ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านอาจารย์ฯ เล่าเรื่อง น้ำชาหลวงพ่อดู่
    FB_IMG_1586874978768.jpg
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1587087002224.jpg
    เก็บไว้เตือนตัวเองบ่อยๆ
    จากนี้ไป โลก และวิถีของมนุษย์ จะไม่เหมือนเดิม
    ค่อยๆตามดูกันไป

    และถึงยุคที่เราต้องพัฒนาจิตใจของตนเอง ให้ถึงที่สุด

    อย่าตั้งตนอยู่ในความประมาท
    ยึดนิพพานเป็นอารมณ์
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ,,........................................

    ในส่วนตัวของพวกเรานั้น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ทุกคนได้เห็นความเป็นจริงหลายอย่างด้วยกัน คือ

    ๑. ต่อให้ระบบ iBanking ดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องมีเงินสดติดตัวไว้บ้าง และในขณะเดียวกันทรัพย์สินบางอย่าง เช่น ทองคำแท่งหรือทองคํารูปพรรณ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้โดยเร็ว ก็ควรที่จะมีเก็บออมไว้บ้าง

    ๒. หน้าที่การงานของเรา ซึ่งหลายคนไม่เห็นความสำคัญ เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น โดยอ้างว่าเพื่อหาประสบการณ์ ทั้งที่จริงแล้วก็คือขาดความอดทน เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา บุคคลที่ยอมทุ่มเทให้กับที่ทำงาน ก็จะได้รับการคัดเลือกให้คงอยู่ ขณะที่บุคคลประเภทที่จับจด ก็จะโดนระบบคัดออกไปเองเพื่อตัดรายจ่าย หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในครั้งนี้ คงจะทำให้หลายท่านได้คิดว่า เราควรที่จะปฏิบัติตนอย่างไรในการทำงาน

    ๓. "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" คำกล่าวของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ยังเป็นความจริงเสมอ มีเงินแต่ซื้ออาหารไม่ได้ มีเงินแต่ไม่สามารถที่จะหาหมอมารักษาตนเองได้ จนกระทั่งบางประเทศ ต้องเอาเงินมาโปรยทิ้ง เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าจะเก็บเงินไว้ทำอะไร ในเมื่อตนเองต้องตายอยู่แล้ว เป็นบทเรียนอย่างชัดเจนที่สุดว่า ความมั่นคงทางอาหาร เป็นความมั่นคงของตนเองและครอบครัวอย่างแท้จริง

    ๔. ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งแบ่งพื้นที่สมมติว่า ๑๐ ไร่ ออกเป็น ๑ : ๓ : ๓ : ๓ นั้นสามารถช่วยให้เราอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์

    ๑ ส่วน สำหรับสร้างบ้านเรือนและปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ๓ ส่วน ขุดบ่อน้ำซึ่งสามารถเลี้ยงปลาได้ ใช้น้ำในการเกษตรได้ เลี้ยงไก่บนบ่อปลาได้

    ๓ ส่วนต่อมา ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของเรา บนคันนาก็สามารถแซมไม้ใช้สอย เอาไว้สำหรับสร้างบ้านหรือสำหรับใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง

    ๓ ส่วนสุดท้าย ปลูกพืชผลไม้แบบสวนสมรม คือมีหลายอย่าง สามารถหมุนเวียนเปลี่ยนกันออกสู่ตลาดได้ เป็นการประกันความเสี่ยงว่า ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งราคาตก อย่างอื่นก็จะขายได้ราคา

    รอบบ้านและพื้นที่ปลูกผักสวนครัวนั้น ก็ให้ปลูกพวกมะละกอ กล้วย ซึ่งมีระยะการให้ผลยาวนานกว่าพืชผักสวนครัวอื่น ๆ ทำให้ใช้สับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นพืชอาหาร หรือว่าสามารถนำออกสู่ตลาดได้โดยที่ทุกอย่างไม่ต้องไปประดังกันทีเดียวทำให้ราคาตก

    ๕. สุขภาพอนามัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โอกาสที่จะติดเชื้อก็น้อยลง หลายท่านทุ่มเทกับการงานทั้งชีวิต โดยไม่ใส่ใจกับสุขภาพของตน แล้วก็ต้องเอาเงินเก็บทั้งหมด ไปใช้ในการรักษาร่างกายที่ชำรุดทรุดโทรมทีหลัง ซึ่งถ้าไม่มีการประกันสุขภาพไว้ ก็อาจจะใช้จ่ายเกินเงินที่เก็บไว้อีกต่างหาก เราจึงควรที่จะบริหารร่างกาย ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เป็นเครื่องประกันว่า เราจะไม่ต้องใช้เงินเก็บของเราไปในการซ่อมสุขภาพจนหมด

    ๖. สุขภาพจิตที่ดีช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และช่วยให้คนรอบข้างมีความมั่นคงทางจิตใจไปด้วย คนที่มีสุขภาพจิตดีจากการฝึกฝนตนเอง ตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีสติในทุกเมื่อ มีความมั่นคงทางจิตใจที่ผู้อื่นต้องอาศัยเป็นที่พึ่งพา มีปัญญาหาช่องทางให้พ้นจากวิกฤตการณ์ได้เร็วกว่าคนอื่นเขา

    ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่คนจำนวนมากในยุคก่อนไวรัส covid - ๑๙ ระบาด เห็นเป็นเรื่องงมงายเหลวไหล เป็นเรื่องของคนแก่ เป็นเรื่องของพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี มาในสถานการณ์เช่นนี้จะเห็นได้ชัดว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ถ้ารู้จักนำมาประยุกต์ใช้ สามารถช่วยเราและคนรอบข้างได้ในทุกสถานการณ์

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นข้อคิดบางส่วนที่ได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสใช้บทเรียนเหล่านี้ เตรียมตัวในการรับสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ในคราวหน้า โดยเฉพาะความมีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้นำ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จะช่วยให้ท่านทั้งหลายมีโอกาสหลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตได้เร็วกว่าผู้อื่นเขา

    เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า "กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"

    ขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองป้องกัน ให้ทุกท่านผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว และนำเอาประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของตน เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้แก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจของเรา ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เป็นที่ไปในเบื้องหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com


    ขอขอบคุณภาพถ่าย สมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิต เนื้อทองคำ จากคุณ ภัทร์ษกรณ์ จิระประเสริฐสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2020
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    สาธุ สาธุ สาธุ
    FB_IMG_1587132809791.jpg
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อนๆ ท่านพิสูจน์ให้แล้วว่าทำได้ ถ้าเอาจริง

    หลวงพ่อปานฝึกสมาธิด้วยการสะเดาะกุญแจ
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    คาถาสะเดาะกุญแจ
    นะ มะ พะ ธะ (เวลาท่องให้ท่องถอยหลัง " ธะ พะ มะ นะ")
    เป็นคาถาที่หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ มอบให้หลวงพ่อปาน
    (สมัยหนุ่มก่อนที่ท่านจะอุปสมบท) โดยหลวงพ่อสุ่นได้บอกว่า
    "ถ้าเจ้าเป่ากุญแจนี่หลุดได้เมื่อไหรมาบอกพ่อ ต่อแต่นั้นพ่อจะให้
    ของดีทุกอย่างที่พ่อมีอยู่"

    ในตอนนั้นหลวพ่อปานท่านก็รับคำ ขณะนั้นเมื่อหลวงพ่อสุ่น
    จัดสถานที่ให้หลวงพ่อปานเข้าพักแล้วท่านก็ท่องขานนาค
    แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์พร้อมเป่ากุญแจไปด้วย
    ท่านบอกว่า ท่านนั่งเป่ากุญแจมา ๑ เดือน กุญแจกด
    ไว้เป่าเดือนหนึ่งมันไม่ออก กุญแจลอกหมดสีขาวจ๋อง
    สนิมเหล็กมันหมดไป เพราะถูกเหงื่อมือบดสี

    แต่ทว่าวันหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร พอทำใจสบายๆ
    นอนเผลอๆ ลุกขึ้นมาพอจับกุญแจเป่ามันก็หลุด ผลัวะ
    มันหลุดง่าย เป่ามาตั้งเดือนไม่หลุด ต่อแต่นั้นไป
    เป่ากุญแจมาดอกไหนมันก็หลุด หนักๆเข้า ไม่ต้องเป่า
    เอามือแตะก็หลุด ผลที่สุดไปซื้อกุญแจมา ๓๐ - ๔๐ ดอก
    เอาใส่ราวเอามือกดให้ติด เอามือแตะราวเท่านั้น
    กุญแจหลุดออกหมด แม้แต่กุญแจจีนก็หลุด เป็นอันว่า
    เรื่องกุญแจท่านทำได้ นี่เป็นวิธีการของหลวงพ่อสุ่น
    สอนให้หลวงพ่อปานฝึกสมาธิ

    จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
    FB_IMG_1587168374343.jpg
     
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1587299614708.jpg
    เมื่อพระสงฆ์องคเจ้า ฉันไม่หมด ไม่ทั่วถึง ก็มีปัญหา ถามขึ้นมาว่า
    .
    เมื่อพระท่านไม่ฉันแล้ว เราที่เอามาถวายจะได้บญหรือไม่ ?
    .
    อันนี้ได้บุญร้อยเปอร์เซนต์ โยมบริจาคมา นับตั้งแต่เวลาที่โยมตั้งใจมาแล้ว บุญก็เต็มเปี่ยมมาแล้ว
    .
    หมายความถึงว่าเมื่อก้าวมากี่ก้าว ๆ นั่นแหละคือบุญสำเร็จมาแล้ว
    .
    เหมือนกันกับ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ลังกาทวีปหรือเรียกว่า ประเทศลังกา ต้องการจะไปไหว้พระมหาเจดีย์ ก็ได้เดินทางผ่านไป จนกระทั่งไปเห็นดอกบวบขม
    .
    ดอกบวบขมนั้น มันสีเหลืองอ่อน สวยมาก นางจึงได้แวะไปเก็บดอกบวบขมนั้น เพื่อที่จะได้นำไปบูชาพระมหาเจดีย์
    .
    แต่ที่เกิดของดอกบวบขมมันรก นางจึงได้ไปเหยียบงูจงอาง กัดทีเดียวก็ตาย อยู่ตรงนั้นเอง
    .
    แล้วผู้หญิงนั้นก็ได้ไปเกิดในชั้นสวรรค์ ซึ่งเป็นที่มีความสุขสบาย แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่านางยังไม่ได้เอาดอกบวบขมนั้นไปบูชาถึงพระเจดีย์ พระมหาเจดีย์ บุญก็เกิดขึ้นกับนางแล้ว
    .
    เราก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะถวายอาหารแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย พระสงฆ์ก็ฉันไม่ได้ทั่วถึง แต่การบริจาคนั้นสำเร็จอยู่ที่ตรง "ใจ"

    ...............................................................
    ขอนอบน้อมแด่ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ผู้เลิศคุณ
    (ไม่คบคนพาลคบบัณฑิตเป็นมงคล)
     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    รำลึกถึงครูบาอาจารย์ครับ
    วันนั้น ผมก็อยู่ในงานนี้ด้วย แต่คนเยอะมาก ต้องไปอยู่ในพระอุโบสถ กับทีมอาจารย์ศุภรัตน์ ได้พบ ครูบาบุญชุ่ม ในนี้ด้วย

    น้อมรำลึก
    20 เมษายน 2534
    วันพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    .
    "ถ้าข้าตายแล้วอย่าเก็บศพไว้นาน เจ็ดวันเผาเลย ไม่เผาก็โยนทิ้ง เดี๋ยวจะกลายเป็นหากินกับศพ"
    ลูกศิษย์ได้แย้งท่านว่า "กลัววัดจะร้าง"
    .
    หลวงปู่ท่านตอบว่า "เรื่องเผาไม่เผา ต้องแล้วแต่คำสั่ง ดูอย่างหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านสั่งไม่ให้เผา เพราะกลัวพระเณรจะอดอยาก แต่สำหรับข้าให้เผา เวลาจะเผาให้เผายืน ข้าจะได้ไปไหนได้"
    .
    ลูกศิษย์จึงถามท่านว่า "หลวงปู่ไม่ไปนิพพานหรือ"
    .
    ท่านตอบว่า "จะไปได้อย่างไร คนนี้ก็เรียก คนนั้นก็ร้อง ข้าไปแค่หัวตะพานก็พอ ดูอย่างหลวงปู่ทวดซิ มีคนเรียกร้องท่านมากมาย บารมีท่านเต็มท้องฟ้า อย่างข้าเอง คนไหนคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา คนไหนไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา เพราะในวันหนึ่งๆ ข้าต้องอธิษฐานไปให้หมู่คณะทุกวันไม่เคยขาด วันละ ๓ ครั้ง เขาจะได้ไม่เป็นอันตรายทั้งเช้ามืด ตอนเย็น ตอนกลางคืน ก่อนนอน เพื่อเป็นการช่วยเหลือหมู่คณะ"
    .
    หลวงปู่ท่านได้ย้ำด้วยความเมตตาต่อไปอีกว่า "คิดถึงพระครั้งหนึ่ง บารมีพระมาถึงเราไปกลับ ๗ เที่ยว รวมแล้ว ๑๔ ครั้ง ได้กำไรดีไหมล่ะ นี่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์"
    .
    หลวงปู่ท่านว่า
    "ถ้าเราคิดถึงพระได้เหมือนกับคิดถึงแฟนเมื่อไหร่ แสดงว่าจะดีแล้ว"
    .
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ สัมมาสัมพุทโธ อนาคตกาเล

    *********************************

    หลวงปู่ดู่ได้ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิของท่าน เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกาของวันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ สิริอายุรวมได้ ๘๕ ปี ๘ เดือน อายุพรรษา ๖๕ พรรษา
    .
    สังขารธรรมของท่านได้ตั้งบำเพ็ญกุศลโดยมีเจ้าภาพสวดอภิธรรมเรื่อยมาทุกวันมิได้ขาด ตลอดระยะเวลา ๔๕๙ วัน จนกระทั่งได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔
    .
    สำหรับสรีระสังขารของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดาสำหรับคนทั่วๆ ไป ที่เมื่อหมดลมหายใจแล้วจะยังคงมีเนื้อหนังที่นิ่มหรือยืดหยุ่น
    .
    การสังเกตดูสังขารของหลวงปู่หลังมรณภาพ ได้กระทำอย่างเป็นทางการประมาณ ๒ ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อท่านมรณภาพไปได้ ๔๘ ชั่วโมง ซึ่งครั้งนั้นคุณหมอที่พระนครศรีอยุธยาเป็นผู้มาตรวจดู และเอ่ยว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่คนที่เสียชีวิตมานานถึง ๔๘ ชั่วโมง จะสามารถงอหรือพับข้อพับต่างๆ ได้ อีกทั้งไม่มีอาการที่เลือดตกหรือไปคั่งที่ด้านล่าง ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสำหรับคนทั่วไปจริงๆ
    .
    การสังเกตสังขารของหลวงปู่ครั้งที่ ๒ ได้กระทำก่อนวันพระราชทานเพลิงศพไม่นาน ซึ่งนั่นหมายความว่าหลวงปู่ละสังขารมาแล้วเกือบ ๑ ปี แต่ปรากฏว่าเนื้อที่บริเวณน่องของท่านก็ยังมีความนิ่มและยืดหยุ่นอยู่ จึงยังความประหลาดใจพร้อมๆ กับความปลื้มปีติแก่ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
    .
    บันทึกเล่าเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี้ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ทันสังขารของหลวงปู่จะได้พอกพูนศรัทธาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
    FB_IMG_1587345564904.jpg FB_IMG_1587345560120.jpg FB_IMG_1587345562557.jpg FB_IMG_1587345554653.jpg FB_IMG_1587345557421.jpg FB_IMG_1587345547578.jpg FB_IMG_1587345550760.jpg FB_IMG_1587345545097.jpg
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พิธีพุทธาภิเษก และ การห้อยพระที่ถูกต้อง โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    #วิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ และวัตถุมงคลต่างๆ ถ้าพระที่เข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักขุญาน โดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี

    #แต่หากว่าถ้าทำเองไม่นานมันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเค้าได้ วิธีทำฉันก็บวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอดในเมื่ออาราธนาก็เห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วมาทำกัน เมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว เต็มแล้ว ฉันก็เลิก #จงจำไว้นะการที่เราจะเสกพระเสกยันต์อะไรต่ออะไรนี่นะ #ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราล่ะก็ #ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด

    #การเสกพระเสกเจ้า หรือผ้ายันต์เสก อะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียวสองสามนาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้

    #แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฏของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆ ให้เลวน้อยลงไปนึดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฏของอำนาจ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหมและเทวดาทั้งหลาย การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำจะตามไปคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

    #พระของฉัน หรือของๆที่ฉันออกแจกก็ตาม ฉันไม่เคยบอกว่าของๆฉันเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่รับของๆฉัน แล้วจงทราบว่า ฉันไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรีเพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฏของกรรม คนที่เหนียวๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้ว กรรมใดที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้คนหนังเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน

    #ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมาพวกเรามักเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการยังอ่อนอยู่ ฉะนั้น จึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบเทียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกว่า พระธรรมวินัย

    #นี่คือความเป็นจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำต้องการอย่างนั้น หมายความว่าคนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรที่จะทำตามพระแนะนำ ให้ปฏิบัตดี ปฏิบัติชอบ แต่พวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

    #พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้ ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลังท่านทำมาด้วย วิธีที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน

    #พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อขาย สำหรับพุทธศาสตร์ เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตพึงจะเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้
    FB_IMG_1587494910066.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    วันที่ 22 เมษายน 2563 น้อมระลึก 107 ปี ชาตกาลครูบาวงศ์ ผู้เป็นสหมิกธรรมมิก หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่บุดดา ...ครับ

    FB_IMG_1587548962877.jpg
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านอาจารย์ศุภกฤษณชัยวงค์ (อ.ศุภรัตน์) แสงจันทร์
    เล่าเรื่องมาแล้วครับ (22 เม.ย.2563)
    เรื่อง บุญไม่สูญเปล่า

     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หนึ่งในบุคคลในตำนาน
    ฆราวาสจอมขมังเวทย์

    "ตากัน"จอมอาคมผู้ที่เสด็จเตี่ยไม่สามารถเอาชัยได้

    อ่าวนาวิกโยธิน เป็นอ่าวเปิดสู่อ่าวไทยทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศเหนือติดกับทิวเขาหาดสูงทิศตะวันออกเป็นที่ราบเรียกว่า"ทุ่งไก่เตี้ย" กับ " หนองไก่เตี้ย " ซึ่งมีน้ำตลอดปี ทิศใต้ติดกับทิวเขาปู่เจ้า (เขาคลองสัตหีบ) ชายหาดบริเวณก้นอ่าว เป็นหาดทรายสะอาดค่อยๆลาดลง ก้นอ่าวมีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ชื่อเกาะไก่เตี้ย (เดิมชื่อเกาะหลักไก่) นอกจากจะชื่ออ่าวนาวิกโยธินแล้วยังถูกเรียกชื่ออื่นอีก เช่น อ่าวเตยงามบ้าง อ่าวทุ่งไก่เตี้ยบ้าง อ่าวตากันบ้าง.

    ตั้งแต่ในอดีตจนมาเมื่อประมาณรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ สัตหีบในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชายทะเล ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา หาของป่า และประมง การคมนาคมจะใช้ทางน้ำโดยเรือเมล์ หรือ เรือใบ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางบกมีแต่ทางเกวียน ถนนไปชลบุรียังไม่มี ภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังเป็นป่ารกทึบ การเดินทางระหว่างเมืองจึงใช้เรือเป็นหลัก

    สมัยอดีตในหมู่บ้านสัตหีบ มีผู้ที่คนนับถือมากอยู่คนหนึ่ง เป็นหญิงสูงอายุ ชาวบ้านเรียกว่า ยายแจง เป็นผู้มีฐานะดี แกมีที่ดิน ไร่ และนามากมาย แกมีบ้าน หลังใหญ่อยู่บริเวณสัตหีบเก่า ถ้าขึ้นจากเรือที่ท่าสัตหีบจะมองเห็นได้ชัด ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินจะมาหาคุณยายแจง ขอที่ดินทำมาหากิน ซึ่งแกก็จะอนุญาตให้อยู่ทำกินตลอดชีวิตจนชั่วลูกชั่วหลาน แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเลิกทำกินให้ส่งคืนที่ดินแก่คุณยายแจง ห้ามนำที่ดินไปขายนี่คือยายแจง.

    ที่ดินของคุณยายแจง มีหลายแห่ง(ในอดีต) เช่นที่ดินที่ตลาดสัตหีบ ผืนนาบริเวณหนองตะเคียน และโรงเรียนสิงห์สมุทร รวมถึงบริเวณเขาแหลมเทียน อันเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือสัตหีบในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่ใคร ๆ เรียกขานพระนามว่า"เสด็จเตี่ย" ได้ฝึกภาคทะเลกับกองเรือและจอดเรือพักที่อ่าวสัตหีบ ทรงเห็นว่าอ่าวสัตหีบ สถานที่นี้เหมาะเป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือ เพราะมีเกาะใหญ่น้อยหลายเกาะ ช่วยกำบังคลื่นลมในฤดูมรสุมได้เป็นอย่างดี.

    เมื่อเสด็จขึ้นบกก็ได้ไปพบกับคุณยายแจง หลังจากพบปะสนทนากันอย่างถูกอัธยาศัยกันดี

    เสด็จเตี่ยทรงได้บอกถึงพระประสงค์ทรงมีความต้องการใช้บริเวณเขาแหลมเทียนเป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือ ซึ่งคุณยายแจง ก็มีความยินดีที่จะถวายให้ ตามที่เสด็จเตี่ยมีพระประสงค์ เนื่องจากเห็นการณ์ไกลว่าเมื่อมีทหารเรือตั้งอยู่ที่สัตหีบอยู่แล้ว ลูกหลานชาวสัตหีบเมื่อถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือ จะได้ ไม่ต้องไปอยู่ไกลบ้าน

    ในขณะนั้นพื้นที่สัตหีบยังคงสภาพเป็นป่าส่วนใหญ่ ในอดีตมีสัตว์ป่าชุกชุม ทั้งชนิดไม่ดุร้าย เช่น ไก่ป่า เก้ง กวาง และสัตว์ ดุร้าย เช่น เสือ และหมี มีอยู่มาก ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่ไม่ห่างไกลหมู่บ้านสัตหีบมากนักคงมีเพียงครอบครัวเดียวที่อยู่ไกลข้ามเขาแหลมเทียน อยู่ลึก ถึงอ่าวทุ่งไก่เตี้ย ได้แก่ ครอบครัวของ นายกัน สุขรุ่ง (ลุงกัน ตากัน หรือปู่กัน) ที่สัตหีบ

    นายกันคนนี้แกเคยบวชเรียน ศึกษาวิชามามากมาย เคยแม้แต่ดั้นด้นไปขอเป็นลูกศิษย์ศึกษาวิชากับ หลวงพ่อศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า อีกด้วย ครั้งเมื่อแกมีอายุมากขึ้นแกจึงมาพักอาศัยอยู่ที่แห่งนี้

    มีหลากหลายตำนาจเล่าขานถึงเรื่อง กรมหลวงชุมพร ซึ่งทรงมีความชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาคาถาอาคมต่างๆ ทรงเป็นเชื้อพระวงค์ที่ทรงศึกษาอย่างลึกซึ้งมากการพบกันของ กรมหลวงชุมพร พระบิดาแห่งทัพเรือผู้ซึ่งทรงชื่นชอบกับเรื่องเช่นนี้กับ นายกัน ผู้ร้อนวิชาอาคม จึงมีเรื่องราวเล่าขานกันหลากหลาย

    ซึ่ง คิดว่าหลายท่านต้องเคยได้อ่านกันมาบ้างจากที่แหล่งอื่นกันจึงไม่ขอเล่ารายละเอียดซ้ำแต่จะเล่าในส่วนที่นอกเหนือจากแหล่งอื่นแบบย่นย่อเพื่อให้เข้าใจง่าย.

    สำหรับเรื่องราวของจอมอาคมอย่างนายกัน หรือ “นายกัน สัตหีบ” ผู้นี้มีส่วนสำคัญในการช่วยทางการสำรวจพื้นที่สำหรับสร้างฐานทัพเรือ และ หลวงพ่ออี๋ เกจิตำนานแห่งวัดสัตหีบ ชลบุรี ผมจะนำมาเล่า

    หลวงพ่ออี๋ เป็นพระสงฆ์ที่มีผู้คนต่างเคารพศัทธามากมายแม้ในยุคปัจจุบัน หลวงพ่ออี๋ มีท่านมีฐานะเป็นศิษย์ผู้น้องของนายกัน หรือตากันอีกด้วยเพราะอายุของตากัน มีอายุมากกว่า หลวงพ่ออี๋ และทั้งคู่มีความสนิทกันอย่างมาก

    หากท่านได้อ่านเรื่องราวของพระเกจิอาจารย์ หลากหลายองค์จะมีความผูกพันกับเสด็จเตี่ย หรือกรมหลวงชุมพรฯ มีอยู่หลายองค์อย่างที่บอกเพราะเนื่องจากเชื้อพระวงค์พระองค์นี้ทรงมีความชื่นชอบนิยมที่จะศึกษาวิชาคาถาอาคมจากหลากหลายแหล่ง

    พระสงฆ์องค์หนึ่งที่ใกล้ชิดกับเสด็จเตี่ยมากองค์หนึ่งก็คือ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ นี่นั่นเอง เพราะท่านมักเสด็จมาประทับ เสวย บรรทม ที่วัดสัตหีบบ่อยครั้งหลายเวลา เพื่อตรวจดูสถานที่ตั้งกองทัพเรือ อย่างทรงสนพระทัยในการนี้.

    ในพระประวัติหลากหลายแหล่งมักจะไม่ค่อยพบเรื่องราวความผูกพันทางไสยเวทระหว่างเสด็จเตี่ยกับหลวงพ่ออี๋ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อใกล้ชิดกับพระองค์มาก สำหรับ นายกัน คนนี้ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นจอมอาคม และหลวงพ่ออี๋ ก็เป็นเกจิจอมอาคม ทั้งเสด็จในกรมพระองค์ก็สนพระทัยในเรื่องราวเกี่ยวกับอาคม มีการฝึกและแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดอาคมต่อกัน ตามแบบคนเล่นของในยุคนั้น (ซึ่งในยุคอดีตนั้นเขาศึกษากันอย่างจริงจัง)

    ขอเล่ากล่าวถึงนายกัน ผู้นี้สักหน่อยครับ.
    นายกันผู้นี้ มีชื่อโด่งดังมากจนถึงกับเอาชื่อเขาตั้งเป็นชื่ออ่าวบริเวณสัตหีบว่า “อ่าวตากัน” แกมีอายุแก่กว่าหลวงพ่ออี๋ เคยบวชเรียนมาศึกษาวิชาคาถาอาคมมากมาย ขณะบวชเรียนแกร้อนวิชาจึงลาสิกขามาปลูกกระต๊อบอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง (อ่าวตากัน) และด้วยแกเป็นคนมีวิชาและร้อนวิชาผลก็คือแกมักลองวิชาจนกลายเป็นว่าแกไปสร้างความเดือดร้อน เกิดเป็นความกลัวเกรงแก่นักเดินเรือทั่วไปที่จะผ่านละแวกแถวนั้นบ่อยครั้ง.

    นายกัน หรือ ตากัน แกมักจะใช้วิชาอาคม “สะกดเรือ” ใหญ่ทุกลำที่แล่นเข้ามาในรัศมีด้วยพลังจิต ไม่ให้เรือแล่นต่อไป เครื่องหยุดเดิน แล้วตากันจะใช้ให้พวกลูกศิษย์ นำเรือเข้าไปเทียบและขอค่าผ่านทาง ผู้ใดไม่ให้ ก็จะแสดงปาฏิหาริย์ไม่ให้เรือแล่นต่อไป ถ้าผู้ใดให้ ก็จะทำให้เครื่องติด เดินทางไปได้อย่างอัศจรรย์ เป็นอยู่เช่นนี้จนชาวเรือต่างก็หวาดกลัวกันมากเป็นแบบนี้จนเรือต่างๆหากไม่จำเป็นจะไม่ผ่านมาทางนี้.

    และแล้ววันหนึ่งมีเรือลำใหญ่ผ่านมาเรือลำนี้ดูแปลกตากว่าลำไหน ตากัน แกก็เริ่มสำแดงเดชแต่ผิดที่ เพราะครั้งนี้ดันไปสะกดเอาเรือกองทัพเรือเข้า เรื่องจึงถึงกรมหลวงชุมพร หรือเสด็จเตี่ย จึงเกิดเป็น “ศึกอาคม ระหว่าง เสด็จเตี่ย กับ ตากัน”ขึ้น

    เรื่องราวความกำแหง โหด ป่าเถื่อน ของตากัน เข้าถึงพระกรรณของเสด็จเตี่ย ทรงกริ้วอย่างมาก ถึงกับเสด็จมาด้วยพระองค์เอง การปะทะลองวิชากันด้วยอาคมจึงเกิดขึ้น!

