รวบรวมสาเหตุที่ไม่บรรลุธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แสงแห่งบารมี, 15 กันยายน 2017.

  1. แสงแห่งบารมี

    แสงแห่งบารมี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    12
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +107
    รวบรวมสาเหตุที่ไม่บรรลุธรรม

    1. ไม่มีความเพียร ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ จงดูเถิด เหล่าพระอริยะทั้งหลาย บรรลุธรรมได้อย่างไร แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังต้องนั่งสมาธิมหาศาล ก่อนที่จะตรัสรู้ได้พระธรรมมา ไม่ใช่เป็นนกแก้ว นกขุนทองในพระไตรปิฏก แก่นของธรรมอยู่ที่สติ การปฏิบัติจึงขาดไม่ได้ในพระพุทธศาสนา

    2. ไม่มีความหนักแน่น ขาดความต่อเนื่องในการปฏิบัติ ยอมแพ้ต่อกิเลส กิเลสนั้นฉลาดชอบหาข้ออ้างให้ตัวเองเสมอ ทางที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ต้องไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ทำแล้วกิเลสต้องลดลง แต่กิเลสมักเข้าข้างตัวเองให้หลงทาง ผ่อนปรน ขี้เกียจ สารพัด

    3. วินัยในการปฏิบัติไม่มี แพ้ต่อกิเลสเสมอ เช่น วันนี้เหนื่อย ค่อยนั่งพรุ่งนี้ก็ได้ เป็นต้น จงดูสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นตัวอย่าง วินัยท่านเคร่งครัด เมื่อตั้งใจแล้วไม่มีผ่อนปรนใดๆทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นกิเลสจะหลอกนู้นนี่ ขัดขวางตลอด ชาติหน้าก็ไม่บรรลุธรรม

    4. สมถะกับวิปัสสนาต้องควบคู่กันไปตลอดจนหมดกิเลส ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ การที่จะเห็นรากเหง้ากิเลส หรือกิเลสเชิงลึกได้นั้นต้องอาศัยกำลังสมาธิเป็นฐาน หรือใช้กำลังสมาธิเป็นฐานในการดำรงสติให้มั่นคงตลอดเวลา

    5. การนั่งสมาธิ เป็นการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก มีคำภาวนาหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่บังคับลมหายใจ ฝืนจิต บังคับ ไม่เป็นธรรมชาติ หาความสงบไม่ได้ ที่ถูกต้อง คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก จะเร็วหรือช้า ไม่สนใจ บางคนอ่านว่าลมหายใจสั้นเป็นสมาธิฌานสูง บังคับลมหายใจให้สั้น แบบนี้ไม่ถูกต้อง หาความสงบได้ไม่ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

    6. ยึดติดกับตำราเป็นนกแก้ว นกขุนทอง ไม่ปฏิบัติ ไม่นั่งสมาธิ การทำแบบนี้หาได้บรรลุธรรมไม่ ที่ถูกต้อง ต้องปฏิบัติควบคู่ไปตลอดจนหมดกิเลส ธรรมต้องเกิดจากการปฏิบัติ และมีประสบการณ์จากการมีสติดำรงอยู่ตลอดเวลา

    7. พื้นฐานของเส้นทางการหลุดพ้น ต้องมีสติตลอดเวลา ทุกการกระทำ ทุกความคิด แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ มีสติแค่ไม่กี่นาที เผลอ ลืมตลอด กว่าจะทำให้สติมั่งคง อาจต้องอาศัยการกำหนดรู้เท่าทัน หลายพัน หลายแสนครั้ง และต้องใช้กำลังของสมาธิที่ได้จากการนั่งสมาธิอย่างมหาศาล สติจึงมั่นคงดำรงอยู่ได้ตลอดเวลา ซึ่งคนจำนวนมาก ถอดใจ ข้ามขั้น และไม่มีความเพียรในการปฏิบัติ

    8. ชอบทางลัด ขี้เกียจ ไม่มีพื้นฐาน พื้นฐานไม่แข็งแรง มาพิจารณาธรรม ไม่มีกำลังของสมาธิ มาวิปัสสนาล้วนๆ สิ่งที่ได้จะได้แค่เปลือก ต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไปตลอดจนหมดกิเลส ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

