เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    <STRONG>เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O[​IMG]
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O[​IMG]
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่อง หลวงพ่อ

    หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าฉันตายไปแล้ว 3 ปีนี่วัดจะไม่มีที่ยืน จริง เพราะน้ำมันท่วม ไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหน เถียงไม่ได้ อย่างบอกกับพวกฉันไว้ไง ข้าเปลี่ยนชื่อ 3 ครั้งนะ 3 ปีก็ตาย เราก็.. พระสุธรรมฯ พระราชพรหมยาน เหลืออีกครั้งหนึ่งก็จะสามใช่ไหม เราก็รอเปลี่ยน 3 ครั้งนะ ไม่เปลี่ยนซักที ตายเสียก่อน เราก็มาทวนดู อ้อ แต่ก่อนท่านชื่อ สังเวียน เปลี่ยนเป็นวีระ เป็นพระสุธรรมฯ เป็นพระราชพรหมยาน หลังจากนั้น 3 ปีก็มรณภาพ เราไปหลงนึกว่าเปลี่ยนเป็นพระราชาคณะ 3 ครั้ง

    (หลวงพ่อยังบอกอีกว่า)

    เมื่อข้าตายไปแล้ว 7 วัน 15 วัน แกดูศพนะ เราก็ดูศพจริงเหมือนกัน ท่านคุยกับท่านท้าวมหาราชไว้แล้วว่าอย่าให้ศพมีกลิ่นเหม็น ของท่านไม่เหม็นจริงๆ ตอน 7 วัน 15 วัน เพราะว่าจะเป็นที่รังเกียจของคนที่มากราบไหว้ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ตอนเหม็นนี่เราไม่ได้จำหรอก เราจำแต่ตอนฟื้น 15 วัน เราลุ้นว่าฟื้นหรือไม่ฟื้น ผู้รู้มาบอกตอนหลังว่าเขาลือว่าหลวงพ่อจะฟื้น (ในหนังสือพรสวรรค์มี) เขาว่าหลวงพ่อจะฟื้น หลวงพ่อบอกไม่ไหว ร่างกายมันแย่มาก สมเด็จให้ฉันลง แต่ฉันไม่ยอม ฉันไม่เอา ก็ตรงกับก่อนที่ท่านจะมรณภาพก็บอกว่า สมเด็จติงว่ามณฑปสมเด็จองค์ปฐมคุณยังสร้างไม่เสร็จนี่ อย่างนี้ถือว่าติงแล้ว ติงไม่อยากให้ไป ก็ตรงกับที่ท่านมาบอกว่า สมเด็จบอกจะให้ฉันลง ฉันไม่เอา ร่างกายไม่ไหว ตรงกัน ก่อนมณภาพกับมรณภาพแล้วนี่พูดตรงกัน คือมันรับกันน่ะ เรื่องมันรับกัน

    หลวงพ่อเคยพูดว่าถ้าเป็นภาระของคนอื่นนี่จะไม่อยู่ คนอื่นจะลำบากเพราะท่าน ท่านไม่เอา ก็ไปจริงๆ ถ้าอยู่ร่างกายก็จะเป็นภาระกับคนอื่นมาก

    หลวงพ่อส่วนมากจะไม่ใช้คนเพราะเรื่องส่วนตัว ส่วนตัวของท่านนี่ท่านจะไม่ใช้คน ใครทำให้ท่าน ท่านก็บอกว่าขอบใจมากนะลูกนะที่เป็นห่วง ขอบใจมาก คนอยู่ข้างท่านน่ะชื่นใจนี่ ท่านไม่เอาเปรียบเลยล่ะ ท่านจะมีแต่เกรงใจคน ที่ทำอะไรให้ท่าน

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2538)



    เรื่องหมาชื่อนาค

    เมื่อสัก 15 วันมานี่ได้ หมาต้นตระกูลชุดใหญ่ ที่หลวงพ่อเลี้ยงไว้ตาย ชื่อ นาค ประมาณ 10 กว่าปีละมั๊ง มีลูกหลานประมาณสักร่วม 500 ได้ แต่ตายบ้างอะไรบ้างนะ ก็เกิดตายไป พอตายไปสัก 3 วันได้ ก็มาหาคนเลี้ยงหมา มาทั้งวิมานที่เป็นเพชรเลย ไอ้เจ้าของตกใจ เช้ามืดประมาณตี 5 ตกใจว่าใครๆใครมานี่ สวยจังเลย ถามว่าจำแม่นาคไม่ได้หรือ คนเล่าเล่าไปก็ร้องไห้ไป คนเลี้ยงน่ะ ดีใจ

    หมานี่ส่วนมากมันจะแบ่งเขตกัน นาคนี่ก็ไปได้ทั่ว ใครเลี้ยงลูกไม่เป็นมันก็ไปเลี้ยงลูกให้เหมือนคนจริงๆ เออ เห็นหมามานักแล้ว นี่มีพรหมวิหารจริงๆเลย เพิ่งตายไปได้สัก 20 วันนี้ได้แล้ว ตายได้สัก 3 วันก็มา มาตอนเช้ามืด บอกเสียงเย็นจับใจ คนเลี้ยงมันรักหมานี่เดือนหนึ่งต้องใช้เงินตั้ง 4-5 หมื่น หมาหลวงพ่อมีเป็นร้อยตัว ท่านให้เลียงดี บอกพวกนี้รับอาสามาเฝ้าวัด ไม่ใช่มาจากอบายภูมิ มาจากเทวดา เราก็ตีเทวดาเสียเยอะเหมือนกัน (หัวเราะ) บางทีบางตัวก็อิจฉากัน แย่งแบ่งกันอะไรกัน ก็ต้องตี




    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2538)


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่องหมอวัชรีพบหลวงพ่อแบบกายเนื้อ

    (ลูกสาวคุณหมอวัชรีชื่อโรส มาทำบุญพระครูปลัดอนันต์ จึงเล่าเรื่องคุณแม่ให้ฟัง)

    ไอ้คนนี้พ่อแม่เป็นหมอทั้งสองคน อยู่บางมูลนาก พ่อจะเล่นการเมือง ยังไม่ทันเล่นการเมืองเต็มที่ พวกยิงเสียหลายรูเลย ยิงก่อนแล้ว ยิงก็ไม่ตาย ยิงครั้งหรือสองครั้งก็เอาตำรวจเฝ้าบ้าน เฝ้าร้านหมอน่ะ ตอนหลังก็ไม่เอาแล้ว เลิก การเมืองไม่เอา มาหาพระก็มาหาหลวงพ่อนี่ พวกหมอหัวแข็งไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ ก็มานั่งกรรมฐานคุยกับหลวงพ่อก็หมอเริ่มเข้าแล้ว สนใจแล้ว เริ่มสนใจ ภาวนาดี

    ทีนี้หมอวิสุทธิ์ก็มาวัด แต่เมียไม่เอา เมียยังไม่โดนยิง (หัวเราะ) เมียยังไม่เข้า หมอวิสุทธิ์ แกก็เข้า แล้วเทศน์โปรดกันไม่ได้สิ อยู่บ้านเดียวกันนี่ วิชามันทันกัน วิชาแก่กล้าทันกัน เมียก็ไม่เอา หมอวิสุทธิ์จะยังไงก็ช่างเถอะ ไปหาพระหาเจ้าก็ไป แต่เมียยังไม่ภาวนา หมอวิสุทธิ์ก็ทำๆ เขาเกิดฝึกมโนมยิทธิหรือยังไง หมอวัชรีก็ลองฝึกด้วย พอลองมันก็ไปเต็มกำลังเลย อีตานี้ พอทำก็ติดใจ ก็ลุยสมาธิ เอาเต็มที่เลย บอกมันหลับตาปุ๊บมันแพรวเป็นเพชรไปหมดแล้ว หลวงพี่ทำยังไงดี บอกหลวงพี่ยังไม่ได้เพชรสักทีเลย (หัวเราะ) หมอเอาเพชรไปกินซะแล้ว คนมันเด็ดขาดน่ะ

    พอได้มโนมยิทธิเต็มกำลังแล้ว ทีนี้แกก็ลุยกรรมฐาน ลุยกรรมฐานก็เกิด.....ท่านเอาแม่มาเลี้ยงไว้ด้วย คุณแม่อายุ 80 กว่าแม่หมอวัชรี หมอวิสุทธิ์นี่เขาไปเมืองนอกกับหลวงพ่อ อยู่นี่ก็หมอวัชรีอยู่คนเดียว เลี้ยงแม่แกด้วย รักษาคนไข้ด้วย ความวุ่นวายมันก็เกิด พอแม่เห็นพระเดินผ่านหน้าบ้านตอนบ่ายโมงบ่ายสอง "หนู มา เอาเงินมา จะใส่บาตร" แม่เห็นพระก็จะใส่บาตร มีศรัทธาจะใส่บาตรลูกเดียว ลูกก็ดุแม่สิ แม่ไม่รู้เรื่องอะไรนี่บ่ายโมงแล้ว พูดเสียงดังหน่อย หลวงพ่อท่านรู้ ยังไงก็ไม่รู้ ว่ากรรมนี่มันจะตกกับคนที่มีบุญแล้ว มันจะริดรอนความดีของตัว

    เวลา 7 โมงเช้า หมอวัชรีแต่งตัวจะมาตรวจคนไข้ เดี๊ยวจะไปตรวจคนไข้แล้ว ไม่ใช่นั่งกรรมฐานนะ แต่งตัว พอหันหลังไปจะลงไปข้างล่าง หลวงพ่อยืนรออยู่บนที่นอนเลย พอเห็นพระยืน ไม่ใช่นั่งกรรมฐานนี่ ก็ตกใจร้อง "หลวงพ่อเจ้าขาๆ" ร้องอยู่อย่างนั้น

    หลวงพ่อก็สอน ท่านมานี่เพราะว่ากรรมที่ทำไว้มันจะตัด เพราะไปดุแม่ ไปตะคอกใส่แม่ สอนถึงบุพการี การกตัญญูเป็นยังไง สอนถึงการปฏิบัติต่อแม่พ่อเป็นยังไง สอนให้มั่นคงยังไงๆ ทำอย่างนี้นะ พอสอนเสร็จก็กราบ ท่านก็กลับวัด ไม่ได้ไปทางประตู ออกทางประตู

    "อ๋อ ไปกายเนื้อเลยหรือครับ"

    ไปกายเนื้อนี่ ทีนี้ก็ถาม นี่ฉันถามเอง หลวงพ่อไปจริงหรือเปล่าครับ บอก เออ ไปจริง แล้วหมอวัชรีมาวัดหลวงพ่อบอก เฮ้ย หมอ ผีหลอกเหรอ (หัวเราะ)

    พอหลวงพ่อเทศน์อย่างนั้นแล้วนี่ อีกไม่กี่เดือน หรือเป็นปีก็ไม่รู้นะ แม่ของหมอวัชรีนี่ก็ป่วย หมอวัชรีนี่ก็นั่งกรรมฐานเยอะใช่ไหม ก็ไปสอนแม่ ไอ้สอนก็คุยกัน เขาบันทึกเทปไว้หมด ที่แม่พูดนี่อารมณ์พระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งนั้นเลย คนอายุตั้ง 80 จะมาเรียนหนังสือก็ลำบากแล้ว พูดอารมณ์ของพระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งหมดเลย ตัดความโกรธ ราคะกับโทสะนี่ พออ่านหนังสือที่เขาพิมพ์ออกมาแล้วอารมณ์พระอรหันต์ทั้งนั้น ที่ลูกไปดุแม่นี่ไปดุพระอริยเจ้านะ มันจะเป็นกรรมหนักจริงๆ

    ลูกไปถามแม่ ทำได้ยังไง ต้องค่อยๆทำลูก สอนลูกเสียอีก ไอ้ลูกก็ตั้งใจว่าจะไปสอนแม่บั้นปลายชีวิต แต่ไอ้แม่สอนลูกเสียอีก ตายด้วยความสงบ อารมณ์พระอรหันต์นะ ตอนหลัง บอกโอ้โฮ ตายแล้ว ที่หลวงพ่อไปสอนนี่ ไอ้ตัวนี้นี่รู้จริงใช่ไหม รู้จริงว่ากรรมจะไปตกกับคนที่เรารู้ ทำยังไงจะช่วยได้ อารมณ์นี่เราไม่ได้พยากรณ์ แต่อารมณ์ที่คนอายุตั้ง 80 พูดมานี่มันเป็นแบบของพระอริยเจ้าเบื้องสูงทั้งนั้น อย่าไปห่วงนั่นเลย อย่าไปห่วงนี่เลย เป็นธรรมดา มันก็ต้องแก่ก็ต้องป่วย ก็ต้องตาย อะไรนี่ อย่าไปห่วงแม่ มันธรรมดาของร่างกาย ลูกไม่ต้องสอนแม่ แม่สอนลูกแล้ว

    นี่มันจริง ครูบาอาจารย์เรารู้จริงด้วย รู้จริงว่ากรรมนี่มันจะตกกับคนนี้ เขาเรียกว่าตัดมรรคตัดผล ลูกที่ทำไม่ดีกับแม่ หลวงพ่อก็ช่วยได้ นี่ไปกายเนื้อจริงๆ ถ้าไปเล่าให้ตาสีตาสาฟังก็ยังเอ๊ มันเพี้ยนไปหรือเปล่า ใช่ไหม

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 88-89)





    https://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-574
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2020
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่อง การห่มจีวรของพระวัดท่าซุง

    "การห่มจีวรนี่ ที่วัดท่าซุงทำไมไม่ห่มกลัก ทำไมต้องห่มเหลือง กลักไม่มีเลย ทำไมเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง มีอะไรเล่าให้ลูกหลานฟังไหมครับ"

    เรื่องห่มจีวรเหมือนกัน สมัยก่อนนี่ก็มีสีกลักมั่ง สีแก่นขนุน สีกลักดำ กลักแดง กลักแก่นขนุน สีเหลือง อะไรอย่างนี้ ใครพอใจอย่างไหนก็ไปห่มกันเอา มีจีวรอะไรก็ไปห่มกัน ก็มีอยู่วันหนึ่ง เราก็ไปช่วยหลวงพ่อห่มจีวร ก็ห่มจีวร จับจีวรให้ท่าน สำหรับผ้ารัดอกอะไร จะไปรับแขก เวลามีงานน่ะ ท่านก็บอกกับเรา ท่านก็ติงมา


    ท่านบอก เราเป็นพระอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ต้องไปห่มสีกลักกับเขานะ ไม่ต้องไปแสดงตัวว่าเป็นพระกรรมฐาน อยู่ในเมืองให้ใช้สีนี้ มันกลืนกับนักเรียนไป มันกลืนกับพระในเมืองไป


    แต่จริงๆคนเขามองก็มองกันแค่ภายนอก ตัวนี้มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง เหมือนทำให้เขารู้ว่าเราเป็นพระกรรมฐาน มองละเอียดจะรู้ว่านี่มันเป็นมายาอีกตัวหนึ่ง

    อย่างเราแต่งสีสารพัดสีนี่ แต่จริงๆเรารักษาศีล 8 ก็ได้ รักษาศีล 5 ศีล 8 นี่ก็ได้ หลวงพ่อท่านเอาผลของจิตจริงๆ ผลของตัวจิตของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าสีลาย สีเขียว สีแดง แล้วจะไม่มีศีล 8 ศีล 8 ไม่ใช่อยู่ที่ตัวนี้อยู่ที่การงดเว้น เราทำได้หรือเปล่า เขาจะยกย่องว่าเราดีไม่ดี แต่เรานี่จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่จิตของตัวของเราเองนี่แหละ ท่านหวังผลตัวนี้ ท่านไม่ได้หวังเปลือกอะไร มันก็ลึกซึ้งละเอียดไปอีกนะ

    ทีนี้คุยให้พระฟังพระก็ยอมรับว่า เออ ไม่ต้องสร้างมายาให้คน ไม่ต้องสร้างเรื่องลวงโลกเปลือกนอกให้คนเขาเห็น ไม่ต้องไปใส่มายาให้คนอื่นเขามองเรา ให้เขาเกิดศรัทธาแค่เปลือกนอกหรืออะไรก็ช่าง ที่วัดเลยปฏิวัติหมดเลย พระก็ยอมรับว่า เออ จริง ทุกองค์ก็เลยห่มสีเดียวกันหมดเลย

    เรามาสังเกตุพระไปธุดงค์กัน พระไม่ได้ไปธุดงค์ก็ห่มสีเหลืองๆ อย่างนี้ไป อีกองค์ก็ห่มสีกลักไป สีกลักเอาไปกินหมด (หัวเราะ) สีเหลืองอดอยาก

    "หมายความว่าคนใส่บาตรทำบุญ"

    คนใส่บาตรอะไรต่ออะไรอย่างนี้ มันก็ เออ มีส่วนเหมือนกัน สู้สีกลักไม่ได้ เรารู้มีประการณ์นี่

    อุปกิเลส

    มายาตัวนี้มันเป็นอุปกิเลส ถ้าเราเจตนาจะทำตัวนี้ มันเป็นอุปกิเลสเสียแล้ว ความดีจะไม่เข้าถึง

    อย่างนั่งกรรมฐานโชว์อีกอย่าง หลวงพ่อท่านสอนมาเยอะเลยละ เห็นคนเขามานี่ เดินจงกรมเสียหน่อย เขาจะได้รู้ว่าเคร่ง พวกนี้ก็ไม่ได้ ถ้ารู้ปุ๊บต้องหลบเลย ก็หลวงพ่อเองท่านเป็นถึงขนาดนั้นแล้ว ฉันอยู่ห้องเทปตรงกัน เราก็เปิดไฟทำงาน พอเปิดไฟปั๊บ หลวงพ่อรูดม่านเลย ม่านตรงที่ท่านเดินจงกรมอยู่น่ะ ท่านรูดท่านปิด ท่านเป็นพระขนาดนั้น ท่านยังปิดเราเลย เราอยากจะเปิด (หัวเราะ) มันเป็นอย่างนั้นน่ะสิ กิเลสมันมี มันจะเป็นอย่างนั้น ท่านสอนในเรื่องอุปกิเลสเยอะ ท่านสอนแล้วท่านก็ต้องระวัง

    ทีนี้ถ้าเราเอาไปใช้ก็ได้ประโยชน์กับเรา ใคร่ครวญติตัวเองอยู่เสมอ ไปถึงไหนแล้ว ขึ้เกียจ ขยัน กิเลสตัวไหนมันงอก เราจะเคาะมันตรงไหนนี่ ไม่มีใครมาเคาะให้เราหรอก เราต้องเคาะเอง จิตเรานี่ ถ้าเราไม่เคาะเอง เสร็จ มันเหมือนโกหกตัวเอง อยากจะเป็นพระอรหันต์โดยไม่ต้องออกแรง ส่วนมากคนเรามันจะอย่างนี้ อยากจะเป็นผู้หมดกิเลสโดยไม่ต้องออกแรง นึกว่าวันหนึ่งมันจะพั๊วะ อย่างสมัยพุทธกาล (หัวเราะ)

    ที่จริงแล้วต้องทำ ต้องเคาะ ตรวจดูจิตเราเสมอ ต้องเคาะกิเลสเราอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ากิเลสมันพอกมาแล้ว อีก 7 วันถึงนึกได้มาเคาะมัน มันเกาะลงกระดูกแล้ว ถ้าเคาะได้ไว มันก็ละได้ไว

    แต่จริงๆ ของหลวงพ่อนี่ท่านสอนทุกอย่าง ทั้งกรรมฐาน 40 มหาสติปัฏฐานสูตร นี่ละเอียดหมด ละเอียดจริงๆ สอนแบบแนวปฏิบัติเลยนะของหลวงพ่อจากแนวปฏิบัติโดยตรงเลย

    "อย่างนี้ก็แสดงว่าเจ้าอาวาสก็ได้เปรียบสิ รู้หมดเลยนะ"

    ในหนังสือพ่อเก็บไว้หมดเลย เจ้าอาวาสเก็บหมดเก็บใส่ตู้ไว้เยอะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยได้เอามาใช้ เขาบอกว่าใกล้เกลือกินด่างนี่จริง เพราะหนังสือนี่ตั้งกี่เล่มไม่อ่านจบสักเล่มเลยนี่

    สมัยก่อนท่านจะเปิดเสียงตามสาย ท่านบอกว่าไม่ใช่สอนทั้งหมดแต่ว่าให้มันผ่านหูจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา ให้รู้ไว้บ้าง


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 169 เดือนเมษายน 2538 หน้า 62-64)


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2021
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ใส่รองเท้าใส่บาตร

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา การที่บุคคลบางท่านสวมรองเท้าใส่บาตร จะมีโทษเพียงใดเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เดี๊ยวรองเท้าราคาเท่าไร ?