    วันนั้น ตากัน แกนั่งอยู่ในกระท่อมของแกอยู่ พลันก็ปรากฏมีฝูงผึ้งใหญ่ บินเข้าจะต่อยตีตากัน แต่ตากันก็เอาผ้าขาวม้าโบกพัด จนผึ้งตกลงมา กลายเป็นใบไม้ ตากันก็รู้ทันทีว่า เจอคนดีเข้าแล้ว

    ตากัน แกจึงร่ายวิชาคาถาที่แกมี คราวนี้แกจึงปล่อยเสืออาคมเข้าใส่ผู้ที่ส่งผึ้งมา ครั้งนั้นเสด็จเตี่ยทรงเข้าสมาธิปล่อยควายธนูออกมา ต่างสู้กันฝุ่นตลบไม่แพ้ชนะ ผลสุดท้าย ตากันโยนผ้าขาวม้าสงบศึกหยุดลง แล้วแกก็ ขอเป็นพันธมิตรกับกรมหลวงชุมพร และเชื้อเชิญให้ทรงเสด็จที่แกอาศัยอยู่ เสด็จในกรมจึงนำเรือเสด็จไปพบปะสนทนา และกลับกลายเป็นพระสหายต่างวัยกันในเวลาต่อมา ..

    ครั้งหนึ่งตากัน แกดันคุยโอ้อวดว่า ตนนั้นเคยลงไปเดินในทะเลเป็นครึ่งค่อนวัน เสด็จเตี่ยซึ่งทรงโปรดคนจริง อยู่แล้ว จึงมีรับสั่งทหารเรือให้มัด ตากัน ไว้ในกระสอบแล้วเอาถ่วงในทะเลไว้เป็นเวลา ๑ วัน หากมีวิชาแน่จริงก็คงไม่ตาย หากตายไปก็เพราะโอ้อวด และเมื่อครบกำหนดหนึ่งวัน ก็ทรงรับสั่งให้ดึงตากัน ขึ้นมาปรากฏว่า .. พบตากัน แกนั่งอยู่ในท่าสมาธิ หัวเราะร่า แถมยังไม่เปียกเลยสักนิด เสด็จในกรม (กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์) จึงตั้งชื่อให้อ่าวแห่งนั้นว่า "อ่าวตากัน" หรือ "อ่าวดงตาล" ในปัจจุบัน

    ภายหลังเมื่อเสด็จในกรมทรงต้องการสำรวจพื้นที่ เพื่อสร้างกองทัพเรือ ตากัน ก็ได้มีส่วนร่วมรับใช้พระองค์ และต่อมาได้ย้ายจากที่เก่าและเลิกกระทำการใช้วิชาในทางผิดที่ได้สัญญาไว้กับเสด็จในกรม (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) แล้วย้ายตัวเองและครอบครัวมาพักอาศัยอยู่บริเวณหลังตลาดสัตหีบจนสิ้นอายุขัย

    นี่คือเรื่องราวของ ตากัน จอมอาคมแห่ง อ่าวตากันที่ผมนำมาเล่าให้อ่านกัน .

    ภาพนี้คืือภาพ ตากัน หรือ นายกัน สุขรุ่ง.
    ฆราวาส จอมขมังเวทย์ แห่งอ่าวตากัน หรืออ่าวดงตาล.

    Cr.จดหมายเหตุพระเกจิ
    FB_IMG_1587632097926.jpg
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    มีเรื่องแปลกมาเล่าครับ

    ทุกวันผมจะเดินออกกำลังกาย
    ถ้าวันหยุด รอบเช้า เย็น รอบละ 1-2 ชั่วโมง

    วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา
    ผมเดินรอยเช้าไปแล้ว 2 ชั่วโมง
    โดยท่องบทคาถาเงินล้านตลอด 2 ชั่วโมง
    รอบเย็น วันนี้
    1.5 ชั่วโมง
    เร่มตั้งแต่ประมาณ 17:30 น

    จึงถือโอกาสเดินเวียนเทียนไปในตัว
    1 ชั่วโมงแรก ท่องบท พระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่
    ครึ่งชั่วโมงหลัง บทบูชาพระรัตนตรัย ทั้ง 3 ห้อง
    (อิติปิโส..., สวากขาโต...,สุปติปันโน...)

    ตั้งกล้องถ่ายตัวเอง เป็นระยะๆ
    มาเปิดภาพดู
    ได้ภาพแปลก ช่วงที่ผมตั้งใจพนมมือ ในใจคิดถึงพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ มีหลวงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อวิริยังค์ เป็นต้น
    มีแสงประหลาดปรากฎในภาพ
    ทั้งๆที่ขณะถ่าย ไม่มีไฟจากจุดอื่น
    ทดลองไปถ่ายซ้ำที่เดิมก็ไม่มีแสงแบบนี้อีก

    ในใจคิดว่าเป็นอำนาจของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ได้ปรากฎให้เราเห็น และทราบได้เป็นรูปธรรม
    (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ)

    ยังงงกับภาพนี้ไม่หายเล

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ

    19:29 น
    06/05/63
    IMG_20200506_191841.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2020
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระคาถาพระเจ้าปัดแท่น

    •คาถาบทนี้เป็นพระคาถาองค์พระพุทธเจ้า ใช้ปัดที่จะนอนจะนั่ง แมลงมดง่ามขึ้นบ้านใช้ไม้กวาดอ่อนปัดกวาดไปภาวนาไป พระคาถาปัดมดง่ามเขาก็ว่า

    •เวลาเราอาบน้ำ เอามือลูบร่างกายของเรา ลูบเหมือนเราลูบขยะสิ่งสกปรกออกไปจากร่างของเรา ก่อนจะทำอะไรภาวนาก่อนแก้อาถรรพ์ต่าง ๆ ได้ โบราณว่าคาถาแป้ขึด คือชนะอาถรรพ์เน้อ

    ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
    วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
    อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓

    ที่มา เสียงธรรมจากถ้ำป่าไผ่
    FB_IMG_1589626216048.jpg
     
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เอา"ฌาน 4" นี้
    มาเป็นกำลัง
    หันหน้าเข้าสู่ "วิปัสสนา"
    ...........................................................
    .
    .
    .
    ผู้ที่ไม่ต้องการที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีก
    หมายความว่าเมื่อบำเพ็ญฌานได้แล้ว
    เขาก็ยกอรูปฌานออกเสีย
    เอาแค่รูปฌาน 4 คือ
    ปฐมฌาน
    ทุติยฌาน
    ตติยฌาน
    จตุถฌาน
    เอาแค่ฌาน 4 นี้
    .
    เอาฌาน 4 นี้มาเป็นกำลัง
    หันหน้าเข้าสู่วิปัสสนา
    .
    เมื่อหันหน้าเข้าสู่วิปัสสนา
    ก็จะไปพบ ไตรลักษณ์
    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไตรลักษณ์นั้น
    มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา
    อย่างเดียวเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มี
    .
    เพราะฉะนั้น
    ในศาสนาทุกศาสนาจึงไม่มีวิปัสสนา
    มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา
    เพราะทุกคนนั้น
    ปรารถนาแค่เพียงสวรรค์
    ปรารถนาแค่เพียงความสุขในเมืองมนุษย์
    .
    แต่ว่า
    การที่สำเร็จฌานเหล่านั้น
    บางทีก็เกิดความเสื่อม
    เมื่อเกิดความเสื่อมแล้วก็ไปทำความชั่ว
    สามารถไปตกนรกได้
    สามารถไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้
    .
    เพราะว่ายังไม่ใช่นิยตบุคคล
    เป็นอนิยตบุคคล
    .
    ดังนั้น การเวียนว่ายตายเกิด
    รึว่าการแปรเปลี่ยน
    ย่อมมีแก่ผู้บำเพ็ญฌาน
    .
    แต่ว่า ถ้าผู้ใด
    หันเข้ามาสู่วิปัสสนานั้น
    วิปัสสนาเป็นทางเดียวเท่านั้น
    ที่จะทำคนให้พ้นทุกข์
    คือพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายนี้ได้
    .
    ดังนั้น ในวิปัสสนา
    พระพุทธองค์จึงทรง
    ตรัสให้เกิดเป็นไตรลักษณ์
    ไตรลักษณ์นั้น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    .
    อนิจจังคือความไม่เที่ยง
    ทุกขังคือความเป็นทุกข์
    อนัตตาคือความไม่ใช่ตัวตน
    อย่างนี้
    .
    ทั้งสามประการนี้
    ถ้าพิจารณาได้ ก็ถือว่า
    เราได้เริ่ม วิปัสสนาแล้ว
    ............................................
    .
    .
    .
    .............................................
    ขอนอบน้อมแด่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
    ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    ...............................................
    ขอนอบน้อมแด่
    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
    หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
    ผู้เลิศคุณ
    FB_IMG_1589783926998.jpg
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระคาถาเบิกหู
    ที่เดชพระคุณองค์หลวงปู่กวยมอบให้ครูผาด

    ตั้ง นะโม ๓ จบ

    สัททัง สุตฺวา
    สัททัง สุตฺวา
    สัททัง สุตฺวา
    สัททัง สุตฺวา

    แล้วเป่าลมลงในขันน้ำ แล้วเอาน้ำนั้น มาบ้วนปาก ให้ทำแบบนี้ทุกวัน หูของท่านจะไม่ตึง ไม่อื้อ ไม่หนวก มินานท่านจะหายจากหูหนวกทั้งหลาย แล ฯ

    #คาถาภาวนาแก้ความเจ็บปวด
    ของครูบาศรีวิชัย

    ตั้งนะโม ๓ จบ
    โส ภะ คะ วา สะ ระ อะ ฯ

    ท่านบอกว่า เป็นคาถาภาวนา แก้ความเจ็บปวด ซึงมีคนเห็นผลมาแล้ว ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ๆ

    มีผู้หญิงคนหนึ่ง เจ็บป่วย จนถึงต้องผ่าตัด เมื่อภาวนาคาถานี้แล้ว ก็หายเจ็บ แม้ตอนหลังผ่าตัด ซึ่งปกติจะเจ็บมาก แต่ก็ไม่เจ็บ คาถานี้ผมได้ตอนเป็นทหารพราน ได้รับมาจากเพื่อนชาวเชียงใหม่ ใช้ได้ผลชะงักดีนัก ฯ

    ขอให้ลูกสุดที่รัก ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข ถ่ายเป็นสุข ไปเป็นสุข มาเป็นสุข กินเป็นสุข ถ้าละร่างกายของคนแล้ว ขอให้เข้าสู่เมืองแก้วคือพระนิพพานอันเป็นสุขอย่างยิ่งเน้อ
    ขอเจริญพร

    ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
    วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
    อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓

    ที่มา เสียงธรรมจากถ้ำป่าไผ่
    FB_IMG_1589866096000.jpg
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เหตุอันใด เกิดเป็นสุนัข หลายภพชาติ
    (หลวงพ่อวิริยังค์ เล่าเรื่อง หลวงปู่มั่น ระลึกอดีตชาติ)
    หยุด ภพ ชาติ ใน ชาติ นี้
    .....................................................
    .
    .
    .
    .

    ในขณะที่การพิจารณาธรรมทั้งหลาย
    อย่างได้ผลนั่นเอง
    นิมิตอย่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นแก่ท่าน
    คือเห็นเป็นลูกสุนัขกินนมแม่อยู่
    .
    ท่านได้ใคร่ครวญดูว่านิมิต
    ที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องมีเหตุ
    เพราะขณะจิตขั้นนี้
    จะไม่มีนิมิตเข้ามาเจือปนได้
    คือเลยชั้นที่จะมีนิมิต
    .
    ท่านกำหนดพิจารณา
    โดยกำลังของกระแสจิต
    ก็เกิดญาณคือความรู้ขึ้นว่า
    ลูกสุนัขนั้นหาใช่อื่นไกลไม่
    คือตัวเราเอง
    .
    เรานี้ได้เคยเกิดเป็นสุนัข
    อยู่ตรงนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
    คงหมุนเวียนเกิดตาย
    อยู่ในชาติของสุนัข
    .
    ท่านใคร่ครวญต่อไปว่า
    ก็ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
    คือเหตุใดจึงต้องเป็นสุนัขอยู่อย่างนั้น
    .
    ได้ความว่า
    ภพ คือ ความยินดีในอัตภาพของตน
    สุนัขก็ยินดีอยู่ในภพของมัน
    จึงต้องอยู่ในภพของมันตลอดไป
    .
    ขณะท่านทราบว่า
    ตนต้องเกิดเป็นสุนัขนั้น
    ได้ถึงซึ่งความสลดจิตมากที่สุด
    แม้ความสว่างไสวของจิต
    ก็ยังคงเจิดจ้า อยู่ตลอดระยะเวลานั้น
    .
    ท่านจึงพิจารณา
    ค้นความจริงในจิตของท่านว่า
    .
    เหตุอันใดที่ต้องทำให้เกิด
    ความพะว้าพะวงห่วงหน้าห่วงหลัง
    อยู่ในขณะนี้
    .
    แม้จะได้รับความสลดอย่างยิ่งนี้แล้ว
    ก็ยังจะพิจารณาให้ยิ่งขึ้นไปไม่ได้
    ก็เมื่อความละเอียดของจิตเกิดขึ้น
    พร้อมกับความสว่างไสวแล้วนั้น
    ความจริงที่ยังไม่ทราบมาก่อน
    ได้เกิดขึ้นแก่ท่านแล้วก็คือ
    .
    “การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ”
    .
    ท่านจึงหวนรำลึกต่อไปว่า
    เราได้ปรารถนามานานสักเท่าใด
    .
    ก็เพียงสมัยพระพุทธกาลนี่เอง
    ไม่นานนัก
    .
    ท่านจึงตัดสินใจ
    ที่จะไม่ต้องการพุทธภูมิอีกต่อไป
    .
    เพราะเหตุที่มาสังเวชตน
    ที่ตกเป็นทาสของกิเลส
    อันเป็นเหตุให้เกิดเป็นสุนัข
    เสียนับภพนับชาติไม่ถ้วน
    ..........................................................
    .
    .
    .
    .............................................
    ขอนอบน้อมแด่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
    ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    ...............................................
    ขอนอบน้อมแด่
    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
    หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
    ผู้เลิศคุณ
    FB_IMG_1589983861415.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ น้อมรำลึก
    วันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อเดิม ครบรอบ๖๙ปี
    พระครูนิวาสธรรมขันธ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองโพ รูปที่๕. อดีตเจ้าคณะแขวงพยุหะคีรี.
    หลวงพ่อเดิม พุทธสโร มรณภาพในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๙๔ เป็นเวลา ๖๙ปีแล้วที่หลวงพ่อได้ล่วงลับดับขันธ์จากลูกหลานชาวบ้านหนองโพและศิษยานุศิษย์ทั่วทุกสารทิศไปแต่ได้ทิ้งคุณงามความดีไว้อย่างมากมาย
    FB_IMG_1590122362014.jpg FB_IMG_1590122330040.jpg FB_IMG_1590122339881.jpg FB_IMG_1590122336621.jpg
     
  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    (คาถาอาราธนาหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์)