    9. ชอบฟังธรรม สารพัดร้อยแปด แต่ไม่ปฏิบัติ ไม่นั่งสมาธิ เอาธรรมมาโยงมั่วๆ ยกนู้นนี่ตีกันไปหมด ธรรมเป็นของดีเลิศ แต่ไม่ใช่ยกให้เข้าข้างกิเลสตนเอง มีเยอะมากคนจำพวกนี้ ยิ่งเส้นทางการแห่งการหลุดพ้น จะฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปฏิบัติเองควบคู่ไปตลอด เปรียบเสมือนตัวเองเห็นคนอื่นกินอาหาร ถึงแม้คนอื่นจะพูดรสชาติอาหารอย่างไร แต่เราไม่มีวันอิ่ม

    10. ยึดติดกับฌานที่ได้ในสมาธิ เมื่อวานเราถึงฌาน 1 วันนี้นั่งสมาธิอยากได้ฌาน 2 ทำให้ใจไม่เป็นกลาง มีความอยากอยู่เต็มไปหมด นั่งสมาธิหาความสงบได้ไม่ การนั่งสมาธิที่ถูกต้อง คือ กำหนดรู้ลมหายใจ อย่าไปอยาก อย่าไปบังคับฝืนจิต รู้จักธรรมชาติ กำหนดรู้ลมหายใจ ไม่บังคับ

    11. ช่วงที่นั่งสมาธิ ใส่อารมณ์ลงไปกับความคิดมากจนจิตฟุ้งซ่าน เช่น เรากำหนดรู้ลมหายใจ แต่พอมีความคิดขึ้นมา เราไปโมโห ไปรุนแรงใส่ ทำไมไม่สงบสักที ที่ถูกต้องคือ เราต้องวางใจเป็นกลาง ความคิดโผล่ขึ้นมา ก็กลับมาที่ลมหายใจใหม่ ไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น กว่าจิตจะเป็นสมาธิจนความคิดทั้งหมดหายไป ส่วนใหญ่ต้องกลับมาลมหายใจหลายร้อยครั้ง หลายพันครั้ง หากเราใส่อารมณ์ลงไปจะยิ่งห่างจากสมาธิ ต้องรู้จักวางเฉย แล้วกลับมาที่ลมหายใจ ด้วยสภาวะธรรมชาติ เมื่อจิตเป็นสมาธิจนลึกแล้ว อาจพิจารณาธรรม พิจารณาความคิดภายหลังได้

    12. ติดฌานในสมาธิมากเกินไป ติดความสุขในสมาธิ หรือ ฌานสมาธิสูงจนกิเลสโดนข่มไปหมด คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว ที่จริงเรานั่งสมาธิเพื่อให้มีกำลังของสมาธิเพื่อพิจารณาธรรมให้เห็นรากเหง้าของกิเลส หรือ ใช้กำลังของสมาธิทำให้สติมั่นคงได้ตลอดทั้งวัน การที่เรานั่งสมาธิจนฌานสูงมาก ความคิดจะเจือจางจนหมดไป เราจะพิจารณาธรรมตอนนั้นได้ชัดเจนมาก แต่ไม่ใช่ว่าเราบรรลุธรรม เพราะสิ่งที่เราได้คือกำลังสมาธิข่มกิเลส หลังจากออกสมาธิ เราก็ใช้กำลังสมาธิที่ได้นี่แหละ ในการดำรงสติให้พิจารณาธรรม ใช้เพื่อวิปัสสนาญาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    13. การที่เราจะพิจารณาความคิดที่เข้ามา โดยไม่มีกำลังของสมาธิ เป็นไปได้ยากนอกจากมีบุญเก่ามหาศาล เพราะใน 1 นาที ความคิดโผล่เข้ามามหาศาล หากเรามีกำลังสมาธิที่สูง ใน 1 นาที ความคิดจะโผล่มานิดเดียว เราจะมองเห็นความคิดได้ชัดเจน พิจารณาอะไรได้เห็นรากเหง้าของกิเลส บางคนมีความรู้ธรรมมหาศาลบังธรรม มีความรู้อยู่เยอะมากในหัว พอตอนนั่งสมาธิ มีกำลังของสมาธิน้อยมาก สมาธิยังไม่สงบก็จะพิจารณาลูกเดียว ต้องปล่อยทิ้งให้หมดก่อน ช่วงที่นั่งสมาธิ คือ นั่งสมาธิให้ลึกมากๆ แล้วค่อยมาพิจารณาธรรม ช่วงพิจารณาธรรมก็พิจารณาธรรมไปได้ ไม่ใช่มาพิจารณาธรรมตลอด ไม่มีการนั่งสมาธิ แบบนี้ใช้ไม่ได้ สมถะและวิปัสสนาต้องควบคู่กันไปตลอดจนหมดกิเลส