    ผู้ถาม : ส่วนมากถ้าบ้านนอกก็รองเท้าแตะ กรุงเทพฯ ก็รองเท้าหุ้มส้น

    หลวงพ่อ : ยังงั้นบาปมาก ถ้าหากว่ารองเท้าคู่เป็นหมื่นๆ ไม่บาปหรอก

    ผู้ถาม : เอ๊ะ ! หลวงพ่อตอบไงนี่

    หลวงพ่อ : เอ้า ! เขาเอารองเท้าใส่บาตรพระไงล่ะ ราคาเป็นหมื่น ขายได้มากหน่อย พระไม่โกรธ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เอ๊ะ ! จะพูดยังไงดี สวมรองเท้าไปยืนใส่บาตรพระ

    หลวงพ่อ : แหม..เอารองเท้าใส่บาตรพระ(หัวเราะ) ความจริงนะ เวลานี้ควรจะไม่ปรับกันดีกว่า ถือว่าเป็นปกติ

    เวลานี้เป็นปกติเขาใส่รองเท้ากัน ถ้าอะไรมันผิดปกติควรปรับยกเลิกไปดีกว่านะ


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2547)



    ชอบเวทย์มนต์คาถา


    ผู้ถาม : ลูกชอบศึกษาเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาอย่างมาก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้หญิง จะเลิกก็เลิกไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเวรเพราะกรรมอะไร อยากจะให้หลวงพ่อช่วยตัดเวรตัดกรรมให้หน่อยเถอะเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เดี๊ยว มีดไม่ได้เอามาซะด้วย ใครมีมีดโต้ไหม ชอบเรียนคาถาอาคมใช่ไหม เอ๊ะ..คนนี้รูปร่างขาวหรือดำนะ ถ้าจะเชฟตุ่มๆ ไม่ขาวไม่ดำใช่ไหม ?

    ผู้ถาม : ครับ ก็ต้วมเตี้ยมๆ

    หลวงพ่อ : อ้วนเหรอ อ้วนๆหน่อยๆ หรือเปล่า คนนี้เคยเป็นผู้ชายมาก่อน ชอบเล่นและได้อภิญญามาก่อน แต่ โดยมากเผ่าของเรานี่เผ่าอภิญญามาก่อนนะ เล่นได้กันทั้งเผ่าเลย ไม่อย่างนั้นฝึกวิชามโนมยิทธิไม่ได้หรอกแค่วันสองวันนะ ไม่มีทางได้หรอกมโนมยิทธินะ ถ้าเดิมไม่ได้มาก่อนนะ ไม่มีทางเลยนะ ทีนี้เขาทำมาก่อนนิสัยเดิมมันติดอยู่คือติดมามาก อันนี้ไม่ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรม ถ้าคนที่เล่นคาถาอาคมที่มันรวยๆ..

    ผู้ถาม : เช่นคาถาเงินล้านเป็นต้น

    หลวงพ่อ : ก็ได้ คาถาเงินล้าน คาถาเงินแสน แต่หัวล้านก็ได้ แต่ว่าคาถาที่มีประโยชน์ คาถาทุกบทที่ให้ไปๆ ถือว่าเป็นพุทธานุสสตินะ เพราะว่าเป็นของพระพุทธเจ้าตรง ก่อนจะทำต้องนึกถึงเจ้าของก่อน คือพระพุทธเจ้า ทำไปก็ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)



    อนาคตังสญาณ


    ผู้ถาม : อนาคตังสญาณ การรู้เหตุการณ์ในอนาคตและเห็นภาพได้ ผมอยากทราบว่าภาพนั้นมันลอยอยู่ตรงไหนครับ

    หลวงพ่อ : ไม่มี

    ผู้ถาม : แล้วทำไมเห็นได้ล่ะครับ

    หลวงพ่อ : วันหน้ามันจะเกิด เขาเรียกว่าญาณ รู้จักคำว่าญาณไหม ทิพจักขุญาณ เขาไม่เรียกว่าดู ถ้ามันมีแล้ว ถ้าใช้ตาดูเห็น ถ้ามันยังไม่มี ท่านบอกว่า ข้างหน้ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ เหมือนหมอดู อนาคตังสญาณรู้เหตุการณ์ข้างหน้า
    ไม่ใช่มันมีอยู่ มีอยู่ก็เป็นปัจจุปันนังสญาณซิ

    ไอ้นี่เป็นของทำได้ยาก ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน เราต้องคิดว่าคนเท่าไร มีใครบ้าง มีกี่คน คนในประเทศไทย 50 ล้านเศษ ทำได้กี่คน พระในประเทศไทย 3 แสนเศษ ทำได้กี่องค์

    แต่เราอย่าไปคิดว่าเราดีกว่าเขานะ มันน่าจะภูมิใจว่าเขาทำไม่ได้แต่เราทำได้ เป็นการวัดกำลังวาสนาบารมีที่สั่งสมมา ของเก่ามีมาก มีความดีมาก เราก็ทำความดีใหม่รับของเก่า ไอ้นี่ควรจะดีใจ


    แต่ความจริงการปฏิบัติได้จริง ดีกว่าเรียนรู้จากตำรา แต่ต้องอาศัยความฉลาดเข้าร่วมด้วย ถ้าเรามีข้อข้องใจ ให้ถามตรงพระพุทธเจ้า


    อย่าไปนั่งฟังชาวบ้านเปะปะๆได้ที่เขาว่าได้จริงๆ บางทีไม่ได้จริงหรอก เอาความโง่ของตัวมาแจกให้บุคลลอื่นโง่ต่อไป

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนี่มีความสำคัญมาก พระหลงตัวเองว่าห่มผ้าเหลืองเป็นพระ แต่ความจริงสู้ชาวบ้านไม่ได้ดีกว่าเยอะแยะ


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2530)



    ว่าคาถาเงินล้านมือสั่น


    ผู้ถาม : ถ้าบูชาพระ นั่งเจริญกรรมฐานเสร็จแล้วก็ต่อด้วยคาถาเงินล้านของหลวงพ่อ ว่าไปสักครู่หนึ่งปรากฏว่ากายสั่น มือสั่น ใจสั่น เหมือนกับอาการจะปลุกพระอย่างนั้นแหละ จึงเรียนถามหลวงพ่อว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อไปจะทำต่อไปได้หรือไม่ครับ ?

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าสั่นต่อ อย่าลืมนะถ้าใจสั่นนี่มันผิดปกติ แต่ใจสั่นนี่พอมันภาวนาเร็วเกินไปหรือไม่เข้าใจ ถ้าตัวสั่นนี่เป็นอุพเพงคาปิติ ดีนะ แต่ควรจะคุมอย่าให้ใจสั่น ถ้าใจสั่นหรือไม่สั่น ถ้าจิตมีกำลังสมาธิถึงนั่นมันก็สั่น ถ้าเลยไปแล้วเป็นผรณาปิติ มันก็ไม่สั่น ถ้าต่ำลงมามันก็ไม่สั่นและเวลาที่ว่าคาถานี่ ไม่ควรคิดว่าจะสั่นหรือไม่สั่น เอาแค่จิตเป็นสุขค่อยๆว่าสบายๆ ดีกว่าจึงจะถูกต้องนะ



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)


    ภาวนาคาถาเงินล้านถูกหวย

    ผู้ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วขอบารมีทุกๆพระองค์ที่เป็นเจ้าของคาถาหยิบหวยรัฐบาล ปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 5 สองใบ แล้วก็ถามเป็นประเด็นว่าการที่เราจะอาราธนาเจ้าของคาถามาซื้อหวยรัฐบาลนี้จะ เป็นบาปหรือไม่ เพราะเป็นการพนันนิดๆ

    หลวงพ่อ : ไม่เป็นบาป เขาไม่ถือว่าเป็นการพนันอย่างที่เขาจับกันนี่ การพนันประเภทนี้ ตำรวจเขาไม่ได้จับ ไม่ผิดกฏหมาย ไม่มีอะไรเป็นบาปนะ และก็เราไม่ได้บังคับว่าเลขที่ฉันซื้อมาจะต้องออก เราเขียนเองออกเองนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะคนหมุนกับเราคนละคนกัน ถือเป็นโชคดีดีกว่า

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2536)


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2020
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    คาถา " อนัตตา "

    ยกทรง : เจริญกรรมฐานบทไหนแล้วค้าขายดี

    หลวงพ่อ : บทค้าขายราคาถูก เขาขายบาท เราขาย 50 สตางค์ รับรองเดี๊ยวพรึบเดียวหมด บทนี้บทดีมาก เพราะเมตตาบารมี นี่บวกกับ พรหมวิหาร 4 ไม่ต้องห่วงน่ะ

    ยกทรง : โฮ้ เยอะแยะเลย

    หลวงพ่อ : ยังดี นี่เป็นบทที่ 1 นะ บทที่ 2 ดีกว่านี้ บท จาคานุสสติ แจกดะเลย

    ยกทรง : โอ้ ยอดแท้

    หลวงพ่อ : ให้เรื่องค้าขายดีนี่ มีคาถาตลกอยู่บทหนึ่ง

    ยกทรง : โอ้ ผมได้จดไว้เลย

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องจดหรอก มีคาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่น้องชายมหา เตียง คือว่าสมัยนั้นบวชอยู่ด้วยกันนะ แกเป็นนักเทศน์ แล้วก็มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงขาย หาบไปแล้วเช้า บ่ายกลับมา มันก็ไม่หมดสักวัน วันหนึ่งมหาโต๊ะ แกยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่าง แกก็บอกว่าท่านมหามีคาถาอะไรดีๆ ทำน้ำมนต์พรมให้ทีเถอะ ได้ขายออกหมดเร็วๆ มหาโต๊ะแกไม่ใช้คาถาอาคมเขานิ แกนึกอะไรไม่ออก ก็เอาไอ้นี่ถ้าจะดีว่ะ อนัตตา

    อนัตตานี่มันหมดนิ ใช่ไหม อนัตตา หมด ตัวก็ตาย ตายไปหมด แกนึกในใจ แกไม่ได้

    ยกทรง : ครับ

    หลวงพ่อ : อนัตตา มันแปลว่าหมดไม่เหลือ แกเอาน้ำล้างหน้าพรมๆ แต่แกไม่ว่าคาถาดี ยานนั่นไป สายๆกลับ หมด

    ยกทรง : ขายๆ หมด แต่ทิ้งของ

    หลวงพ่อ : ของหมด(หัวเราะ) หนักใจกะแกซิ ข้าวแกงหมด หม้อยังอยู่ แล้วหาบก็ยังอยู่ แต่สตางค์ได้มา ต้องอธิบายละเอียดไหม เป็นอันว่าโยมไม่เกเร มหาโต๊ะ ตื่น สังเกตุเวลาเช้า แกมาเรื่อยๆ ในที่สุด มหาโต๊ะ เลยต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้ ไว้ที่บูชา แกขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกัน ถ้าจิตตรงนะ อนัตตา ถ้านัดกะตานี่ไม่ค่อยเปลื้อง ถ้านัดกะยายแล้วเปลื้อง

    ยกทรง : ลูกหลานคงเอาไปใช้ได้บ้างแบบนี้

    หลวงพ่อ : ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้ (หัวเราะ)

    ยกทรง : เดียวไม่ใช่ อนัตตา ไม่มีใครมาเลย กลัวๆ

    หลวงพ่อ : ทำน้ำมนต์ พรม อนัตตา แปลว่าสลายตัวนี่ ก็หมด หมายถึงหมด

    ยกทรง : ให้ของหมด

    หลวงพ่อ : ใช่

    ยกทรง : น้ำมนต์เยอะๆ พรมน้ำมนต์ ก็ให้แน่ใจ

    หลวงพ่อ : ความจริง คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ที่ใช้กันนี่ เวลาขายของ เขาพรมของตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็จะพรมหน้าร้านตั้งแต่ตอนเช้าตรู่


    ยกทรง : น้ำมนต์ทำตอนกลางคืนหรือฮะ

    หลวงพ่อ : ตอนล้างหน้า ทำตอนนั้นนะ หยิบน้ำจะมาล้างหน้า ก็เสกด้วยคาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเลย เสกแล้วก็พอล้างหน้าเสร็จก็น้ำพรมๆว่าไปด้วยนะ แล้วเคยทำกัน น้ำหนักของเพิ่ม น้ำหนักนี่ไม่ได้โกง ไม่ได้เอาทรายใส่ แต่น้ำหนักนี่เพิ่ม เขาไปใช้ก็ไม่ขาด นี่เขาลองกันมาแล้วนะ คาถามหาลาภ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง

    วันนั้นเที่ยวมา ไปๆมาๆ ไปโผล่ที่วัดพนัญเชิง นานแล้ว หลายปี 10 ปี 20 ปีกว่า แล้วก็ไปดูว่าที่เลือกพระองค์นี้ ทำไมคนจึงบูชามาก ก็เลยมีภาพปรากฏ นี่ภาพเก่าก็หายแล้วเหลือพระองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 4 ศอก ท่านบอกว่า วัดนี้เขาเรียก พระนางเชิญ ไม่ใช่ พนัญเชิง ถาม ว่าเพราะอะไร ก็พระองค์นี้เศรษฐีนีเขาจับเชิญ สร้างขึ้นมา เชิญขึ้นมา แล้วก็เจ้าอาวาสวัดนั้น รูปร่างผอมๆดำๆ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้อยู่ 3 ปี วัดนั้นจึงมีลาภมาก

    แล้วต่อมาสมเด็จโต หรือใครไม่ทราบ ไปสร้างครอบใหญ่โตทีเดียว ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ก็บอกว่า มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม แล้ว ท่านก็เลยบอกว่าให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ให้เสริมขึ้นมา แล้วคาถาอีกบทหนึ่ง นึกไม่ออกมี 2 บท อีกบทคาถาเงินแสน อีกบทคาถาเงินล้าน




    (จากสนทนาสายลมในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 384 )
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่อง หลวงพ่อฝากลูกศิษย์กับพระองค์อื่นๆ

    (ด๊อกเตอร์ปริญญา ถามว่า)

    "เรื่องพระสุปฏิปันโนที่มาที่วัด ที่หลวงพ่อไปนิมนต์มานี่"

    พ.ศ. 17, 18 หรือไงนี่ ท่านก็กลัวว่าท่านจะมรณภาพหรือไงไม่รู้นะ เพราะถ้าหลวงพ่อเกิดมรณภาพนี่ พวกเราเพิ่งเริ่มต้น พอนึกอยากนั่งกรรมฐานกัน พอรักษาศึลกันบ้าง ลูบๆ คลำๆ บ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าเกิดหลวงพ่อละสังขารเสียช่วงนั้นล่ะ ไอ้พวกนี้ก็จะเคว้งคว้างไปหมด ท่านก็ดำริว่า พระมาบอกกับหลวงพ่อว่าให้พาลูกศิษย์คุณไปรู้จักกับพวกสายเดียวกันสิ ทางเหนือนี่ หลวงพ่อก็คงจะพาพวกเราไปฝากไว้น่ะ ถ้าเกิดท่านมณภาพจะได้รู้จักพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    (ด็อกเตอร์ปริญญา พูดเสริมว่า)

    "เพราะว่าท่านสำเร็จปี 06 ต่ออายุอีก 12 ปี จะตายไม่ได้ ต้องเป็นนักเรียนทุนก่อนก็จะเป็น 18"

    คือท่านเป็นนักเรียนทุนใช่ไหม พอจบแล้วต้องสอน 12 ปี พอสอน 12 ปีนี่ พอคนจะเริ่มอยากทำก็จะมรณภาพเสียแล้วนี่ คือว่าถ้าท่านมรณภาพตอนนั้นก็จะฝากพระสุปฏิปันโนองค์อื่นไว้

    "ทีนี้ก็ได้ไปรู้จัก ก็ได้นิมนต์มางานวัด"

    ทีนี้ก็พาพวกผู้ใหญ่ไป ขึ้นทางเหนือกันละ ไปล่าพระอาจารย์ ก็ล่าไปเรื่อย ตอนแรกก็ไปเจออะไรล่ะ หลวงปู่วัดพระบาทตากผ้านี่ หลวงปู่แหวน หลวงปู่วัดน้ำบ่อหลวง วัดสวนดอก และก็ครูบาคำแสนวัดสันกำแพง ดอนมูลนู่น แล้วก็หลวงพ่อสิม ครูบาทึม ครูบาทึมนี่ ไม่ได้ปรามาสท่านนะ ชื่อทึมแต่ไม่ทึมเลยนี่

