ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพ่อสมหวังบรรจุธาตุพระปัจเจก(ขอทรัพย์พระปัจเจก) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,954
    ค่าพลัง:
    +5,658
    เหรียญบาตรน้ำมนต์เจ้าขรัวเเสง
    ตะกรุดบรมอินทรา

    โอนเงินแล้ว 5,000.85 บาท วันที่ 14/6/58 เวลา 9.41 น.
    ค่าจัดส่ง 100.85 บาท
    ที่อยู่ ตาม pm
     
  2. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    แจ้งโอนเงินบูชาพระขุนแผนพรายกุมารและตะกรุดบรมอินทรา(ท้าวกำพร้า)ครับ
    ที่อยู่จัดส่งทาง PM ครับ

    วันที่ทำรายการ: 15/06/2015 12:58:31 และ 12:59:15
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2015
  3. THATCHAKON

    THATCHAKON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +3,250
    แจ้งได้รับวัตถุมงคลแล้ว ขอบคุณครับ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    คาถาแบบไก่ๆ

    วันนี้จะเอาพระคาถามาเสนออยู่ 2 บท

    บทแรกนั้นหลายท่านคงคุ้นเเละเคยสวดกันอยู่เเล้วก็คือคาถาพญาไก่เถื่อนนั่นเอง
    พระคาถาบทนี้ท่านว่าไว้ให้สวดภาวนาทุกเช้าค่ำ มีลาภผลมาก เหมาะกับคนขยันทำมาหากิน ภาวนาบทนี้ท่านว่ารวยง่ายช่องทางเปิดเหมือนไก่ป่าขยันคุ้ยเขี่ยหาอาหารไม่มีวันอดตายเช่นนั้น ซึ่งบทนี้นอกจากเด่นทางทำมาหากินเเล้วยังมีดีครอบจักรวาลอีกด้วย เรียกได้ว่าใช้ได้หลายทางเลย ตัวคาถาก็คือ

    เวทาสากุ กุสาเวทา ยะสาตะตะ ตะยะสาทา สาสาทิสาสา กุกุทิสา สากุภูภู(ซึ่งพระคาถาของพ่ออาจารย์บทนี้ทำให้ได้เห็นว่าคาถาไก่เถื่อนนั้นมีหลายบทเลยทีเดียว มองผ่านอ่านจะคล้ายกัน เเต่ตัวคาถาคนละอย่าง ท่านว่าบทนี้จะดีเป็นพิเศษภาวนาเเล้วจะได้ทางลาภผลเข้ามามาก)

    อีกบทหนึ่งก็เป็นคาถาไก่เหมือนกัน ขอติดไว้พรุ่งนี้ดีกว่า555+ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรพิมพ์ จดกันไว้ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2015
  5. sos1234

    sos1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,131
    แจ้งโอนเงินจำนวน 4100.- บาท ตามสลิปข้างล่างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    คาถาแบบไก่ๆ(2)

    ต่อจากเมื่อวาน

    วันนี้ก็สัญญาไว้ว่าจะพิมพ์คาถาอีกบทหนึ่ง ซึ่งบทเมื่อวานถือว่าเป็นไก่เถื่อนเเบบที่เร่งลาภการทำมาหากิน

    วันนี้ก็จะมาต่อกันในคาถาพญาไก่เเก้ว หลายๆท่านที่ชอบทางบู๊ก็ควรจะเรียนกันไว้เพื่อป้องกันตัว

    สำหรับพระคาถาพญาไก่เเก้วนี้ผู้ใดประสงค์จะเรียนไว้ ให้เเต่งขัน5 เทียนขี้ผึ้งหนัก1บาทคู่หนึ่ง เเลดอกไม้ขาว มาบูชาคุณพระพุทธเจ้าเถิด จึงเรียนเเละถือเป็นกรรมสิทธิ์เป็นอันใช้ได้เเล ซึ่งพระคาถาบทนี้มีพรรณคุณวิเศษ โบราณจารย์กล่าไว้ว่าภาวนาเเล้ว ตันปืนวิเศษนัก

    อะสิ คะติ ทะนุ วะวิคะ วิพัคคัง วะจะนัง มุเมนะ พุส สัน ติ

    พระคาถาบทนี้ชื่อว่าพญาไก่เเก้ว เป็นพระคาถาสำหรับฝ่ายบู๊ ใครที่ทำงานราชการ เป็นทหารตำรวจที่ต้องเผชิญกับโฏจรผู้ร้ายควรร่ำเรียนไว้ภาวนา ชีวิตจะได้ปลอดภัยจากอันตรายอันจะเกิดเเต่อาวุธเช่นปืนทั้งนี้เป็นต้น
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ความรู้วันละนิด(อรูปพรหม)

    ความรู้วันละนิด ที่จะนำเสนอวันนี้ ก็น่าจะเเบ่งได้หลายตอน เอามาคั่นไว้กันคนเบื่อกัน จะพิมพ์เรื่องสวรรค์ชั้นอรูปพรหมเเทรกไว้เเล้วค่อยเข้าสู่เนื้อหาเรื่องเดิม

    เพราะผลแห่งการกระทำของสิ่งมีชีวิต จึงทำให้เกิดพิภพต่างๆขึ้นมากมาย สำหรับการกระทำบาปนั้นก็มีหลายรูปแบบ ทำให้เกิดนรกขึ้นมากมายหลายขุม ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ประพฤติดีหมั่นทำบุญนั้น ก็ทำให้สวรรค์มีหลากหลายภพภูมิ ในสุคติภพนั้นมีทั้งกามาพจรภูมิ รูปาวจรภูมิ และอรูปาวจรภูมิ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อล่วงเลยขึ้นมาถึงอรูปาวจรภูมิเเล้วนั่นย่อมหมายความว่า ดวงจิตนั้นไร้ซึ่งรูปรอยแห่งจิตใจ

    ที่กล่าวเสียว่าไร้รูปรอยเเห่งจิตใจนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพรหมทั้งหลายในอรูปพรหมเหล่านี้ ทั้ง 4 ลำดับชั้น ถูกจัดว่าเป็นบุคคลผู้หาตัวตนบ่มิได้ หากเเต่ยังคงเหลือจิต ยังเหลือพลังงานทางใจอยู่นั่นเอง

    วันนี้เราจะมาทำความรู้จักอรูปพรหมโลกทั้ง 4 ชั้นกัน

    1. อากาสานัญจายตนอรูปพรหม
    จะกล่าวว่านี่เป็นบันไดชั้นเเรก เป็นสวรรค์ภพแรกในดินแดนอรูปพรหมก็ไม่ผิด อากาสานัญจายตนะนั้น เป็นดินแดนแห่งอารมณ์ของจิตในช่วงขณะที่สมาธินั้นอยู่สูงเเละประณีต บริสุทธิ์เกินกว่าและยิ่งกว่าจิตใจในขณะที่เข้าสมาธิระดับฌาน4 ขึ้นไป ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เกิดจากการกำหนดเอาอากาศ ว่าอากาศนี้เป็นความกว้าง เป็นความว่างเปล่าอันหาที่สิ้นสุดมิได้ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวนี้ก็ทำให้ดวงจิตนั้นๆค้นพบดินเเดนอันประณีตยิ่งใหญ่ไพศาล อันชื่อว่าพิภพอากาสานัญจายตนะอรูปพรหม

    ซึ่งถึงแม้ว่าสวรรค์ชั้นนี้จะยิ่งใหญ่เเละสุขุมลึกซึ้งสักปานใด แต่ก็ยังมีที่สิ้นสุดอยู่ดี อายุขัยของชาวอรูปพรหมชั้นอากาสานัญจายตนะก็มีอายุได้ประมาณ 20,000 มหากัลป

    จะเห็นได้ว่าเเม้จะยิ่งใหญ่เเละยืนยาวสักปานใด เทพเจ้าเเละเหล่ามหาพรหมก็ยังต้องตายลงมาสู่กฏธรรมชาติอยู่ดี นั่นก็คือวัฏจักรเเห่งการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิอื่นๆที่อยู่ในระดับต่ำกว่า

    เเต่เนื่องจากเป็นความพิเศษของชาวอรูปพรหมอากานัญจายตนะ ที่ใช่ว่าใครก็จะขึ้นไปได้ง่ายๆ ผู้ที่จะอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้นอกจากจะต้องปฏิบัติโยคะชั้นสูงเเล้ว ซ้ำยังต้องถือพรหมจรรย์ในระดับสูงมาก ไม่ใช่มนุษย์ที่ไร้พรหมจรรย์นึกจะเข้าสมาธิก็จะไปได้ ดังนั้นแม้สิ้นอายุขัย ก็จะไปบังเกิดในอรูปพรหมโลก อุบัติอยู่ในชั้นเดิมหรือชั้นที่สูงขึ้นไป หรือจะลงมาเสวยสุขสมบัติอยู่ในกามาวจรอันเป็นสุคติภูมิก็เป็นได้ ซึ่งจะไม่ลงไปเกิดในรูปพรหมเเละอบายภูมิทั้ง4โดยเด็ดขาด

    2.วิญญาณัญจายตนอรูปพรหม
    นี่คือสวรรค์ชั้นที่ 2 ของอรูปภพ เป็นดินเเดนที่ยิ่งใหญ่เเละประณีตอีกชั้นหนึ่ง เรามาทำความรู้จักดินเเดนอรูปพรหมโลกชั้นที่ 2 กัน บุคคลที่จะเข้าถึงสวรรค์ชั้นนี้ก็ได้เเก่เหล่าผู้ปฏิบัติ กระทำฌาน 5 สิ่ง ในชั้นต่ำแล้ว จนได้อากาสานัญจายตนะสมาบัติ แต่ก็ยังไม่มีความพอใจในสมาบัติที่ได้มาเพราะว่าใจนั้นปรารถนาสูงกว่า ถึงเถิงเอาวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ด้วยความปรารถนาสูงสุดของตน