    14. การที่เราจะหลุดพ้นได้นั้นต้องอาศัยการบำเพ็ญมา หากพึ่งเริ่มชาติแรกคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงควรอธิษฐานถึงบุญที่ทำมา “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี ข้าพเจ้าขออธิษฐานถึงบุญ บารมี ทาน ศีล ภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ทำมา ได้สะสมมา ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ขอให้ใช้ผลบุญทั้งหมดในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ในเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ” หากอยากให้ได้ผลที่ดีที่สุด คือ การนั่งสมาธิจนฌานลึกมากๆ ลึกแล้วลึกอีก จนปราศจากความคิดทั้งปวง แล้วอธิษฐานบ่อยๆ บุญช่วงนั้นจะมหาศาลให้เราไปถึงสิ่งที่เราต้องการได้ง่าย

    15. คำอธิษฐานในอดีตชาติขัดขวาง เช่น ขอให้ครองคู่กับคนนี้ตลอดไปทุกชาติ ขอไม่เข้านิพพานขอบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป เป็นต้น นั่งสมาธิให้ลึกๆแล้วอธิษฐานหรืออธิษฐานต่อหน้าพระประธานในวัด “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี หากข้าพเจ้าเคยอธิษฐานอะไรก็ตามที่ขัดขวางการบรรลุธรรม ขัดขวางนิพพาน ข้าพเจ้าขอยกเลิกทั้งหมด และขอให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ในเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ” หากอยากบำเพ็ญพุทธภูมิหรือพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป ควรข้ามข้อนี้

    16. วิปัสสนา นกแก้วนกขุนทอง ชอบเพ่ง ชองบังคับจิตตัวเองให้คิดตาม แต่ไม่ได้รู้เองโดยการมีสติตามธรรมชาติ วิธีที่ถูกต้องคือ เราฝึกสมาธิ ให้มีกำลังของสมาธิเพื่อให้มีสติตลอดทั้งวัน เพื่อให้รู้กาย ใจ ตลอดเวลา ให้เห็นถึงความคิดต่างๆที่เข้ามาสม่ำเสมอ จนเกิตตัวรู้ขึ้น เห็นเกิดดับความคิด เห็นความไม่เที่ยงของมัน พอเราฝึกจนชำนาญ เป็นนิสัย ก็เกิดจิตตัวรู้เชิงลึกขึ้น หรือเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของการมีสติตลอดเวลา รู้กายใจสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้ทำแบบนี้ ไปท่องเลย สติยังไม่มั่นคง กำลังสมาธิอ่อน พอมีความคิด ท่องว่า ไม่เที่ยง สักพักท่อง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น แล้วข้ามขั้น เรารู้แล้ว เราสำเร็จแล้ว แบบนี้ใช้ไม่ได้ ศึกษาคำสอนของพระอริยะ หรือพระไตรปิฏกให้เป็นแนวทาง เพื่อให้เราพิสูจน์ว่าเราทำแล้วถูกต้อง ปฏิบัติแล้วได้ผลแบบที่ท่านกล่าว ไม่ใช่ว่าเราท่อง บังคับให้เป็นไปตามที่ท่านกล่าว