    "อิติ อะระหัง สุคะโต พุทธสโร หลวงพ่อเดิม นามะเต อาจาริโย เม อายัสมา อาจาริโย เม ภัณเต โหหิ"

    (ใช้สวดอาราธนาหลวงพ่อเดิม ก่อนว่าคาถาใดๆ บารมีท่านจะใช่วยให้เกิดความสำเร็จ สวด 3จบ , 9 จบ)

    (คาถาหัวใจราชสีห์)

    "นะราชสีห์ ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูนี้หรือคือพญาราชสิงโห โธสุอะกันตัง"

    ใช้เสกภาวนาเป็นมหาอำนาจ เป็นที่เกรงขามแก่คนทั้งปวง ถ้าก้างปลาติดคอให้เสกข้าว 1 ก้อน กินทำให้กางปลาหลุดออกได้ เพียงแต่ตอนเสกข้าวนั้นให้เปลี่ยนคำว่า ตัวกูนี้หรือคือพญาราชสิงโห เป็น ตัวเจ้านี้หรือคือพญาราชสิงโห

    นี่เป็นเคล็ดวิธีใช้ใน ตำรับพุทธสโร ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ ทดลองใช้มาแล้วได้ผลจริงๆ ก้างปลาหลุดออกได้จริงๆ

    คาถาอาราธนามีดหมอ

    (จากตำราของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ)

    "สักกัสสะ วะชิราวุธัง เวสสุวัณนัสสะ คะทาวุธัง ยัมมะนัสสะ เนยยะนาวุธัง อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง นะรายัสสะ จักกะราวุธัง
    ปัญจะอะวุทธานัง เอเตสัง อานุภาเวนะ ปัญจะอะวุทธา ภัคคะภัคขาวิจุณณัง วิจุณณาโลมัง มาเมนะพุธสันติ คัจฉะอะมุมหิ
    โอกาเส ติถาหิ"

    ความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวของมีดหมอนั้น ท่านเปรียบมีดหมอของหลวงพ่อเดิม คือ การรวมเทพศาตราวุธทั้ง ๕ ประการ ที่มีฤทธานุภาพในสามโลก หาศาตราอาวุธใดมาเทียบเทียมได้ไว้ในมีดหมอเล่มเดียว

    ============================== (จบหน้า1)

    << คติธรรมทำความดี..,ตามรอยเท้าหลวงพ่อเดิม ; พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรม(ความดี)ทั้งปวง >>

    นอกจากนี้แล้ว ยังมีวัตถุมงคลอย่างหนึ่งที่เกิดจากศรัทธาของชาวบ้าน ได้นำครามผสมน้ำทาฝ่าเท้าหลวงพ่อเดิม แล้วนิมนต์ให้เหยียบลงในผ้า ซึ่งปรากฏว่ามีผู้นำไปบูชาแล้วเกิดประสบการณ์มากมาย เรื่องรอยเท้านี้ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม องค์หนึ่งได้เผยแพร่ความหมายที่แท้จริงของรอยเท้าหลวงพ่อเดิมดังนี้

    อาตมาเรียนถามหลวงพ่อเดิมเรื่องรอยเท้าของท่านว่า

    “ที่หลวงพ่อเหยียบรอยเท้าให้เขาไปนั้น มันดีอย่างไรครับ บอกให้กระผมได้ตาสว่างสักครั้งหนึ่งเถิดขอรับ”

    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพมองดูหน้าอาตมาก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอันดังกังวานว่า

    “เอ้อ ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย หูดีก็ได้ หูร้ายก็เสีย”

    อาตมาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะหลวงพ่อเดิมท่านตอบไม่ตรงคำถาม จึงรุกเข้าไปถามใหม่

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหลวงพ่อครับ กระผมต้องการรู้ว่าที่เขาเอาไปใช้กันน่ะดีทางไหนกันแน่ ถึงได้มาขอกันจนเหยียบไม่ได้หยุด”

    “เอ้องั้นเรอะ ฟังนะ เขาว่าดีเอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก โพกหัวแล้วตีไม่แตก นั่นว่ากันอย่างนั้น ฉันไม่ได้ว่านะ เขาว่ากันไปเองแหละ”

    “อ้าวแล้วอย่างนั้นหลวงพ่อให้เขาเอาไปทำไมกันล่ะครับ ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ว่าดี เขาว่ากันเองล่ะก็”

    “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับฉันนี่คุณ ธรรมะของฉันที่ฉันฝากไว้ในรอยเท้ามันไม่ใช่อย่างที่เขาเล่าลือกัน”

    “ธรรมะอะไรกันครับหลวงพ่อ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย ผมงงไปหมดแล้ว”

    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพนิ่งสักครู่ เหมือนจะรวบรวมจิตแสดงธรรมให้อาตมา ซึ่งเป็นภิกษุหนุ่มฟัง อาตมาก็นิ่งคอยฟัง หลวงพ่อเดิมได้เผยธรรมะในรอยเท้าของท่านอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งอาตมาเชื่อแน่ว่าผู้ที่มีรอยเท้าของท่านคงไม่มีโอกาสรู้ เพราะมัวแต่ไปคิดว่ามหาอุด คงกระพัน กันลูกปืนเสียเป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อเดิมท่านว่าอย่างนี้

    “รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิม ที่ในหลวงท่านพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง ฉันปฏิบัติในกรอบแห่งความดี ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้วก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม นั่นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป”

    อาตมาได้ฟังจบลงแล้วน้ำตาคลอ มันซาบซึ้งใจจริง ๆ ตั้งแต่บวชมาจนคิดจะสึกก็เพิ่งพบหลวงพ่อเดิมนี่แหละที่ท่านมีปรัชญาอันซาบซึ้งใจของอาตมา อาตมากล้าพูดได้ว่า หกเดือนที่อยู่วัดหนองโพ ทำให้อาตมาเป็นพระเต็มตัว ความคิดสึกหมดไป เพราะเห็นแล้วว่าพระที่ดีอย่างหลวงพ่อยังมี พระที่ไม่ดีที่เราเคยเห็นมานั้นเทียบกับท่านไม่ได้ เหมือนเพชรกับแก้วที่ไม่อาจมาเคียงคู่กันได้เลย

    (เกร็ดประวัติของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ)

    บางส่วนเพื่อแสดงถึงเมตตาธรรมของท่าน แม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าความดีและเมตตาธรรมของท่านยังอยู่ในใจผู้คนอีกมากมายครับ

    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก กล่าวว่าหลวงพ่อเดิมท่านมีเมตตาสูงมาก

    ถ้าใครได้อ่านหนังสือกายสิทธิ์เรื่อง “พระอรหันต์มีจริงหรือไม่” หน้า 84 มีลูกศิษย์นำรูปหลวงพ่อเดิมไปให้ท่านเสก ท่านก็ทำให้ตามประสงค์ ท่านพูดว่าเคยได้ยินแต่ชื่อแต่เสียงท่านมีเมตตาสูงมาก ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า ถ้าถึงขั้นนี้จะเป็นพระขั้นไหน หลวงพ่อท่านตอบว่า “เลยขั้นเสียแล้ว ไม่มีขั้น”
    เมื่อหลวงพ่อจรัญ อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร แห่งวัดหนองโพ เป็นเวลา ๖ เดือน ตราบจนหลวงพ่อเดิมท่านละสังขาร คติธรรมคำคมของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อจรัญจดจำไม่เคยลืมคือ
    ๑. รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
    ๒. รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
    ๓. ผู้ใหญ่ให้อะไรรับไว้ก่อนอย่าจองหอง
    ๔. มีเสื้อสิบตัวกับมีเสื้อตัวเดียวอย่างไหนจะดีกว่ากัน
    ๕. หนึ่งอย่าเป็นสอง (พูดจริงทำจริง)

    หลวงพ่อจรัญ เป็นศิษย์องค์เดียวและเป็นองค์สุดท้าย ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาคชสาร !!! ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการฝึกกสิณเป็นพื้นฐานก่อน (พ.ศ. ๒๔๙๒) และได้ใช้ประโยชน์ในการสยบช้างป่าระหว่างการเดินธุดงค์กับหลวงพ่อในป่านาน ๒ เดือน (พ.ศ. ๒๕๑๖ อายุ ๔๕ พรรษา ตามที่หลวงพ่อในป่ากำหนดไว้ให้)

    และครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ระหว่างเดินทางกลับจากการปฏิบัติศาสนกิจ กับคณะสงฆ์ที่ทวีปยุโรป (พ.ศ. ๒๕๓๖) เครื่องบินที่โดยสารมาเกิดน้ำรั่วจากเพดานห้องโดยสารที่มีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเหตุให้ไฟฟ้ารัดวงจรและเครื่องระเบิดได้ ซึ่งหลวงพ่อจรัญก็ได้ใช้วิชากสิณของหลวงพ่อเดิมแก้ไข (ใช้กสิณดินอุดน้ำ) จนเป็นปกติ เป็นเหตุให้ หลวงพ่อต้องป่วยกระเซาะกระแซะตลอดปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ต่อเนื่องปี ๒๕๓๗ (ท่านที่สนใจเรื่องอิทธิฤทธิ์พึงสังเกต จากปีที่หลวงพ่อศึกษา จนถึงนำมาใช้ ห่างกันถึง ๒๔ ปี และ ๔๔ ปี ตามลำดับ)

    แต่ภาพของหลวงพ่อที่ท่านเห็นเป็นประจำ ก็คือ สอนกรรมฐาน กับ บรรยายธรรม ไม่เน้นอิทธิฤทธิ์หรือเครื่องลางของขลังเลย นอกจากให้พร บอกให้ไปทานข้าว และแจกหนังสือ กลับปรากฏว่า ความศักดิ์สิทธิ์ยังเข้มขลังไม่เสื่อมคลาย ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อ เจริญสติกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เมื่อสามเณรวิริยังค์
    อยู่กับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    ที่วัดป่าศรัทธารวม
    อ.เมือง
    จ.นครราชสีมา
    .........................................................
    .
    .
    สามเณรวิริยังค์ได้ถามว่า
    “ทำไมแมวมันจึงเดินตามท่านอาจารย์”
    .
    ท่านอาจารย์ตอบว่า
    “สอนมัน”
    .
    สามเณรวิริยังค์ทวนคำ
    สอนแมวไม่ใช่ของง่าย
    ไม่เหมือนสุนัข
    ถ้าเป็นสุนัข สามเณรวิริยังค์จะไม่สงสัย
    .
    สามเณรวิริยังค์จึงถามต่อไปว่า
    “ทำไมท่านอาจารย์จึงสอนแมวได้”
    .
    ท่านตอบว่า “เอาใจสอน”
    เป็นอันว่าสามเณรวิริยังค์เข้าใจ
    .............................................................