    อันว่าสวรรค์ชั้นวิญญาณัญจายตนะอรูปพรหมนั้น เป็นดินเเดนแห่งอารมณ์ของจิตในขณะที่สมาธิอยู่สูงและประณีตเกินกว่าอากาสานัญจายนะสมาบัติไปอีก เกิดเพราะผู้ปฏิบัตินั้นๆ ได้กำหนดว่า วิญญาณไม่มีความสิ้นสุด ต่างกับอากาสานัญจายตนะที่กำหนดเอาอากาศเเละความว่างเปล่าไม่มีความสิ้นสุด

    ต้องยอมรับว่าดวงจิตที่เข้าถึงภพภูมินี้เป็นจิตที่มีความประณีต มีสถานภาพอันยิ่งใหญ่ มีความละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่าอากาศแต่ถึงกระไรนั้น แม้สวรรค์ชั้นนี้ก็ตามเเต่ ก็ยังมีจุดสิ้นสุด มีอายุขัยแห่งดวงจิตของเหล่าอรูปพรหมเช่นเดิม เหล่าอรูปพรหมชั้นนี้นั้นจะมีอายุขัยอยู่ที่ 40,000 มหากัลป

    ซึ่งเมื่อครบอายุขัยอันยาวนานโลกนี้เเตกสลายดับสูญนับครั้งไม่ถ้านเเล้วก็ยังต้องลงมาเกิด เข้าสู่วงจรเเละวัฏฏจักรเเห่งธรรมชาติอยู่ดี ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับอากาสานัญจายตนะว่าดวงจิตที่มีความประณีตสูงส่งเช่นนี้หากไม่อุบัติต่อไปในอรูปพรหมโลก ก็มักจะลงไปเสพย์สุขอยู่ในกามภพ จะไม่ลงไปอยู่รูปภพเเละอบายภูมิทั้ง 4 เช่นเดิม

    พรุ่งนี้ติดตามตอนที่ 2 ถ้าสนใจจะศึกษากันก็ให้กดอะไรไว้บ้างนะครับ555+ จะได้รู้ว่ามีคนอ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2015
  8. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    ตะกรุดบรมอินทรา(ท้าวกำพร้า) สามารถนำมาเลี่ยมคล้องคอได้ไหมครับ หรือต้องบูชาใส่พาน อย่างเดียวครับ
     
  9. seekerpunch

    seekerpunch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +3,114
    ได้รับตะกรุดบรมอินทรา(ท้าวกำพร้า) แล้วครับ
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    เรื่องเล่า

    อันนี้เป็นเรื่องเล่านะครับ ผมก็ไม่ได้เห็นมากับตา เเค่ฟังเจ้าของเรื่องเขาเล่ามาอีกที

    ในปัจจุบันนั้นอาชีพร่างทรงจะเป็นอะไรที่หลอกลวงชาวบ้านได้ง่ายที่สุด ซึ่งหากใครเคยหลงเข้าไปในวงการนี้ ก็จะโดนหลอกว่ามีองค์ให้รับขันธ์ต่างๆนานา

    ซึ่งขันธ์ที่รับนั้น มันตามมาพรอมกับข้อปฏิบัติมากมาย หากเเต่สำนักเหล่านั้นไม่ได้บอกความหมาย บอกข้อวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดเหล่านั้นเเก่ผู้บูชาไปเลย

    ก็เป็นที่ทราบกันว่า ขันธ์ที่รับเหล่านั้นมันไม่ใช่ขันธ์เทพพรหมที่ไหน เเต่ผู้ที่รับมักจะตกต่ำลงถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวก็มี เพราะไปรับเอาขันธ์ผีขันธ์สัมภเวสีเข้ามา

    เรื่องเหล่านี้ก็เคยพูดกันไปหลายครั้งเเล้ว ในเรื่องบทความเก่าๆ อาจจะเคยย้ำกันบ่อยมากด้วยในระดับหนึ่ง เพราะอยากจะเตือนสิ่งที่เป็นภัยสังคมให้ผู้ไม่รู้เเละยังหลงผิดได้เข้าใจ

    ที่ยกมาพูดในคราวนี้เพราะพอดีได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้รับขันธ์เทพขันธ์พรหมกับพ่ออาจารย์ไป ซึ่งท่านทำให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเเต่อย่างใด เเต่ให้ไปหาขันธ์มาเอง เหตุที่จะรับนั้นก็เป็นเหตุของเบื้องบนนั้นกำหนดให้เขามาหามาพบท่านเเละซื้อขันธ์มาให้ท่านยกประสิทธิ์ให้

    ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก เขาเล่าว่าตอนเขาไปซื้อขันธ์มานั้น เขาก็อุ้มขันธ์ขึ้นมานั่งบนรถโดยสาร มีป้าแก่ๆคนหนึ่งเห็นขันธ์พรหม ก็รีบยกมือไหว้ที่ขันธ์พรหมนั้น เอาเเต่ยกมือไหว้อยู่แบบนั้น ไม่รู้แกเห็นอะไร ก่อนจะเอาขันธ์มามอบให้พ่ออาจารย์ไว้เเละท่านก็นัดทำพิธียกขันธ์ประสิทธิ์ให้นั่นเอง

    เรื่องเช่นนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์หรือคนธรรมดาเเบบพวกเราจะไปตัดสินใจเลือกองค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่หากเป็นลิขิตฟ้า เป็นประสงค์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางพระองค์ที่ต้องการอาศัยกายมนุษย์ในการทำภารกิจต่างๆ จึงอาจมาเข้านิมิตรบอกกล่าวด้วยสิ่งที่เหนือเหตุผลเเละเหนือธรรมชาติ ซึ่งถ้ามีกรณีเหล่านี้เข้ามาพ่ออาจารย์ท่านพิจารณาเห็นสมควรเเล้วท่านจึงกระทำให้ตามโองการของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเหล่านั้น

    นี่ก็เป็นเรื่องแปลก ผมคิดว่าสำหรับคนที่มีองค์จริงๆหรือโดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงจับจองร่างกายเพื่อให้สำเร็จภารกิจต่างๆในโลกมนุษย์นั้น ชีวิตเขาเหล่านั้นจะไม่ตกต่ำเด็ดขาด เมื่อท่านพอใจพึงใจมีจิตปรารถนาในคุณงามความดีของเรา ถูกจริตกิริยามารยาทที่ดีงามของเราท่านก็จะมาบอกเราเอง ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะเเม้เเต่ป้าแก่ๆที่ไม่รู้อะไรยังมองเห็นเเละยกมือวันทาเอาไว้ประคองไหว้ขันธ์ที่คุณคนนั้นถือมาไม่ได้ขาดระยะ คุณคิดเหมือนผมมั๊ยล่ะว่าป้าคนนั้นเขาเห็นอะไร นี่ก็คือเรื่องแปลกๆวันละนิดที่นำมาเล่าไว้

    ความตั้งใจที่เล่าเรื่องเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้ทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นมีจริง บุญเเละบาป นรกและสวรรค์ กฏแห่งกรรมนั้น ล้วนมีอยู่จริงทั้งสิ้น แม้สิ่งที่เราไม่รู้หรือเรามองไม่เห็น ก็ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่รู้เเละมองไม่เห็นเช่นเดียวกับเรา ดังนั้นจะเป็นการดีอย่างยิ่ง หากเราสำรวมตนเองหมั่นตรึกตรองพิจารณาสิ่งต่างๆด้วยสติความยั้งคิดของตน เร่งประพฤติปฏิบัติเเต่ในสิ่งดีอันเป็นบุญทานการกุศล ทั้งนี้ก็เพื่อตัวของพวกเราเอง ด้วยความปรารถนาดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2015
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    รับขันธ์

    ก็มีเรื่องให้พูดคุยกันรอบเช้า เนื่องจากมีหลายท่านประสงค์อยากรับขันธ์ ให้พ่ออาจารย์ท่านประสิทธิ์ขันธ์ให้ ก็เป็นสาเหตุให้วันนี้เราต้องมาพูดกันอีกรอบ

    การรับขันธ์นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องสนุกหรือเล่นๆเลย จริงๆถ้าเป็นคนธรรมดาดีๆอยู่เเล้วนี่ไม่สมควรไปรับไปยุ่งเลย

    ขันธ์นั้นพ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า เปรียบเสมือนตัวเเทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าพระองค์ต่างๆ ต้องทำความเข้าใจว่ามนุษย์นั้นประกอบขึ้นเป็นรูปนามด้วยปัจจัยต่างๆ คือ
    - รูป
    - เวทนา
    - สัญญา
    - สังขาร
    - วิญญาณ
    แต่ในขณะเดียวกันเทพเจ้านั้นจะมีเพียง
    - เวทนา
    - สัญญา
    - วิญญาณ
    ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีรูปเเละสังขาร การไปรับขันธ์นั้นก็เปรียบเหมือนเราไปสร้างพันธะสัญญาอันหนักอึ้งไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เเละเทพเจ้าทั้งหลาย ไปรับสัจจะเเละการปฏิบัติจากท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไปยอมรับมอบสังขารรูปนามของตัวเองให้กับท่าน ซึ่งตรงนี้มันมีพันธะสัญญาเเละข้อตกลง เมื่อทำผิดเเล้วไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเป็นอย่างไร