    ครูบาทึมนี่หลวงพ่อมาหาพิเศษกว่าเขา วัดจามเทวี องค์นี้ใช่ไหมที่ไปหาแล้วท่านทำไม่รู้ไม่ชี้ ไปหาท่านไม่รู้ไม่ชี้ ครูบาบุญทึมอยู่ไหมครับ ไปถามบอก อยู่ข้างในนู่น เขาว่าเดินตามไป พอไปนั่งปุ๊บ นี่นะครูบาบุญทึมละ ท่านไม่แสดงตัว ทึมจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าพระอรหันต์อยู่ที่นั่น ครูบาชุ่มเป็นคนแนะนำ ครูบาคำแสนเอ่ยชื่อขึ้นก่อน หลวงพ่อท่านสั่งให้ตามบอกว่าพระอินทร์สั่ง บอกว่ามีครูบาทึมมีอยู่ ท่านปู่พระอินทร์บอกว่าชื่อทิม ไล่ไปไล่มาเป็นครูบาทึม


    เรื่องหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ

    พระผู้ใหญ่ที่หลวงพ่อแนะนำส่วนมากเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นนี่ ที่เข้านิโรธสมาบัติก็ครูบาชุ่มนี่เอง แหม..สมัยก่อนนี้ไม่มีใครเขาพูดหรอกเข้านิโรธสมาบัติ หลวงพ่อนี่ก็...หมายความว่ายังไงล่ะ ไอ้เราเองก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติให้หน่อยนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องคนเก่งกับพวกเก่งคุยกัน หลวงพ่อบอกว่าให้หลวงปู่ช่วยสงเคราะห์ลูกหลานด้วยเถอะ ลูกหลานจะได้ทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อบอกให้ครูบาชุ่มเข้า ครูบาชุ่มท่านบอกว่าป่วย บอกไม่ไหว ร่างกายไม่ดี หลวงพ่อก็บอกว่าหลวงปู่ ถ้าห่วงร่างกายละก็ ไม่ต้องเข้าหรอก แหม โดน อีไม้เข้าหลวงปู่.....(หัวเราะ)

    "ลิ้นการฑูตจริงๆ จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ"

    ท่านเข้าในอิริยาบท 4 หรือไงนะ เข้าในอิริยาบท 4 นี่ ยืน เดิน นั่ง นอน 7 วัน ทีนี้พอเข้าเสร็จนี่ โอ้โห คนไปนี่นะ หามกันไป ทันมั่ง ไม่ทันมั่ง เป็นพันเป็นหมื่นละมั๊ง ได้เงินกี่แสนก็ไม่รู้ สองสามสี่แสนหรือเปล่าไม่รู้

    พอหลวงพ่อบอกเข้านิโรธสมาบัตินี่ เราเกิดมายังไม่เคยได้ยินเลยว่าพระเข้านิโรธสมาบัติเป็นยังไง คนแตกตื่นกันไป ทีนี้เพื่อนฉันนี่ก็อยู่วัดขุยโพธิ์ เป็นพระ ก็ไปกับเขามั่ง ไปทำบุญกับหลวงปู่ชุ่ม พระจะไปเบียดโยมอยู่ยังไงล่ะ พวกก็คว้าหลวงปู่แห่ไปไหนต่อไหนแล้ว พระก็ตาลีตาเหลือกอดข้าวอดปลากัน ไปแย่งอะไรเขาไม่ได้ สายสิญจน์นี่พวกแย่งกันกระจุยหมด เพื่อนฉันก็ไม่ได้อะไรกับเขา ไปเห็นไอ้ที่เขาเรียกว่า ขัดแตะ ภาษา บ้านนอกเขาเรียกว่าขัดแตะ ไม้ไผ่ที่ทำลูกกรงรอบเป็นซี่บางๆ ขัดแตะทำเป็นลูกกรงที่กระท่อมที่ท่านอยู่น่ะ เขาปลูกกระท่อมพิเศษให้ท่านเข้าไปอยู่ ไอ้นี่เขาไม่ได้อะไรก็เอาไม้ขัดแตะมาหน่อยวะ เอาไม้ขัดแตะมาเป็นที่ระลึก

    พอกลับมาบ้านก็เอามาไว้ที่บ้าน มาให้โยม บ้านท่านอยู่อุตรดิตถ์ พระเดชะนี่อยู่อุตรดิตถ์ พ่อแกสมัยเป็นหนุ่มๆ ไม่หนุ่มแล้ว อาจจะแก่แล้วละ ก็ไปกับอา ไปขุดได้ลายแทงสมบัติมา ก็ไปขุดกัน ไอ้อาหนุ่มก็ขุดอยู่ข้างล่าง ไอ้พี่ชายอยู่ข้างบน พอขุดไปได้สักเมตรนึงนี่ ก็ไปเจอรากไม้ ไอ้อาขุดนี่เจอรากไม้ ไอ้พี่ชายก็บอก เฮ้ย ทองคำนะมึง เอาขึ้นมาเลย(หัวเราะ) ไอ้อาอยู่ข้างล่างก็บอก นี่มันรากไม้ ทองคำอะไรเล่า อยู่ข้างบนเห็นเป็นทองคำ พอเถียงกันน่ะ เสียงลมพัดอื้ดๆๆ มายืนถือกระบองจังก้า อีตอนนี้เอง เผ่นไม่รู้ทองคงทองคำแล้ว(หัวเราะ) คนละทางสองทางแล้ว

    แล้วพอถึงวัน 15 ค่ำนี่ ไอ้เจ้าของนี่มันจะมา ลูกน้องท้าวเวสสุวรรณหรือเปล่าไม่รู้ มันจะมาทวงที่บ้าน มันจะมาหมาจะหอนกันเกรียว แล้วไอ้น้องสาวนี่พอผีเข้ามันจะบีบคอตัวเอง มันจะบีบคอต้วเองให้ตาย จะผูกคอตายอยู่เรื่อย ถึงเวลาก็ต้องทำพิธีกันใหญ่ตอนนั้นน่ะ ก็หนี ไม่ตายสักที เกือบตายทุกที

    ทีนี้เจ้าเดชะนี่ก็เอาไม้ขัดแตะมาให้ที่บ้าน พอมาให้ที่บ้านปุ๊บ ไอ้ผีนี่ขึ้นเรือนไม่ได้ มันวนรอบบ้าน ขึ้นไม่ได้่ เอชักดีแล้ว ไม้อันเดียวขึ้นไม่ได้แล้ว ทีนี้ทำยังไง เอาไว้ที่รั้วบ้าน เอาสายสิญจน์โยงรอบ สองสามเที่ยว ไม่มาเลย เดี๊ยวนี้ไม่มาเลย เจอไม้ขัดแตะหลวงปู่ชุ่ม



    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    เรื่อง หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติ

    หลวงพ่อท่านบอกกับฉันนี่ 2 ครั้ง แต่ท่านเข้าเป็นอาจินต์ทุกวัน ท่านบอกเข้าแล้วนี่ ความเป็นอยู่ของคนจะดีขึ้น เพราะว่ามีลาภมาก

    ที่นี่เคยเข้า ท่านเคยเล่าครั้งหนึ่งนะ ฉันถามท่าน มีอยู่วันหนึ่งรับแขกมาก มันเพลียร่างกายไม่ดี ท่านขึ้นไปนอนข้างบนโน่น ก็เข้าทีนี้เวลารับแขกตอนทุ่มหนึ่งนี่ พระก็ไปปลุก หลวงพ่อครับๆ ท่านก็ตัวแข็ง ดาบตระกูลก็บอก ผมเองๆ หลวงพ่อครับๆ หลวงพ่อก็ตัวกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ก่อนก็จับขาเฉยๆ ดาบตระกูลจับตัวเลย หลวงพ่อครับๆ กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ตื่น ดาบตระกูลก็บอก กูไม่เอาแล้วอย่างนี้ ไปไกลแน่ (หัวเราะ)

    ทีนี้กลับไป เราก็ถามหลวงพ่อครับ ได้ข่าวว่าหลวงพ่อปลุกไม่ตื่นเลยที่สายลม หลวงพ่อเพลียมากใช่ไหมครับ ท่านบอก ไม่ใช่ เข้านิโรธสมาบัติลึกไปหน่อย ร่างกายมันเพลียมาก ร่างกายไม่ไหว นี่ท่านบอกกับเราครั้งหนึ่งนะ

    ครั้งที่สองที่ชิคาโก คือ หลวงพ่อนี่ลำไส้จะเหมือนกับกระบอกที่มันไม่บีบรัดอย่างนี้ มันเหมือนกระบอกเฉยๆ กระบอกข้าวหลาม มันไม่บีบรัด อาหารไม่ย่อย พอฉันอะไรไปแล้วนี่อาหารมันจะเป็นพิษ มันไม่สลายตัว ไม่ย่อย ต้องเอาน้ำสบู่กับดีจรเข้ ยาดำ เรานี่ดีจรเข้หน่อยนึงกับยาดำก็โอ้โห วิ่งโจนทะยานแล้ว ใช่ไหม ของท่านยาดำ ดีจรเข้ กับน้ำสบู่ผสมกัน แล้วก็สวนทวาร สวนครั้งหนึ่งประมาณ 1,200 ซีซี มันไม่ออก ก็ทำไงล่ะ มันไม่เอิ๊กไม่อ๊าก มันก็ทรมาน ท่านก็บอก เอ้อ เอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่ซะแล้วมั๊งนี่ ท่านก็เข้าดับทุกขเวทนาไปเลย เข้านิโรธสมาบัติบ้านนั้นไปเลย ท่านก็เล่าว่าบ้านนี้เป็นอะไร เคยมีพระพุทธเจ้ามา มีพระอรหันต์มา เป็นมงคลใหญ่ ที่ชิคาโกนะ นั่นก็ครั้งหนึ่ง

    ทีนี้ก็ทำบุญใหญ่ละสิ พอรู้ว่าเข้านิโรธสมาบัติ คือเข้าแล้วทำบุญกันหลายคน ความเป็นอยู่คล่องตัว ถ้าคนเดียวก็จะรวยไปเลย ตามพุทธกาลนะ

    "แล้วไอ้สบู่ออกไหมครับวันนั้นน่ะ"

    ไม่ออกเป็นวันเหมือนกัน โอ้โห ทรมาน

    ครั้งที่ 3 นี่ก็ตอนป่วยอยู่ที่วัด ท่านประทีปก็นอนเฝ้าอยู่ เราก็เห็นนอนหลายวัน เราก็ไปเปลี่ยนมั่ง เราก็บอกว่า เออ..ทีป วันนี้ท่านนอนไปเลย ผมจะอยู่ดูหลวงพ่อเอง ท่านก็ป่วยมาก สักตีสองได้ท่านลุกมาเข้าห้องน้ำ เราก็ประคองเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็ไปนั่งที่เตียง ท่านบอก นันต์ ข้าไมได้นอนตั้งแต่หัวค่ำเลยวันนี้ พระพุทธเจ้ามาให้เข้านิโรธสมาบัติตั้งแต่หัวค่ำ เราก็โอ้โฮ พูดถึงนิโรธสมาบัตินี่ หูผึ่งเลย ย่ามเยิ่มไม่ได้เอาเงินทองเข้ามาสักบาทเลย นึกอยู่ ถ้ากูทำวันนี้กูรวยตายเลย(หัวเราะ) นึกรวยเหมือนกัน กูรวยตายเลย ไม่มีใครรู้เท่ากูเลยวันนี้ พอเราคิดอย่างนั้น ท่านบอก เออ..ไม่เป็นไรหรอก เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ความเป็นอยู่เป็นสุขทั้งตัวเราเองและคนอื่น

    พอคุยไปได้สักประเดี๊ยวท่านก็บอก นันต์ สร้างประสาททองคำนะ เราก็เอ๊ะ หลวงพ่อครับ สร้างตรงไหนครับ โรงอิฐน่ะ สร้างตรงโรงอิฐ ตอนนั้นมันก็เป็นโรงอิฐ หลวงพ่อทำอิฐบล๊อกอยู่ เราก็คิดว่าหลวงพ่อสร้างประสาทแก้วแล้ว จะสร้างประสาททองคำบ้างอะไรบ้างนี้ ก็ไม่รู้ พอท่านบอกเท่านั้นเราก็เก็บเอาไว้ในใจ หลวงพ่อมาสายลมท่านก็ไม่พูด ไม่เห็นพูดที่ไหนนะ มาบอกกับเราตอนท่านเข้านิโรธสมาบัติ

    พอหลวงพ่อมรณภาพก็มาคุยกับพระ พระสุรจิตคุมงานก่อสร้างก็บอกว่า หลวงพ่อชี้เหมือนกันตรงโรงอิฐ ให้สร้างที่สำหรับเก็บพระพุทธรูป เราก็นึกว่า เออ หลวงพ่อนี่บูชาพระพุทธเจ้าด้วยทองคำ ก็คงจะสร้างประสาทนี่เอาไว้พระพุทธรูป ทีนี้ก็ลงมือ ให้พระสามารถออกแบบอะไรต่ออะไรด้วย เริ่มทำกันมา ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ปัญหาก็มีอยู่ว่าช่างน้อยไปสักหน่อย ช่างมี 15 คน โอ้โห หลังใหญ่ มันไม่ทันกินเลย เราก็แหม อย่างน้อยสักร้อยนึงถึงจะไปถึงโน่นถึงนี่ได้ มันช้า

    "วันนั้นเอาอะไรถวายหลวงพ่อหรือเปล่า ออกจากนิโรธสมาบัติ"

    ไม่มีสักบาทหนึ่งเลย ก็ไปนอนเป็นเพื่อนท่าน ไม่ได้มีอะไรไปเลย(หัวเราะ) พอคิดในใจว่าไม่มีเงินสักบาทหนึ่ง ท่านก็บอก เออไม่เป็นไรหรอก เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวม ความเป็นอยู่เป็นสุขของตัวเราเอง สอง เพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวมอะไรอย่างนี้ พอคิดในใจท่านก็ตอบแล้ว

    "นึกว่าจะไปเปิดก๊อกน้ำ เอาน้ำมาถวายตอนออกนิโรธสมาบัติ นึกว่าจะถอดจีวงจีวรถวายสักหน่อย"

    จะโดนตะพดหงายท้องผึ่ง (หัวเราะ)


    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    เรื่อง พระสุปฏิปันโนมาวัดท่าซุง


    (ด๊อกเตอร์ปริญญา พูดว่า)

    "เดี๊ยวทีนี้กลับมาถึงเรื่อง...ยังไม่ถึงงานหลวงปู่ปานเลย เพิ่งจะถึงพระสุปฏิปันโน มาถึงนี่แล้ว เอ้ากลับไปงานหลวงปู่ปาน"

    เพราะตอนนั้นคนกำลังตื่นมาก ตื่นพระสุปฏิปันโนนี่ เอ้าองค์นู้นก็พระอรหันต์ หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่พระอรหันต์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโนนี่ ฉันไม่ได้รับรองว่าเป็นพระอรหันต์นี่ คนก็โอ้โห..มาทำบุญกัน หลวงพ่อก็จะเอาพระมานั่งเป็นแถว องค์นั้นนั่งตรงนั้นนั่งตรงนี้ และก็ให้คนมาทำบุญเข้าแถว ไม่มีใครเขาทำกันหรอก มีวัดท่าซุงนี่แหละ ลิเกละครไม่มี ก็มาทำบุญกัน ไอ้คนมันเกิดศรัทธาอยู่แล้วนี่ ศรัทธานี่โอ้โฮ ห้ามไม่อยู่เชียวนะ

    ทีนี้ก็เกิดทำอาหารถวายพระสุปฏิปันโนน่ะ ใครกินอาหารหลังพระสุปฏิปันโนแล้วนี่เป็นทิพย์ เป็นยา สมองดี ปัญญาเลิศ ประเสริฐกว่าคนไม่ได้กินทั้งปวงอะไรอย่างนี้ คนมีศรัทธาแล้ว กินของหลังพระอรหันต์ท่านต้องเสกแล้วใช่ไหม เข้าใจกันว่าอย่างนั้น มงคล 39 ใครไกล้ชิดก็หากินของดีๆหน่อย ไอ้พวกหางแถวก็กินของที่ว่าเหลือจากคนกิน

    ทีนี้วันดีคืนดีก็มีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชุ่ม ลูกศิษย์ก็เยอะใช่ไหม วัดน้ำบ่อหลวงเป็นสำรับอย่างนี้นี่ ทีนี้เวลาหลวงปู่ท่านฉันแล้วนี่ ก็แบ่งกันกิน ไอ้คนอยู่ใกล้ชิดกินมาก ก็กินไป ที่เหลือก็กินน้อย

    ทีนี้ก็ของหลวงปู่บุดดา เอ้าของหลวงปู่บุดดาเหรอ เอ้าคนนี้ก็กิน กินแล้วก็หน้าเจื่อนๆ แบ่งคนอื่นมั่ง ไปถึงไอ้คนปากเปราะเข้า เอ้ากินๆ โอ้โห กูไม่เห็นมีรสมีชาติอะไรเลยวะนี่ ไอ้ลูกศิษย์ที่ถือมาก็บอก ไหนล่ะ ยี๊..ไอ้นี่จะมีรสชาติอะไรเล่า ก็ถ้วยล้างฟันปลอมหลวงปู่นี่ (หัวเราะ) เอาแล้ว ไอ้คนที่ปลงไม่ได้ก็กูนึกแล้ว กูเห็นพริกลอยอยู่ (หัวเราะ) ทีนี้ก็ อ้วก..พุ่งเหมือนแหลน พิษอรหันต์ออกแล้วนี่ กูไม่เห็นมีรสชาติอะไรเลยวะนี่ ถ้าไอ้คนนั้นไม่พูดคงจะกินกันอีกหลายเจ้า ไอ้พวกกินมาแล้วมันไม่พูด ก็มีคุณน้อยกานดานี่ แกปากโป้งอยู่แล้ว แกก็พุ่งแหลนแล้ว (หัวเราะ)

    "ตอนนั้นมีพิธีพุทธาภิเษกด้วยไม่ใช่หรือครับ"

    มีพุทธาภิเษก พระเปลี่ยนกันเข้าหรือไงนี่ ใครมาทีหลังก็เข้าทีหลัง

    "แล้วหลวงพี่ได้เข้าไปในโบสถ์บ้างหรือเปล่าครับ ตอนท่านทำพิธีพุทธาภิเษกน่ะ"