    17. ธรรมชาติของจิต ไม่สามารถบังคับให้ยั่งยืนได้ ถ้าบังคับจะข่มได้ชั่วคราว การวิปัสสนาก็เช่นกัน ต้องปฏิบัติ ต้องรู้ด้วยตนเอง อาศัยครูบาอาจารย์ คำสอนเป็นแนวทาง ไม่ใช่บังคับจิตตัวเองให้เป็นไปตามนั้น เช่น ความรัก กามกิเลส เรารักชอบคนหนึ่งมากๆ เราไม่สามารถบังคับจิตให้เลิกชอบได้ ถ้าบังคับจะข่มได้ชั่วคราว แต่อาศัยความรู้ในการเบาบางหรือตัดได้ กล่าวคือ ต้องรู้เท่าทันความคิด ให้เห็นตัวทุกข์จากความรัก ความไม่ยั่งยืน หรือมองข้อเสีย พิจารณาด้านลบของสิ่งนั้น เพ่งอสุภะ จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายแล้วไม่อยากไปยุ่งอีก กิเลสทางด้านความคิดก็เช่นกัน เราต้องปฏิบัติ มีสติตลอดเวลาให้ได้ รู้เท่าทันทุกความคิด ทุกขณะเพื่อที่จะได้เห็นด้วยตนเอง ว่ามันไม่เที่ยง พอเห็นความไม่เที่ยงบ่อยๆ จะเกิดการความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นด้วยตนเองอัตโนมัติ แต่การมีสติตลอดเวลา รู้ทันเท่าทุกความคิด ยาก ต้องอาศัยกำลังของสมาธิมหาศาล สมถะและวิปัสสนา ต้องควบคู่กันตลอดจนหมดกิเลส

    18. อย่าหลงไปตามกิเลส ต้องมีสติให้มั่งคง (สติมั่นคงต้องอาศัยกำลังของสมาธิมหาศาล) รู้กายใจ ตลอดเวลา รู้เท่าทันความคิดทุกขณะ ไม่เผลอ ไม่คล้อยตามกิเลส หากเราไม่มีวินัย ผ่อนปรน กิเลสนั้นฉลาดหาข้ออ้างที่ดูดีเพื่อความขี้เกียจของตนเองได้เสมอ ผู้ปฏิบัติต้องพึงพิจารณาโทษของกิเลสด้วย มิเช่นนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกที จะเสียเวลานานมาก

    19. อย่ายึดติดในสุข ความสบายจนเคยชิน เราปรารถนาการหลุดพ้น หากเรายังตามกิเลส ยังติดความสบายอยู่แบบนี้ จะหลุดพ้นได้อย่างไร ต้องมีความเพียรอย่างมหาศาลในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาอย่างสม่ำเสมอ

    20. ต้องรู้จักพิจารณาโทษของกิเลส โทษของกาม โทษของการยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้จิตไม่ปรารถนาคล้อยตามกิเลส พึงมองตามความเป็นจริง พิจารณาหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระอริยะทั้งหลาย ถ้าจะได้ผลดี พิจารณาให้เห็นรากเหง้าของกิเลส ตัดกิเลสให้เด็ดขาด ต้องทำตอนมีสมาธิสูง และมีประสบการณ์จากการมีสติ รู้เท่าทันความคิดทุกขณะ

    เมื่อเราปฏิบัติมากขึ้นและมีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกการกระทำ ทุกความคิด เราจะเริ่มเห็นสัจธรรม หรือมีประสบการณ์เห็นการเกิด ดับ ของความคิดจนเกิดตัวรู้ขึ้น มีประสบการณ์จากการมีสติ ศึกษาธรรมในพระไตรปิฏก ศึกษาธรรมจากพระอริยะทั้งหลาย จึงเข้าสู่ธรรมได้แท้จริงเป็นไปตามคำของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ — อานาปานสติสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔


    กระทู้ที่เกี่ยวข้อง : พื้นฐานเส้นทางแห่งการหลุดพ้น




    องค์กรแสงแห่งพุทธ

    รวบรวมมาจากคำสอนของพระอริยะทั้งหลาย​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2017
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    หลักๆคือ ตัดตัววิญญานการรับรู้ไม่เป็นกันครับ
    เพราะไม่รู้เท่าทันตัวนี้ด้วยหละครับสาเหตุหนึ่ง
    เลยแยกไม่ออก ว่ายังมี ผู้ดู จิต ผู้รู้ เลยคิด
    ว่ามันเป็นตัวเดียวกัน จริงๆแล้ว มันเป็นการปรุงแต่ง
    อย่างหนึ่งอยู่ เช่น ทานมะนาวแล้วน้ำลายสอ หรือ
    มีดบาดแล้วรู้สึกเจ็บ
    นี่คือ โปรแกรมการปรุงแต่งอย่างหนึ่งที่เรามักไม่เข้าใจครับ
    เพราะมันทำงานร่วมกันรวดเร็วมากครับ
    ที่ๆนำมาลง เป็นเหตุให้ถึงได้ครับ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    14. การที่เราจะหลุดพ้นได้นั้นต้องอาศัยการบำเพ็ญมา หากพึ่งเริ่มชาติแรกคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงควรอธิษฐานถึงบุญที่ทำมา “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี ข้าพเจ้าขออธิษฐานถึงบุญ บารมี ทาน ศีล ภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ทำมา ได้สะสมมา ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ขอให้ใช้ผลบุญทั้งหมดในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ในเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ” หากอยากให้ได้ผลที่ดีที่สุด คือ การนั่งสมาธิจนฌานลึกมากๆ ลึกแล้วลึกอีก จนปราศจากความคิดทั้งปวง แล้วอธิษฐานบ่อยๆ บุญช่วงนั้นจะมหาศาลให้เราไปถึงสิ่งที่เราต้องการได้ง่าย