    อันนี้ก็พูดทำความเข้าใจกันไว้ เพราะการรับขันธ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนที่จะรับลองมองดูตัวเองก่อน ว่าทำงานอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร มันมีความเป็นไปได้เหลืออยู่มั๊ยที่จะไปรับขันธ์ทั้งหลายเข้ามา เช่นว่า
    - คุณงดเครื่องหอมได้มั๊ย
    - คุณกินข้าววันละมื้อสองมื้อเเบบพระเณรได้มั๊ย
    - คุณงดการเสพย์กาม การหลับนอนฉันสามีภรรยาได้มั๊ย
    - คุณงดการกินเนื้อตลอดชีวิตได้มั๊ยเพราะคุณจะต้องรับสัตย์กินเเต่เจกินเเต่มังสวิรัติ
    - คุณพร้อมมั๊ยที่จะทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิในทุกๆวัน
    - คุณพร้อมมั๊ยที่จะอุทิศเวลาว่างทั้งหมดให้กับงานของพระศาสนา

    ที่จริงมีเยอะเเยะมากมาย มันไม่ใช่เเค่ประสงค์ตัวเองจะรับก็ไปรับได้ โดยบอกว่าเราพร้อม เพราะการรับขันธ์นั้นเราจะต้องได้รับการคัดเลือกจากเทพเจ้าเเละจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้เเล้วเเละท่านมีประสงค์มาบอกเราให้รับให้เป็นกายสังขารให้ท่านเพื่อจะสำเร็จภารกิจใดๆตามพันธะสัญญาระหว่างกัน ถึงจะรับ จะกล่าวได้ว่าคนที่จะรับก็ต้องมีบุญบารมีเก่ามาก่อนพอสมควรเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ไปเดินให้ร่างทรงให้หมอดูที่ไหนทักว่ามีองค์เเละก็มารับกันส่งๆไป

    เมื่อรับขันธ์มาเเล้วเเน่นอนว่าคุณจะเสียอิสระ เสียความเป็นตัวของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง คุณอาจจะดูเหมือนผู้มีพัฒนาการทางจิตสูงส่งมีอิทธิฤทธิ์อภิญญาสารพัด เเต่อย่าลืมว่ามันไม่ใช่จิตของคุณอยู่ดี พูดให้ตายมันก็เป็นจิตของคนอื่น คุณไม่ได้ประโยชน์อะไรที่ไหนตายไปคุณก็ยังมีเท่าเดิม (อันนี้อาจจะพูดตรงเเละเเสลงหูคนหลายคนนะ) เนื่องจากจิตคุณไม่ได้ฝึกฝนอบรมมา สิ่งที่เเสดงออกมานั้นมันเป็นภาวะจิตของเทพเจ้าที่มาครอบขันธ์ยึดขันธ์ในส่วนของรูปเเละกายสังขารเท่านั้น คุณอาจจะดูเหมือนผู้มีพลังพิเศษมีสัมผัสพิเศษ แต่ตายไปจิตคุณก็ยังอยู่ที่เดิมอาจจะดีกว่าชาวบ้านนิดหน่อยเพียงเท่านั้น

    ภัยอันตรายของคำว่ารูปเเละสังขารที่จะพูดนี้มันเกี่ยวกับการรับขันธ์ คือการทำพันธะสัญญาให้สิ่งที่ตนมองไม่เห็นยึดร่างเเละครอบครองร่างกายเรา อย่าลืมไปเสียว่าหากเป็นจิตวิญญาณระดับเทพพรหมก็ดีไปอยู่เเต่ว่าถ้าตรงข้ามกันมันเป็นสิ่งอุบาทว์จัญไรเต็มไปด้วยกาลกิณีไม่มีความดีงามเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อน คุณจะทำอย่างไร ถ้าโดนสิ่งเหล่านี้เข้าเเทรกเเทนเทพเจ้าชั้นสูงเเล้วชีวิตคุณจะหาความเจริญอะไรได้นอกจากความเสื่อมเเละหายนะ

    ดังนั้นก่อนจะรับขันธ์จึงต้องทำความเข้าใจกันก่อนไม่ใช่เเค่ข้าอยากรับ เเต่ประเด็นคือจิตคุณเปิดถึงขั้นนั้นเเล้วรึยัง เทพเจ้าเบื้องบนเค้าเลือกคุณหรือเปล่า คุณได้ทำพันธะสัญญากับเขาเเล้วหรือยัง มีการตกลงสื่อสารกันชัดเจนดีเเล้วหรือไม่ว่าจะลงมาใช้ร่างเราทำอะไรแบบไหนเช่นไรภารกิจอะไรที่จำเป็นจะต้องลงมาสำเร็จในโลกมนุษย์ และที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่คุณทำการตกลงด้วยนั้นเป็นเทพเจ้าจริงๆไม่ใช่จิตวิญญาณฝ่ายต่ำของภูติผีสัมภเวสีที่จำแลงรูปมา

    เอาส่วนตัวนะผมคิดว่ายากเเละโคตรวุ่นวายเลย เอาเวลามาสวดมนต์นั่งกรรมฐานพัฒนาจิตตัวเองดีกว่า มันเหมือนเสียอิสระไปชาติหนึ่งเลย เหมือนไปทำงานให้จิตดวงอื่นเเทนที่จะเอาเวลาที่ได้เกิดมาทั้งทีมาหาหนทางยกระดับพัฒนาจิตตัวเองให้สูงขึ้นทีละนิด จากคนให้ตายไปเป็นเทพเจ้ามันก็ไม่ได้ยากอะไร พ่ออาจารย์ท่านก็ไม่ได้ยกให้ทุกคน ท่านต้องนำขันธ์มาเชิญองค์ให้ก่อนที่จะครอบ แต่เหนืออื่นใดคือเจ้าตัวนั่นเเหละที่ได้เข้าไปถึงองค์เทพเจ้าเเละทำพันธะสัญญาตกลงกันไว้แบบไหนอย่างไร