    เข้าบ้างไม่ได้เข้าบ้าง

    "ของที่ปลุกเสกวันนั้นมีอะไรบ้าง พอจะจำได้ไหมครับ วัตถุมงคลน่ะ"

    เดี๊ยวนี้ก็มีพระหลายองค์ที่เป็นเหรียญน่ะ (เหรียญพระสุปฏิปันโน)

    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสิรมว่า)

    "แล้วก็ตอนกำลังทำพิธีพุทธาภิเษกน่ะ หลวงปู่ชุ่มลุกขึ้นเปลี่ยนสบงจีวรหมดเลย"

    นี่ไม่ได้เข้าหรอก พระเล็กพระน้อยน่ะ ไม่ค่อยได้เข้า เข้าว๊อบๆ แวมๆ ไม่ได้ละ หลวงพ่อท่านสั่งเด็ดขาดนะ สั่งคำเดียวนี่ไม่มีใครแล้ว ไม่ว่าคนหรือตำรวจทหาร มันมีกระตุกสร้อยเหมือนกัน จับได้ ขอทงขอทานจับหมด เพราะมันคอยลักรองเท้าเขา

    "มีคนไปถามหลวงพ่อว่าทำไมหลวงปู่ชุ่มต้องลุกขึ้นเปลี่ยนเครื่องทรง หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีใครทนอยู่ได้หรอก เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จน่ะ ต้องเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย คือชุดเก่าแล้ว เปลี่ยนใหม่เลย"

    "เป็นอันว่างานปลุกเสกคราวนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จมา"

    เราเข้าไปเห็นท่านเสด็จอยู่นานแล้ว

    "ได้ทิพจักขุญาณหรือเปล่านี่ เห็นตาเนื้อเลยหรือครับ"

    โอ้โฮ เห็นตาเนื้อเลย ท่านเสด็จอยู่นานก่อนเราจะเข้าไปอีก ปลุกเสกในโบสถ์(หมายถึงพระประธานในโบสถ์)

    คือหลวงพ่อท่านนิมนต์พระสุปฏิปันโนมา เงินที่เขาทำบุญถวายท่านหมด ไม่ได้เก็บไว้ที่วัดนะ ถวายท่านกลับไปหมด ท่านให้เอากลับไป ไปสร้างวัดที่ท่านอยู่ ท่านก็เอามาคืน แต่ว่าหลวงพ่อท่านถวายกลับไปหมดแล้วเงินที่ท่านมีก็ถวายท่านไปอีก เรียกว่าเอาบุญกันทั้งนั้นเลย

    ทีนี้มันไม่เหมือนชาวบ้านเขาอยู่อย่างหนึ่ง ทำบุญกลางวัน กลางคืนก็พักผ่อนกัน นั่งคุยสนทนาธรรมกันอะไรอย่างนี้ ไม่อึกทึกครึกโครม หลวงพ่อท่านส่วนมากจะเน้นความปลอดภัย ความปลอดภัยมาก กลางคืนไม่ทำงาน คนก็ไม่จุ้นจ้านใช่ไหม เหมือนกับคนภายในเราอยู่กัน กลางวันก็มาทำบุญกัน

    "เอ้าทีนี้ตอนในหลวงกับสมเด็จเสด็จนี่ ตอนเสด็จนี่มีใครตามเสด็จครับ นอกจากสมเด็จ 2 พระองค์แล้วมีใครครับ"

    ก็มีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์กับพระเทพฯ นี่ 2 องค์ ไอ้ฉันก็เป็นพระตื่นด้วย อยู่ที่นวราชตื่น พระก็อยู่เป็นกระจุกที่นี่น่ะ ไม่ได้ปล่อยพระเพ่นพ่านไปไหนเลย มีหลวงพ่อรับแขกอยู่ในโบสถ์ พอรับแขกได้นานหน่อยก็ ทางจังหวัดหาว่าหลวงพ่อล๊อคตัวในหลวงไว้ หลวงพ่อเก่งนะ ล็อคตัวในหลวงไม่ให้ไปไหน

    "แล้วเรื่องจริงๆ เป็นยังไง ล๊อคหรือเปล่า หรือยังไง"

    หลวงพ่อก็คุยกับในหลวง ในหลวงก็ทรงปรารถว่าห่วงบ้านเมือง เรียกว่าคอมมิวนิสต์ยังเยอะอยู่น่ะ ท่านก็บอกว่าบ้านเมืองไม่มีอะไร ไม่เป็นขี้ข้าของรัสเซียหรอก ของจีนแดงอะไร ท่านรับรอง แต่ต่อไปน้ำมันจะปรากกฏขึ้น แต่ปรากฏขึ้นทีละน้อย เพราะคนยังโกงกันอยู่

    "ตอนในหลวงกับสมเด็จเสด็จมานี่ก็แวะที่โบสถ์วัดเก่าก่อน แล้วเสร็จแล้วถึงจะเดินมาที่โบสถ์ใหม่ ตอนเดินมานี่ก็มีเจ้าอาวาสเก่าเดินนำหน้า แล้วก็ตอนนั้นกลดไม่กาง หุบกลดมา เข้าวัดไม่กางกลด หุบกลดมาเลย ที่ว่าฝนโบกขรพรรษตกนี่ช่วงนี้แหละ"

    ตกจริงๆ เราก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เม็ดโป้งๆเลยนะ

    "เข้ามาแล้วก็เข้าโบสถ์ก่อน คุยกับหลวงพ่อ เสร็จแล้วถึงออกไปเททอง เททองเสร็จก็ไปทักทายญาติโยม แล้วก็ราษฏร แล้วเสด็จกลับ"

    คล้ายๆ กับมันเริ่มที่วัดเราหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ที่ทำบุญกลางถนนกันนี่ พวกเรามันพวกนักบุญอยู่แล้ว นี่ก็ทำบุญกลางถนน ในหลวงก็รับ รับกันเรื่อยเปื่อยตอนนี้เอง ในหลวงรับกับมือเอง มันเพิ่งเริ่มที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนนะ

    "แต่หลวงพ่อเคยบอกว่าเริ่มต้นจากวัดท่าซุง ในหลวงเริ่มรับแบงค์จากมือประชาชน เริ่มครั้งแรกที่วัดท่าซุง เคยพูดที่ซอยสายลมไว้"

    แต่ก่อนไม่เคยเห็นน่ะ เดินไปก็รับไปเรื่อยๆ


    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2538)


    33-33.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2019
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ไปวัดสามพระยา

    เมื่อไปถึงวัดสามพระยา ถามพระว่าเวลานี้หลวงพ่อสมเด็จอยู่ที่ไหน พระบอกให้ทราบว่า อยู่ในพระอุโบสถ เมื่อเข้าไปและถวายเครื่องสักการะแล้ว ก็ถวายซองเงินสองแสนบาท ท่านบอกว่า ไปนั่งเก้าอี้ ท่า่นชี้ไปที่่เก้าอี้ นั่งพับเีพียบนานไม่ได้ ทั้งนี้ท่านอาจจะทราบว่า ขณะนั้นและขณะที่เขียนหนังสือนี้ อาตมาเป็นโรคเก๊าที่เท้าและขา มันปวดเป็นปรกติ ยี่ห้อนี้น่าคิดบวชมานาน เป็นพระทั้งตัว ต่อมาเมื่อแก่จะเข้าโลงผีแล้ว กลายเพศเป็นตัวเป็นพระ เท้าและขาเป็นเก๋า(หมา) แต่ทว่ามันเป็นเท้าและขาหมาที่เดินไม่ใคร่ไหว ไ่ม่มีกำลังขาอ่อนแบบขาคนแ่ก่ ไม่ใช่ขาอ่อนที่เขาชอบกัน เมื่อลุกไปนั่งที่่เก้าอี้ก็มีความสุขขา เพราะขามีความสุข คือ ไม่ใคร่ปวด

    ตอนนั้นท่านผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่งอยู่ใกล้ๆ ถามท่านว่าท่านมานานแล้วหรือ ท่านตอบว่า ท่านมาเรียน ว.ป.อ. (ศัพท์พวกเด็กๆ ชอบล้อว่า วิทยาลัยปัญญาอ่อน) ความจริงเป็นโรงเรียนที่สร้างความมั่งคงให้ชาติอย่างดีเยี่ยม

    สมเด็จพระสังฆราชเสด็จ

    ทราบ จากท่านผู้ว่าแม่ฮ่องสอนว่ามีคนมาบอกว่า สมเด็จพระสังฆราชเสด็จ เรื่องนี้เป็นปรกติเพราะสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การบูชา ไม่มีเวร มีภัยกับใครๆ ตั้งแต่รับตำแหน่งมา ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่พระใต้บังคับบัญชา มีแต่เตือนให้สามัคคีกัน เมื่อท่านเสด็จมา ก็ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพด้วยศรัทธาแท้ คิดว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านจะยืนรับเหมือนผู้เขียน เห็นท่านนั่งเป็นปรกติ สมเด็จพระสังฆราชท่านเข้ามาถึง ท่านนั่งกับพื้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นั่งบนเตียงตามปรกติ สมเด็จพระสัึงฆราชท่านกราบแล้วถวายของ(เครื่องสักการะและของใช้) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์พนมมือให้พร

    ท่านที่ควรบูชา

    เป็นอันว่า เมื่อเห็นเข้าอย่างนั้น จิตก็มีอารมณ์คิดบูชาสมเด็จพระสังฆราชมากขึ้นอย่างยิ่ง ท่านอาจจะเคารพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ในฐานะอะไรเป็นเรื่องของท่าน แต่ที่่เพิ่มความเคารพบูชาสมเด็จพระสังฆราชมากขึ้น เพราะท่านไม่มีมานะ คำว่า มานะ แปลว่า การถือตัวถือตน หรือถือยศถือศักดิ์ โดยคิดว่าเวลานี้ฉันเป็นสังฆราช ใครจะโตกว่าฉันไม่ได้ ฉันต้องโตกว่าทุกคนที่เป็นพระสงฆ์ การตัดมานะตัวนี้ เป็นเรื่องที่่ผู้เขียนบูชาน้ำใจอย่างยิ่ง และบูชาทุกคนที่ตัดได้ ไม่ใช่เฉพาะสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น วันนั้นถือว่า เฮงที่สุด ท่านที่ตัดมานะ หมดการถือตัวถือตน ตามภาษาพระที่่เรียกว่า สังโยชน์ ท่านถือว่ามีความดีสูง ควรแก่การบูชาอย่างยิ่ง ใครบูชา คนนั้นเป็นคนมีอุดมมงคล คือมงคลสูงสุด(หรือเฮงที่สุด)



    (จากไปวัดสามพระยา ธัมมวิโมกข์ เมษายน 2533)


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148

    3-12.jpg
    9ddcd7ef.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2016
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่องทรงจ้าว

    ยกทรง : เมื่อวานหลวงพ่อบอกว่าผีนิมนต์ เป็นอย่างไรครับ

    หลวงพ่อ : อ๋อ คำว่า ผี หมายความว่า วันนั้น"เจ้าแม่บังไพร"เข้าทรง ท่านก็เลยนิมนต์ เพราะวัดนี้ท่านจะสร้าง ตอนที่มาบ้านท่านเจ้ากรมฯ ครั้งแรกสุดก็มีคนเอาดอกไม้ธูปเทียนเต็มถาดมาถวาย เขาว่าเจ้าแม่บังไพรเอามาถวาย เที่ยวสองเที่ยวสามก็เหมือนกัน ก็เอ๊ เจ้าแม่บังไพร อยู่ที่ไหน ทีหลังไปพบเข้าจึงรู้ ไปพบที่ดาวดึงส์

    ยกทรง : สูงเหมือนกันนะครับ

    หลวงพ่อ : ไม่เชิง ยังดึงถึง (หัวเราะ) เขาบอกว่า เจ้าแม่บังไพร สงสัยว่าต้องเป็นคนทรง วันหนึ่งก็ขึ้นไปจุฬามณี มันนึกไว้ก่อนว่า เจ้าแม่บังไพร น่ะคนไหน พอขึ้นไปก็เจอะเลย จึงรู้ว่าคนไหน ตอนหลังก็พบกันอีกครั้งหนึ่ง เขามานิมนต์ไปให้ไปช่วยสร้างวัดให้ แล้วก็ไม่ต้องถามฉันว่า เจ้าแเม่บังไพร สมัยเป็นมนุษย์คือใคร ฉันไม่บอก เดี๊ยวมาหาฉันบ้าอีก บ้าแค่นี้พอ บ้าครึ่งเดียวพอ

    ยกทรง : อ๋อ แต่ธรรมดาอยู่ข้างบนหรือครับ

    หลวงพ่อ : ปรกติเขาอยู่ข้างบน เป็นเทวดาชั้นสูง

    ยกทรง : ผู้หญิงหรือผู้ชาย

    หลวงพ่อ : เจ้าแม่นี่น่ะ

    ยกทรง : อ๋อ เจ้าแม่

    หลวงพ่อ : เจ้าแม่เป็นผู้ชายก็ซวยละสิ (หัวเราะ)

    ยกทรง : ผมเห็นบางทีคนเป็นผู้ชายทรงเจ้าแม่ คนผู้หญิงทรงเจ้าพ่อ

    หลวงพ่อ : อ๋อ คนทรงเหรอ คนทรงเป็นผู้หญิง เขาขอให้สร้างวัดหลายวัด ถ้าอย่างนี้ก็ไว้ใจได้ ถ้าไปเจอะข้างบนก็ไว้ใจได้ ถ้าไปเจอะข้างบนไม่ได้ เจ้าองค์นั้นก็ไว้ใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไปสังเวยหลอกชาวบ้านเขา

    ยกทรง : กลัวไปเจอนเรศวรปลอมน่ะสิ

    หลวงพ่อ : ไม่ปลอม แท้เลย เป็นเองคนละองค์ มีหลายสวน สวนซ้าย สวนขวา สวนหน้า สวนหลัง องค์ดำน่ะสวนเดียว นเรศวรองค์จริงเวลานี้ยังไม่ตาย

    ยกทรง : อ้าว แล้วกัน ก็เห็นว่ากู้ชาติ กู้บ้านเมือง แล้วก็ตายไปแล้ว

    หลวงพ่อ : คนละองค์ นี่องค์จริงอยู่สุพรรณบุรี องค์นั้นสวนอยุธยา พิษณุโลก ใช่ไหม องค์นี้สวนสุพรรณ (หัวเราะ)

    ยกทรง : พูดถึงเรื่องผีเข้าจ้าวทรงจ้าวพ่อ ยุคนี้ทำไมมากเหลือเกิน แต่ละแห่งเรียกร้องค่าบูชาครูหนักๆทั้งนั้น

    หลวงพ่อ : เห็นจะเป็นคนนิยมมาก ถ้าหากคนไม่นิยมเขาก็เป็นไม่ได้ ตั้งร้านค้า ไม่มีคนซื้อ ตั้งไปก็ขาดทุนใช่่ไหม คนนิยมมากจึงมีมาก ถ้าหากว่าท่านเจ้าทรงก็ดี ถ้าท่านเจ้าไม่มาอั๊วทรงเอง เคยเจอะบ่อยๆ แต่ความจริงเรื่องทรงนี้ จะหาว่าเขาเลอะเทอะทุกรายไม่ได้นะ คนที่เขาดีจริงๆมี

    ยกทรง : จะสังเกตุได้อย่างไรครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ก็ต้องหาเหตุหาผล ถ้าเราไปแล้วเขาพูดว่าอย่างไร จะปรากฏเมื่อไหร่ ใช่ไหม ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะรู้ได้ ต้องรอเวลา ถ้าเวลานั้นเป็นผลตามนั้นจริง ก็เชื่อได้ นี่เราพูดตามธรรมดานะ ถ้าหากเรามีทิพจักขุญาณ ก็เป็นของไม่ยาก ก็รู้เลยว่าเขาคือใคร เมื่อฉันบวชใหม่ๆฉันไปแพ้มา 3-4 ราย

    ยกทรง : แพ้อะไรครับ

    หลวงพ่อ : แพ้คนทรง

    ยกทรง : หลวงพ่อน่ะ

    หลวงพ่อ : ใช่ เอ้า ไอ้คำว่าแพ้ เราแพ้อย่างมีเหตุผลสิ เขาลือกันว่าคนไหนเก่ง ต้องไป อ้าวที่เก่งจริงๆ ถึงไป ต้องมีคนขึ้นมากๆไป ยอมแพ้ เพราะอะไรรู้ไหม ในระหวางที่ไปตามทาง เราคุยกับเพื่อนเราว่าอย่างไร ไปปรารถถึงเขา พอถึงปั๊บเขาทรงปุ๊บ เขาพูดเลย พูดในลีลาที่เราคุยกัน องค์นั้นพูดอย่างนั้น องค์นี้พูดอย่างนี้ แค่นี้เรายอม แค่นี้เรายอมว่าเขาดี มีอยู่องค์หนึ่งได้กำไรหน่อย แพ้เหตุผล แต่ได้กำไรทอง ได้ทองที่ปล่องเหลี่ยม ปล่องเหลี่ยมนี้อยู่ที่่สามพราน ใช่ไหม พอไปเทศน์ที่วัดไม่ไกลนักหรอก เขาลงเรือมาแล้วชาวบ้านเขาก็คุยในวงว่าจ้าวที่ลงเรือมานี้เก่งมาก เทศน์ 3 องค์ ก่อนขึ้นธรรมาสน์ก็คุยกันว่า เฮ้ย เลิกเทศน์แล้วไปดูกันไหม เวลานั้นเป็นหน้าน้ำ น้ำจะท่วมถึงใต้พื้นบ้าน ไปเทศน์ประมาณ 5 องค์ ก็ไป นั่งเรือจ้างไป