    15. คำอธิษฐานในอดีตชาติขัดขวาง เช่น ขอให้ครองคู่กับคนนี้ตลอดไปทุกชาติ เป็นต้น นั่งสมาธิให้ลึกๆแล้วอธิษฐานหรืออธิษฐานต่อหน้าพระประธานในวัด “ขออำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระแม่ธรณี หากข้าพเจ้าเคยอธิษฐานอะไรก็ตามที่ขัดขวางการบรรลุธรรม ขัดขวางนิพพาน ข้าพเจ้าขอยกเลิกทั้งหมด และขอให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ บำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ในเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ”

    อ่านแล้วก็นึกขำ ธรรมะอะไรอธิษฐานขอได้
     
  4. แสงแห่งบารมี

    แสงแห่งบารมี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    12
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +107
    ปฏิบัติให้มาก ศึกษาให้มาก คำตอบจะมีมาด้วยตัวมันเอง โดยเฉพาะธรรมของพระอริยะทั้งหลายที่สืบกันมา หลวงปู่มั่นจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด ช่วงที่หลวงปู่มั่นขอยกเลิกคำอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า และช่วงที่บรรลุธรรม

    การอธิษฐานเพื่อเบิกบุญเก่า เวลาอดีตชาติกรรมฐานที่เราบำเพ็ญมา จะได้เห็นผลได้ทันที
    การอธิษฐาน เป็นการตั้งเป้าหมาย เพื่อให้ตรงจุดกับสิ่งที่เราปฏิบัติ

    ====================================================
    บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

    การอธิษฐานเป็นความโลภ ?

    หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไปเลยว่า

    "ขอให้ประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์"

    เพราะคำว่า ความดี นั้นรวมครบหมด ทั้งรวย สุขภาพดี มียศตำแหน่ง มีคนรักเมตตา ฯลฯ

    ส่วนปราศจากความทุกข์ก็ตัดสิ่งไม่ดีหมดทุกอย่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัย ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู ฯลฯที่สำคัญคือ

    การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจริง แต่ไม่ดี เงินนั้นเราอาจเอาไปเล่นพนัน ไปซื้อยาบ้า สุดท้ายก็พาไปนรก

    แม้จะมียศตำแหน่งแต่ปราศจากความดี ก็อาจเอาตำแหน่งไปข่มเหงคนอื่น คดโกงประเทศชาติ ก็มีนรกเป็นที่ไป

    แม้จะมีแต่ใครๆก็รักเมตตา แต่หากเราไม่ดี เราก็อาจกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลอกคนนี้ให้รัก คนนั้นให้หลง สุดท้ายก็ทะเลาะตบตีกัน และไปนรกกันทั้งหมู่

    "การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด เพราะผู้ที่จะทำความดี ต้องมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าความดีมีประโยชน์เช่นใด

    ดังนั้นเมื่อมีปัญญา แม้จะเกิดมาจน ก็ใช้ปัญญาหาเงินจนรวยได้ แม้จะเกิดมาต่ำต้อย ก็ใช้ปัญญาทำงานหายศตำแหน่งมาได้ไม่ยาก แม้เกิดมาไม่มีใครรัก แต่หากมีปัญญารู้จักพูดจา ใครๆก็จะหันมารัก ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญญา ก็รู้ว่าความชั่วไม่มีประโญชน์ ไม่ควรทำ ความดี มีแต่ประโยชน์และควรทำ

    ดังนั้นจึุงเป็นผู้มีความสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า มีแต่สุคติเป็นที่ไป นรกไม่ได้เยี่ยมเยียน ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข

    ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้ครับว่า

    "ขอให้พบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์..."

