แสดงแล้ว คือมีดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง

    การที่จะมีดวงตาเห็นธรรมว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าเห็นพระไตรลักษณ์แล้วจะทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตได้นั้นก็โดยอาศัยการปฏิบัติอบรมจิตในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา

    ด้วยเหตุนี้พระคาถาชินบัญชรก็คือบทพระคาถาที่แสดงเป้าหมายที่สุดแห่งคำสอนของพระตถาคตเจ้า คือความหลุดพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตโดยการฝึกฝนอบรมจิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง"
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    นะ โม พุท ธา ยะ คาถาพระเจ้า 5พระองค์
    นะ โม พุท ธา ยะ ก็คือ พระนามย่อของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่อุบัติขึ้นในภัทรกัปนี้ ซึ่งอักษรแต่ละตัวก็คือตัวแทนของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 กล่าวคือ

    ✅นะโมพุทธายะ แปลเป็นใจความว่า ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าซึ่งก็หมายถึงพระพุทธเจ้า 5พระองค์
    เมื่อกล่าวคำว่า นะโน พุทธายะ หนึ่งจบจึงเท่ากับว่าได้กล่าวคำบูชาพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ในคราวเดียวกัน ซึ่งถือเป็นอุดมมงคลสูงสุดแก่ผู้กล่าว

    ✅ความหมายของ “นะ โม พุท ธา ยะ” .....
    #นะ หมายถึง พระกุกกุสันโธ ใช้เขียนแทน ธาตุน้ำ หรือ อาโปธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๒ ใช้ในการปลุกเสกให้เกิดพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม

    #โม หมายถึง พระโกนาคม ใช้เขียนแทน ธาตุดิน หรือ ปฐวีธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๒๑ ใช้ในการปลุกเสกให้เกิดพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี

    #พุท หมายถึง พระกัสสปะ ใช้เขียนแทน ธาตุไฟ หรือ เตโชธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๖ ใช้ในการขับไล่สิ่งอัปมงคล หรือสะเดาะเคราะห์

    #ธา หมายถึง พระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ใช้เขียนแทน ธาตุลม หรือ วาโยธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๗ ใช้ด้านการล่องหน กำบังตน

    #ยะ หมายถึง พระศรีอารยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หลัง พ.ศ.๕๐๐๐) ใช้เขียนแทน อากาศธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๐ เมื่อรวมกำลังธาตุทั้ง ๕ ก็จะเป็นคุณพระพุทธเจ้า ๕๖

    ✅พระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง ส่วนพระแก้วขององค์ปฐมนั้นจะเป็นองค์สีขาว

    #พระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์ในภัทรกัปนี้

    1. "พระกกุสันธพุทธเจ้า"
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
    #พระแก้วประจำองค์:พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา

    2. "พระโกนาคมพุทธเจ้า"
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    #พระแก้วประจำองค์:พระแก้วเหลืองหน้าตักกว้าง 15 วา

    3. "พระกัสสปพุทธเจ้า"
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    #พระแก้วประจำองค์:พระแก้วน้ำเงินหน้าตักกว้าง 10 วา

    4. "พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าหลังได้รับพุทธพยากรณ์อีก 24 พระองค์ เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ #พระแก้วประจำองค์ :พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา

    5. "พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า"
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์ เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
    #พระแก้วประจำองค์: พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมหาจักรพรรดิ หน้าตักกว้าง 20 วา

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง

    ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์ ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึง และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรีะอริยเมตตรัยพุทธเจ้า พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกตนั้นเอง ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    #ถ้าหากญาติธรรมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
    #พระพุทธศาสนาอย่าลืม กดแชร์ เผยแพร่ธรรมทานร่วมกัน
    FB_IMG_1607821914950.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ศิษย์น้อมกราบอาลัย สรงน้ำสรีระสังขาร พระพุทไธศวรรย์วรคุณ ( หลวงปู่หวล ภูริภทฺโท ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

    ซึ่งได้มรณภาพอย่างสงบ เมื่อศุกร์ วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี สิริอายุ ๙๑ ปี พรรษา ๗๐

    โดย จะเปิดให้ศิษยานุศิษย์ ร่วมสรงน้ำสรีระสังขาร ถึง เวลา ๑๖.๐๐ น.

    เวลา ๑๗.๐๐ น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ

    เวลา ๑๙.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา และสวดพระอภิธรรม / กำหนดสวด ๑๐๐ คืน

    ติดต่อร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมได้ที่ ศาลาปฎิบัติธรรมพระพุทไธศวรรย์วรคุณ โทร. 086-554-4516
    FB_IMG_1608089361872.jpg FB_IMG_1608089364086.jpg FB_IMG_1608089366155.jpg FB_IMG_1608089368187.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    1608607236109.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ประกาศ แจ้งข่าวการมรณภาพ
    เจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม
    (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
    เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล/ประธานกรรมการคณะสงฆ์ธรรมยุตในประเทศแคนาดา
    ได้ถึงแก่การมรณภาพ ในวันอังคาร ที่ ๒๒ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๒ น. สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๕ วัน ๘๐ พรรษา
    วัดธรรมมงคลและคณะแพทย์ผู้ดูแลรักษา จึงขอประกาศแจ้งข่าวการมรณภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ให้ได้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งนี้ กำหนดการอื่นๆ ทางวัดจักแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป FB_IMG_1608610130132.jpg FB_IMG_1608610147877.jpg
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านอาจารย์ศุภกฤษณ์ ชัยวงศ์ เล่าเรื่องมาแล้วครับ
    เรื่อง สะเมิง สามเมือง เสาเมือง
    FB_IMG_1608971820099.jpg FB_IMG_1608971827393.jpg FB_IMG_1608971823249.jpg FB_IMG_1608971829920.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...