    ไปพอดีคนทรงเขากำลังหั่นปลาจะแกงตอนเย็น เข้าบ้านเขารีบล้างมือวิ่งเข้าห้อง แต่งตัวออกมา ท่าทางเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย บอกนิมนต์ครับๆ ผมคอยท่านมาตั้งแต่ก่อนขึ้นธรรมาสน์ แล้วกัน เห็นปรารภว่าจะมาก็เลยมาคอย พอ เท่านี้เราพอ ใช่ไหม คุยไปคุยมาครู่หนึ่งเขาบอกว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมจะขอถวายของวิเศษอย่าง ถามว่าอะไร บอกขออภัยครับ เขาเป็นผู้หญิงนะ แต่ท่าทางเป็นผู้ชาย เสียงเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย นิมนต์เอาขันน้ำไปตักน้ำในตุ่มสักขัน เราก็ลุกไปตักน้ำในตุ่ม แทนที่เขาจะรับ เขาก็วางตรงหน้าเรา แล้วเขาส่งกระดาษให้ ส่งตะไกรให้ตัดกระดาษ 3 ชิ้น ยาวประมาณนิ้วครึ่ง กว้างประมาณนิ้วหนึ่ง พอตัดเสร็จ ถามแช่ไหน บอกแช่ในน้ำ เอาผ้าปิด แล้วเขาก็นั่งคุยกับเราเรื่อย พอถึงเวลาจะลากลับ บอกเสร็จแล้วครับ ถามอะไรเสร็จ บอกตะกรุดทองคำ ถามที่่ไหน บอกในขัน พอเปิดผ้ามาดู กระดาษมันม้วนเสร็จเรียบร้อยเป็นตะกรุดทองคำ นี่ดันตัดให้น้อยไป(หัวเราะ) พอใหร้านค้าทองคำดู บอกทองคำแท้ครับ แหม ทีแรกเรานึกในใจตัดกระดาษยาวๆกว่านี้ก็ดี(หัวเราะ) ไม่บอกเสียก่อน อันนี้ของจริงนะ ของจริงเขามี

    ยกทรง : เอ๊ะ แล้วที่เป็นทอง เป็นได้อย่างไรครับ

    หลวงพ่อ : ก็ต้องไปถามเจ้าองค์นั้น ฉันน่ะไม่ต้องถาม กระดาษมันเป็นทองด้วยอำนาจเทวตานุภาพ

    ยกทรง : ยังอยู่ที่หลวงพ่อหรือเปล่า

    หลวงพ่อ : ไม่อยู่น่ะสิ หายไปนานแล้ว ไม่ได้ขาย ทหารจะไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหา เราสงสาร ก็บอกเอาตะกรุดนี่ไป เราก็ผูกผ้าไปก่อน ให้แกลองยิง แกลองยิง 3 นัดไม่ติด บอกเอาไปได้ แกะออกมาเป็นทองคำ ดีใจใหญ่

    ยกทรง : กลับมาหาบ้างหรือเปล่า

    หลวงพ่อ : กลับมา ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างหรือเปล่า บอกไม่เป็นอะไรเลย ขนาดข้าศึกสาดกระสุนมาหนามาก แกยังเฉยๆ เก่งมาก นี่ของจริงเขามีนะ พวกเราไปเจอะของปลอมก็เลยไม่เชื่อกัน ถ้าเราไม่ทราบด้วยทิพจักขุญาณ ทิพจักขุญาณทราบได้ใกล้ทันที ก็ต้องรอผลไกลๆ เขาพูดอะไรมา ถ้ามันเป็นจริงก็ต้องเชื่อเขา ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่เราจะรู้ได้นะ ถ้าไปถึงแล้วบอกไม่เชื่อเลย

    ยกทรง : ตอนเป็นพระจะไปอินเดีย เขาพาไปหาเจ้าพ่อลิ้นดำ ปิ่นเกล้า อะไรนั่นน่ะ ไม่มีแขกเลย พอผมไปเขาก็รีบแต่งตัว ไปกราบพระแล้วก็มา บอกจะไปอินเดียใช่ไหม ปู่ไม่มีอะไรจะให้ เอาดอกเยอบีร่าสีแดงมาวางที่มือ แล้วแกเอามือปิดนิดหนึ่งแล้วก็ส่งให้ ก็ได้ลูกแก้วมาใบ ทีนี้อยากจะถามว่าจะเล่นกลหรือเปล่า ใช้อยู่ทุกวันนี้ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ

    หลวงพ่อ : แสดงว่าเล่นกล กลดีหรือกลเลว เขาจะเล่นอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อเราเป็นฝ่ายได้ ก็ช่างมันเหอะ (หัวเราะ) ถ้าเล่นแบบให้เราเป็นฝ่ายเสียอย่าไปยุ่งกับเขา เราก็ไม่ใช่คนเอาเปรียบคน ขอกำไรอย่างเดียวพอ(หัวเราะ) เราไม่ได้บังคับเขานี่นะ เขาทำให้ด้วยเมตตา อันนี้ต้องมีผล

    ยกทรง : มิน่าเล่า ขึ้นไปบนเครื่องบิน ฝรั่งไม่รู้หน้ากัน ส่งภาษาไปให้เปิดย่าม ตอนแรกชักใจไม่ดี คิดว่าเขาจะล้วงอะไรในย่าม เพราะไม่ค่อยเชื่อใจอยู่เหมือนกัน แล้วแกบอกว่าให้คนเขาแปลให้ฟังบอกว่า จะไปเมืองเขาแล้ว แบ๊งค์ไทยไม่อยากได้ เลยใส่ย่ามให้หมดเลย เสียใจเหมือนกันครับ

    หลวงพ่อ : เสียใจเหมือนกัน น้อยไปหน่อย(หัวเราะ)

    ยกทรง : แหม รู้คอเลย

    หลวงพ่อ : รู้สึกไปครั้งนั้นโชคดีตลอดเลย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เข้าจ้าวเข้าทรงไปตำหนิเขาไม่ได้ แล้วแต่คน อีกทีหนึ่งก็แล้วแต่ผู้มาทรง ผู้มาทรงมีอานุภาพขนาดไหน บางทีก็ไปเจอะอสุรกายมาทรงก็มี สัมภเวสีก็มี พวกนี้เขาก็ทำได้เหมือนกัน ใครจะไปใครจะมาเขาก็บอกได้ นั่งๆ อยู่รถจะมาเขาบอกว่า เอ้อ รถจะมา มาช่วยกันขนของ พวกนี้เขาทำได้ แต่อานุภาพไม่เท่ากัน เหมือนคนเราส่วนสูงมันไม่เท่ากัน

    ยกทรง : พวกนี้ที่มาช่วยชาติ ช่วยศาสนาก็มีนะ

    หลวงพ่อ : มีองค์ที่ทำตะกรุดทองคำ เสียดายไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว จะให้ทำใหม่

    ยกทรง : ทองแพงด้วยตอนนี้

    หลวงพ่อ : ตอนนั้น ไม่บอกด้วยว่าจะทำตะกรุดทองคำ ฉันจะตัดเสียเยอะเลย (หัวเราะ) น่าแปลกนะ ตะกรุดทองคำนี่ลอยน้ำนะ

    ยกทรง : มีอักขระด้วยไม่ใช่เหรอ

    หลวงพ่อ : มี

    ยกทรง : ไม่ได้เสกอะไร นั่งคุยเฉยๆเหรอ

    หลวงพ่อ : เทวตานุภาพ เขาไม่ต้องเสกเป็นแล้ว อย่างพระที่ได้อภิญญานี่เขาไม่ได้เสก พอนึกปั๊บมันเป็นเลย พระที่ได้อภิญญา ยังมีเนื้อมีหนัง มีอารมณ์หนักใช่ไหม ถ้าเขาเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาจะเบา สบายกว่า อารมณ์หนักไม่มี ทำได้คล่องกว่า


    (จากสนทนาสายลมในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 424)




    1-33.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2016
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    เรื่องคุณไสย


    ยกทรง : หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาหลวงพ่อรดน้ำมนต์ทีไร ถูกตัวหนูปวดศีรษะทุกครั้ง เป็นเพราะอะไรเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : ดีมาก ทีหลังอย่างนี้ซินะ เอาตัวแมวเข้ามารับแทน

    ยกทรง : อ๋อ หนูจะได้พ้นนะ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ น่ากลัวจะมีอะไรอยู่ในตัวเสียอย่างหนึ่ง ที่มันกลัวน้ำมนต์ ใช่ที่เขาเรียกว่าโรคไสยศาสตร์ ที่มันมาโดยที่เขาไม่ตั้งใจ เพราะนักไสยศาสตร์นี่ต้องปล่อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง คือว่าวันอังคาร 1 ครั้ง วันเสาร์ 1 ครั้ง จึงได้มาตามลม ตามแล้งนะ ฉะนั้นทุกคนจงอย่าทำปากให้ไว ถ้ามีอะไรตุ๊บตั๊บ ตึงตังขึ้นมา อย่า อย่าไปทัก พวกนี้ถ้าไม่ทักไม่เข้าตัว ใช่ ถ้าไม่ทัก เฉยๆไม่เข้าตัว ถ้าทักแล้วเข้า

    ยกทรง : นี้อย่างลูกก้ง ลูกแก้ว นี่เข้า

    หลวงพ่อ : ถ้าทักเปิดโอกาศให้เขา อย่าลืมนะ ก็เมื่อสมัยที่หลวงพ่อปาน ป่วยที่วาระที่จะตายน่ะ ท่านสั่งบอกว่า ก่อนหน้านั้น 4-5 วันคือว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตก ทุกองค์ให้ปิดหน้าต่างด้านตะวันตกให้หมด เพราะเขาจะปล่อยของมา แล้วก็เป็นความจริง พอค่ำไม่เกิน 2 ทุ่ม ปึงปังๆ โป๊ะเป๊ะเลย เหมือนอะไร เหมือนกับลูกกระสุน ใครขว้างกุฏิเข้าไปดู ไม่เห็นมีวัตถุ อีกคืน พอคืนที่ 2 เจ้าลิงเล็กมันซน เขาก็ทำน้ำมนต์ เอาใส่ถังน้ำนี่ 4 ถัง ไปวางไว้ ดัก พอปุ๋ง จ๋อม ปุ๋ง จ๋อม ลงถัง เข้าไปดูตะปูบ้าง ขวานบ้าง มีดโต้บ้าง เหล็ก เหล็กยาวๆขนาดนี้นะ เลื่อยตัดเหล็กบ้าง ผูกกันมาเป็นไอ้ผูกอย่างนี้ถ้าเข้าตัวก็ตาย มาคืนที่ 3 ประมาณตี 2 เสียงดังวู้ด ดังมากเหมือนของใหญ่ๆ ต้านลมมา ไปหน้าโบสถ์ ถูกต้นอะไร หางนกยูง โป้ง ดังสนั่นเลย เสียงอ๊อด ไอ้ต้นหางนกยูงน่ะโอบไม่รอบนะ ล้มทั้งต้นเลย เช้าขึ้นมา หลวงพ่อพ่อปานบอก นั่นครกนะ เขาจะเอาฉันให้ตาย เราก็ไปหาครกไม่พบ ทำอย่างไร ท่านเลยทำน้ำมนต์ให้ไป พรมไป พรมมา พรมมันดะไปนะ ก็พรมแถวนั้นนะ ไม่ไปไหนหรอก สักครู่หนึ่ง ไอ้ครกมันค่อยๆโต ขนาดนี้ สักประเดี๊ยวเดียว ไม่ถึงชั่วโมง โตเต็มลูก นั่นถ้าถูก ไมทันเช้าล่ะ ตายเลย

    ยกทรง : ตายก่อนเช้าอีก

    หลวงพ่อ : ใช่ ต้นหางนกยูงขนาดโอบไม่รอบยังล้ม มันล้มชัด โอ๊ด แต่ท่านสั่งเลยว่าได้ยินเสียงอะไรอย่าทักเป็นอันขาด นี่ต้องระวังนะ อย่านึกว่ามีของป้องกัน อันนี้จะเปิดทางให้เขาน่ะสิ ถ้าทักเป็นการเปิดทางให้ จะต้องทำปากเงียบไว้

    ยกทรง : อ๋อ อย่างนี้เวลาอะไรก๊อกแก๊กๆ ทำเฉยไว้

    หลวงพ่อ : ก็ไม่แน่ขโมยมา (หัวเราะ) อันนี้ไม่ก๊อกแก๊ก มันจะกระทบแรง เหมือนใคร(ขว้างบ้านมีเสียงหล่นตุ๊บตับ ที่ดินนี่นะ ทำเฉย สังเกตุดูก่อนว่าอะไรกันแน่


    (จากสนทนาสายลม ในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 13 หน้า 457)




    2-26.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2016
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ไฟจะไหม้บ้าน

    ยกทรง : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนหลวงพ่อได้ตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องไฟจะไหม้บ้าน โดยให้ถวายพระพุทธเจ้า มีเทียน 3 เล่ม จุดธูป ถวายเป็นของสงฆ์นั้น บัดนี้ของลูกก็มีบ้านแล้วเจ้าค่ะ แต่ลูกอยู่เขตคลองตัน ตลาดสด คลองตัน เพชรบุรีตัดใหม่ อยากจะทำแบบนั้นบ้าง จะมีทางแก้ไขได้หรือไม่ เพราะเขานั่งทางใน เขาบอกไฟจะไหม้เหมือนกัน

    หลวงพ่อ : ทำได้ แต่เวลาถวายก็จุดเทียนเข้าไปด้วยนะ เป็นการถวายไฟกับพระด้วย

    ยกทรง : อ๋อ

    หลวงพ่อ : ให้พ้นไปเลย

    ยกทรง : อ๋อ

    หลวงพ่อ : อธิษฐานให้กรรมนั้นพ้นไปนะ

    ยกทรง : ครับๆ

    หลวงพ่อ : หนึ่ง นำพระพุทธรูปเข้าไป สอง ขณะนำจุดเทียน 3 เล่ม ใส่ถาดแล้วถือเข้าไปด้วย ประเคนด้วยกันนะ

    ยกทรง : ครับๆ

    (จากสนทนาที่สายลม ในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 16 หน้า 239)

    good1.jpg
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    good2.jpg
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ทำงานที่คลีนิคทำแท้ง

    ยกทรง : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำงานในสำนักงานเถื่อนทำแท้งแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีรายได้ดีพอควร หน้าที่ลูกคือเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเงิน พอมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไม่นานนักชักไม่แน่ใจไม่ดีเสียแล้ว เพราะมีหุ้นส่วนกับเขาด้วย เลยจะขอพึ่งบารมีถามหลวงพ่อว่า ข้อหนึ่งลูกจะมีบาป มีกรรมร่วมกับบัญชีพระยายมมีบ้างหรือไม่ ข้อสองเอาเงินเดือนจากทำแท้งมาทำบุญกับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : เอ่อ นี่เข้าท่า เข้าท่าๆ

    ยกทรง : มาดีอีตอนทำบุญนี่เองนะ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ ฟังมาตั้งนาน คิดว่าจะบอกอย่างนี้เหมือนกัน แบ่งครึ่งกัน (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ งานก็เป็นงาน อาชีพก็เป็นอาชีพ จิตใจเกาะบุญไว้ พระพุทธเจ้าไม่เคยตำหนิใครเรื่องอาชีพน่ะ อย่างกับอาจารย์ยกทรงพระสารีบุตร 500 องค์เป็นชาวประมง ใช่ไหม ชาวประมงซึ่งต้องฆ่าปลาทุกวันประจำเลยยิ่งกว่าทำแท้ง ต่อมาเมื่อเข้ามาบวชกับสำนักพระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็รับและยังแนะพระสารีบุตรไปสอนอภิธรรม เพราะพวกเขาเคยเกิดชาติก่อนฟังอภิธรรมมา พอฟังอภิธรรมย่อๆจบ เขาเป็นอรหันต์ทั้งหมด เห็นไหม เขาไม่ตำหนิ อาชีพก็ส่วนอาชีพ แล้วเรื่องบุญก็เรื่องบุญไป แต่ว่าจิตอย่าไปเกาะอาชีพประเภทนั้น เกาะบุญอย่างเดียว งานถือว่าทำตามหน้าที่น่ะ หมดเรื่องหมดราวไป

    ยกทรง : อย่างนี้ถ้าจะนึกอะไร ให้นึกถึงบุญที่ทำกับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ นึกถึงฉันไม่ทันมันไกล นึกถึงยกทรงก่อน ก็นึกอีตาบ้า คนนั้นแกเคยพูดปาวๆเป็นธรรมะธัมโมดีจังเว้ย เพลิดเพลินดี

    ยกทรง : อ๋อ อย่างนี้ต้องแบ่งให้หลวงพ่อครึ่งหนึ่ง

    หลวงพ่อ : ไม่เอาล่ะ (หัวเราะ) ให้ยกทรงร้อยเปอร์เซ็นต์

    ยกทรง : เอาแต่บุญ เรื่องอาชีพเป็นอะไรที่แปลก หลวงพ่อตอบรู้สึกสบายใจขึ้น ตอนนั้นมันยึกยักๆ

    หลวงพ่อ : เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตำหนิใคร ท่านก็รับทุกด้าน อย่างตัมพทาฐิกโจร เห็นไหม ตัมพทาฐิกโจร โจรเคราแดงนี่ฆ่าคนมาเกินหมื่นคน แกพบพระสารีบุตรเข้า พระสารีบุตรท่านพูดเรื่องฆ่าคน ทีแรกพอกินข้าวเสร็จใช่ไหม ท่านก็เทศน์ เทศน์โทษปาณาติบาตเลย จะฆ่าคน ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์ตกนรกขุมไหน ขุมไหน ก็ว่าเรื่อย

    ตัมพทาฐิกโจร เหงื่อแตกพลั่ก พอเทศน์ไปถึงครึ่งกัณฑ์ พระสารีบุตรท่านฉลาด ท่านเทศน์ไปท่านชำเลืองดูไป เห็นตานั่นเหงื่อแตก ท่านหยุดถามโยม ไม่สบายหรือ โยมก็บอกสบายดีพระเจ้าครับท่าน พระคุณเจ้าเทศน์มานั้นผมเรียบร้อย ไม่ได้เหลือเลย (หัวเราะ) ท่านก็เลยถามว่าโยม โยมฆ่าคนตาย ใครเขาใช้ให้ฆ่า หรือฆ่าเอง บอกพระราชาใช้ให้ฆ่า

    พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ท่านก็ถามว่าโยม สมมุติว่าถ้าโยมเป็นลูกจ้างเขา นายจ้างเขามีนาร้อยไร่ เขาใช้ให้โยมทำ เมื่อได้ข้าวในนาเสร็จ ผลของนาน่ะข้าวทั้งหมดจะเป็นของโยมหรือเป็นของนายจ้าง โยมก็บอกว่าเป็นของนายจ้างครับ ท่านฉลาดกว่า ตัมพทาฐิกโจรโง่กว่า ท่านก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนี้ที่พระราชาใช้ให้โยมฆ่าเป็นเพชฌฆาต บาปอยู่กับใคร อีตานั่นแกโง่ แกนึกว่าบาปตกอยู่กับพระราชา (หัวเราะ) พระสารีบุตรเลยเทศน์อานิสงส์ทาน เลยเป็นโสดาบันเดี๊ยวนั้น