    คัดลอกจากบทความในเว็บวัดถ้ำเมืองนะ

    ***********************

    คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน)

    อธิษฐานบารมี จะเข้าถึงความดีได้รวดเร็วการบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือ สร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนา หรือไม่ก็ตาม ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพาน ตามเจตนา หรือไม่เจตนา ก็จะต้องเข้าถึงในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน แต่ทว่าถ้าปราศจาก อธิษฐานบารมี กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่า มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้มี อธิษฐานบารมี

    ในการนี้ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจกล่าววาจาว่าอิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ แปลเป็นใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเรา เข้าแลกกับความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้ อาศัยเจตนาและความตั้งใจ จัดว่าเป็น อธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเข้าถึงความดีด้วยความรวดเร็ว อย่างคาดไม่ถึง

    ***********************

    หลวงพ่อตอบคำถาม ทำบุญทำไมต้องอธิษฐาน
    โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน)

    ถาม :
    "หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ...?"

    ตอบ :
    ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน

    ถาม :
    "เป็นไงคะ...?"

    ตอบ :
    การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่

    ถาม :
    "ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ...?"

    ตอบ :
    ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี

    คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน

    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง พระอานนท์จึงทูลถามว่า

    "พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าถามว่า

    "อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"

    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทศน์จึงไม่มีผล

    ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า

    "ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "นั่นเขามี อธิษฐานบารมี"

    ตอบ :
    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม

    ถาม :
    "ใช่ค่ะ"

    ตอบ :
    คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.

    คัดลอกจาก : รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ***********************

    อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องที่สำคัญ
    โดย หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน

    ถาม :
    เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล

    ตอบ :
    ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี

    ีเพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง

    ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์
    ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์
    ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดีๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย

    มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอาฬวีเศรษฐี มันถึงจะเข็ด....

    ...อธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน

    ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย...

    ...อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไรๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย

    เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย

    เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก

    คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย

    คัดลอกจาก : สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ***********************

    รวบรวมเผยแพร่เป็นธรรมทานถวายเป็นพุทธบูชา
    โดย พระการัณ เตชกโรการอธิษฐานเป็นความโลภ ?

    หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไปเลยว่า

    "ขอให้ประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์"

    เพราะคำว่า ความดี นั้นรวมครบหมด ทั้งรวย สุขภาพดี มียศตำแหน่ง มีคนรักเมตตา ฯลฯ

    ส่วนปราศจากความทุกข์ก็ตัดสิ่งไม่ดีหมดทุกอย่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัย ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู ฯลฯที่สำคัญคือ

    การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจริง แต่ไม่ดี เงินนั้นเราอาจเอาไปเล่นพนัน ไปซื้อยาบ้า สุดท้ายก็พาไปนรก

    แม้จะมียศตำแหน่งแต่ปราศจากความดี ก็อาจเอาตำแหน่งไปข่มเหงคนอื่น คดโกงประเทศชาติ ก็มีนรกเป็นที่ไป

    แม้จะมีแต่ใครๆก็รักเมตตา แต่หากเราไม่ดี เราก็อาจกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลอกคนนี้ให้รัก คนนั้นให้หลง สุดท้ายก็ทะเลาะตบตีกัน และไปนรกกันทั้งหมู่

    "การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด เพราะผู้ที่จะทำความดี ต้องมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าความดีมีประโยชน์เช่นใด

    ดังนั้นเมื่อมีปัญญา แม้จะเกิดมาจน ก็ใช้ปัญญาหาเงินจนรวยได้ แม้จะเกิดมาต่ำต้อย ก็ใช้ปัญญาทำงานหายศตำแหน่งมาได้ไม่ยาก แม้เกิดมาไม่มีใครรัก แต่หากมีปัญญารู้จักพูดจา ใครๆก็จะหันมารัก ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญญา ก็รู้ว่าความชั่วไม่มีประโญชน์ ไม่ควรทำ ความดี มีแต่ประโยชน์และควรทำ

    ดังนั้นจึุงเป็นผู้มีความสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า มีแต่สุคติเป็นที่ไป นรกไม่ได้เยี่ยมเยียน ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข

    ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้ครับว่า

    "ขอให้พบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์..."