    .
    .
    .
    เมื่อ สามเณรวิริยังค์บรรพชาเป็นสามเณรประมาณเดือนเศษ พระอาจารย์กงมาฯ มีกิจนิมนต์ต้องไปกรุงเทพฯ ด้วยความเป็นห่วงท่านจึงนำ สามเณรวิริยังค์ไปฝากไว้ที่พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าศรัทธารวม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นวัดป่าที่อยู่ใกล้กองทหารและก็เป็นการฝึกฝนตนอีกครั้งหนึ่งกับพระอาจารย์ฝั้นฯ ของสามเณรวิริยังค์
    วันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์ก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นแมวตัวหนึ่งเป็นตัวผู้สีขาวแดงใหญ่ เดินจงกรมตามพระอาจารย์ฝั้นฯ หลังจากท่านเดินจงกรมเสร็จ สามเณรวิริยังค์ได้เข้าไปคอยฟังโอวาท เสร็จแล้วก็ทำการบีบนวดถวาย
    .
    สามเณรวิริยังค์ได้ถามว่า
    “ทำไมแมวมันจึงเดินตามท่านอาจารย์”
    .
    ท่านอาจารย์ตอบว่า
    “สอนมัน”
    .
    สามเณรวิริยังค์ทวนคำ สอนแมวไม่ใช่ของง่าย ไม่เหมือนสุนัข ถ้าเป็นสุนัข สามเณรวิริยังค์จะไม่สงสัย
    .
    สามเณรวิริยังค์จึงถามต่อไปว่า
    “ทำไมท่านอาจารย์จึงสอนแมวได้”
    .
    ท่านตอบว่า “เอาใจสอน”
    เป็นอันว่าสามเณรวิริยังค์เข้าใจ
    วันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์คิดว่า พระอาจารย์ฝั้นฯ นี้ จะเก่งเท่ากับพระอาจารย์ของสามเณรริริยังค์หรือเปล่าหนอ แต่เห็นฝึกแมวได้ ชักเชื่อว่าเก่งพอสมควรทีเดียว สามเณรวิริยังค์นี้เป็นผู้ที่ได้ฝึกจิตมาพอสมควรแล้ว และตั้งใจว่าจะศึกษาไปให้มากที่สุด ดังนั้นเมื่อได้มาอยู่กับพระอาจารย์ฝั้นฯ สามเณรวิริยังค์ก็พยายามที่จะเข้าใกล้ชิดให้มากที่สุด จึงได้ขอเข้าทำการบีบนวดก็ให้โอกาส เป็นอันว่าสามเณรริริยังค์ได้อยู่ใกล้ชิดสมความตั้งใจ แม้จะเป็นระยะอันสั้น สามเณรริริยังค์ก็พยายามศึกษาอย่างเต็มที่
    อยู่มาวันหนึ่ง มันเป็นเวลาดึกแล้ว สามเณรวิริยังค์อยู่เพียงลำพังผู้เดียวที่คอยปฏิบัติท่าน เพราะสามเณรอื่นพากันขี้เกียจ กลับไปนอนหมด สำหรับสามเณรวิริยังค์นั้นเป็นผู้มาใหม่ รู้สึกว่าท่านจะเกรงใจบางอย่าง หรือท่านอาจจะเข้าใจในตัวท่านว่า เราฝึกศิษย์ไม่ดีพอจึงทำให้ศิษย์ของท่านไม่เอาใจใส่ท่าน อาจจะเข้าใจว่าสู้ศิษย์ของท่านอาจารย์กงมาฯ เช่นกับ สามเณรวิริยังค์ไม่ได้ ครั้นจะให้ สามเณรวิริยังค์ไปตามพวกเณรเหล่านั้นมา ก็รู้สึกว่ายิ่งจะเป็นการเสียหายต่อท่านมากขึ้น
    ขณะนั้น สามเณรวิริยังค์จำต้องแปลกใจเหลือหลายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นสมเณรท่านองค์หนึ่ง เดินขึ้นบันไดมาโดยอาการมึนงง ตาก็ลืมนิดๆ เดินตรงรี่เข้ามาหา สามเณรวิริยังค์แล้วมองไปที่อาจารย์ฝั้นฯ เห็นท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วสามเณรรูปนั้น ก็เดินไปที่กระติกน้ำร้อน จัดการชงชาพร้อมทั้งยกถวาย ท่านพระอาจารย์ฝั้นฯ ก็รับ รับแล้วก็ฉัน สามเณรวิริยังค์ยิ่งงงยิ่งขึ้นเมื่อสามเณรรูปนั้นขณะที่ทำงานทุกอย่างตาก็ลืมนิดๆ บางทีตาลืมขึ้นมามากแต่ก็ไม่มองอะไร สามเณรวิริยังค์สังเกตดูตาช่างไม่มีแววเอาเลย เอ นี่มันยังไงกัน หลังจากสามเณรทำทุกอย่างเกี่ยวกับถวายน้ำชาและเก็บกาน้ำถวายชาล้างเรียบร้อยแล้ว สามเณรรูปนั้นก็ทำตาปรือๆ เดินกลับกุฏิไป
    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ก็เอนหลังลงให้ สามเณรวิริยังค์บีบนวดต่อไป สามเณรวิริยังค์ทนไม่ไหวที่เห็นอากัปกิริยาของสามเณรรูปนั้นทำแปลก ยังกับไม่มีชีวิตจิตใจ จึงถามท่านอาจารย์ฝั้นฯว่า
    “ท่านอาจารย์ทำยังไง เณรจึงทำท่าทางเหมือนไม่มีจิตใจอย่างนั้น”
    ท่านตอบว่า “มันอยากขี้เกียจ ต้องทรมานมันมั่ง”
    “ทรมาน” สามเณรวิริยังค์ทวนคำ
    “หมายความว่า ท่านอาจารย์สะกดจิตอย่างนั้นหรือ” สามเณรวิริยังค์ถาม
    “ใช่” แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรปล่อยให้สามเณรวิริยังค์บีบนวดจนเกือบเที่ยงคืน
    เมื่อท่านอนุญาตให้กลับแล้ว สามเณรวิริยังค์ได้ไปที่กุฏิสามเณรรูปนั้นด้วยความสงสัยอยากรู้ พอเปิดประตูเข้าไปสามเณรรูปนั้นหลับเงียบ สามเณรวิริยังค์คิดว่าไม่รบกวนละ พรุ่งนี้จะถามแต่เช้าทีเดียว
    รุ่งเช้า สามเณรวิริยังค์รีบลุกขึ้นเข้าไปรออยู่หน้ากุฏิสามเณรรูปนั้น พอเห็นหน้า สามเณรวิริยังค์ถามทันทีว่า
    “เมื่อคืนนี้ทำไมสามเณรจึงทำสะลืมสะลือแล้วเดินไปชงชาถวายท่านอาจารย์ แล้วอยู่ๆ ก็กลับเฉยๆ อย่างนั้นเณรทำไมทำอย่างนั้น”
    สามรูปนั้นตอบว่า “อะไรกัน ผมไม่ได้ไปกุฏิท่านอาจารย์นา ผมก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน”
    สามเณรวิริยังค์ยืนยันอีกครั้งบอกว่า “ผมเห็นเณรทุกอิริยาบถ เณรจริงๆ ที่ไป ผมยังยิ้มกับท่านอาจารย์เลย” สมเณรรูปนั้นยืนงง และพูดว่า “ผมไม่ได้ไป”
    แล้วสามเณรรูปนั้นก็ผละจาก สามเณรวิริยังค์ไปบิณฑบาต สามเณรวิริยังค์ชักงงใหญ่ นี่มันอะไรกัน สามเณรวิริยังค์รำพึงในใจว่า พลังจิตนี้สามารถบังคับคนนอนหลับเดินมารับใช้และบังคับให้กลับไปนอน แหละคนถูกบังคับก็ไม่รู้สึกตัวมันแปลกแท้ๆ นี่มันปรากฏแก่สายตาของสามเณรริริยังค์จึงจำเป็นต้องเชื่อ ต้องเชื่อ ๑๐๐% ถ้าใครมาเล่าให้สามเณรริริยังค์ฟังจะไม่เชื่อเด็ดขาด แต่นี่เห็นตำตา ยังไงสามเณรริริยังค์ขอบันทึกไว้ในความทรงจำคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๔๗๘ เวลา ๒๑.๓๐ น. เป็นวันที่สามเณรริริยังค์เกิดความเลื่อมใสท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร เพราะเหตุแห่งปาฏิหาริย์
    ซึ่งมันก็ยังไม่ทำให้ใจของสามเณรวิริยังค์เชื่อว่าจะดีกว่าอาจารย์ของสามเณรริริยังค์ แต่ทำเอาสามเณรวิริยังค์ต้องเชื่อเอามากทีเดียว
    ในตอนตีสาม (๐๓.๐๐) เป็นเวลาที่ผู้ปฏิบัติหัดตนอยู่กับพระอาจารย์ จะต้องปลุกตัวเองตื่นขึ้นนั่งสมาธิ และ สามเณรวิริยังค์แม้จะบวชใหม่ก็พยายามที่จะปลุกตัวเองเสมอเพื่อความก้าวหน้าของการปฏิบัติ และก็รู้ตัวดีที่ท่านเองก็ต้องลำบากหนักหนากว่าจะได้มาบวชกับเขา จึงทำให้ สามเณรวิริยังค์มุมานะอยู่ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นเจ้ากิเลสตัวการมันก็คอยเล่นงานสามเณรตลอดเวลา จึงทำให้การปลุกตัวเองให้ตื่นตอนตีสามนั้นต้องเสียไป โดยไม่ยอมตื่นเป็นบางวัน
    ในคืนวันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์กำลังนอนเพลิน เวลาก็เลยตีสาม ไปแล้ว ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ท่านทราบได้ยังไง ท่านเอาไม้เท้าเคาะกุฏิที่สามเณรริริยังค์กำลังนอนเพลินอยู่ ทำให้สามเณรริริยังค์ต้องตกใจสุดขีด ลุกขึ้นโดยพลัน พลางคิดว่า “เราผิด-เราผิด” ต้องขอบใจพระอาจารย์ฝั้นฯ อย่างยิ่งที่ท่านได้มาปลุกเรา ดีใจเพราะรับคำเตือนที่มีค่าที่สุด
    วันหนึ่งประมาณหนึ่งทุ่ม สามเณรวิริยังค์ได้ยินเสียงเรียกชื่อว่า “วิริยังค์ๆ ๆ มานี่เร็วๆ”
    ขณะนั้น สามเณรวิริยังค์กำลังเดินจงกรมอยู่ สามเณรวิริยังค์คิดว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สามเณรวิริยังค์รีบออกจากจงกรม ตรงไปที่ท่านอาจารย์ฝั้นฯ เมื่อไปถึงท่านได้ชี้ไปที่นกตัวหนึ่ง (นกเค้า) กำลังนอนดิ้นพราดๆ อยู่ ท่านบอกให้ สามเณรวิริยังค์รีบไปช่วยมัน
    สามเณรวิริยังค์รีบจับนกตัวนั้นขึ้นมาเป่าก้นมัน เพื่อให้ฟื้น แต่ยิ่งเป่ามันก็ยิ่งตัวอ่อนลงๆ จนตาย สามเณรวิริยังค์ถามท่านอาจารย์ว่า "นกมันเป็นไร?"
    ท่านตอบว่า “เราเพ่งจิตใส่มันเพราะมันร้องหนวกหูไม่หยุด แต่เพ่งแรงไปหน่อยมันเลยตาย”
    สามเณรวิริยังค์ได้เดินกลับแล้วโยนนกนั้นทิ้งเข้าป่าไป แล้วมาคิดว่า “เอนี่ยังไงกัน มันเป็นความจริงหรือที่นกตายเพราะท่านอาจารย์เพ่งจิตหรือมีตัวอะไรกัดมันกระมัง” แต่มาคิดถึงตอนท่านสะกดจิตเณรมารับใช้คืนนั้น เลยเชื่อสนิทใจ คิดว่าท่านคงไม่โกหกเราและจะมาโกหกเราเอาประโยชน์อะไรกัน
    สามเณรวิริยังค์คิดต่อไปอีกว่า "ท่านพระอาจารย์ฝั้นฯ นี่เก่งจริง ทำเอาเราอัศจรรย์ใจหลายหนแล้ว”
    เมื่อปรากฏการณ์ได้ประจักษ์แก่ สามเณรวิริยังค์หลายหนเช่นนี้ สามเณรวิริยังค์ก็สนใจเป็นพิเศษ พยายามทบทวนถึงการปฏิบัติจิตของตนว่าเราควรจะได้ศึกษาอิทธิวิธีอย่างของท่านอาจารย์ฝั้นฯบ้าง ท่านคงเล็งเห็นประโยชน์อันจะเกิดกับเราหลายประการ มิฉะนั้นทำไมอาจารย์ใหญ่ๆ องค์อื่นท่านจึงไม่นำเราไปฝากฝัง ท่านอาจารย์กงมาฯ คงจะให้เราได้ศึกษาอะไรๆ ที่พิเศษของท่าน อาจารย์กงมาฯ คงจะเห็นอุปนิสัยวาสนาของเรา ซึ่งอาจจะได้ความรู้อะไรหลายๆ อย่างพะอาจารย์ฝั้นฯ ได้เป็นแน่
    เมื่อ สามเณรวิริยังค์ได้คิดเช่นนี้แล้ว ก็เริ่มตั้งใจฟังโอวาทของท่านอาจารย์ฝั้นฯ และพยายามหาโอกาสศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยยอมตนลงเป็นผู้อุปัฏฐาก ท่านนับแต่ล้างบาตร ปูที่นอน ตักน้ำถวายสรง บีบนวด อย่างที่ไม่มีอะไรแข็งกระด้างเลยในใจและกิริยาภายนอก ถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นอาจารย์ของตน แม้พระอาจารย์ฝั้นฯ ท่านก็ให้โอกาสแก่ สามเณรวิริยังค์ทุกประการในเวลาอันไม่นานนัก สามเณรวิริยังค์ก็สนิทสนมกับท่านในฐานะศิษย์และอาจารย์
    ในวันหนึ่งเป็นวันพระ มีโยมมาจำศีลอุโบสถประมาณ ๒๐-๓๐ คน โดยมากเป็นคุณหญิงคุณนายที่มาจากกรมทหาร บ่าย ๓ โมงวันนั้น อาจารย์ฝั้นฯ ได้เทศน์โดยปรกติ สามเณรวิริยังค์ได้นั่งฟังเทศน์ของท่านอย่างใจจดใจจ่อในวันนี้ ท่านได้แสดงว่า
    “คนเรานี้สำคัญอยู่ที่ใจ ถ้าใจดีแล้วอะไรๆ ก็ดีหมด ลูกก็ดี ภรรยาก็ดี สามีก็ดี บ้านก็ดี ของใช้ก็ดี ถ้าใจไม่ดีแล้ว ลูกก็ไม่ดี ภรรยาก็ไม่ดี สามีก็ไม่ดี ของใช้ก็ไม่ดี ทำอย่างไรใจของเราจึงจะดี พุทโธเข้าซิ พุทโธเข้า ภาวนาเข้า ทำจิตใจให้เป็นสมาธิเข้า ใจไปสู่สุคติแน่นอน จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปฏิกังขา จิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติ เป็นที่หวังได้ จิตเตสังกิลิฏเฐ ทุคติ ปฏิกังขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้ ท่านได้ยกตัวอย่าง เช่น อาตมานี้ หนังสือก็เรียนไม่ได้มาก เขียนก็ไม่เก่ง อ่านก็ไม่ได้เท่าไร แต่อาตมาฝึกจิตให้มากและได้ที่ อาตมาเทศน์ก็ได้ไม่ต้องดูหนังสือ ทำอะไรก็ได้”
    วันหนึ่งหลังจาก สามเณรวิริยังค์ได้บีบนวดถวายท่านเป็นเวลากว่า ๒ ชั่วโมง ท่านได้ลุกขึ้น สามเณรวิริยังค์ได้รีบกราบเรียนท่านแล้วขอโอกาสเรียนวิธีการฝึกพลานุภาพของจิตกับท่าน สามเณรวิริยังค์ได้เท้าความจากพระธรรมเทศนาของท่านในคำพูดที่ว่า “ถ้าเราฝึกจิต จะทำอะไรก็ได้”
    “กระผมมีความประสงค์จะทำจิตให้เกิดพลานุภาพเหมือนท่านอาจารย์ ผมจะทำอย่างไร ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำให้กระผมด้วย”
    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ท่านดุเอาว่า “นี่แน่ะเณรฯ เธอยังเป็นผู้ฝึกหัดใหม่จะมาคิดทำจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะพลานุภาพนั้น เดี๋ยวจะเกิดฟุ้งซ่านกันใหญ่จะเสียผลอันเกิดแท้จริง”
    สามเณรวิริยังค์ได้กราบเรียนท่านว่า “กระผมมีความประสงค์ เพื่อความจริงในพระพุทธศาสนาและรับรองว่า กระผมจะไม่สึกและจะปฏิบัติไปจนตาย กระผมอัศจรรย์ที่ท่านอาจารย์ได้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ กระผมใคร่อยากรู้หนทางบ้าง ว่าวิธีทำจะทำอย่างไร”
    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ได้บอกว่า “อย่าเลยเณร เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเฉพาะตัวใครตัวมัน จะเอาอย่างกันไม่ได้หรอก”
    สามเณรวิริยังค์ไม่ลดความพยายามถามท่านต่อไปว่า “เวลาท่านอาจารย์จะใช้พลังจะใช้พลังจิตนั้นท่านอาจารย์ได้กำหนดจิตอย่างไร?”
    ท่านอาจารย์ตอบว่า “จิตที่จะเกิดพลังได้ ก็ต่อเมื่อได้อบรมเป็นสมาธิครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดกระแสจิตหากว่าผู้ใดมีกระแสจิตแกกล้า อันกระแสจิตนี้เองที่จะทำอะไรก็ได้”
    สามเณรวิริยังค์ได้ถามอีกว่า “ท่านอาจารย์กว่าจะทำได้เช่นกับการสะกดจิตสามเณรมารับใช้คืนนั้น กระผมเห็นกับตา ท่านอาจารย์ได้ฝึกมากี่ปีครับ”
    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ บอกว่า “ตั้งแต่เราฝึกมานี้ ๑๐ กว่าปี แต่เณรเอ๋ย อย่าคิดทำอย่างเราเลย เดี๋ยวจะฟุ้งซ่านเปล่าๆ”
    สามเณรวิริยังค์เรียนท่านว่า “กระผมจะพยายามมิให้จิตฟุ้งซ่าน แต่จะพยายามสร้างกระแสจิตให้แก่กล้าเท่านั้น”
    พระอาจารย์ฝั้นฯ ท่านสำทับว่า “หากเณรจะทำจริงๆ เราขอเตือนว่า อันว่ากระแสจิตนี้หากว่ามันจะเป็นขึ้นมาจริงๆ นอกเหนือจากทำให้เกิดพลานุภาพแล้ว ต้องดำเนินจิตเข้าสู่วิปัสสนา จึงจะถูกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า”
    สามเณรวิริยังค์ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ฟังคำอธิบายเป็นครั้งแรกที่ว่าให้ทำจิตจนเกิดกระแสจิต สามเณรวิริยังค์กราบลาท่านในคืนนั้น และได้คำนึงถึงอุบายนั้นอยู่ตลอดเวลา
    สามเณรวิริยังค์ได้อยู่กับท่านเป็นเวลา ๔ เดือนเศษ ได้คุ้นเคยกับพระองค์หนึ่งชื่อว่าพระพุทฒา (ภายหลังท่านได้เป็นสมภารอยู่วัดเขาพระบาทภูพานคำ เขื่อนอุบลรัตน์เป็นเจ้าอาวาสนอยู่ที่วัดเขื่อนอุบลรัตน์ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น) สามเณรวิริยังค์ควรจะทบทวนอีกตอนหนึ่ง
    เมื่อได้เดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ แล้ว สามเณรวิริยังค์ได้พบกับพระอาจารย์ฝั้นฯ อีกครั้งที่จังหวัดสกลนคร ระหว่างนั้นพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระยังมีชีวิตอยู่ และอยู่ด้วยกันกับท่านบนภูเขาดอยธรรมเจดีย์ ขณะที่บิณฑบาต กำลังเดินไปตามไหล่เขา มีนกฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่บนอากาศท่านอาจารย์ฝั้นฯ ท่านพูดว่า "นั่นนกอะไรกัน" พอดีท่านเหยียดมือออก นกได้ตกลงที่มือของท่าน สามเณรวิริยังค์ระลึกถึงเมื่อคราวที่ท่านให้ช่วยชีวิตนกเมื่ออยู่ที่วัดศรัทธารามทันที สามเณรวิริยังค์นึกว่านกตัวนี้ต้องตายอีกละกระมัง สามเณรวิริยังค์รีบเดินเข้าไปเพื่อจะจับนกที่มือของท่าน มันช่างเชื่องอะไรเช่นนั้น แต่มันไม่ตาย
    สามเณรวิริยังค์พูดกับท่านอาจารย์ฝั้นฯ ว่า “นกไม่ตาย ผมนึกว่าจะตายเหมือนคราวก่อนเสียแล้ว”
    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ตอบว่า “เดี๋ยวนี้เราคำนวณกะจิตให้พอดีได้แล้วมันไม่ตายหรอกวิริยังค์”
    ครู่เดียวนกตัวนั้นมันก็บินขึ้นไปบนอากาศ ปะปนกับหมู่นกทั้งหลาย ทำเอาสามเณรวิริยังค์อัศจรรย์ใจเป็นหนักหนาที่ว่าท่านมีพลานุภาพของใจเป็นอย่างดี และท่านก็ได้พยายามลำดับพลานุภาพใจของท่านให้เหมาะสมได้ และ สามเณรวิริยังค์แปลกใจที่ท่านทำอิทธิในขณะที่สามเณรวิริยังค์มาพบกับท่านครั้งนี้อีก พร้อมมีพระเณรเดินตามกันมาหลายองค์ แปลกใจ เพราะเหตุใด ท่านประสงค์อะไร จึงทำให้สามเณรวิริยังค์เห็นเป็นขวัญตาอีก
    ภายหลัง สามเณรวิริยังค์ได้มีโอกาสอยู่กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ จึงเล่าเรื่องพระอาจารย์ฝั้นฯ ที่ทำอิทธิต่างๆ ที่ สามเณรวิริยังค์ได้เห็นมาถวาย ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านพูดว่า “สำหรับท่านฝั้นนั้นนับเป็นพระเถระมีพลังจิตสูงองค์หนึ่ง แต่เป็นวิชาที่เป็นอดีตบุญได้เคยสร้างพลังจิตนี้มาก่อน ท่านฝั้นฯ จึงเป็นผู้มีความสามารถในทางที่จะรวบรวมจิตของผู้อื่น หมายความว่าช่วยผู้อื่น ได้ในทางจิตเช่น ช่วยให้จิตสงบ ขณะที่ผู้อื่นกำลังฟุ้งซ่านหรือขณะที่ใครๆ นั่งใกล้ท่าน จะได้รับความเย็นใจด้วยพลานุภาพของจิต"
    สามเณรวิริยังค์ได้ถามว่า “มีศิษย์ของพระอาจารย์องค์ใดบ้างที่ทำจิตได้ขนาดท่านอาจารย์ฝั้นฯ?”
    ท่านตอบว่า “มีมากองค์ แต่ว่ามีพลานุภาพไปคนละแนว”
    สามเณรวิริยังค์ถามต่อไปว่า “แนวไหนบ้างที่ศิษย์ของพระอาจารย์ได้ดำเนินอยู่”
    ท่านบอกว่า “ก็แนวฤทธิ์ แนวปัญญา และอย่างอื่นๆ อันที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น”
    สามเณรวิริยังค์ยังสงสัยว่า ระหว่างอาจารย์สามเณรวิริยังค์ (พระอาจารย์กงมาฯ) กับพระอาจารย์ฝั้นฯ ใครจะเก่งกว่ากัน เป็นปัญหาอยู่ในใจของ สามเณรวิริยังค์มานานแล้ว โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ถามพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ
    สามเณรวิริยังค์ถามท่านตรงๆ ว่า “ท่านอาจารย์ฝั้นฯ กับ พระอาจารย์กงมาฯ ทั้ง ๒ องค์นี้ องค์ไหนเก่งกว่ากัน”
    พระอาจารย์มั่นฯ ท่านยิ้มพูดว่า “วิริยังค์ เธอคงคิดว่าอาจารย์ของเธอเก่งกว่าละซี”
    สามเณรวิริยังค์นึกในใจว่า “ใช่”
    ท่านพูดต่อไปว่า “ท่านฝั้นเก่งทางฤทธิ์ ท่านกงมาเก่งทางปัญญา เหมือนกับพระโมคคัลลานะเก่งทางฤทธิ์ พระสารีบุตรเก่งทางปัญญา แต่พระโมคคัลลานะ นั้นไม่มีลูกศิษย์มากเหมือนพระสารีบุตร ปรากฏว่าพระสารีบุตรมีลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์มาก”
    ก็นับว่า สามเณรวิริยังค์ได้ความกระจ่างแจ้งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า สำหรับผู้ที่จะพึงทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนานั้นย่อมมีแตกต่างกัน และต่างก็มีความดีคนละอย่าง ในองค์ของแต่ละท่านนั้นย่อมมีความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อันที่จริงการอยู่กับพระอาจารย์ฝั้นฯ ในระหว่าง ๓-๔ เดือนนี้เป็นการได้รับประโยชน์อย่างมากสำหรับ สามเณรวิริยังค์ทั้งยังได้พบสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ พร้อมกับศึกษาปรจิตวิชาไปในตัวด้วย นับว่าเป็นพื้นฐานต่อมาได้เป็นอย่างดี
    เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ ท่านอาจารย์กงมาฯ ท่านได้กลับจากรุงเทพฯ และได้เลยมาที่วัดป่าศรัทธารวม เพื่อมารับสามเณรวิริยังค์กลับไปวัดป่าสว่างอารมณ์
    เมื่อท่านอาจารย์ทั้ง ๒ ได้พบกัน พระอาจารย์ฝั้นฯ ได้เอ่ยขึ้นว่า “แหมกงมาฯ ได้ลูกศิษย์ดีนี่ อยู่กับผมมาหลายเดือนตั้งใจปฏิบัติไม่ขาด ต่อไปภายหน้าเณรวิริยังค์นี้จะต้องได้ดิบได้ดี เพราะเป็นคนเข้าใจปฏิบัติครูบาอาจารย์ อธิบายธรรมต่างๆ เข้าใจง่าย ไม่ดื้อรั้น ใช้อะไรเท่าไรไม่เคยมีบ่นว่าเหนื่อย ท่าทางเข้าทีดี”
    สามเณรวิริยังค์ได้ฟังก็รู้สึกขนลุก ทำไมท่านอาจารย์ฝั้นฯ มายกย่องเราต่อหน้าพระอาจารย์ของเราและตัวเรา แต่สามเณรวิริยังค์ก็นั่งก้มหน้าทำเหมือนไม่เข้าใจหรือไม่เอาใจใส่ที่ผู้ใหญ่เขาพูดกัน
    พระอาจารย์กงมาฯ ตอบพระอาจารย์ฝั้นว่า “เณรวิริยังค์เป็นคนดีเพราะศรัทธาแก่กล้ามาก กว่าเธอจะได้บวชนั้นต่อสู้เหลือหลาย ถ้าเป็นเด็กอื่นคงจะไม่ได้มาบวชอย่างนี้ดอก”
    ตอนบ่ายวันนั้นพระอาจารย์กงมาฯ ก็พาสามเณรวิริยังค์กลับไปวัดป่าสว่างอารมณ์โดยทางรถไฟ
    .
    .
    ...................
    ...........................................
    ขอนอบน้อมแด่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
    ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    ...............................................
    ขอนอบน้อมแด่
    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
    หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
    ผู้เลิศคุณ
    FB_IMG_1590313491368.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงพ่อเนียมสอนการปฏิบัติเพื่อการบรรลุมรรคผล
    ๑๐.หลวงพ่อเนียมสอนการปฏิบัติเพื่อเป็นการบรรลุมรรคผล..เวลาใดที่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระจอมไตรยังมีความครบถ้วน ทั้งพระธรรมวินัยในขณะนั้นถ้าคนเอาจริงเป็นพระอรหันต์ได้หมดทุกคน