    คำว่าขันธ์มันก็มีหลายเเบบ ขันธ์5 ขันธ์8 ขันธ์9 ขันธ์10 ขันธ์16 สำหรับผมมันฟังดูแล้ววุ่นวายชะมัด เพราะมันไม่ใช่เกม ไม่ใช่เรื่องตลกเเต่มันคือการรับสัจจะกับเทพเจ้าที่ ผิดเเล้วคุณต้องมีโทษเเละได้รับอาญาจากจิตวิญญาณนั้นตามสัจจะที่คุณไปรับครอบครองขันธ์เหล่านี้มา อย่าไปเชื่อถ้าใครหลอกให้รับเเละพูดว่าผิดเเล้วก็ทำใหม่ได้ขันธ์สำนักนี้ไม่ให้โทษ ก็คนครอบมันให้โทษใครได้ที่ไหนไม่ใช่เรื่องของมัน เเต่สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่จะให้โทษเรา
    - รับขันธ์5 นี่ก็ไม่รู้จะไปรับทำไม เพราะก็มีกันหมดทุกคน ขนาดมีกันอยู่กับตัวยังไม่สนใจจะรักษา ล่วงละเมิดเล็กๆน้อยๆพอให้กระชุ่มกระชวยกันทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าหากคุณไปรับขันธ์5มา เท่ากับรับสัจจะกับองค์เทพของคุณว่ากายสังขารนี้คุณจะครอบมันไว้ด้วยศีล5อย่างเคร่งครัด ขอย้ำ อย่างเคร่งครัด โปรดฟังอีกครั้ง อย่างเคร่งครัดจริงๆนะ เเน่นอนว่าถ้าคุณไม่เคร่งมันก็เรื่องของคุณ คุณต้องถูกลงโทษเเน่นอน คนครอบเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย
    - รับขันธ์8 โอ้ขุ่นพระ อันนี้ไม่อยากคิดมากเลย อันตรายนะครับ เพราะชีวิตคุณนั้นต้องถือเพศพรหมจรรย์เเล้ว จะไปเมาไปร่วมรักหลับนอนกับใครหรือแม้เเต่สามีภรรยาตนเองก็ยังไม่ได้ อาหารก็กินกันเเบบพระ กินได้สองมื้อ มื้อเย็นนี่ไม่ต้องคิด ชีวิตจะต้องถือบวชอุทิศไปกับการสวดมนต์นั่งสมาธิ เหมือนเป็นการบวชพราหมณ์แต่บวชพราหมณ์ยังมีกำหนดเวลา เเต่นี่รับขันธ์มันเป็นการบวชทั้งชีวิต ไม่ใช่นึกอยากจะทำก็ทำ เเละรับมาเเล้วก็ต้องทำให้ได้(ถามจริงๆว่าทำงานทำการกันอย่างไร มันมีความเป็นไปได้หรือเปล่าที่จะไปรับ) คิดกันดีๆ ใช้สติพิจารณากันมากๆ เพราะทำไม่ได้เทพเจ้าหรือสัมภเวสีก็ตามที่คุณรับขันธ์ไว้เขาถือครองร่างคุณดูความพัฒนาของคุณจนเขาพอใจนั้น เขาจะให้โทษกับคุณได้
    - รับขันธ์9 อันนี้ก็คล้ายๆขันธ์8คือถือศีล8แบบเคร่งครัด เอาจริงเอาจัง ทำตัวเหมือนกันเลยเเต่มันเคร่งครัด คุณทานเนื้อสัตว์ไม่ได้จะต้องกินเเต่เจกินเเต่มังสวิรัติ เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมของหอมก็ไม่ได้ ไอ้เเป้งเครื่องหอมน้ำหอมต่างๆนั้นๆลาขาดไปจากชีวิตได้เลย ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย (ลองนึกภาพว่าไปรับมาเเล้วในชีวิตคนทำงานนี่มันจะมีชีวิตเยี่ยงใด)ก็ลองพิจารณากันดูเพราะการรับสัจจะกับเทพพรหมนั้นเป็นเรื่องจริงจังไม่ใช่ของเล่น ผิดไม่ได้
    - รับขันธ์10 ผมร้องโอ้คุณพระไปแล้ว555 อันนี้ต้องโอ้พระเจ้า ที่จริงมันไม่ขำนะ เพราะมันเป็นสิกขาบท10 คุณไปรับก็เท่ากับคุณถือศีล10 แบบสามเณรเลยมันเป็นการถือบวชเชียวนะรู้หรือไม่ ไม่ใช่เเค่นั้นคือมันเยอะอ่ะ ไหนจะงดอาหารเย็น ห้ามดูมหรสพรำฟ้อนเเละสิ่งที่ให้ความบันเทิงต่างๆที่ขัดต่อกุศลเเละการขัดเกลาตนเอง ไหนจะเว้นเครื่องหอม แล้วก็เตรียมปูเสื่อนอนกันได้เลยเพราะนับจากนี้ไปคุณนั่งเก้าอี้นอนที่นอนที่สบายนุ่มนิ่มประณีตงดงามใหญ่โตไม่ได้อีกแล้ว ไหนจะต้องงดจากการรับเงินรับทองอีกชีวิตคุณจะเอาอะไรกินคิดเท่านี้แหละ คุณต้องปฏิบัติเหมือนที่คุณเณรปฏิบัติเลย แต่มันต่างกันเยอะคือน้องเณรเขาอาจจะลุเเก่ศีลผิดพลาดเล็กๆน้อยๆพอว่ากล่าวตักเตือนได้ แต่คุณมันผิดไม่ได้ เพราะนี่คือสัจจะที่ให้ไว้กับเทพพรหม ผิดสัจจะแม้จะเล็กน้อยเขาเอาเรื่องคุณเเน่ ต้องถามว่าคุณมีความสามารถอะไร งานการที่ทำนั้นเอื้อประโยชน์เเค่ไหนให้ไปรับขันธ์สูงขนาดนี้
    - รับขันธ์16 ใครกล้าก็ไปรับมาซะนะ อันนี้เเนะนำ 555+ เพราะมันเป็นขันธ์ที่มีศีล227ข้อเเบบพระสงฆ์ครอบคุณเอาไว้ ปฏิบัติกันไหวมั๊ยล่ะ ลาออกจากงานได้เลย ชีวิตมุ่งภาวนาหาความสงบอย่างเดียว อาหารก็ทานได้มื้อเดียวอันนี้ลดลงมาจากสองมื้อเเล้ว ของสดของคาวนี่ก็ห้ามกินหนักกว่าพระอีกนะขันธ์นี้ วันๆก็กินกล้วยไป ผลไม้เผือกมันอาศัยสิ่งเหล่านี้ประทังชีวิต เวลาจะเดินไปไหนนี่ก็ต้องสำรวมเดินไปอย่างมีสติจะไปเที่ยวเดินพลุกพล่านไม่เก็บอารมณ์ไม่เก็บอาการนี่ไม่ได้ ใช้ชีวิตอยู่เเบบสำรวมนั่งสมาธิอยู่เป็นที่เป็นทางไม่ต้องไปไหน บวชจิตใจให้นุ่งเหลืองห่มเหลืองได้เลย ก็เป็นเรื่องสำคัญนะคนเคยบวชพระน่าจะเข้าใจว่ามันไม่ตลกเพราะเป็นพระยังมีละเมิดกันทั่ว เเต่นี่มันคือรับสัจจะวาจากับเทพพรหม เขาตามดูเราทุกขณะจิต มันละเมิดไม่ได้ ยิ่งขันธ์สูงๆนี่ผิดพลาดมายิ่งเคราห์กรรมหนักหนาเลย

    ที่ผมเน้นคำว่ารับสัจจะวาจากับเทพพรหมมาตลอด คำนี้มันสำคัญมาก เพราะเทพทั้งหลายนั้นยังมีโทสะอยู่และอาจลุแก่อำนาจโทสะได้ ว่าเราไปรับปากเค้าเเล้วเราทำไม่ได้จะไปรับทำไม ถึงตายเชียวนะครับถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเเล้วจากที่จะเจริญมันจะล่มจมเอา

    ขึ้นชื่อว่าคนนั้นมันมักจะชุ่ยจะสะเพร่ากัน ไม่รู้ไปรับอะไรไปรับๆมาทำไม่ได้ก็ไปถอนขันธ์ให้มันเป็นเรื่องตลก เเม้ถอนไปแล้วชีวิตก็ยังเเย่อยู่หาความเจริญไม่ได้ มันต้องถามว่าที่ถอนนั้นให้ใครถอน ถอนเเล้วอย่างไร จิตวิญญาณเทพหรือสัมภเวสีเขาถอนไปกับคุณด้วยรึเปล่า เค้าก็ยังติดตามคุณอยู่ไม่ได้ไปไหนเหมือนเดิมซ้ำร้ายอาจจะโกรธแค้นหนักกว่าเดิมที่ทำอะไรสะเพร่าเลินเล่อไม่ให้เกียรติเขา ไปรับเขามา ยกร่างกายยกชีวิตให้เขาเเล้วก็ไปถอนเขาเอาดื้อๆทั้งๆที่งานหรือข้อตกลงยังไม่ทันจะเริ่ม คิดใจเขาใจเรานะ มีคนเบี้ยวเรา เราพอใจมั๊ย เราสบายใจหรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน ชีวิตคุณคงจะเจริญพิลึกเชียวเเหละที่กล้าไปทำไปยุ่งเรื่องพวกนี้

    สำหรับผมนะ ผมมองว่าอยู่สบายๆไม่ต้องไปหาเหาใส่หัวนี่แหละดีที่สุด เกิดมาก็มีศีล5 ให้รักษากัน เราตั้งใจรักษาศีล5นี่แหละ ให้ดีที่สุดให้ครบก่อน มีเวลาก็นั่งกรรมฐานสวดมนต์ไหว้พระยกระดับจิตใจตัวเองไป ไม่ต้องไปก่อพันธะสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่ถือเเละให้ความสำคัญเรื่องสัจจะวาจาเเละคำมั่นสัญญาอย่างเทพเจ้าเเละพรหมทั้งหลาย เพราะคนเเก้คนถอนนั้นก็ไม่ตลกเหมือนกัน อย่างที่พูดว่าคนที่จะครอบได้จะต้องสื่อสารกับเทพพรหมรู้เรื่อง คนที่จะถอนได้ก็เช่นกัน จะต้องสามารถพูดให้เขาคลายความโกรธที่เราไปผิดสัญญากับเขาได้ อันนี้บอกไว้เลยว่าพ่ออาจารย์ท่านไม่ได้รับถอนขันธ์ที่ใครๆรับมา เพราะเเน่นอนว่าหากท่านรับทำนี่คงมีเข้ามาทุกวันเเละยุ่งยากพิลึก

    ก็นำมาให้อ่านไว้เป็นความรู้กัน จะได้เตือนตนเเละระมัดระวังตนเองไม่ไปหลงกับคำว่าหนูมีองค์นะ หนูต้องรับขันธ์นะ ถีบหน้าคนพูดเค้าไปเลยว่าผมยังทำไม่ได้ครับ คือก่อนที่จะรับตนเองมีนิมิตรพูดคุยตกลงทำพันธะสัญญากับเทพเจ้าทั้งหลาย องค์นั้นๆเเล้วหรือยัง ไม่ใช่ไปฟังจากปากมนุษย์ที่เป็นอาชีพหากินแอบอ้างองค์เทพเเบบนั้น ถือเป็นภัยอันตรายในสังคมที่พร้อมจะป้อนความซวยเข้าสู่อ้อมอกของคุณ เเละตัวคุณเองพอได้ยินว่ามีองค์เทพเป็นคนพิเศษแบบนั้นแบบนี้ก็จะหลงดีใจเคลิบเคลิ้มไปตามจิตวิทยาของเขา ลองพิจารณากันดีๆนะครับ อันนี้ต้องบอกแบบแมนๆเลย ว่าตัวใครตัวมัน เพราะเราเตือนท่านประจำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2015
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    การใช้วัตถุมงคล

    ก็มาต่อกัน อีกบทหนึ่งสำหรับวันนี้ รู้สึกวันนี้คึกมาก สดชื่นกระชุ่มกระชวยอยากจะพิมพ์อะไรที่มันค้างๆไม่ได้พิมพ์มานาน

    พักเหนื่อยถอดพระขุนแผนพรายกุมาร(ท่านย่านาค)ออก หันมาอาราธนาเจ้าขรัวเเสงห้อยคอ วันนี้รู้สึกได้ถึงพลังงานการฟื้นฟูปรับปรุงธาตุขันธ์ในร่างกายให้ความรู้สึกเบาๆสบายๆมีอารมณ์อยากปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระขึ้นมา ก็ทำให้ฉุกคิดได้ ในสิ่งหนึ่งที่เคยพูดบอกกล่าวกันไว้อยู่เป็นประจำ ก็คือเรื่องการใช้วัตถุมงคลนี่แหละ