    ยกทรง : โอ้....จากเหงื่อแตก

    หลวงพ่อ : ใช่ พอเหงื่อแห้งเป็นพระโสดาบันเลย (หัวเราะ) ไอ้เหงื่อแตกนั่นเป็นน้ำอาบชำระร่างกายให้สะอาด ชำระเข้าไปในจิตใจ ข้างในเลย เอาว่าต่อไป เดี๊ยวโม้หมดเวลา (หัวเราะ)


    (จากสนทนาสายลม ในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 16 หน้า 257)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2020
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232


    เทวดาช่วยสร้างวัด

    สมัยก่อนหลวงพ่อมีคนมาน้อย แต่ท่านก็สร้างตึกริมน้ำ เงินก็ไม่มี สั่งไม้มา สั่งปูน สั่งทรายมา เวลานั่งกรรมฐานท่านปู่พระอินทร์ก็มาบอกหลวงพ่อ ให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เทวดาที่ปกปักรักษาเรา และเทวดาทั่วสากลพิภพ ทั้งนี้เพื่อให้เขาดลใจญาติพี่น้องของเขามาทำบุญ คือเราไม่เห็นเทวดาแต่จะมีความรู้สึกสะดุดใจอยากไปทำบุญ อันนี้เป็นคำยืนยันอย่างหนึ่งนะ

    ทีนี้ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ มีการเป่ายันต์ครั้งสุดท้าย งวดนั้นรู้สึกว่าได้เงินตั้ง 15 ล้านบาท หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าต้องไปขอบคุณเขาที่ดาวดึงส์ที่ช่วยสงเคราะห์ แต่พระพุทธเจ้าพูดยิ่งกว่านั้น ทรงตรัสว่า "ขอบใจท่านทั้งหลายที่ช่วยลูกชายฉัน" โฮโฮพูดมากไม่ได้มันจะปิติอยู่เรื่อย แต่ในเทปมี ฉะนั้นวัดเราที่หลวงพ่อสร้างได้ใหญ่โตเช่นนี้เพราะเทวดาช่วย

    หลวงพ่อก่อนออกรับแขก


    ก่อนออกรับแขกนี่ หลวงพ่อท่านจะดูคนมาก่อน บางทีท่านก็เล่าให้เราฟัง วันนี้จะมีคนมาหาเป็นคนระดับไหน แล้วจะพูดยังไง จะทักมันยังไง พูดทุกคำมีเหตุมีผลหมด บางทีแม้แต่ฉันอาหารวันนี้จะทักกับใคร ทักยังไง บางทีทัก

    "เออ ลูกสาวเอ้ย" เพราะว่าเป็นลูกสาวแม่นั้นเขา ให้มาบอกยังงี๊ บางทีออกรับแขก ท่านกวาดตามองหาคนที่แม่เขาบอกมาหรือเปล่า อย่างท่านแม่ศรีมาบอกว่า ลูกคนนี้มาให้ทักมันเสียหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งแขกมารอข้างล่าง ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน "หลวงพ่อครับแขกมา" ท่านบอกยังไงรู้ไหม "ปล่อยมันก่อนไอ้นี่มันแอ๊ก แอ๊กว่ามันรวย มันใหญ่โตมาก" ขนาดยังไม่ลงนะ ท่านรู้แล้ว ปล่อยให้รอไปก่อน ท่านก็ไม่ยอมลง หลวงพ่อท่านรู้จริงๆ


    หลวงพ่อเป็นคนละเอียดลออมาก

    "แหม...ชอบใจที่บอกว่าหลวงพ่อให้ไปนับกระดาษห่อทองคำเปลว"

    โอ...เรื่องเปลือกทองนี่โหดร้ายมาก หลวงพ่อสั่งให้นับ เวลาปิดทอง โบสถ์ต้องใช้ทองเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกันนี่ ปิดแล้วเอาเปลือกทองมา ทีละห้าหมื่นๆ เราก็ต้องมานับเปลือกทอง เวลาช่างมาส่งต้องนับต่อหน้าช่างด้วยนะ นับไปก็นึก เอ๋..หลวงพ่อให้นับทำไมนะ จะขายได้สักเท่าไรนะ ไอ้เปลือกทองนี่ให้นับอยู่เรื่อย มารู้ตอนหลังว่าท่านกันไม่ให้ช่างปิดทองลักทอง สมัยก่อนทองแผ่นละบาท แรงงานวันละ 20 บาท มันลักไปวันละ 10 แผ่น 10 วันก็ 100 แผ่นแล้ว ที่ให้นับมันจะได้โกงไปไม่ได้ มารู้ตอนหลัง

    มีอยู่ทีหัวใจจะวายตาย ไปยกเมฆท่าน คิดว่าตัวเราฉลาดมาก ยกเมฆหลวงพ่อ หลวงพ่อสั่งบอกว่าเวลาเขาเบิกกลอนไปกี่ตัว แกทำบัญชีไว้นะ แล้วแกไปดูด้วยเขาใส่กลอนตามหน้าต่าง ถูกไหม ตะปูเบิกไปเท่าไร จดไว้ ไอ้เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ถามบ้าง ไม่ถามบ้าง ขี้เกียจทำ ยกเมฆบ้าง วันหนึ่งก็ไปกราบตอนเช้าๆ

    หลวงพ่อถาม "นันต์ แกทำบัญชีเบิกหรือเปล่า"

    ทำครับ

    "แกทำไว้เรียบร้อย ใช่ไหม"

    ครับ ท่านมองลอดแว่นมาหาเลย

    "เดี๊ยวข้าจะขอดูบัญชีแกสักหน่อย"

    โอ้โฮ..หัวใจจะวายให้ได้ เวลาท่านดุนี่ด่า 3 วัน 3 คืน ถ้าลงเทปด้วยละก็ไม่ต้องแล้ว ประจานกันทุกวัน เทปเปิดตอนเย็นนี่ เปิดเทปทีก็แปล๊บ


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 151 เดือนกันยายน 2536 หน้า 80-81)

    81178651_1460800934096441_8965313883266875392_o.jpg

    เทวดาช่วยสร้างวัด

    สมัยก่อนหลวงพ่อมีคนมาน้อย แต่ท่านก็สร้างตึกริมน้ำ เงินก็ไม่มี สั่งไม้มา สั่งปูน สั่งทรายมา เวลานั่งกรรมฐานท่านปู่พระอินทร์ก็มาบอกหลวงพ่อ ให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เทวดาที่ปกปักรักษาเรา และเทวดาทั่วสากลพิภพ ทั้งนี้เพื่อให้เขาดลใจญาติพี่น้องของเขามาทำบุญ คือเราไม่เห็นเทวดาแต่จะมีความรู้สึกสะดุดใจอยากไปทำบุญ อันนี้เป็นคำยืนยันอย่างหนึ่งนะ

    ทีนี้ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ มีการเป่ายันต์ครั้งสุดท้าย งวดนั้นรู้สึกว่าได้เงินตั้ง 15 ล้านบาท หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าต้องไปขอบคุณเขาที่ดาวดึงส์ที่ช่วยสงเคราะห์ แต่พระพุทธเจ้าพูดยิ่งกว่านั้น ทรงตรัสว่า "ขอบใจท่านทั้งหลายที่ช่วยลูกชายฉัน"

    โฮโฮพูดมากไม่ได้มันจะปิติอยู่เรื่อย แต่ในเทปมี ฉะนั้นวัดเราที่หลวงพ่อสร้างได้ใหญ่โตเช่นนี้เพราะเทวดาช่วย


    ท้าวมหาราชช่วยหลวงพ่อ

    ความจริงท้าวมหาราชนี่ท่านช่วยหลวงพ่อตลอด ช่วยดูแลวัด ช่วยในงานก่อสร้างวัด แม้ร่างกายหลวงพ่อตั้งแต่ปี 30 หลวงพ่อป่วยมาก ท่านบอกว่าเหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้ว มีใบร่วงหมดแล้ว จะเดินไปไหน ท่านบอกว่าท้าวมหาราชช่วยประคองตลอด เดินเองจริงๆ เดินไม่ไหวหรอก พอท่านวางก็แทบจะหมดแรง ท่านช่วยหลวงพ่อมาตลอด แม้แต่ศพหลวงพ่อ ท่านก็ช่วยดูแลตลอด

    เวลาที่วัดทำบุญใหญ่ที่หลวงพ่อจะบวงสรวงใหญ่มีอยู่คราวหนึ่ง พอบวงสรวงท่าน ท่านท้าวมหาราชก็ถามหลวงพ่อ ท่านจะต้องการอะไรไหมครับ หลวงพ่อบอกไม่ต้องการอะไรหรอก ท่าวมหาราชถาม ท่านไม่ต้องการเงินเหรอ ต้องการทำบุญใหญ่ หลวงพ่อบอก ต้องการน่ะต้องการแต่ไม่ขอ ท่านขออะไรไหมครับ หลวงพ่อบอกขอให้อากาศครึ้มๆ ไม่ให้ร้อนเกินไป ไอ้เราก็นึก แหม....ตรงข้ามกับเราเลยนะ เรานี่จะขอเงินเลย หลวงพ่อบอกว่า ถ้าอากาศครึ้มใจคนจะดี ใจคนจะไม่เร่าร้อน เย็น เงินเขาก็จะให้เอง ตามกำลังศรัทธาของเขา

    มีเรื่องอะไรท่านจะบอกก่อนเสมอ อย่างมากรุงเทพฯ ท่านจะเช็คก่อน 7 วัน 7 วันต่อไปนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง คนจะมายังไงๆ ท่านรู้หมด



    หลวงพ่อก่อนออกรับแขก

    ก่อนออกรับแขกนี่ หลวงพ่อท่านจะดูคนมาก่อน บางทีท่านก็เล่าให้เราฟัง วันนี้จะมีคนมาหาเป็นคนระดับไหน แล้วจะพูดยังไง จะทักมันยังไง พูดทุกคำมีเหตุมีผลหมด บางทีแม้แต่ฉันอาหารวันนี้จะทักกับใคร ทักยังไง บางทีทัก

    "เออ ลูกสาวเอ้ย" เพราะว่าเป็นลูกสาวแม่นั้นเขา ให้มาบอกยังงี๊ บางทีออกรับแขก ท่านกวาดตามองหาคนที่แม่เขาบอกมาหรือเปล่า อย่างท่านแม่ศรีมาบอกว่า ลูกคนนี้มาให้ทักมันเสียหน่อย

    มีอยู่คราวหนึ่งแขกมารอข้างล่าง ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน

    หลวงพ่อครับแขกมา

    ท่านบอกยังไงรู้ไหม "ปล่อยมันก่อนไอ้นี่มันแอ๊ก แอ๊กว่ามันรวย มันใหญ่โตมาก"

    ขนาดยังไม่ลงนะ ท่านรู้แล้ว ปล่อยให้รอไปก่อน ท่านก็ไม่ยอมลง หลวงพ่อท่านรู้จริงๆ

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 151 เดือนกันยายน 2536 หน้า 80-81)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2020
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ท้าวมหาราชช่วยหลวงพ่อ

    ความจริงท้าวมหาราชนี่ท่านช่วยหลวงพ่อตลอด ช่วยดูแลวัด ช่วยในงานก่อสร้างวัด แม้ร่างกายหลวงพ่อตั้งแต่ปี 30 หลวงพ่อป่วยมาก ท่านบอกว่าเหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้ว มีใบร่วงหมดแล้ว จะเดินไปไหน ท่านบอกว่าท้าวมหาราชช่วยประคองตลอด เดินเองจริงๆ เดินไม่ไหวหรอก พอท่านวางก็แทบจะหมดแรง ท่านช่วยหลวงพ่อมาตลอด แม้แต่ศพหลวงพ่อ ท่านก็ช่วยดูแลตลอด

    เวลาที่วัดทำบุญใหญ่ที่หลวงพ่อจะบวงสรวงใหญ่มีอยู่คราวหนึ่ง พอบวงสรวงท่าน ท่านท้าวมหาราชก็ถามหลวงพ่อ ท่านจะต้องการอะไรไหมครับ หลวงพ่อบอกไม่ต้องการอะไรหรอก ท่าวมหาราชถาม ท่านไม่ต้องการเงินเหรอ ต้องการทำบุญใหญ่ หลวงพ่อบอก ต้องการน่ะต้องการแต่ไม่ขอ ท่านขออะไรไหมครับ หลวงพ่อบอกขอให้อากาศครึ้มๆ ไม่ให้ร้อนเกินไป ไอ้เราก็นึก แหม....ตรงข้ามกับเราเลยนะ เรานี่จะขอเงินเลย หลวงพ่อบอกว่า ถ้าอากาศครึ้มใจคนจะดี ใจคนจะไม่เร่าร้อน เย็น เงินเขาก็จะให้เอง ตามกำลังศรัทธาของเขา

    มีเรื่องอะไรท่านจะบอกก่อนเสมอ อย่างมากรุงเทพฯ ท่านจะเช็คก่อน 7 วัน 7 วันต่อไปนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง คนจะมายังไงๆ ท่านรู้หมด

    หลวงพ่อเป็นคนสันโดษ

    หลวงพ่อท่านเป็นคนสันโดษ ไม่ทำอะไรฟุ่มเฟือย การกิน แม่ครัวทำอะไรมากๆ มักจะโดนดุ เวลาเขาทำพิธีบวงสรวง บวงสรวงเสร็จ แม่ครัวเขาจะหั่นหมูทำน้ำจิ้ม ท่านเห็นก็ว่า " แม่ครัวมันจังไรจริงๆ มันต้องใส่ผักใส่หญ้าบ้างซิ นี่ให้กินแต่เนื้อ ผักไม่ใส่เลย " ท่านไม่ให้กินดีมาก คนเราถ้ากินดีแล้วไปเจอกินไม่ดีมันกินยาก เป็นพระต้องกินได้ทุกอย่าง ไม่ใช่กินดีตลอด ชาวบ้านเขาให้ดีบ้างไม่ดีบ้าง มันต้องปรับตัวให้เข้าได้ทุกสภาวะ กลดก็อยู่ได้ อาหารไม่ดีก็อยู่ได้ ไปเลี้ยงดีเสียแล้วปรับลงยาก เป็นโทษแก่ต้วเหมือนกัน

    แต่อยู่กับหลวงพ่ออยู่ตั้งแต่จนมานะ หลวงพ่อจะไปไหนก็ลำบาก จะไปเทศน์ที่ 04 ตาคลี หลวงพี่ไปบิณฑบาตสายเรือ หลวงพ่อบอก " นันต์ แกไปบอกโยมเอี๊ยงทีนะ ตอนเที่ยงแล้วให้มารับข้า จะไปเทศน์ที่ 04 " ไปเทศน์ที่ 04 ก็ต้องเอาครูนนทาไปด้วย ครูนนทาเป็นคนรวยใช่ไหม ไอ้โจรก็จะมาจับเรียกค่าไถ่ สมัยก่อนไม่มีตำรวจมากอย่างนี้ มีแต่จ่าตระกูล จ่าตระกูลก็มาเย็น ก็ต้องให้ตามไปด้วย จะไปรถเมล์รถสองแถวหน้าวัด

    ตอนมาสายลม เจ้ากรมฯต้องไปรับไปส่ง คนก็ไม่มาก เรื่องก่อสร้างพอถึงปีทีก็จะจ่ายหนี้กันที ก่อนกฐินก็สร้างกันไปเรื่อย

    แต่หลวงพ่อท่านขยันนะ ลงกรรมฐานทุกวัน สอนกรรมฐานทุกวัน เวลาว่างท่านจะอัดเทป เวลาตีสี่ครึ่งท่านจะเดินจงกรม

    หลวงพ่อบนเครื่องบิน

    พระวิรัชนี่ หลวงพ่อไปต่างประเทศต้องขลุกอยู่กับหลวงพ่อตลอด พระวิรัชบอกว่า เวลาขึ้นเครื่องบินบางครั้งท่านเข้านิโรธสมาบัติไปเลย มีอยู่คราวหนึ่งหลวงพ่อบอกพระวิรัชว่า " แป๊ะ เวลาเขาเอาอาหารมา ไม่ต้องปลุกข้านะ " ท่านก็จับกระโถนไว้เผื่อจะอาเจียน พระวิรัชบอกว่า บางทีเห็นมือที่จับกระโถน มือแข็งแกะไม่ออก ท่านก็ป่วยมาก ป่วยหนัก

    และเรื่องอาหารท่านก็สั่งว่า ถ้าเขาเอาอาหารมาข้าไม่กินละนะ แกกินเลย ข้าไม่กิน ทีนี้อาหารบนเครื่องบินชั้นหนึ่งเขาก็ทำพิเศษมา พระวิรัชเสียดาย บอก " หลวงพ่อครับ ฉันอาหารหน่อยครับ " ท่านก็บอกว่า " แป๊ะข้าพูดยังไงก็เป็นยังงั้นนะ พูดแล้วข้าตัดเลย ให้กินอีกก็กินไม่ได้ ข้าไม่เหมือนแก เห็นแล้วมันอยาก " พระวิรัชคงเสียดาย อาหารดีๆ (พระวิรัชมาเล่าเพิ่มเติมตอนหลังว่าหลวงพ่อท่านมีสัจจบารมีดีมาก พูดคำไหนเป็นคำนั้น)


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 151 เดือนกันยายน 2536 หน้า 81-83)



    5a.jpg

    หลวงพ่อเป็นคนละเอียดลออมาก

    "แหม...ชอบใจที่บอกว่าหลวงพ่อให้ไปนับกระดาษห่อทองคำเปลว"

    โอ...เรื่องเปลือกทองนี่โหดร้ายมาก หลวงพ่อสั่งให้นับ เวลาปิดทอง โบสถ์ต้องใช้ทองเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกันนี่ ปิดแล้วเอาเปลือกทองมา ทีละห้าหมื่นๆ เราก็ต้องมานับเปลือกทอง เวลาช่างมาส่งต้องนับต่อหน้าช่างด้วยนะ นับไปก็นึก เอ๋..หลวงพ่อให้นับทำไมนะ จะขายได้สักเท่าไรนะ ไอ้เปลือกทองนี่ให้นับอยู่เรื่อย

    มารู้ตอนหลังว่าท่านกันไม่ให้ช่างปิดทองลักทอง สมัยก่อนทองแผ่นละบาท แรงงานวันละ 20 บาท มันลักไปวันละ 10 แผ่น 10 วันก็ 100 แผ่นแล้ว ที่ให้นับมันจะได้โกงไปไม่ได้ มารู้ตอนหลัง