    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลายและบรรดาภิกษุสามเณรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอนำเอาปฏิปทาของท่านผู้เฒ่ามาเล่าสู่ท่านฟังเพราะว่าเป็นแนวปฏิบัติ และการปฏิบัตินี่เป็นการปฏิบัติเพื่อเป็นการบรรลุมรรคผล ไม่ใช่มรรคผมสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เป็นสมัยปัจจุบันที่เรายังรู้จัก พ.ศ. อยู่นี่เอง ว่าเป็น พ.ศ. ถอยหลังจากนี้ไปไม่นานนัก สำหรับปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี้จะขอย่อให้สั้นที่สุด เพื่อเป็นแนวทางของท่านทั้งหลายจะนำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้ายาวเกินฟังกันยุ่ง ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก มันอยู่ที่กำลังใจจริงเท่านั้น คือว่าเราจะจริงกันตอนไหน จริงดีหรือว่าจริงเลว ถ้าเราจริงดีมันก็ได้ดี จริงเลวมันก็ได้เลว คำว่าจริงหรือสัจจะ มันได้ทั้งจริงดีและจริงเลว นี่สำหรับท่านผู้เฒ่าก็คงจะเหมือนกับพวกเรา คือจริงทั้งดีจริงทั้งเลวมาก่อน คนทุกคนเกิดมาในโลกไม่มีใครเป็นพระอรหันต์มาจากท้องพ่อท้องแม่ และคนทุกคนที่เกิดมาในโลกก็ทำทั้งความดีและความชั่วเหมือนกัน ไม่ใช่โผล่มาจากท้องแม่แล้วก็จะเจอแต่ความดีและสร้างแต่ความดีเสียทั้งหมด ฟังกันต่อไป

    เมื่อท่านไปพบหลวงพ่อเนียม ผมจะขอสรุปทั้งหมดเพราะว่าปฏิปทาของครูบาอาจารย์สมัยนั้นเป็นปฏิปทาที่ไม่ง้อลูกศิษย์ ไม่ใช่ว่าท่านจะตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาลูกศิษย์ แต่ทีนี้จะหาว่าท่านเป็นพระที่มีใจคับแคบก็ไม่ถูก คือท่านต้องการแต่คนดี เหมือนกับนักเล่นแร่แปรธาตุสมัยนั้นเขาเล่นแร่แปรธาตุกันมาก เอาแร่ต่างๆ มาผสมกันเข้า ซัดให้เป็นทองหลอมไล่ขี้ออกหมดแล้วก็ทำให้เป็นทองคำ ตามวัดตามวาต่างๆ เขาก็เล่นกันมาก เขาชอบเล่น เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ต้องเรียนมาจากต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่ที่ทำได้มักจะเป็นนากคือคล้ายกับมีทองผสมกับทองแดง แต่ทว่าบางท่านก็สามารถทำเป็นทองคำได้โดยที่ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนที่ไหน ผมเองเจอหลายท่านด้วยกันที่มีความรู้ประเภทนี้ แล้วแต่ละท่านก็ดีเมื่อทำได้แล้วก็ให้เจ๊กตรวจเห็นว่าเป็นทองคำแท้ จะทำขึ้นมาก็เฉพาะในการสร้างถาวรวัตถุในบวรพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่นำวิชาความรู้ความสามารถส่วนนี้ไปสร้างตัวให้มันเกิดสุขเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสร้างโบสถ์สร้างศาลาการเปรียบ สร้างวัดท่านทำ ทำเฉพาะด้านวิหารทาน

    ส่วนอื่นนอกจากนั้นไปจ้างท่านก็ไม่ทำซื้อท่านก็ไม่ขาย กำลังใจนักเล่นแร่แปรธาตุดีมีความเข้มแข็งฉันใด ครูบาอาจารย์ที่สอนพระกรรมฐานในสมัยนั้นก็มีความเข้มแข็งฉันนั้น นักเล่นแร่แปรธาตุเขาจะหาเฉพาะแร่ที่เป็นประโยชน์เอามาผสมกันเข้าจะเป็นนากได้เป็นทองได้จึงจะเอา ถ้าหากว่าจะเป็นแร่อย่างอื่นจะมีคุณค่าสวยงามขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะผสมเป็นนากได้เป็นทองได้ท่านก็ไม่ผสม ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คณะครูบาอาจารย์ที่สอนพระกรรมฐานก็เหมือนกัน ท่านก็ไม่ต้องการคนสักแต่ว่าคน หรือว่านักปฏิบัติสักแต่ว่าปฏิบัติ เป็นแต่เพียงเห็นชาวบ้านเขาทำกันก็ทำ ท่านไม่ต้องการ ท่านต้องการคนที่มีจิตใจด้านดี คือไม่ต้องการคนที่มีความจริงในด้านเลว