    มีคำถามเข้ามาเยอะ จากใครก็ไม่รู้ไม่ค่อยคุ้นชื่อเสมอๆ ประมาณว่าจะมาถามเอาคำตอบเเล้วก็จากไป555+ ก็คือไปบูชาสิ่งนั้นสิ่งนี้วัดนั้นวัดนี้มา เเล้วใช้ของไม่ขึ้น ต้องทำอย่างไร

    เราก็ตอบได้เเต่เพียงว่า มันต้องจูนกันหน่อยนะของบางอย่างต้องบูชาอาศัยระยะเวลาให้เขาปรับเข้ากับธาตุขันธ์เราเหมือนกัน เเต่ถ้าใช้ของไม่ขึ้น อยากให้วัตถุเครื่องรางพวกนี้ส่งอิทธิคุณไวๆ มันก็พอมีวิธีทำได้อยู่ ด้วยการสวดมนต์ฝึกสมาธิเจริญภาวนา หมั่นทำบุญตักบาตรอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เห็นมั๊ยว่าง่ายนิดเดียวไม่ยาก ไม่ต้องไปประกอบพิธีอะไร นั่งอยู่ในบ้านจะมีพระพุทธรูปหรือไม่มีก็ทำได้ ทำที่ไหนก็ได้

    ผมก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่มาก การใช้วัตถุมงคลนั้น เราส่วนใหญ่ลืมรากเหง้าของบรรพบุรุษตัวเองไปเสียเเล้ว ว่าท่านทั้งหลายนั้นใช้เพื่ออะไร มันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องคิดไกลเลย เป็นความจริงที่ว่า เราเอารูปพระพุทธเจ้าหรือสิ่งที่เรานับถือนี้มาห้อยคอ ก็เพื่อให้เราระลึกถึงพระพุทธองค์ ไม่ใช่ให้ห้อยโก้ๆอวดราคามูลค่าของพระเครื่องกัน

    เราห้อยเพื่อให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเห็นรูปท่าน เคารพท่าน หมั่นสร้างสมกุศลกรรม ละอายต่อบาป ละอายต่อท่าน เวลาคิดชั่วทำชั่วให้ละอายต่อพระในคอตัวเอง มีไว้เตือนใจตัวเองไม่ให้ประมาทเลินเล่อ พลาดพลั้งทำสิ่งที่ไม่ดีงาม นี่มันเป็นการฝึกตนเองฝึกสติอยู่แบบหนึ่ง

    ส่วนเรื่องพุทธคุณนั้นเรามองไม่เห็น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งยังไม่ขอพูดถึง เอาเพียงเเค่ว่าเมื่อเราอาราธนาพระขึ้นห้อยคอ เรามีสำนึกในเรื่องนี้กันรึยัง

    ได้ถามพ่ออาจารย์เรื่องทำนองนี้ ท่านก็ย้อนกลับมาว่าต้องถามใจตนเองก่อนมั๊ยว่าต้องการอะไรห้อยพระกันเพื่ออะไร อ่ะ อยากรวย อยากมีเสน่ห์ อยากให้คนรักคนนิยม อันนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องไปคิดเลย เพราะว่าอานุภาพของพระพุทธคุณของครูบาอาจารย์เเละคาถาอาคมนั้นจะเเสดงออกมาเองอยู่เเล้ว เช่นนี้เป็นต้น

    หากเเต่ตัวเราต้องทำตัวเองให้เป็นภาชนะรองรับชั้นดีก่อน รู้มั๊ยว่าพระในคอนั้นมีคุณค่ากับจิตใจของตนเองเพียงใด หรือเป็นแค่ก้อนวัตถุก้อนมวลก้อนพลังงานก้อนหนึ่งปราศจากคุณค่าทางใจใดๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ห้อยไปก็หนักคอเปล่า

    เมื่อได้เครื่องมงคลใดๆมาสวมคอตนเเล้ว จิตใจของตนเองนั้นควรจะระลึกถึงพระถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรารับมา แบบที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เจริญรอยตามรากเหง้าบรรพบุรุษของพวกเรา ที่ท่านเคารพเเละให้เกียรติพระในคอของท่าน เมื่อเราขาดกำลังใจ ต้องการกำลังใจ พระในคอของเราคือรูปแทนพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์หรือองค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นั่นคือกำลังใจ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเรา

    ก็พอจะสรุปให้ได้ง่ายๆ สำหรับคนที่บ่นว่าใช้ของไม่ขึ้น ให้ลองทำตามนี้ดู
    - สวดมนต์ไหว้พระ
    - นั่งสมาธิวันละนิดซะบ้าง
    - ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

    หลังจากนั้นก็หยุดคิดฟุ้งซ่านเรื่องพุทธคุณต่างๆ ให้ทำตัวปกติเเบบชาวพุทธที่ดีเเละขวนขวายทำความดีเเบบที่พุทธศาสนิกชนควรจะเป็น โดยมีพระเครื่องที่เลอเลิศด้วยพุทธคุณอันสำเร็จมาดีเเล้วที่ตนเองเลือกมาอาราธนาห้อยคออยู่ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ตั้งใจใช้ชีวิตของตนเองไปตามปกติ แล้วรับรองว่าจะได้เจอเรื่องดีๆตลอดจนอิทธิคุณในองค์พระอย่างเเน่นอน อย่าลืมล่ะ ว่าห้อยพระเพื่ออะไรลองคิดกันดูให้ดี ให้แนวทางไปแล้วมันคงจะไม่ยากมากนัก

    ที่จริง ส่วนตัวผม ค่อนข้างจะให้ภาษีกับเรื่องเครื่องรางเเละวัตถุมงคลสูงนะ เพราะครูบาอาจารย์สอนมาว่า ร่างกายของเราเนี่ย ปล่อยให้มันขาวๆไว้น่ะดีเเล้ว ไม่ต้องไปสักให้เปรอะเปื้อนเจ็บตัว อยากได้อะไรก็หามาห้อยมาบูชาเอา เบื่ออยากเปลี่ยนก็ถอดอาราธนาองค์ใหม่ ตรงข้ามกับสัก มันจะถอดมันจะเปลี่ยนก็ไม่ได้เสียเเล้ว จะไปลบก็ยาก เสียเงินทองแพงกว่าค่าสักไม่รู้เท่าไหร่ ซึ่งพระเครื่องเเละวัตถุมงคลนั้นกว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้มวลสารลงอาคมถมถนำต่างๆมากมาย ยุ่งยากกว่ารอยสักเสียอีก คุณภาพการลงการปลุกเสกก็สูงกว่าทำด้วยความประณีตมากกว่า ก็โดนสอนมาเเบบนี้ ดังนั้นวันไหนพอใจจะห้อยอาราธนาอะไรก็ใช้เเบบนั้นไปดีกว่า เลยไม่ได้คิดเรื่องสัก แต่สำหรับบางท่านที่ชอบที่รักงานลายสัก ผมก็ไม่ได้อคติอะไรนะ ก็เป็นเเนวของเเต่ละคน

    วัตถุมงคลรูปพระหรือองค์เทพต่างๆ ผมก็ได้สอบถามทางพ่ออาจารย์เเล้ว ท่านว่าก็เสกก็เชิญองค์นั้นๆมาเต็มที่ เรามาคิดกันเเบบง่ายๆ เวลาเราห้อย สมมติว่าเราห้อยพระศิวะ ในเหรียญองค์พระสยมนั่นเเหละ ก็มีญาณของท่านตามสอดส่องดูแลเราอยู่ เช่นนี้เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน เวลาเห็นคนอยากรับขันธ์เทพองค์นั้นองค์นี้ องค์นั้นสูงกว่าข่มกันไปกันมาแบบนั้น คือรับไปก็ต้องปฏิบัติ ถ้าอยากได้เเค่ญาณท่านมาอยู่กับเราคุ้มครองดูแลเรา ก็เลือกเครื่องรางมงคลที่สร้างอย่างถูกวิธีเสียเเค่เท่านี้ก็จบเรื่อง จริงหรือไม่

    แค่จะทำให้ท่านพอใจยังทำกันไม่ค่อยได้เลย เเล้วจะไปรับขันธ์เสียเวลาอะไรมากมายทำไม ก็ในเมื่อบูชาท่านอยู่ ท่านก็อยู่กับเราคอยดูเเลเราอยู่เเล้ว ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของเเต่ละคน

    สำหรับผมมองว่า ชอบองค์ไหนรักองค์ไหนก็อาราธนาองค์นั้น หมั่นพาท่านไปทำบุญประพฤติดีรักเเละถวายความเคารพให้พวกท่าน ก็จะเข้าถึงได้โดยไม่ยากอะไร ยิ่งเราทำความดีท่านก็ยิ่งไม่ไปไหนก็พอใจเราอยู่กับเราคอยช่วยเหลือเราเเบบนั้น ไม่ต้องไปโดนหลอกโดนต้มให้เสียเวลาแก้กันเป็นปีหลายปีก็ยังไม่จบ ถ้าเบื่อก็อาราธนาองค์ใหม่ๆ ง่ายๆเพียงเท่านี้ เเต่คนก็กลับมองข้ามกันไปเพราะคิดไม่ถึง ก็แปลกดีเหมือนกัน