    มีอยู่ทีหัวใจจะวายตาย ไปยกเมฆท่าน คิดว่าตัวเราฉลาดมาก ยกเมฆหลวงพ่อ หลวงพ่อสั่งบอกว่าเวลาเขาเบิกกลอนไปกี่ตัว แกทำบัญชีไว้นะ แล้วแกไปดูด้วยเขาใส่กลอนตามหน้าต่าง ถูกไหม ตะปูเบิกไปเท่าไร จดไว้ ไอ้เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ถามบ้าง ไม่ถามบ้าง ขี้เกียจทำ ยกเมฆบ้าง วันหนึ่งก็ไปกราบตอนเช้าๆ

    หลวงพ่อถาม "นันต์ แกทำบัญชีเบิกหรือเปล่า"

    ทำครับ

    "แกทำไว้เรียบร้อย ใช่ไหม"

    ครับ ท่านมองลอดแว่นมาหาเลย

    "เดี๊ยวข้าจะขอดูบัญชีแกสักหน่อย"

    โอ้โฮ..หัวใจจะวายให้ได้ เวลาท่านดุนี่ด่า 3 วัน 3 คืน ถ้าลงเทปด้วยละก็ไม่ต้องแล้ว ประจานกันทุกวัน เทปเปิดตอนเย็นนี่ เปิดเทปทีก็แปล๊บ



    หลวงพ่อเป็นคนสันโดษ

    หลวงพ่อท่านเป็นคนสันโดษ ไม่ทำอะไรฟุ่มเฟือย การกิน แม่ครัวทำอะไรมากๆ มักจะโดนดุ เวลาเขาทำพิธีบวงสรวง บวงสรวงเสร็จ แม่ครัวเขาจะหั่นหมูทำน้ำจิ้ม

    ท่านเห็นก็ว่า "แม่ครัวมันจังไรจริงๆ มันต้องใส่ผักใส่หญ้าบ้างซิ นี่ให้กินแต่เนื้อ ผักไม่ใส่เลย"

    ท่านไม่ให้กินดีมาก คนเราถ้ากินดีแล้วไปเจอกินไม่ดีมันกินยาก เป็นพระต้องกินได้ทุกอย่าง ไม่ใช่กินดีตลอด ชาวบ้านเขาให้ดีบ้างไม่ดีบ้าง มันต้องปรับตัวให้เข้าได้ทุกสภาวะ กลดก็อยู่ได้ อาหารไม่ดีก็อยู่ได้ ไปเลี้ยงดีเสียแล้วปรับลงยาก เป็นโทษแก่ต้วเหมือนกัน

    แต่อยู่กับหลวงพ่ออยู่ตั้งแต่จนมานะ หลวงพ่อจะไปไหนก็ลำบาก จะไปเทศน์ที่ 04 ตาคลี หลวงพี่ไปบิณฑบาตสายเรือ หลวงพ่อบอก "นันต์ แกไปบอกโยมเอี๊ยงทีนะ ตอนเที่ยงแล้วให้มารับข้า จะไปเทศน์ที่ 04"

    ไปเทศน์ที่ 04 ก็ต้องเอาครูนนทาไปด้วย ครูนนทาเป็นคนรวยใช่ไหม ไอ้โจรก็จะมาจับเรียกค่าไถ่ สมัยก่อนไม่มีตำรวจมากอย่างนี้ มีแต่จ่าตระกูล จ่าตระกูลก็มาเย็น ก็ต้องให้ตามไปด้วย จะไปรถเมล์รถสองแถวหน้าวัด

    ตอนมาสายลม เจ้ากรมฯต้องไปรับไปส่ง คนก็ไม่มาก เรื่องก่อสร้างพอถึงปีทีก็จะจ่ายหนี้กันที ก่อนกฐินก็สร้างกันไปเรื่อย

    แต่หลวงพ่อท่านขยันนะ ลงกรรมฐานทุกวัน สอนกรรมฐานทุกวัน เวลาว่างท่านจะอัดเทป เวลาตีสี่ครึ่งท่านจะเดินจงกรม

    หลวงพ่อบนเครื่องบิน

    พระวิรัชนี่ หลวงพ่อไปต่างประเทศต้องขลุกอยู่กับหลวงพ่อตลอด พระวิรัชบอกว่า เวลาขึ้นเครื่องบินบางครั้งท่านเข้านิโรธสมาบัติไปเลย

    มีอยู่คราวหนึ่งหลวงพ่อบอกพระวิรัชว่า "แป๊ะ เวลาเขาเอาอาหารมา ไม่ต้องปลุกข้านะ" ท่านก็จับกระโถนไว้เผื่อจะอาเจียน พระวิรัชบอกว่า บางทีเห็นมือที่จับกระโถน มือแข็งแกะไม่ออก ท่านก็ป่วยมาก ป่วยหนัก

    และเรื่องอาหารท่านก็สั่งว่า ถ้าเขาเอาอาหารมาข้าไม่กินละนะ แกกินเลย ข้าไม่กิน ทีนี้อาหารบนเครื่องบินชั้นหนึ่งเขาก็ทำพิเศษมา พระวิรัชเสียดาย บอก "หลวงพ่อครับ ฉันอาหารหน่อยครับ" ท่านก็บอกว่า "แป๊ะข้าพูดยังไงก็เป็นยังงั้นนะ พูดแล้วข้าตัดเลย ให้กินอีกก็กินไม่ได้ ข้าไม่เหมือนแก เห็นแล้วมันอยาก"

    พระวิรัชคงเสียดาย อาหารดีๆ (พระวิรัชมาเล่าเพิ่มเติมตอนหลังว่าหลวงพ่อท่านมีสัจจบารมีดีมาก พูดคำไหนเป็นคำนั้น)


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 151 เดือนกันยายน 2536 หน้า 82-84)




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2020
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    หลวงพ่อมาวัดท่าซุง

    วันหนึ่งในขณะที่อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเป็นวันไหว้ครู ท่านพระครูวิชาญชัยคุณก็นิมนต์พระไปหลายวัด มี พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปด้วย ในเมื่อเธอไปพบเข้าเธอก็ชวนให้มาอยู่ที่วัดท่าซุงด้วย มาช่วยกันสร้าง ก็ไม่รับปากเธอ และต่อมามาฉันที่บ้านนายจัน เธอนิมนต์อีกครั้งหนึ่ง ฉันก็ไม่รับ และต่อมาย้ายไปอยู่วัดตะพาน เวลานั้น ท่านพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับสิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยา และคุณพงศ์ และคุณพิมพา นั่งอยู่ด้วยกันหลายคน และพันเอกแสวง ด้วย ท่านไปรับรองว่าจะให้สะดวกทุกอย่าง ขอให้มาช่วยในการก่อสร้างก็แล้วกัน

    ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ ก็มีรูปภาพหลวงพ่อใหญ่คือผู้ทะนุบำรุงวัดนี้ ไม่ใช่ผู้สร้างนะ เพราะวัดนี้ตั้งมานาน ก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ 30 ปี แล้วก็พัง เป็นวัดร้าง เมื่อปีพ.ศ. 2332 หลวงพ่อใหญ่มาปักกลดที่นี่ และชาวบ้านเขาขอให้พักที่นี่ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่เป็นเจ้าของวัด เห็นภาพท่านเวลานั้นกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ เป็นเวลาตี 2 ท่านไปบอกว่า คุณ วัดของผมที่ทำไว้ คุณสามารถสร้างให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว 2 สมัย คือ สมัยพระเจ้าสามพระยา กับ สมัยของพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้ มันก็ไม่มีอะไรเหลือ เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว ให้มาสร้างใหม่ ถามว่าจะให้สร้างแบบไหน ท่านก็ทำให้ดู ภาพแบบนี้ ภาพที่เห็นนี่แหละ ตามที่เห็นปัจจุบันนี้

    ก็เลยบอกว่า จะสร้างไหวหรือครับ ก็นั่งดูคนว่า คนที่นั่นมีศรัทธาจริงๆก็มี แต่มีปริมาณน้อย แต่คนที่มีคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก ถามว่า จะทำได้อย่างไร ท่านบอก ไปเถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อยแล้วต่อไปมันจะดีเอง แล้วผมจะช่วย แล้วจะช่วยกันมาก พระก็จะช่วย เทวดาก็จะช่วย ต่างองค์ต่างก็บอกว่าจะช่วย จะทำให้เจริญรุ่งเรืองให้ได้ ตามภาพนี้ ก็เป็นอันว่ารับคำท่าน

    เมื่อรับปากก็มาดูวัด วันที่มาดูวัด สิริรัตน์ภรรยาพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาตมาด้วย และก็มีใคร เจ๊เฮี๊ย มาด้วย วันนั้นก็อัศจรรย์ใจ ฉันข้าวเพลเสร็จ หลังจากเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตก แดดกำลังออกจัด แดดไม่หลบ แดดไม่สลัว ฝนตก ไม่มีแต่ฝน มีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือ หล่นมาเป้ง เกลื่อนบริเวณวัด เรียกว่า ทั้งวัดเต็มเกลื่อนซ้อนกันเลย ก่อนที่จะเข้ามาถึงก็อธิษฐานก่อนว่า ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ ก็ปรากฏตามนั้น

    ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา ก็รับปากว่าจะมาช่วย มาดูสภาพของวัด ก็คือ มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้อยู่หลังเดียว มีกุฏิอีกหนึ่งหลัง คนเดินมาตามทางก็มองเห็นเพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็น เพราะหลังคาโปร่ง นอกจากนั้นก็มี หอสวดมนต์เย้จะพับฐาน ศาลก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบสถ์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลย มีสภาพอย่างเดียวกับวัดร้าง

    หลังจากนั้นทางเจ้าอาวาสก็มีเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับ มีเรือต่อของโยมครอบไปรับ ช่วยขนของมา คณะเจ้าอาวาสก็ไปกันเต็ม ทายกทายิกาก็ไปกันเต็ม พอขึ้นมาถึงวัด ตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหนต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถ ไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อนแล้วจึงขึ้นศาลา นี่ตามระเบียบ นี่ตามระเบียบของท่าน ฉันก็ทำตามนั้น

    เมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือพระก็ตามที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่ แสดงองค์ให้ปรากฏ ก็มีพระคือ หลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้า ก็มีพระอีกหลายองค์จำนวนมาก มานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด ตอนนั้นฉันเห็นคนเดียว ชาวบ้านไม่เห็นหรอก พอท่านแสดงให้เห็นท่านก็ยืนยันว่าท่านจะช่วย แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์ เดินไปเดินมา วนไปวนมาอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตู ก็นึกแปลกใจจึงถามว่า ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรขอรับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่าผมควรจะมาอยู่ ก็ขอให้เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที

    ท่านก็เข้ามา ท่านก็บอกว่าคุณควรมาอยู่ แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงิน ที่นี่ทั้งคนทั้งพระเขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่คุณเป็นพวกเถรตรง ตรงไปตรงมา จะไม่น้อมนำไปตามเขา จะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกบคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ ก็เลยถามท่านว่า แล้วอาการอย่างนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป

    ท่านก็เลยบอกว่า ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่าแพ้ หมายความว่าเขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ ถามว่าการจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร ท่านบอกว่าจะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนัก แต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง(สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา) เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นพระตรงไปตรงมา เก่งในกรรมฐานมาก หรือจะว่าไปอีกที กำลังใจของพระองค์นี้เป็นเป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง จะเข้ามาอุ้มชูคุณให้เป็นไปตามความเป็นจริง

    (จากหนังสือ พระราชพรหมยาน หน้า 385-386)

    โปรดอ่านต่อตอนที่ 2

    (1/2)


    33333.jpg


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ถามว่าเป็นเพราะอะไรครับ ท่านก็เลยบอกว่าเพราะเขาจะฟ้องคุณ เขาจะร่วมมือกัน เว้นเจ้าคณะจังหวัดชั้นเดียว ชั้นรองลงมาทั้งหมดเขาจะร่วมมือกันกำจัดคุณ ไม่ใช่เฉพาะในเขตอำเภอนี้ เรียกว่าเขาจะรวมตัวกันทั้งหมด ถามว่า เขาจะกำจัดผมอย่างไร ท่านก็บอกว่า วัดที่คุณเห็นเวลานี้ที่มันไม่พอจริงๆ และที่จริงๆมันตกคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป เป็นอันว่าวัดติดโรงเรียน ไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ไม่ดี ถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้าง เพราะเขาไม่ได้สตางค์ เพราะเขารู้ว่า ถ้าคุณสร้างเขาไม่ได้เงินแน่ เพราะว่าคุณมีนิสัยชอบเป็นหนี้ก่อน ชำระทีหลัง หามาได้แล้วก็ผ่อนส่ง เขาจะได้ที่ไหน

    ต่อมาคุณก็จะซื้อที่ใหม่ ฝั่งข้างโน้น ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งทางโน้น ที่เป็นที่ของขาวบ้าน เวลานี้ก็เป็นที่ของวัด ก็มีบรรดาเจ้าวาสที่สึกไปแล้วกับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขาย ขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ 6 ไร่ เนื้อที่ของวัดจริงๆมี 370 ไร่ รู้สึกหนักใจเหมือนกัน และถามท่านบอกว่า แล้วจะมีอะไรต่อไปอีก ท่านบอก เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน คืนนี้เขาจะมีลิเกฉลองคุณ แล้วผมจะมาเล่าให้คุณฟัง คุณไม่ชอบลิเก แต่เขาจะมี เป็นเรื่องของเขา เพราะการมีลิเกทายกเขาได้กำไร ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการหาลิเกมา 800 บาท เขาจะเรี่ยไรชาวบ้านมาได้เกินกว่า 800 และนอกจากนั้นเป็นของเขา เขาหากินกันแบบนี้ ทุกอย่างที่ทำมาเขาจะต้องมีส่วนได้ ในเมื่อคุณตรงไปตรงมาเขาไม่ชอบใจแน่ เลยถามท่านว่า ควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่ หลวงพ่อใหญ่ท่านยืนยันว่า ควรจะอยู่ แล้วเขาจะพ่ายแพ้ไปเอง

    ทีนี้เวลากลางคืน ขณะที่เขามีลิเก ฉันก็นอนในกุฏโกรงเกรงหลังนั้น ไม่ได้ดูลิเก เพราะนิสัยไม่ดูละครมันมีมาตั้งแต่อายุ 25 ปี ดูละคร ลิเก หรือหนังไม่สนุก ก็นอนเฉยๆ ก็มีพระองค์หนึ่งก้าวเข้ามาทางหน้าต่างพูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัดๆ ก็ถามท่านชื่ออะไร ท่านบอกท่านชื่อเส็ง ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน ท่านบอก ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ท่านมาธุดงค์ มีชาวบ้านเขานิมนต์ ท่านเลยมาอยู่ที่นี่ ผมเป็นคนแจวเรือค้าขาย มีความเลื่อมใส จึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง แล้วต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญมรณภาพไปแล้ว ผมก็เป็นเจ้าอาวาสแทน ถามว่า ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม ท่านบอกว่า มี ตอนก่อนมีใครบ้าง ท่านบอกท่านไม่ทัน แต่ตอนหลังๆ ท่านบอกว่า หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้า ถามว่า เป็นพระอริยเจ้าชั้นไหน ท่านบอก เป็นพระอนาคามี แต่ว่า ก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์ ถาม ว่า หลวงพ่อล่ะเป็นอะไร บอก ข้าก็ไม่รู้โว้ย ท่านพูดภาษาไทยเป็นเสียงเจ๊ก หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละวะ ก็เป็นอันว่าท่านยอมรับว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ก็ถามว่า หลังจากนี้มีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า บอก นับเรื่อยมาหลายสมัยจนกระทั่งถึงหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้อง ทั้งสององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่ กำลังยังดีอยู่เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตาย ทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกาย จึงเป็นพระอรหันต์ไป

    หลังจากนั้นต่อมาก็เป็น ภิกขุพานิช คำว่า ภิกขุพานิชก็หมายความว่า ขายกินกันละ ขายกุฏิ ขายฝาบ้าน ฉันมาใหม่ๆเห็นฝากระดาน ฝาเรือนสมัยเก่ายังใหม่เอี่ยม อยู่ 10 กว่าฝา คิดว่าการสร้างที่วัดนี้เป็นของง่าย เพราะที่ก็แคบ ฝาก็มีแล้ว เพียงแต่หาเสาหาโครงนิดหน่อบมาเสริม ก็ไม่ยากนัก ใช้ฝาเก่าแทน แต่ที่ไหนได้ พอคืนที่สามตื่นขึ้นมาจากที่นอน ปรากฏว่ามองไปที่ฝา ฝาหายไปหมดแล้ว ฝาเขาวางอยู่ไม่ไกล ใกล้กุฏิเจ้าอาวาส ก็รวมความว่า ที่วัดนี้ขโมยมาก เมื่อดูต่อไปก็เห็นว่า คนที่ศรัทธาจริงๆ ก็มี ก็มีโยมน้อย โยมพวง แล้วก็โยมทองดี สามคนนี่แหละ เป็นคนส่งข้าวส่งน้ำ ต่อมาก็มีคุณโยมโต๋ว เจ๊กิมกี ส่งอาหาร ตอน ก่อนก็จ้างเขาทำ แต่ต่อมาท่านเห็นว่าต้องจ้างเขาทำ ท่านก็เลยส่งอาหาร ส่งปิ่นโตเอง ปิ่นโตใหญ่ ต่อมาก็เลย ให้เจ๊กิมกีตั้งร้านอาหารในวัด เพราะท่านเป็นผู้มีคุณ

    ตามปรกติเขาบอกว่า ถ้าวัดไหนตีฆ้อง กลอง ระฆัง สุนัขไม่หอน ท่านห้ามอยู่ที่นั่น หลวงพ่อปานบอกอย่างนั้น ทั้ง นี้เพราะอะไร เพราะว่าวัดนั้นอด เป็นความจริง เมื่อขึ้นมาอยู่วัดนี้มีสุนัขอยู่แค่ 2 ตัว ตัวเมียเป็นตัวใหญ่ คิดว่าจะเป็นแม่ ความจริงไม่ใช่ และมีตัวเล็กอีกหนึ่งตัวหรือสองตัว ผอม เดินจะทรงตัวไม่ไหว พอขึ้นมาถึงก็เอาข้าวเปล่าให้กิน แกกินเสียจนกระทั่งกินแล้วก็หลับตรงนั้นไปเลย แสดงว่าอดแย่แล้ว มาดูสภาพข้าวบิณฑบาตจริงๆ ทางวัดเขาบิณฑบาตได้ข้าวมาก ตอนเย็นเหลือจากเด็กกินแล้ว ก็เหลือถังใหญ่ๆ ถังใส่น้ำ ถังตักน้ำ ถังใหญ่ๆ แกงก็เหลือ ขนาดหม้อแกงลูกต้น เอารวมๆกันแล้วนะ แต่ทว่าทางเจ้าอาวาสให้เด็กเลี้ยงสุนัขตัวละหนึ่งจานต่อหนึ่งวัน พอแค่มันมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นเอาไปที่บ้านเขาเลี้ยงหมู ข้าวถังใหญ่ แกงหม้อใหญ่ เอาไปบ้านเลี้ยงหมู เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงใครก็ไม่ทราบ