    ฉะนั้น ในสมัยที่ท่านผู้เฒ่าไปหาครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม ขอสรุปตามบันทึกของท่าน ก็มักจะถูกครูบาอาจารย์เทศน์เอาเสียก่อน ด่าเอาบ้าง ทำทุกอย่างให้เกิดความโกรธจะได้มีความเบื่อหน่าย ต่อเมื่อเห็นว่าทนได้ก็สอนดีทุกท่าน ตัวอย่างเช่นหลวงพ่อเนียม ท่านเป็นพระที่คนทั้งหลายบ้านใกล้ๆ เขาหาว่าท่านบ้า กว่าจะรู้ว่าดีได้หลวงพ่อเนียมจะตายเสียแล้ว เมื่อรู้กันดีจริงๆ คนใกล้ๆ นี่เมื่อหลวงพ่อเนียมตายไปนานแล้ว คนอื่นเขาไปคว้าความดีกันมาหมด นี่เป็นกฎธรรมดาของพระๆ จะดีขนาดไหนก็ตามคนใกล้ไม่ค่อยจะเห็นความดี มีแต่คนที่เขาอยู่ไกลเท่านั้น เขาจะเห็นว่าดี กว่าจะรู้ว่าดีก็หมดตายไปหมดแล้ว พอตายไปแล้วทำอย่างไร ก็อ้างซิว่า ฉันเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ฉันเป็นอย่างนั้นฉันเป็นอย่างนี้เป็นคนใกล้ชิด นี่เป็นเครื่องหลอกลวงโลก

    สมัยที่หลวงพ่อเนียมท่านด่าท่านว่าท่านทำทุกอย่างจะให้โกรธ ในเมื่อท่านผู้เฒ่าท่านไม่โกรธ วันที่สี่ท่านถามว่าเอ็งไม่โกรธหรือ ท่านก็บอกว่าท่านจะโกรธทำไม โกรธมันเป็นไฟ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ มันเผาผลาญใจให้มันร้อน คนที่โกรธไม่มีความสุข คนที่มักโกรธ หาความดีไม่ได้ หลวงพ่อเนียมท่านก็ยิ้ม เพิ่งมีการยิ้มในวันนั้น ท่านว่านี่พวกมึงด่ากูหรือไง ก็บอกท่านว่าไม่ได้ด่า แล้วท่านก็ถามว่าที่กูด่ามึงนี่ไม่โกรธหรือ ท่านผู้เฒ่าท่านก็ตอบว่าหลวงพ่อไม่ได้ด่าผม หลวงพ่อด่าใครก็ไม่รู้ผ่านไปผ่านมา ป้วนเปี้ยนไปหมด พวกผมอยู่ที่นี่ท่านไม่ได้ด่าเลย ด่าโคตรพ่อโคตรแม่นี่มันเลยผมไปหมด ไม่ถูกผม แล้วโคตรพ่อโคตรแม่ผมท่านจะรับหรือไม่รับก็ไม่ทราบ ท่านตายไปหมด แล้วท่านได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ไม่ทราบ หลวงพ่อเนียมหัวเราะชอบใจ ท่านก็บอกว่าคนกรุงเก่านี่มันอย่างนี้นา ครูบาอาจารย์ก็แบบนี้หน้าด้านหูด้านใจด้านด่าเท่าไรก็ไม่เจ็บ ลูกศิษย์ของมันก็เหมือนกัน มันคงจะสั่งสอนกันมา เอาถ้าไม่โกรธทนได้เชิญ วันนี้ไปหาข้าในกุฏิ

    ตอนนี้เองบรรดาท่านทั้งหลาย ยามเวลาที่เข้าไปหาท่านยามนั้นตามบันทึกของท่านผู้เฒ่าท่านบอกว่าผิดไปถนัด ยามที่เห็นในกาลก่อนนุ่งผ้าลอยชายเอาผ้าอาบอีกผืนหนึ่งคล้องคอเดินไปไม่มีจีวรไม่มีอังสะ ทำท่าเหมือนกับ ขอประทานอภัย เพราะหลวงพ่อเนียมท่านเป็นพระที่มีความสำคัญ ที่เราเห็นกันว่าคนที่ไม่มีวัฒนธรรมหรือคนบ้าๆ บอๆ นั่นเอง แต่ทว่าโบราณท่านบอกว่าคนประเภทนี้เป็นประเภทผ้าขี้ริ้วห่อทอง เนื้อแท้น้ำจิตของท่านเหมือนกับเพชรแท้ใสเป็นแก้ว เวลาที่เข้าไปพบเวลานั้นก็มีความเป็นพระหนุ่ม นุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ ตะเกียงเล็กๆ แสงสลัวๆ แต่ทว่าในห้องนั้นมีแสงสว่างผิดปกติ คล้ายกับมีตะเกียงเจ้าพายุสองสามลูกเข้าไปจุดไว้ มองหน้าท่านกลายเป็นพระหนุ่มผิวพรรณผ่องใสอิ่มเอิบ สวยสดงดงาม คณะท่านผู้เฒ่าเข้าไปชักถอยหน้าถอยหลัง ว่า นี่หลวงพ่อเนียมใช่หรือไม่ใช่ ในที่สุดท่านก็กวักมือบอกว่าใช่ ไม่ผิดตัวหรอก อย่าเพิ่งไปสงสัย ในห้องนี้มันมีฉันคนเดียว คณะท่านผู้เฒ่าเข้าไปกราบพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน

    ท่านก็เลยบอกว่าฉันมันเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่แน่ที่เขาเรียกว่าบ้าๆ บอๆ ก็ถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่าบางทีฉันก็หนุ่มบางทีฉันก็แก่ เอาละเรื่องนี้จบไป เรื่องของขันธ์ห้าไม่มีความหมาย จะเหลืออะไรเป็นสาระ สาระที่เราต้องการก็คือธรรมะๆ ส่วนใดที่เธอต้องการ ธรรมะส่วนนั้นเธอมีแล้วทุกอย่าง ครูบาอาจารย์ของเธอสอนมาแล้วทั้งหมด ที่เธอมาหาฉันก็มาตามครูบาอาจารย์สั่ง แล้วก็คิดว่าฉันเป็นผู้วิเศษ แต่ความจริงฉันไม่มีอะไรวิเศษเลย ขันธ์ห้าของฉันมันก็เลวมันก็จะพัง สภาพร่างกายก็ไม่ดี ความจดจำก็ไม่ดีอะไรก็ไม่ดี ทุกอย่างมันหาความดีอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเธอจงอย่ายึดขันธ์ห้าเป็นสำคัญ จงอย่ามีความพอใจว่าขันธ์ห้ามีความหมาย ขันธ์ห้าไม่เป็นที่พึ่ง ขันธ์ห้าไม่เป็นสรณะ ขันธ์ห้าไม่เป็นปัจจัยให้บังเกิดความสุข ขันธ์ห้าเป็นดินแดนนำมาซึ่งความทุกข์ ขันธ์ห้ามันไม่มีความจีรังยั่งยืน มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ขอเธอจงอย่าถือความสำคัญของขันธ์ห้าของฉันเป็นประโยชน์ เป็นอันว่าพอเริ่มต้นท่านก็ล่อขันธ์ห้าเข้าเต็มเปา แล้วก็จงจำไว้ว่าไม่แต่เฉพาะขันธ์ห้าของฉัน ขันธ์ห้าของเธอก็เหมือนกัน ขันธ์ห้าของคนอื่นใดก็เหมือนกัน ขันธ์ห้าของสัตว์ก็เหมือนกัน แม้วัตถุธาตุต่างๆ ที่เป็นธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งของความสุข มันเป็นฐานที่ตั้งของความทุกข์ มันไม่มีสภาพทรงตัว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ในที่สุดมันก็สลายตัวที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอนัตตา เอาเข้าแล้ว

    หลังจากนั้นท่านก็ถามว่าเธอต้องการอะไร ความจริงท่านผู้เฒ่าเล่าไว้ว่า ท่านจะสอนต่อไปก็พอแล้ว พวกเราที่มาเพราะอยากฟังอย่างนี้ อยากฟังเรื่องของขันธ์ห้าว่าสภาวะตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างไร เพื่อยืนยันกับคำสั่งสอนของหลวงพ่อปาน พอท่านสอนจบพวกท่านผู้เฒ่าก็กราบนมัสการว่าหลวงพ่อขอรับ สิ่งที่ผมต้องการนี้หลวงพ่อพูดหมดแล้ว แต่ว่ายังเหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้นแหละขอรับ สิ่งที่พวกผมมีความประสงค์ก็คือ อรหัตผล อยากจะทราบว่าพวกผมนี่จะเป็นพระอรหันต์กับเขาได้ไหม ท่านก็ยิ้มแล้วก็บอกว่าเรื่องนี้เธอไม่น่าจะถาม ว่าในเวลาใดที่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระจอมไตรยังมีความครบถ้วน ทั้งพระธรรมวินัยในขณะนั้นถ้าคนเอาจริงเป็นพระอรหันต์ได้หมดทุกคน

    คณะท่านผู้เฒ่าจึงกราบนมัสการลงไปอีกครั้งหนึ่ง ถามว่าทั้งนี้ต้องอาศัยบารมีใช่ไหมขอรับ ถ้าบารมีไม่ดีพอก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ท่านตอบว่าบารมีไม่ดีไม่มี บารมีทุกคนดีหมด เว้นไว้แต่ใจคนมันไม่ดีเท่าบารมีเท่านั้น เอาเข้าแล้ว ก็กราบเรียนถามว่าคณะของพวกผมที่มาด้วยกันสามคน สามองค์จะมีใครบ้างได้เป็นพระอรหันต์ ท่านมองหน้าคนนั้นครั้งคนนี้ครั้งคนโน้นครั้ง ท่านก็เลยบอกว่ามันเป็นทุกคน ถ้าเอาจริงก็ได้เป็น ถ้าไม่เอาจริงก็ไม่ได้เป็น ก็เลยกราบเรียนถามท่านตามบันทึกว่า เป็นกันเมื่อไร อยากเป็นเมื่อไรก็เป็นเมื่อนั้น แต่ว่าคนที่มากันสามคน คนหนึ่งมันปรารถนาพุทธภูมิ คนนี้จะเป็นทีหลังเขา จนกระทั่งจะเปลื้องใจจากพุทธภูมิเมื่อไรเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น แต่ว่าต้องใช้เวลาเกินกว่ายี่สิบพรรษา สำหรับเจ้าสองคนนั่นเพียงแค่สองพรรษาก็จะได้เป็นอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ แต่ว่าสมัยนั้นเขานิยมเรียกกันว่าพระอภิญญา ความจริงปฏิสัมภิทา เพราะว่าเขาได้สมาบัติแปดกัน

    ต่อแต่นั้นไปก็ขอศึกษาปฏิปทาเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ก็บอกว่าปฏิปทาเพื่อความเป็นพระอรหันต์นี่มันไม่มี ไม่มีอะไรจะสอนเธอ เพราะว่าอาจารย์ของเธอสอนมาหมด แต่ว่าอาจารย์ของเธอเป็นพระโพธิสัตว์จึงไม่มีความมั่นใจในการบรรลุมรรคผลของลูกศิษย์ นี่เป็นอาการหนึ่งของคนที่เขาทำไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่มั่นใจในตนเองว่าเขาสอนถูก แต่ความจริงเขาสอนถูก แต่ว่าเขาไม่บอกจุดให้ลง ทั้งนี้คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจะทรงวิปัสสนาญาณคู่กับสมถภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมถภาวนาต้องศึกษาจับจุดทั้งหมด คือทั้งกรรมฐานสี่สิบแล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตร แล้วก็มีสูตรอื่นอีกมาก จะต้องทรงคุณธรรมนั้นทั้งหมด เพราะเป็นผู้ทรงความดีมากมีกำลังใจสูงที่เรียกกันว่ามีบารมีสูง มิฉะนั้นเขาจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ความสนใจในปฏิปทานี้ของเขามีครบในด้านวิปัสสนาญาณเขาก็มีครบ แต่ว่าจะบรรลุมรรคผลส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ เขาจึงไม่กล้ายืนยัน แต่ความจริงคำสอนเหล่านั้นเขาสอนมาครบ ทุกอย่างเมื่อเธอต้องการฉันจะบอกให้

    การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกิทาคา อนาคา อรหันต์ก็ดี เขาศึกษากันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิได้ตัวเดียวก็เป็นพระอรหันต์ แต่ทว่าตอนที่จะตัดสักกายทิฏฐิ เธอจงปฏิบัติตามนี้นะ ก่อนที่จะใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ อันดับแรกเข้าฌานให้ถึงที่สุดที่เธอทรงได้ เข้าฌานออกฌานสลับกันมาสลับกันไปให้มันมีความทรงตัว แล้วทำจิตให้ทรงในฌานให้แนบสนิททรงตัวมีความสุขที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอทั้งหมดได้สมาบัติแปดมาแล้ว แล้วก็ศึกษาด้านอภิญญามาแล้ว อย่างนี้เป็นของไม่ยาก ในด้านวิปัสสนาญาณ ใช้กำลังสมาบัติแปดเป็นกำลังใหญ่ ทรงใจให้ทรงตัวแล้วถอยหลังไปถึงอุปจารสมาธิ พิจารณาขันธ์ห้าว่าขันธ์ห้ามันเป็นภัยสำหรับเรา เป็นวัตถุธาตุที่สร้างด้วยทุกข์สร้างด้วยโทษ ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มองดูขันธ์ห้าคือ ร่างกายสิเกิดเราต้องเลี้ยงมันเท่าไร มันชอบอะไรเราให้มันกินทั้งหมด แต่เราไม่ต้องการจะป่วยมันก็ยังขืนป่วย เราไม่ต้องการจะเพลียมันก็เพลีย เราไม่ต้องการจะแก่อย่างฉันนี่ ฉันไม่เคยต้องการให้มันแก่มันก็แก่ คนที่เขาตายไปก่อนเราเขาไม่ต้องการจะตายมันก็ตาย ในเมื่อขันธ์ห้ามันเลวทรามอย่างนี้จะคบค้าสมาคมกับมันเพื่อประโยชน์อะไร

    อันดับแรกจับจุดเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ระงับความพอใจในขันธ์ห้าเสีย คิดว่ามันจะตายเสมอ แล้วทรงศีลให้บริสุทธิ์ ศีลควรทำเป็นศีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คำว่าเป็นกำลังฌานก็คือทรงอารมณ์อยู่ในศีลตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องจากใจ ไม่ใช่ว่าต้องไปนั่งหลับตาปี๋ เดินไปเดินมาเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา คุยกับหมาคุยกับแมว ศีลทรงตัวใช้ได้ เจอหน้าคนเขาด่าคนเขาว่าเขานินทาศีลเราไม่ด่างใช้ได้ น้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัยสามประการคือทรงพระกรรมฐานสามอย่าง ให้ฌานคือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ให้ทรงตัว ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เธอทรงได้หมดแล้วนี่ จะต้องมานั่งสอนอะไรกัน เว้นไว้แต่จิตใจอย่างเดียว คือ อารมณ์พระนิพพานเธอยังไม่มั่นใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงตัดสินใจทรงอุปสมานุสสติให้ทรงตัว