    วันนี้ก็นำเจ้าขรัวเเสงมาห้อยคอ ขอบารมีพระครูมหิทธิเมธาจารย์หรือเจ้าขรัวเเสง และครูใหญ่สมเด็จโตอาราธนาท่านสวดชินบัญชรกับยอดพระกัณฑ์ถวายไป เวลานั่งสมาธิก็มีความรู้สึกดีๆอบอุ่นเหมือนพวกท่านนั่งอยู่ด้วยอยู่ในใจเรา อยู่ไม่ไกลกับเราเพราะใจเรามันอบอุ่นสบายใจเช่นนี้ ไว้ว่างๆจะมาต่อประสบการณ์เรื่องเเปลกๆให้ฟังกันอีก

    วันนี้พิมพ์อารมณ์เหมือนบ่นๆก็อย่ารำคาญกันมาก ถ้าตั้งใจอ่าน ผมเชื่อว่าคงจะได้ข้อคิดเเละได้ประโยชน์อะไรกันบ้างอย่างน้อยก็หลายเรื่องทีเดียว ที่พอจะสรุปคำถามที่ถามผมเข้ามาได้ นี่ตอบให้เเบบรวมๆเเล้วนะ มีอะไรก็ถามกันเข้ามาได้ด้วยความยินดีครับ:cool:

    สุดท้ายต้องขออัญเชิญ รูปของเจ้าขรัวเเสง องค์ที่ที่พ่ออาจารย์ท่านอาราธนาพกติดตัวไว้ มาขอบารมีหลวงปู่เจ้าขรัวเเสงท่าน ให้คุ้มครองพี่ๆน้องๆทั้งหลายในที่นี้ด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_47091.jpg
      SAM_47091.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.2 MB
      เปิดดู:
      75
    • SAM_47111.jpg
      SAM_47111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.3 MB
      เปิดดู:
      91
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2015
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พระงอ

    อันนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในกรณีของพระที่เนื้อแก่สีผึ้งเเละน้ำมันนั้น เวลาส่งไปรษณีย์ผมจะห่ออย่างดีจนมั่นใจว่าไม่หักแน่ๆ

    เเต่ก็อย่างที่เข้าใจกันว่าเวลาส่งนั้นค่อนข้างจะพูดยาก เพราะผมเคยได้รับพัสดุ กล่องเป็นพลาสติกยังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆไม่รู้เค้าส่งอย่างไร

    ทีนี้ก็คิดได้วิธีหนึ่ง เพื่อให้พระพิมพ์ซึ่งเป็นเนื้อผงที่ต้องระวังเหล่านั้นไม่บุบสลายไม่งอไม่เบลอไปต่างนานา

    ต่อไปก่อนส่ง ใครจะฝากผมเลี่ยมก็ฝากมา อาจจะช้าหน่อย จะดำเนินการให้ รับฝากเฉพาะการเลี่ยมพลาสติกกันน้ำไม่รับใส่กรอบเลสนะครับ ทุกรายการเลยถ้าจะให้ผมอัดกรอบพลาสติกกันน้ำอย่างหนาอย่างดีให้ ผมคิดค่าเลี่ยมเพิ่มรายการละ 100 บาท จะเป็นการอัดแบบมีแกนกลางไม่ใช่แบบประกบซึ่งจะเเตกร้าวได้ง่่าย อันนี้เวลาจะโอนเงินก็แจ้งผมมาต่างหากว่าฝากเลี่ยมด้วย

    เท่านี้ก็พอจะรับประกันได้เเล้วว่าองค์พระที่ถึงมือท่านจะสวยเเบบเดิมๆไบ่ช้ำหรือบุบสลายเเน่นอน รายการนี้ผมไม่ได้เอากำไรเพิ่มเเต่อย่างใด เพราะร้านเลี่ยมเค้าคิดผมเเบบนี้จะเล็กหรือใหญ่เค้าก็ทำให้100นึง มาตรฐานนี้มาหลายปี บางทีงาน 2-300 เขาก็เอาร้อยเดียว งาน6-70 เขาก็ยังเอาร้อยเดียว

    ก็บริการให้เต็มที่ ฝากไว้ได้
     
  14. g_banman

    g_banman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,165
    แจ้งโอนเงินบูชาตะกรุดบรมอินทรา(ท้าวกำพร้า)ครับ. ขอโทษด้วยครับที่โอนให้ช้า ที่อยู่ทาง PM ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      72
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ความรู้วันละนิด(อรูปพรหม 2)

    เช้าวันนี้ ก็จะมาพูดถึงสวรรค์ชั้นอรูปพรหมกันต่อ ก็เริ่มติดตามไปพร้อมกันได้เลย ค้างจากคราวก่อนที่ได้บรรยายไว้ 2 ชั้นเเล้ว วันนี้ก็ขออนุญาติเข้าสู่ชั้นที่ 3 กันเลย

    3. อากิญจัญญายตนอรูปพรหม
    นี่คือสวรรค์ชั้นที่ 3 ของอรูปภพ เรามาดูถึงวิธีการขึ้นสู่สวรรค์ชั้นนี้กันดีกว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่จะเข้าถึงอรูปภพนั้นจะเป็นเหล่านักบวช ฤาษี มุนี ดาบสทั้งหลาย ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านว่าก็แปลกอยู่ เพราะสวรรค์ชั้นอรูปภพนี้ไม่เพียงจะมีคนของศาสนาอื่นอยู่กันหลากหลายเเล้ว เเต่กลับมีคนของพระพุทธศาสนาเรานี่แหละที่อยู่กันเยอะมากที่สุด

    อากิญจัญญายตน ชั้นนี้ก็เกิดจากเหล่าผู้ถือเพศพรหมจรรย์ทั้งหลาย ได้เพียรในตบะสมาธิ กระทำฌาน 5 สิ่งในชั้นต่ำ จนได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติ เเต่ยังหาความพอใจในสมาบัติมิได้ กลับมองเห็นว่าอากิญจัญญายตนสมาบัติเสียอีกเล่าที่เป็นบรมสุขมากกว่าทำให้จิตใจเย็นสบายมีความสุข หมายใจจะเถิงอากิญจัญญายตนสมาบัติอันอยู่เหนืออากาศธาตุมิได้มีประสงค์ถึงสิ่งอื่นเลย

    แดนอากิญจัญญายตนะนั้น เป็นพรหมโลกแดนทิพย์ จิตวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในพรหมโลกลำดับนี้ จะมีระดับสมาธิที่สูงเเละมีดวงจิตที่ละเอียดเหนือกว่าชั้นวิญญาณัญจายตนะ

    ผู้ที่ได้อุบัติในสวรรค์ชั้นนี้เกิดจากการกระทำฌานฝึกตบะความเพียร ด้วยการพิจารณาเเละกำหนดเอาว่า ไม่มีสิ่งใด เป็นอารมณ์ของจิต(จิตนี้ไม่มีอารมณ์ใดๆ ว่างเปล่าๆ) และกระทำปรารถนาความพอใจที่จะเข้าสู่อรูปพรหมโลกชั้นนี้โดยตรง

    ถึงจะเป็นการปฏิบัติชั้นสูงมีความยิ่งใหญ่เเละประณีต ดวงจิตมีพลังงานเอ่อล้นมาก แต่ยังต้องตายหนีไม่พ้นกฏแห่งวัฏฏสงสารต้องตายเเละก็อุบัติใหม่ ซึ่งชาวฟ้าในสวรรค์ชั้นนี้นั้นจะมีอายุขัยยาวนานถึง 60,000 มหากัลปเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าโลกแตกดับเเละกาลเวลาผันผ่านไปนานเท่าใด ล่วงเลยสมัยของพระพุทธเจ้าไปกี่พันกี่หมื่นกี่แสนพระองค์

    4. เนวสัญญานาสัญญายตนอรูปพรหม
    จะกล่าวว่า เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดของอรูปพรหมโลกก็ไม่ผิด วิธีที่จะเข้าถึงสวรรค์ชั้นนี้นั้นเกิดเเต่ผู้กระทำฌานจนได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ

    หากแต่ยังมิพอใจ ด้วยเผลอเข้าใจไปว่าจิตของตนนั้นยังอยู่ใกล้พวกมีรูป พวกกามภพ พวกพรหมรูปภพ ความรู้สึกของเขานี้ดุจกับว่าเขาอยู่ใกล้ข้าศึกคือกิเลสของตนเองทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อเขาคิดเช่นนี้เขาย่อมไม่ปรารถนาอากิญจัญญายตนะสมาบัติแห่งพรหมโลก

    จึงกระทำความเพียร เพื่อให้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นอื่นที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้ไกลพวกมีรูปร่างอัตลักษณ์ทั้งหลาย อันเขาเห็นเเต่เพียงตัวเขาว่า พวกมีรูปเหล่านี้เป็นสิ่งน่ารังเกียจเปรียบเสมือนข้าศึกของตนเอง เขาจึงเพียรไปเถิงด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัตินั่นเอง

    อรูปพรหมชั้นสูงสุดนี้ เป็นที่ทราบกันว่ามีความละเอียดประณีตสูงสุดยิ่งกว่าทุกๆชั้น เกิดจากการที่ผู้เล่นฌานบำเพ็ญตบะ กระทำฌาน จนเข้าถึงภาวะหนึ่ง เรียกว่าภาวะของการมีอยู่ของสัญญาก็ไม่ใช่ จะไม่มีอยู่ซึ่งสัญญาก็ไม่เชิง เป็นภาวะที่ละเอียดประณีตสูงสุดของจิต