    พอครั้นมาถึงจริงๆ ก็มาดู อันดับแรก เจ้าอาวาสบอกว่าไปช่วยสร้างหอสวดมนต์ หอสวดมนต์ดูแล้วกว้างประมาณ 2 วา ยาวก็ไม่เกิน 10 วา มาสอบถามเข้าจริงๆ ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า เสาที่ตั้งอยู่แล้วทั้งหมดนี่ มีเจ้าของทั้งหมด วัดไม่ได้ออกสตางค์เลย มีเจ้าของแต่ละต้นๆทั้งหมด แต่ว่าสร้างมาแล้ว 8 ปี ตั้งเสามาแล้ว 8 ปี ไม่ได้ทำต่อ และมีการเรี่ยไรทุกปี เรี่ยไรเพื่อจะสร้างหอสวดมนต์ เรี่ยไรทุกปี ฉันก็คิดในใจว่า นี่มันอย่างไรกันแน่

    (2/2)

    (จากหนังสือ พระราชพรหมยาน)


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-148
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    หลวงพ่อมาวัดท่าซุง (จากธัมมวิโมกข์)


    ท่านพระครูวิชาญชัยคุณ ก็เคยบอกว่า " คุณ ! คุณมหา ! ถ้าจะอยู่ที่วัดนั้น ให้ระวังเรื่องการเงินให้มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรื่องการเงินนี่ผมสังเกตุดูว่า เขาเรี่ยไรกันมา 8 ปี ไม่เห็นมีอะไรแปลกขึ้นมาเลย มันมีแต่พัง "

    พอไปดูหอสวดมนต์เก่าก็ใช้ไม่ได้เลย เย้หลังเกือบจะบี้อยู่แล้ว อาศัยไม่ได้ ศาลาก็โย้ กุฏิที่หลังดีที่สุด ก็มีกุฏิเจ้าอาวาสหลังเดียว นอกนั้นก็ฝาโปร่งหมด คนเดินไปเดินมา เราอยู่ข้างในไม่ต้องเปิดหน้าต่างมองเห็นเพราะฝามันโปร่ง นกบินมาก็มองเห็น เพราะหลังคาโปร่ง อาตมาก็เลยมาสร้างกระท่อมอยู่ มาอยู่กุฏิหลังหนึ่ง ที่เจ้าอาวาสให้อยู่ ก็มีแต่พื้นกับหลังคา ฝาไม่มี ต้องให้สามเณรสมควร ที่ตามมาด้วยเป็นช่างทำฝา ก็ได้ไม้จากกองบิน 4 ได้จาก พล.อ.อ.อาทร เวลานั้นเป็นเสนาธิการกองบิน 4 กับ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เวลานั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายสื่อสารกองบิน 4 ทั้ง 2 ท่านเป็นกำลังใหญ่ในตอนต้น เขาเอาของที่เขาไม่ใช้ ไม้ กล่องต่างๆนั่นแหละ ที่ใส่หีบห่อมา เวลานั้นฝรั่งอยู่ที่นั่น เอามาทำฝาบ้าง ทำอะไรบ้าง ก็ได้ทหารของกองบิน 4 มาช่วย ทหารช่าง

    และก็ปีนั้นเมื่อย้ายมาปีพ.ศ. 2511 พอ ปลายปี พล.อ.อ.อาทร ก็ไปบอกพล.อ.อ.พะเนียง กานตรัตน์ เวลานั้นยังเป็นพล.อ.ต.เจ้ากรมยุทธการ ให้มาทอดกฐิน เป็นหนี้เขาอยู่ประมาณหมื่นบาทเศษ ทอดกฐินได้ 14,000 บาท ก็ชำระหนี้ไป 10,000 บาท อีก 4,000 บาท ให้เจ้าอาวาสไปชำระหนี้ เพราะเจ้าอาวาสเป็นหนี้อยู่ 6,000 บาท อาตมาเป็นหนี้ 10,000 บาท เอาเงิน 4,000 บาท ไปให้เจ้าอาวาสเพื่อชำระหนี้ เหลืออีก 2,000 ให้หาเอาเอง เพราะแกไม่ทำอะไรเลย มานั่งดูแล้วน่าสลดใจ


    แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น เจ๊กเจ้าของไม้มาถามว่า " ทอดกฐินมีเงินเหลือไหมครับ ?" ถาม " ทำไมละ ?" ก็บอกว่า " นั่นเป็นภาระเจ้าอาวาสเขา " แกบอก " ผมไปถามเจ้าอาวาสแล้วว่า ไม่มีสตางค์ ถ้าจะมีต้องเดือน 4 " บอก " อ้าว ! เมื่อวานนี้ฉันให้ไป 4,000 บาท เมื่อตอนเย็นวานนี้เองนะ " เขาบอก " ถามเขาแล้วไม่มีสตางค์แน่ " ก็เป็นอันว่า เงินถูกเขายืมไปแล้ว ทีนี้มีคนหนึ่ง ไม่ขอออกนาม เขาบอกว่า " ท่านขอรับ ผมขอพยากรณ์ว่า เงิน 4,000 บาท นี่สูญ ถามว่า " ทำไมจึงทราบ " บอกว่า " ผมทราบปฏิปทาขององค์นี้ดี และพวกของเขาดีมาก การเงินนี่ ถ้ามันไม่สูญตามที่ผมว่า วัดเจริญนานแล้วครับ เพราะการเรี่ยไรทุกปี ได้ปีละมากๆ ทั้งข้าว ทั้งเงิน แต่ว่าพอมาถึงเขาแล้ว ต่างคนต่างแบ่งกัน "

    ต่อมาอาตมาก็เริ่มทำหอสวดมนต์เท่าที่จะพึงทำได้ และทำให้เป็นหลังขึ้นมา แต่ว่าช่างที่มาช่วยก็แสนดี วันพระหนึ่งมาช่วยครั้งหนึ่ง แต่งานช้าเหลือเกิน ขนาดจะตั้งวงกบหน้าต่าง บางทีวันหนึ่ง 2-3 คราวยังไม่เสร็จเลย แค่วงกบหน้าต่าง ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ การที่เราหาเลี้ยงมันแพงกว่า แพงกว่าที่จะจ้างเขามาเป็นประจำ ก็เลยจ้างช่างเขามาทำประจำ ทำให้ทรงตัวได้ก็เท่านั้นเอง แค่นั้นก็ต้องเป็นหนี้เขา

    หลังจากนั้นมา ก็ได้ เจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ (ท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ที่ไปใช้บ้านของท่านเป็นที่เจริญกรรมฐานเวลานี้ เป็นผู้นำกฐินมากับภรรยาคือ คุณอ๋อย(เฉิดศรี) ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา และคุณอ๋อย ก็ติดต่อพรรคพวก ทอดกฐินกันเรื่อยๆมา ได้เงินกฐินเป็นหมื่น เป็นแสน แต่ว่าทางวัดไม่ได้ผลหรอก เพราะว่าอาตมาใช้วิธีแบบนี้ ถ้าจะมีเทศน์ เมื่อเทศน์ก่อนจะจบ ให้เจ้าหนี้มานั่งรอรับสตางค์ ได้เท่าไหรไม่หักต้นทุน มอบเงินชำระหนี้เจ้าหนึ้ต่อหน้าชาวบ้าน ส่วนที่ยังค้างอยู่ เจ้าหนี้บอกไม่หนักใจ


    เมื่อถึงคราวทอดกฐิน ก็ให้เจ้าหนี้มารอรับ รับเงินจากกฐินปั๊บ ชำระหนี้ทันที ใช้วิธีนี้ และก็ไม่มีการหักค่าใช้จ่าย เรื่องค่าใช้จ่ายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เราต้องใช้อยู่แล้ว คนที่เขามา เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตามากินล้าง กินผลาญ เขากินแค่อิ่ม ถ้าเราไม่เลี้ยงเขา เขาก็ไม่ว่าอะไร ที่เราเลี้ยงเขาก็ไม่เหมือนภัตตาคาร

    กฐินจริงๆ ก็มาจากกรุงเทพฯ มาจากคุณอ๋อย มาก มาจากเจ้ากรมเสริม ด้วย ชวนคนนั้นบ้าง ชวนคนนี้บ้าง ในที่สุดผลที่ได้รับก็คือว่า ไม่เป็นที่ถูกใจของเจ้าอาวาสและบรรดาทายกทั้งหลาย


    (1/2)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ต่อมา พล.อ.อ.อาทร พรรษาที่สองท่านก็มาบวชที่นี่ ก็มาช่วยไว้มาก แล้วต่อมาก็หลังจากนั้น ก็ได้อาศัยทุกๆคนช่วยกัน หลังจากคณะกฐิน แล้วแต่มาบรรดาลูกหลานทั้งหมด ก็ต่างคนต่างช่วยกัน อาตมาก็ไปสร้างกระท่อมอยู่โคนต้นโพธิ์ กระท่อมหลังนั้นไปตั้งไว้ที่กลางสระ แต่มันสวยกว่าเก่า เก่ามันไม่สวยเท่านั้นหรอก นั่นเขาทาสีสันสวย ทำรั้วรอบขอบชิด เดิมไม่ดีเท่านั้น สร้างไปสร้างมาในที่สุดก็ไม่เป็นที่พอใจของเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสด้วย ทายกด้วย เขาก็ใช้เครื่องขยายเสียงด่า บางทีเจริญกรรมฐานกัน แกเปิดเพลงเสียงเจี๊ยวๆๆๆ ดังโจ้งๆๆ แกล้งด้วยประการทั้งปวง ทั้งทายก ทั้งเจ้าอาวาสพร้อมๆกัน ก็หาทางทุกอย่าง ทุกเรื่อง มีคนเป็นกลุ่มเรียกว่า " กลุ่มใหญ่ " โน่นเขาเปิดเครื่องขยายเสียงด่าที่โรงเรียนในตัวจังหวัด รู้สึกว่าเป็นมากในตอนต้น แต่ว่าที่ทรงตัวอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะว่า พระผู้มีคุณ ตอนนั้นก็มีความรู้สึกว่า เราจะไปจากที่นี่ มันเป็นของไม่แปลก แต่ว่าเรารับปาก หลวงพ่อใหญ่ ว่าจะทำ และสิ่งใดถ้าหวังว่าจะทำ ก็มีคนช่วยอยู่เสมอ ก็ต้องเชื่อท่าน ทั้งนี้เพราะว่าทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงไปหมด ก็เลยอดทน คิดในใจว่า ถ้าบังเอิญเป็นคดีเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องการเป็นคดี ก็สร้างโบสถ์น้ำขึ้นมา สร้างแพขึ้นมาหลังหนึ่ง เขียนว่า " แพโบสถ์น้ำ "

    และความจริงไม่ได้ใช้เป็นโบสถ์หรอก โบสถ์เขามีแล้ว ต้องการให้มีเรื่อง ถ้ามีเรื่องจะได้รู้ความจริงว่าใครผิด ใครถูก เรารู้ว่า เราเป็นคนถูก แต่ว่าเรื่องนี้เขาบอกว่า ทางกรมการศาสนาเขาบอกว่า ได้รับเรื่องเยอะแยะ มีคนร้องเรียนเข้าไป แต่ไม่มีใครจะเชื่อกระมัง

    แต่ว่าในที่สุด เป็นอันว่าเจ้าอาวาสก็สึก ทายกก็เจ๊ง เจ๊งเพราะอะไร เพราะว่าตอนนั้น อาตมาก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราเป็นคดีกับที่บ้านนอกก็คงไม่ชนะเขาแน่ แพ้เขาแน่ ก็ไปหาพระในกรุงเทพฯ ก็ไปหาที่วัดสระเกศ สมเด็จพระพุฒาจารย์องค์ปัจจุบัน ท่านบอกว่า " ตำแหน่งผมมันก็เลยมาเสียแล้วครับ ไม่ใช้เจ้าคณะภาค มันต้องเจ้าคณะภาค "


    ไปหาเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาครู้สึกว่า ท่านก็ดีมาก แต่ว่ามันก็ลำบากอยู่ ในที่สุดก็ไปหา สมเด็จวัดสามพระยา เวลานั้นยังไม่ได้เป็นสมเด็จ เจ้าคณะหนกลางยังอยู่ วัดสังเวชฯ ไปคุยกับ สมเด็จวัดสามพระยา ท่าน คุยไปคุยมา ท่านก็บอกว่า " ผมเอาด้วย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอผมก่อน " กราบเรียนท่านว่า " หากว่าโกงผมแบบนี้ ผมทนไม่ไหวนนะขอรับ ในเมื่อผมทนไม่ไหว เมื่อเห็นใครไม่เป็นพระ ผมก็ไม่เป็นพระได้เหมือนกัน "
    ท่านบอก " เฮ้ยๆๆ เอากันแค่พระธรรมวินัย " บอกว่า " เวลานี้เขาไม่ใช้พระธรรมวินัยแล้วครับ เขาใช้อย่างอื่นกันแล้ว ถ้าโกงผม เข้ามาเมื่อไร ผมก็ต้องสู้ คติของผมมันคนสู้คนอยู่แล้ว " ท่านบอกว่า " รอผมก่อน "

    ต่อมาไม่ช้าท่านก็ส่งพระมา 3 องค์ คือ เจ้าคุณราชรัตนกวี วัดอนงค์ เจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า พระราชรัตนโสภณ วัดสังเวชฯรองเจ้าคณะภาค ขึ้นมาหาเจ้าคณะจังหวัด ขึ้นมาครั้งแรกให้อาตมาไปที่วัดเจ้าคณะจังหวัดด้วย อาตมาบอกไม่ไป เขียนหนังสือไปบอก เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย พวกเขาก็ด่ากันใหญ่ แต่เจ้าคณะจังหวัดไม่ได้ด่านะ แต่พวกเจ๊กด่า วันนั้นท่านทั้งสามไปเจรจาไม่ตกลง ไม่ตกลงก็ต้องกลับ วัดสามพระยา อีกไม่กี่วัน หลวงพ่อวัดสามพระยา ก็ส่งลงมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตกลง ก็เป็นอันว่า อาตมาอยู่ได้เพราะหลวงพ่อวัดสามพระยา และสร้างให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ เพราะอาศัยบุญคุณ หลวงพ่อวัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ องค์ปัจจุบัน

    ฉะนั้น การที่ทำบุญทำกุศลทุกอย่าง บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเห็นว่า อาตมาจะทุ่มเทไปหาวัดสามพระยา หนัก แต่หนักตามกำลังไม่ใช่ส่งไปเป็นล้าน เป็นโกฏิ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ จิตใจทุ่มเทอยู่ที่นั่นมาก ท่านก็มีความเมตตามาก ทั้งนี้เพราะว่า ถึงแม้ว่าจะทำอะไรก็ตามที่จะเท่ากับความดีที่ท่านให้ คือให้ชีวิตไว้นี้ ไม่มีอีกแล้ว บุญคุณครั้งนี้ชำระเท่าไร ก็ไม่หมด

    (จากหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ในธัมมวิโมกข์ กันยายน 2546)


    (2/2)


    1-16.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    หลวงพ่อธุดงค์

    ผู้ถาม : กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้อ่านหนังสืออ่านเล่นเล่มที่ 15, 16, 17 เกี่ยวกับเรื่องหลวงพ่อเล่าว่าตอนที่ฉันอาหารที่ในป่าส่วนใหญ่ จะได้บิณฑบาตกับเทวดา

    แต่น่าเสียดายว่าหลวงพ่อไม่ได้พูดต่อไปว่าเวลาถ่ายอาหารที่ออกมา...

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ขอโทษๆๆ ลืมบอก ต้องขอโทษ กินแล้วก็ขี้ ก็ถ่ายปรกติ เหมือนอาหารธรรมดา แต่กินแล้วมีความสุขมากนะ อาหารเทวดามีความสุข กินแล้วอิ่มตลอดเวลา ท้องก็ไม่ขึ้น ไม่ปวดท้อง

    ผู้ถาม : แล้วกับข้าวนี่เป็นประเภทไหนครับ ?

    หลวงพ่อ : กับข้าวไม่มี มีข้าวสีเหลืองๆหน่อยๆ รสหวานๆนิดๆ มีดอกไม้สวยๆ ดอกหนึ่ง ถ้าอยากจะะกินกับก็กินดอกไม้

    ผู้ถาม : อ๋อ..กินแค่นี้เองนะครับ แหม..ไม่น่าอยู่ได้ ไม่เอร็ดอร่อยเลยนะครับ

    หลวงพ่อ : อย่าลืมว่าธุดงค์ ไปเพื่อละกิเลส จะติดอะไรในรส

    ผู้ถาม : แต่เวลาที่หลวงพ่อถ่ายออกมาก็.....

    หลวงพ่อ : ก็ปรกติไม่เหม็น ลืมห่อไว้ แหม.. ถ้าห่อไว้จะส่งให้เจ้าของจดหมาย (หัวเราะ) ว่างๆจะเอาสักมัดหนึ่ง ห่อใส่ตู้เย็นไว้แล้วให้เจ้าของจดหมายหายสงสัย

    ผู้ถาม : ตกลงว่ามีแค่ข้าวกับดอกไม้เท่านั้นเองนะครับ

    หลวงพ่อ : เท่านั้นเอง แต่ก็แปลกนะ เขาให้มากก็อิ่ม ให้น้อยก็อิ่ม ใส่น้อย 2 ทัพพี 3 ทัพพีก็อิ่ม บางทีใส่ตั้งค่อนบาตรก็กินหมด อิ่ม !

    เพราะบางคราวน่ะ บางคราว เราไม่ใช่ไปแขวนกับต้นไม้ เราต้องการพบคน คนที่มาใส่นี่บางทีก็ 2 คน 3 คน บางครั้งก็ 10 คนกว่า และข้าวก็มาก ก็คิดว่าจะกินหมดไหม กินๆไปหมดพอดี ของทิพย์

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 249 เดือนธันวาคม 2544 หน้า 71)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2020

แชร์หน้านี้

Loading...