    เจ้าสองคนข้างซ้าย ท่านว่าอย่างนั้น ใช้กำลังแห่งอภิญญาสมาบัติของเธอขึ้นไปนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วศึกษากับท่านโดยตรง ท่านจะชี้จุดมาให้พวกเธอ แล้วเธอจงปฏิบัติตามจุดนั้น มันไม่ช้าไม่นาน กำลังสมาบัติแปดและอภิญญาของเธอจะช่วยเธอเป็นพระอรหันต์ได้ภายในเจ็ดวันก็ได้เจ็ดเดือนก็ได้ แต่คำว่าเจ็ดปีไม่มี สำหรับคนที่ทรงอภิญญาหกหรือปฏิสัมภิทา อย่างเลวที่สุดภายในหนึ่งเดือนก็ได้ ให้รักษากำลังใจตามนี้

    แล้วสำหรับเจ้าคนนี้ปรารถนาพุทธภูมิ เอ็งไปไม่รอด อาจารย์เอ็งบอกแล้วว่า ๑๐ ปี ออกจากวัด นั่นอาจารย์เขารู้ว่าเอ็งไม่สามารถจะรักษากำลังพระโพธิสัตว์ไว้ได้ จะต้องปฏิบัติตัดทางภายหลัง แต่ว่าเขารู้ว่าต้องถึงเวลานั้นก่อน เวลานี้ต้องสร้างบารมีอื่นเติม เพราะในฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วในเวลานั้นมาตัดสินใจลัดภายในเดือนเดียวก็สำเร็จมรรคผล เป็นอันว่าท่านก็สอนอะไรไม่มาก ให้บอกว่าจงจำไว้ว่าพระโสดาบันน่ะไม่มีอะไร กำลังใจที่ทรงเป็นฌานเธอมีอยู่แล้ว แต่ขาดอุปสมานุสสติกรรมฐาน กลับไปใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว แต่ว่าความจริงมันก็ไม่มีอะไร แล้วแกไม่ยึดไว้เป็นอารมณ์โดยเฉพาะเท่านั้น มัวแต่ไปเล่นสมาบัติกันเกินไป มัวไปเล่นอภิญญากันเพลินไป มันก็ใช้ไม่ได้ จะว่าใช้ไม่ได้มันก็ไม่ถูก อาจารย์เขาเก่งอย่างนั้น เขาเอาแค่นั้นตัวลูกศิษย์มันก็ไปเท่านั้น ทีนี้อาจารย์เขาเห็นว่าเธอจะไปไกลในด้านสาวกภูมิ เขาจึงส่งมานี่

    ถามท่านว่าสำหรับพระสกิทาคามี ท่านว่าไอ้นี่กูไม่สอนโว้ย สกิทาคากับพระโสดาบันคล้ายคลึงกัน กำลังของพวกแกมันเลยไปแล้วนี่

    ถามถึงอนาคามีท่านก็บอกว่ามันก็ไม่ยาก เมื่อเราได้สมาบัติแปด อภิญญาสมาบัติก็ใช้กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐานให้ช่ำใจควบกับสักกายทิฏฐิ นอกจากจะเห็นว่ามันสกปรกก็เห็นว่ามันจะสลายตัวเสียด้วย แล้วมันสกปรกเน่าเละอย่างนี้จะมีอะไรบ้างที่เราพอใจ สำหรับความโกรธ ความพยาบาทนั้น เวลานี้เราข่มใจเสียด้วยความอำนาจสมาบัติแปด แล้วก็มันไม่หนักอะไรใช้วิปัสสนาญาณคือสักกายทิฏฐิควบเข้าไว้ คนมันด่ามันด่าไม่ถูกเรา อย่างที่เอ็งคิดนั้นมันถูกแล้ว เขาก็ด่าขันธ์ห้าของเรา เขาอยากจะด่าก็เชิญด่าตามใจ เราไม่สะดุ้งสะเทือนคนด่าเขาตกนรกไปเอง แล้วเรามีเมตตาพรหมวิหารนี่มันก็ได้หมดแล้วนี่หว่า กรรมฐานสี่สิบก็ศึกษาแล้วไม่เห็นมีอะไรต้องสอน

    ต่อไปถามว่าความเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไร ท่านบอกว่านั่นมันเรื่องขี้ผงแล้ว อย่าไปติดในฌานมันเกินไป ฌานเราใช้แต่ถือว่าอย่าติดในรูปฌานและอรูปฌานที่เราใช้ว่าเป็นของวิเศษว่าเป็นกำลังใหญ่ที่ทำให้เราเข้าประหัตประหารกิเลสเท่านั้น แล้วอารมณ์การถือตัวถือตนว่าเป็นผู้วิเศษ บางทีมันยังไปไม่ได้มันยังถือว่าเป็นผู้วิเศษ ได้อภิญญาสมาบัติ ได้สมาบัติแปดกูดีกว่าคนนั้น กูเลวกว่าคนนี้ กูเสมอกับคนนั้น อารมณ์อย่างนี้ก็ทิ้งไปเสีย แล้วตัวอุทธัจจะคิดว่าเราอยากจะไปเป็นพรหมเป็นเทวดานั่นเลิกกัน ต้องการไปนิพพานอย่างเดียว เท่านี้มันก็เป็นการตัดอวิชชาความโง่พระอรหันต์มีเท่านี้ เป็นอันว่าอยู่กับบ้าน อย่าไปเล่าเรื่องละเอียดไม่มีความหมาย เอาความหมายในปฏิปทาที่ท่านสอนเท่านั้น ท่านผู้เฒ่ากล่าวว่าอาศัยอยู่ในวัดของท่าน อาศัยให้ท่านฝึกท่านสอนอบรม ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน ความจริงสิบวันเศษๆ ท่านก็ไล่กลับแล้ว โดนพระดื้อไม่กลับอยู่หนึ่งเดือน พอท่านเห็นว่าช่ำชองดีแล้ว ท่านก็ไล่กลับ อยู่เกะกะกลับไปก็แล้วกัน เลี้ยงตัวรอดได้แล้ว

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี่หลวงพ่อเนียมสอนมากกว่านี้ แต่โดยย่อแล้วสรุปได้แต่เพียงเท่านี้ หากว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจดีแล้วก็จริง ในด้านของความดีมันก็เป็นของไม่แปลก เราเคยฟังกันมาทุกวัน หากว่าบรรดาท่านและบรรดาภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความประสงค์อย่างนั้นก็มีผลอย่างนั้นตามที่หลวงพ่อเนียมว่า สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็เห็นว่าหมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านพยายามทรงกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะนั่งนอนยืนเดินก็ได้ตามอัธยาศัย ภาวนาหรือพิจารณากรรมฐานตามอัธยาศัยที่ท่านเห็นว่าควร จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สำหรับเวลานี่ไม่กำหนดให้ พอใจเท่าไรทำเท่านั้น จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินก็ได้ตามอัธยาศัย
    จาก หนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    https://palungjit.org/
    FB_IMG_1590362805646.jpg
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ปักหมุดไว้ตรงนี้ก่อน

    #ตำนานรอยพระพุทธบาทข้างซ้ายที่วัดถ้ำป่าไผ่

    #วันมาฆบูชา ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้า(หลวงพี่โบ้ ภัทรพล เทวฤทธิ์) และคณะทุกท่าน ได้ทำผางประทีป ๑,๐๐๐ ดวง เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ณ รอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานบนภูเขา ช่วงเย็นได้ลงมาจากภูเขา เพื่อถวายยาคิลานเภสัช “พ่อ”(#พระเดชพระคุณตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ) เมื่อกราบพระคุณพ่อแล้ว

    #พระคุณพ่อแก้ว กล่าวว่า “ลูกช่วยทำเรื่องรอยพระพุทธบาทให้พ่อด้วยน่ะฯ” พร้อมทั้งนั้น พระคุณท่านได้มอบบันทึกตำนานมา ดังท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย จักได้ทัศนา ณ กาลบัดนี้...

    _________________________________

    #พระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ (ถ้ำดอยโตน) อ.ลี้ จ.ลำพูน
    กว้าง ๑ ศอกกว่า ยาว ๒ ศอกคืบ เป็นรอยพระพุทธบาทเกือกแก้ว ไม่ปรากฏรอยนิ้ว สภาพเดิมมิได้แต่งรอย...

    #รอยพระพุทธบาทนี้ ตั้งอยู่เหนือดอยโตน #บนถ้ำป่าไผ่ มาแต่โบราณกาล แต่หามีผู้ใดพบเห็นเป็นประจักษ์ไม่ ด้วยความรกชัฎแห่งต้นไม้ เครือเขาแลเถาวัลย์...

    ตำนานได้จารึกไว้ว่า #อดีตกาลสมัยหนึ่ง #พระเดชพระคุณหลวงปู่ครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี แห่งวัดพระพุทธบาทผาหนาม ได้กล่าวพยากรณ์ไว้ว่า...

    “รอยพระพุทธบาท ที่พุทธบริษัทได้บูชากันอยู่ทุกวันนี้ ที่อยู่ข้างล่างนั่นยังมิใช่ของแท้ ของแท้อยู่บนเขาที่หลังถ้ำดอยโตน(ถ้ำป่าไผ่) ในอนาคตพวกท่านก็จักได้เห็นกัน”

    #ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๕๒๓
    #พ่อน้อยจุ่ม #ขัดสาร อยู่บ้านป่าไผ่ เมืองลี้ ได้ฝันไปว่า.....

    “มีเมฆก้อนกลมๆโตๆ ๒ ก้อน ลอยมาทางทิศตะวันตกหนึ่งก้อน และทางทิศตะวันออกหนึ่งก้อน มาบรรจบรวมกันเป็นก้อนเดียวที่หลังดอยโตนแห่งนี้ จากนั้นจึงจรลีเคลื่อนคล้อยต่ำลงสู่พื้นบุรภาคย์ แปลกประหลาดกลับกลายเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ และเปล่งพระฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พวยพุ่งออกมางดงามตาหนักหนา เมื่อมองไปใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นนา พลันได้เห็นกายาแห่งพระสงฆ์รูปหนึ่งก็................”
    #สะดุ้งตกใจตื่น!!

    ในวันนั้นผู้เป็นเจ้าของแห่งฝันอันเป็นมงคลยิ่ง ได้ขึ้นไปเก็บเห็ด #บนดอยโตน ที่ตนฝันเห็นเมื่อยามราตรีกาลที่ผ่านมา ท่านผู้เฒ่าผู้มีบุญวาสนาจึงได้พานพบ #รอยพระพุทธบาทแห่งสมเด็จพระบรมโลกนาถ พลันก็เกิดปีติโสมนัสศรัทธามากหลาย ได้กราบไหว้สักการะบูชา นับแต่กาลบัดนั้นมา ก็อุตสาหะมานะพยายามขึ้นมาบนภูเขานี้ มิได้ขาดเพื่อทำความสะอาดรอบๆบริเวณรอยพระพุทธบาท ด้วยความเคารพสักการะอยู่เสมอ

    #ล่วงมาถึงปีพุทธศักราช ๒๕๓๕
    #ท่านพระอาจารย์สิงห์(พระคุณตุ๊พ่อฯ)ได้มาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำป่าไผ่ ได้ทราบตำนานนี้แล้ว จึงได้พาคณะพุทธบริษัทไปกราบอาราธนา #พระเดชพระคุณหลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา แห่งวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม #มาตรวจดูด้วยญาณ พระเดชพระคุณท่านพินิจดูแจ้งแล้ว จึงกล่าวว่า....

    “#เป็นรอยพระพุทธบาทจริง #เป็นรอยพระพุทธบาทข้างซ้าย โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงหันพระพักตร์ไปยังทิศใต้ แล้วทรงก้าวพระบาทข้างซ้ายเหยียบประทับรอยพระบาทแล้ว จึงหันพระองค์กลับดำเนินไป”

    #ลุถึงปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    ทางวัดได้บุหินอ่อน ณ บริเวณโดยรอบรอยพระพุทธบาทและสร้างมณฑปด้านบน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มากราบไหว้บูชาสืบไป...

    #อันจักบังเกิดผลาอานิสงส์ ช่วยให้เดินทางปลอดภัย มีความคล่องตัว มีโชคลาภในการเดินทางไปมา ถ้าอธิษฐานระลึกถึง พระบรมศาสดาไว้ด้วยก็จะไม่หลงออกจากสัมมาทิฏฐิ หากมีเจตจำนงจักให้มีอานิสงส์โดยตลอดก็พึงไหว้ทุกวันตลอดไป หากต้องการอานิสงส์ผลบุญมากหลาย ก็ให้ไหว้รอยพระพุทธบาททั้ง ๔ พระองค์เลย........

    “#นะโมพุทธายะ กุกกุสันธัง โคนาคะมะนัง กัสสะปัง โคตะมัง ปาทะวะลัญชัง อะหังวันทามิ สัพพะทา อะหังวันทามิ สิระสาฯ”
    _________________________________
    #บทพิเศษ

    พระเดชพระคุณตุ๊พ่อฯ เล่าให้ฟังว่า........
    #สมัยก่อนครั้งกระโน้นพระคุณท่านเป็นพระยากจนมาก จะไปบ้านพ่อ(วัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี แต่ละทีก็ไม่มีค่ารถ บางคราพอมีบ้างแต่ไม่พอ
    จนไปพบพระภิกษุรูปหนึ่ง และได้ปรารภเรื่องนี้ให้ท่านฟัง จึงได้คำแนะนำว่า “ให้ไหว้รอยพระพุทธบาททุกๆวัน แล้วจะเดินทางสะดวก”

    พระคุณตุ๊พ่อ เล่าต่อว่า พระภิกษุรูปนี้จะไปไหน จะขึ้นเครื่องบินคนยังแย่งกันนิมนต์ท่านขึ้นเลย ลำนั้นก็นิมนต์ ลำนี้ก็นิมนต์ว่างั้น...

    เมื่อพระคุณตุ๊พ่อ ได้ลองปฏิบัติตามแล้ว รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม มีคนถวายค่ารถบ้าง ชวนขึ้นรถบ้าง

    #ปัจจุบันมีท่านผู้ใจบุญนำรถมาถวายบ้าง
    #ปัจจุบันมีท่านผู้ใจบุญถวายค่าตั๋วเครื่องบินในการไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างจังหวัดบ้าง

    ขอบพระคุณ/เรื่อง : พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก น.๒๒๘
    คู่มือเที่ยวชมถ้ำป่าไผ่ (ฉบับพิเศษ)ฉลองครบรอบ ๘๐ ปี พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ น.๘๔-๘๙
    ภาพ : แฟ้มคลังภาพของพระคุณตุ๊พ่อ
    ยุทธดนัย สิงหนาท
    ท่านเจ้าของภาพทุกท่าน

    เรียบเรียง: หลวงพี่โบ้ ภัทรพล เทวฤทธิ์
    FB_IMG_1590383350373.jpg FB_IMG_1590383353072.jpg FB_IMG_1590383355966.jpg FB_IMG_1590383346727.jpg FB_IMG_1590383359402.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...