    ด้วยจิตนี้อยู่ก้ำกึ่งระหว่างความมีและไม่มี เป็นภาวะที่มีอัตภาพสมบูรณ์ในตัวของมันเอง ไม่มีการนำอารมณ์ใดๆเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือจะกำหนดเปรียบเทียบได้

    แต่ทว่าก็ยังหนีไม่พ้นกฏแห่งวัฏฏสงสารคือมีเกิดตายอยู่นั่นเอง ด้วยดวงจิตที่สถิตย์อยู่ในภพภูมินี้จะมีอายุขัยยืนนานมหาศาลถึง 84,000 มหากัลป

    พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า เมื่อยังมีภาวะของการเกิดดับอยู่ ตรงนี้นั้น ดวงจิตทั้งหลายก็ยังถือว่าเป็นจิตที่หยาบอยู่ ก็ไม่ได้แตกต่างจากจิตดวงอื่นๆเพราะอยู่ภายใต้กฏและเงื่อนไขเดียวกัน ต่างกันที่ปริมาณอายุขัย ซึ่งก็ถือว่าเป็นเพียงกำหนดโครงสร้างทางระบบเวลาเล็กๆระบบหนึ่งของพิภพต่างๆ

    คำภาวนาเพื่อให้เข้าถึงอรูปพรหมโลกเเต่ละชั้นนั้นก็มีเเตกต่างกันไป จะเอามาลงให้เป็นวิทยาทาน เผื่อใครปรารถนาจะขึ้นไปเสวยสวรรค์อันกินระยะเวลายาวนาน มีรูปแบบของปริมาณกำหนดเวลามหาศาลเช่นนี้ก็จะได้พิจารณานำไปภาวนาอีกที ด้วยความปรารถนาดี:cool:
    - อากาสานัญจายตนอรูปพรหม ภาวนาว่า อากาโส อนันโต อากาโส อรูปัง ภวิสสามีติ
    - วิญญาณัญจายตนอรูปพรหม ภาวนาว่า วิญญาณัญจายตนอิมินา เนวะ อรูปิ โหติ
    - อากิญจัญญายตนอรูปพรหม ภาวนาว่า นัตถิ กิญจิ
    - เนวะสัญญานาสัญญายตนอรูปพรหม ภาวนาว่า เนวสัญญา นาสัญญา ภวิสสามิ

    วันนี้ก็ขอจบไว้เเต่เพียง เท่านี้ เเล้วบทต่อไปจะมีชี้ให้เห็นถึงความเเตกต่างของรูปพรหมเเละอรูปพรหมกัน ใครสนใจก็ติดตามกันนะครับ ถ้าได้อ่านกันบ้างกดอะไรทิ้งไว้ด้วยก็ดี ถ้าเห็นจะได้พิมพ์ให้ไวๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2015
  16. sk_43

    sk_43 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอเบอร์ติดต่อด้วยครับไม่เคยพีเอ็ม
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ประสบการณ์

    ก็มีประสบการณ์ โทรมาหาผมเมื่อวาน

    ทีเเรกคิดว่าจะไม่เล่า เเต่เช้านี้อากาศดูสดใสดี ผมเล่าก็ได้555+

    ก็มีพี่ท่านหนึ่งไปทานอาหารบุฟเฟ่ในห้างกับพนักงานบริษัทด้วยกัน ทีนี้เเต่ละโต๊ะเวลาเราเข้าไปนั่งเค้าก็จะจดกันไว้เเล้ว ว่าโต๊ะนี้กินกี่คน เอออันนี้รู้กันนะ เพราะบุฟเฟ่ในห้างมันก็คิดเงินรายหัวกันเเบบนี้เวลากินเสร็จ

    ทีนี้พอเขากินเสร็จก็จ่ายตังค์ปกติ ปรากฏว่าจำนวนเงินมันดูแปลกๆ ใช่ครับเค้าคิดเกินมาคนหนึ่ง555+ ฟังดูก็ฮานะผมเองก็ไม่ได้คิดไร บอกว่าที่ร้านคงคิดผิดมั้งครับ เเต่พี่ท่านนี้ก็เถียงว่าเรื่องมันไม่ขำ คือเราไปกัน 4 คน เเต่เค้าคิด 5 คน พอเรียกเค้ามาถาม เค้าก็บอกว่า ก็เห็นมีอีกคนนั่งกินด้วยอยู่ตลอด น้องที่บริการก็บอกว่าหนูก็เห็นเดินเข้ามากัน 5 คน นั่งกินอยู่ด้วยกัน 5 คนจริงๆ

    คือประเด็นตอนจ่ายเงินเค้าจะคิดว่าพี่ท่านนี้โกงให้เพื่อนชิ่งหนีไปข้างนอกซึ่งมันไม่ใช่ เพื่อนในกลุ่มก็หันมาถามพี่ท่านนี้ ว่าเฮ้ยมึงเอาอะไรมารึเปล่า เพราะในกลุ่มพี่ท่านนี้เป็นคนเดียวที่เล่นพระอะไรแบบนี้ ก็ปรากฏว่า เอวของเค้ามีพวงกุญเเจสมิงพระกาฬอยู่555+ เรานี่ฮามากรู้ทันทีเลยว่าเจออะไรกัน

    ต้องบอกว่าพยนต์ที่ฝังในสมิงพระกาฬนี่ก็เฮี้ยนเอาเรื่องเพราะท่านผูกตามตำรับของพระมหากัสสปะเถระเจ้าก่อนจะเชิญครูโนราห์มาลงอีกที ซึ่งในการผูกนี้ท่านก็เชิญครูพระมหากัสสปะมาผูกเอง ก็ในเมื่อหุ่นพยนต์ของพระมหากัสสปะนั้น เป็นตำนานเเห่งหุ่นพยนต์เป็นที่กล่าวขานกันมานานนับพันปีว่าท่านเป็นบรมครูเป็นบูรพาจารย์ที่ผูกหุ่นพยนต์ขึ้นมาองค์แรกๆ เพื่อให้เฝ้าพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หุ่นพยนต์ของพระมหากัสสปะนี้สำเร็จด้วยฉฬภิญญาอรหันตานุภาพของผู้เป็นเลิศมีฤทธิ์ประเสริฐเช่นท่าน หุ่นพยนต์ที่พระมหากัสสปะผูกนี้มีฤทธิ์สูงมาก ต้องบอกเลยว่าเฮี้ยนที่สุดเเล้ว ในอดีตยังเคยขัดขวางพระเจ้าอโศกมหาราชตอนจะเปิดพระบรมสารีริกธาตุ เรื่องของหุ่นพยนต์วิชาพระมหากัสสปะนี้ร้อนถึงพระอินทร์บนสวรรค์อยู่ไม่ได้เลยทีเดียว

    อันนี้ไม่ได้พิมพ์ให้อ่านเเต่เเรกเพราะมันยาวเลยพิมพ์ไม่ครบ แต่พอดีเห็นมีคนไปเจอมาเห็นเป็นตัวเป็นตนขนาดนั้นก็เลยเล่าให้ฟังไว้อีกที ฟังไปเราก็ขำไป พี่เค้าก็ดูสนุกดี ว่าเฮ้ยมันแปลกนะ เด็กในร้านทำหน้าซีดหน้าเหวอกันทั้งนั้น ว่ากูเห็นอะไร เพราะทุกคนยืนยันตรงกันว่ามา 4 คน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ความรู้วันละนิด(อรูปพรหม3)

    วันนี้ความรู้วันละนิด ก็จะมาต่อกันในเรื่องของอรูปพรหม น่าจะจบถ้าไม่ขี้เกียจพิมพ์555+

    ก็ได้กล่าวรายละเอียดของสวรรค์ชั้นอรูปพรหมไปครบเเล้ว ผู้ที่ปรารถนาจะไป ต้องภาวนาอย่างไรทำอารมณ์แบบใดก็บอกไปคร่าวๆพอได้ใจความทำความเข้าใจได้ เหลือแต่การทดลองปฏิบัติดูกันเอง

    เหตุผลหนึ่งที่สวรรค์ในดินแดนอรูปภพนี้ ไม่ค่อยมีใครอยากจะไปก็เพราะ การไปถือกำเนิดตรงนั้นเเต่ละชีวิตจะกินหน่วยของกาลเวลาที่ค่อนข้างใหญ่ คือมีอายุขัยนานมากเกินไป ไม่เหมาะกับการเรียนรู้เพื่อค้นพบพระสัทธรรม

    ทุกท่านคิดเอาง่ายๆในบรรดาสุคติภพทั้งหมดนั้นอรูปภพหรืออรูปพรหมนี่แหละ สวรรค์ทั้ง 4 ชั้นนี้ จะมีความยิ่งใหญ่เเละประณีตสูงสุด

    มาถึงตรงนี้แล้วต้องกล่าวว่าเหมือนเราไปเมืองนอกที่เห็นว่าสวยงามนั่นเเหละ เเต่ความเป็นอยู่ของประชากรนั้นเมื่อเทียบกันกลับไม่ได้มีคุณภาพเท่าขนาดของเมือง

    เพราะจิตของเหล่าอรูปพรหมนั้นก็ใช่ว่าจะประเสริฐไปกว่าพรหมในรูปภพเท่าไหร่ กล่าวคือการพัฒนาการของจิตก็อยู่ในระดับเดียวกันกับมหาพรหมชั้นพิเศษที่เรียกว่าปัญจสุทธาวาสมหาพรหมนั่นเอง พูดขนาดนี้พอจะเข้าใจกันรึยังว่าทำไมใครๆก็อยากมาสิ้นสุดในดินแดนพระอนาคามีรอเข้านิพพานที่ปัญจสุทธาวาสนี้

    แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่เข้าถึงอรูปพรหมนั้น ผ่านการฝึกกายฝึกจิตจนมีอินทรีย์แก่กล้าเป็นพิเศษเรียกว่าถึงขั้นเยี่ยมยอดเหมาะสำหรับการชี้เเนะให้รับรู้พระสัทธรรมเพื่อหลุดพ้นทีเดียว ติดเเต่เพียงว่ากฏของธรรมชาตินั้นเหล่าจิตทั้งหลายนี้จะขึ้นไปเสวยสุขสมบัติในวิมานของตนยาวนานเหลือประมาณจนไม่อาจลงมารับรู้พระสัทธรรมได้เช่นภพภูมิอื่นๆ

    ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดคืออรูปพรหมนั้นเเน่นอนว่าต้องมีความเป็นทิพย์ที่เลิศเลอมากจนเทพเจ้าทั้งหลายคิดไม่ถึง ซ้ำยังประกอบด้วยสมบัติแลสิ่งมีค่าต่างๆเกินเเละเหนือกว่าที่บรรดาเทพเจ้าทั้งหลายจะรับรู้ได้ เเต่ทว่าเหล่าอรูปพรหมทั้งหลายนั้นจะกระทำสิ่งใดกับสมบัติเหล่านั้นก็มิได้เลย น่าจะพอเข้าใจกันนะครับ เพราะมีเเต่จิตที่ไร้รูปนั่นเองจึงเป็นเช่นนั้น

    เเล้วจะเข้าใจว่าเหล่าอรูปพรหมนี้นั่งเหงาๆไปวันๆก็ไม่ใช่อีก เขาทั้งหลายนั้นมีเจตสิกถึง 20 จำพวกเป็นเพื่อน มีความสุขอยู่กับผลเเห่งสมาบัตินั้นหาความทุกข์มิได้เลย เเม้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก เหล่าอรูปพรหมทั้งหลายนี้ก็ยังมีใจศรัทธาเเละบูชาเหล่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในกาลทุกเมื่อ

    เมื่อพิจารณาดูเหล่าอรูปพรหมเเล้ว คนเลยทำความเข้าใจว่าเป็นพรหมลูกฟัก ซึ่งคิดกันมา ไม่รู้ใครสั่งสอนเเต่ไหนว่าพรหมลูกฟักคือเหล่าอรูปพรหม น่าขำกันถึงขนาดมีคนโง่บางคนทำตัวเป็นร่างทรงลงพรหมลูกฟักก็ยังมี

    ความจริงเเล้วพรหมลูกฟักนี้เราเรียกกันว่าอสัญญีสัตว์ ยังอยู่ในสวรรค์ชั้นรูปพรหมคือชั้นเวหัปผลาพรหม เกิดจากการที่ฝึกสมาธิอบรมจิตจนบริสุทธิ์เปล่งรัศมีสีขาวโดยรอบสำเร็จฌานสมาบัติขั้นที่ 4 ที่เรียกว่าจตุตถฌาน ซึ่งถือเป็นฌานสูงสุดในสัมมาสมาธิแล้วตายลงในระหว่างนั้นถึงจะมาเกิดเป็นเหล่าเวหัปผลาพรหมลูกกลมๆรีๆเหมือนฟักนี่เอง

    แต่คนก็มักรวมสิ่งที่เริยกว่าอสัญญีสัตว์ในรูปภพนี้เป็นเหล่าอรูปพรหมเเละก็มีความเข้าใจว่าเหล่าอรูปพรหมที่เป็นดวงจิตนั้นจะต้องเป็นฟักเหมือนรูปพรหมในลำดับชั้นเวหัปผลาด้วยเช่นกัน อันนี้ก็พิจารณากันเอาเอง เเต่ต้องนับเหล่าอสัญญีสัตว์ในรูปภพนี้เกี่ยวเนื่องเข้าไปด้วย ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าอรูปพรหมจะเป็นฟักเสียหมด ที่เป็นฟักนั้นอยู่ในรูปภพ

    ที่ต้องนับไปด้วยเพราะว่ามีลักษณะที่เกิดจากการพัฒนาทางจิตใกล้เคียงกัน เหล่าพรหมลูกฟักในเวหัปผลาพรหม กับเหล่าอรูปพรหมนี้ ถูกจัดอยูในหมวดสิ่งมีชีวิตกลุ่มที่เรียกว่าวิมุตตายตนะ

    ซึ่งมันหมายความว่ากลุ่มวิมุตตายตนะนี้เป็นกลุ่มที่หลุดพ้นเเล้วนั่นเอง คือหลุดพ้นไปจากสัญญาเเละเวทนาต่างที่สั่งสมมาเป็นอสงไขย เป็นแสนโกฏิปี เป็นกัปเป็นกัลป์เช่นนั้น หลุดพ้นไปจากตรงนี้ คือหลุดไปจากกระบวนการที่ว่าด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 6 หลุดพ้นเพียงเท่านั้น

    ซึ่งในการหลุดพ้นนี้ของเหล่าอรูปพรหมเเละพรหมอสัญญีสัตว์ก็เป็นการค้นพบทางจิตในรูปแบบใหม่เเบบหนึ่ง แต่การหลุดพ้นนี้ก็ยังไม่หลุดพ้นจากการเป็นดวงจิตอยู่ดี ยังต้องอยู่ในวัฏฏจักรเวียนว่ายตายเกิด หากเเต่อาศัยหน่วยนับของการเวลาที่ยาวนานมากๆ ถ้าคิดเล่นๆว่าอรูปพรหมทุกองค์นั้นมีอายุขัย 84,000 มหากัลป พรหมเหล่านี้ก็จะได้เห็นตั้งเเต่การเกิดจนถึงแตกดับ ของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่เราอยู่นี้ประมาณหรืออาจจะมากกว่า 84,000 ครั้ง มันนานจนไม่ตลกเลย

    วันนี้ก็จบเรื่องอรูปพรหมไว้ก่อน ที่จริงมีอะไรให้พิมพ์อีกมาก ถ้าสนใจจะศึกษากันก็กดไล๊ค์เป็นกำลังใจไว้ เเล้วผมจะรีบมาพิมพ์ต่อให้:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  19. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    :boo::boo:สุดยอดดด:cool::cool:
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    คาถาวันละนิด(ไก่กุ๊กกุ๊กไก่)

    ก็เคยลงไปเเล้วทั้งคาถาไก่เถื่อน คาถาไก่เเก้ว ซึ่งบทที่ให้ไปจะเป็นทางโชคลาภ กับอุดปืน

    อันนี้จำได้ว่าเคยพูดเเล้ว ว่าจริงๆนั้นคาถาเเละวิชาในส่วนของพญาไก่นี่มีมากมายหลายเเขนงเเต่ละบท มักจะเน้นใช้ให้ครอบจักรวาลตามเเต่จะอธิษฐานนั่นเเหละ

    แต่มันก็มีพุทธคุณเฉพาะทางที่เด่นกว่าด้านอื่นๆทั้งหมด ใช่ฟังไม่ผิดเลย พ่ออาจารย์ท่านก็ให้ไปสองบทเเล้ว เป็นอย่างไรลองภาวนากันบ้างรึยัง ถ้ายังก็ลองไปสวดจะสวดภาวนาหรือกำกับกับวัตถุมงคลของพ่ออาจารย์ท่านก็ได้ ลองไปทำดูอย่าให้เสียเปล่า

    วันนี้ก็จะเพิ่มเติมให้อีกบทหนึ่ง เป็นอีกภาคส่วนของวิชาพญาไก่เถื่อน ด้วยพญาไก่เถื่อนนี้จะมีความสวยงามน่าเกรงขามเป็นที่ปรารถนาอยากพบเห็นสะกดสายตาผู้คน โบราณจาริยเจ้า ท่านจึงมีซึ่งมติได้รจนาพระคาถาพญาไก่เถื่อน ในส่วนที่ใช้เฉพาะทาง ด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมขึ้นมา

    จะเห็นว่าต่างกับ สองบทที่เเล้ว ที่จะเป็นทางโชคลาภ กับทางอุดปืนพวกนี้ เตรียมปากกากันให้ดี พ่ออาจารย์ท่านอธิษฐานจิตไว้ให้เผยแพร่เป็นวิทยาทานใครจำใครเรียนรู้ไปก็ให้ถือตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้นั้น

    พระคาถามีว่า
    ตังนัง ทะกะอัง มังอังอุ อุโออัง เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาคะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กะทิสาสา กุคะกุกู กูกุตะกุ

    บทนี้ภาวนาไว้พ่ออาจารย์ท่านว่าใช้ด้านเสน่ห์แก่สตรีเเละเพศตรงข้ามโดยเฉพาะ ท่านว่าให้เปรียบตัวเองเหมือนพ่อไก่ ท่องไว้เดี๋ยวแม่ไก่ก็เข้ามาหาถึงที่ จะลองนำไปภาวนากับของทางเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นพระขุนแผนพรายกุมารหรือตะกรุดท้าวก่ำกาดำของพ่ออาจารย์ดูก็ได้ รับรองเเจ่ม

    การันตีความขลังเพราะผมใช้มาเเล้ว ไอ้ที่เงียบๆไปนี่ก็คือไปลองจับประคำภาวนามา108จบก่อนที่จะมาพิมพ์ลง มีอะไรดีๆเข้ามาทันตาเห็น เดี๋ยวจะนำมาเล่ากันขอพักแปป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...