    คัดลอกจากบทความในเว็บวัดถ้ำเมืองนะ

    ***********************

    คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน)

    อธิษฐานบารมี จะเข้าถึงความดีได้รวดเร็วการบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือ สร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนา หรือไม่ก็ตาม ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพาน ตามเจตนา หรือไม่เจตนา ก็จะต้องเข้าถึงในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน แต่ทว่าถ้าปราศจาก อธิษฐานบารมี กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่า มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้มี อธิษฐานบารมี

    ในการนี้ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจกล่าววาจาว่าอิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ แปลเป็นใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเรา เข้าแลกกับความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้ อาศัยเจตนาและความตั้งใจ จัดว่าเป็น อธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเข้าถึงความดีด้วยความรวดเร็ว อย่างคาดไม่ถึง

    ***********************

    หลวงพ่อตอบคำถาม ทำบุญทำไมต้องอธิษฐาน
    โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยาน)

    ถาม :
    "หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ...?"

    ตอบ :
    ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน

    ถาม :
    "เป็นไงคะ...?"

    ตอบ :
    การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่

    ถาม :
    "ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ...?"

    ตอบ :
    ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี

    คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน

    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง พระอานนท์จึงทูลถามว่า

    "พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าถามว่า

    "อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"

    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทศน์จึงไม่มีผล

    ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า

    "ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "นั่นเขามี อธิษฐานบารมี"

    ตอบ :
    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม

    ถาม :
    "ใช่ค่ะ"

    ตอบ :
    คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.

    คัดลอกจาก : รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ***********************

    อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องที่สำคัญ
    โดย หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน

    ถาม :
    เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล

    ตอบ :
    ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี

    ีเพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง

    ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์
    ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์
    ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดีๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย

    มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอาฬวีเศรษฐี มันถึงจะเข็ด....

    ...อธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน

    ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย...

    ...อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไรๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย

    เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย

    เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก

    คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย

    คัดลอกจาก : สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    รวบรวมเผยแพร่เป็นธรรมทานถวายเป็นพุทธบูชา
    โดย พระการัณ เตชกโร
    ===================================
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    มีเบิกบุญเก่าเอ้าว่ากันไป

    กรรมฐาน จขกท.ว่า หมายถึงอะไรยังไงครับ

    จขกท.เกิดทันหลวงปู่มั่นหรอครับ ที่ขีดเส้นใต้ เล่าสิครับมีที่มาที่ไปยังไง
     
  6. แสงแห่งบารมี

    แสงแห่งบารมี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    12
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +107
    ธรรมที่เกี่ยวข้อง

    “เอาชีวิตนี่แหละเป็นเดิมพัน เพื่อแลกกับความดี”
    “การนั่งสมาธิภาวนาอย่างขั้นอุกฤษฏ์ คือ นั่งภาวนา ๒๔ ชั่วโมง จะเปลี่ยนอิริยาบถเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น เพื่อดูทุกขเวทนาในตนเอง โอ นรก ๘ ขุม มันเกิดยกกันมาที่นี่ทั้งหมด เออ มันยกทัพกันมา ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งร่างกาย เรานี่แหละสู้กับมันจนทุกขเวทนาปรากฏอย่างเด่นชัด และรู้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมารที่มารบเร้าจิตใจจนหมดสิ้น ขอให้มีสติดีเสียอย่างเดียวมันจบได้ คือ ความเจ็บปวดทั้งหลายนั้น มันจะไม่เกิดอีกเลย นี่นักปฏิบัติต้องเอาชนะให้ได้ ถ้าไม่ได้ แพ้มันเด็ดขาด

    นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติพร้อมเสมอ ถ้าสติอ่อน มันจะติดสัญญาภาพเก่า ๆ ที่เราจดจำมาแล้วทั้งสิ้น แล้วธรรมที่เกิดนั้น มันก็ยังเป็นของคนอื่น ยังมิใช่ของเราแท้นะ ระวังกิเลสมันจะหลอกล่อจิตใจเราให้ลุ่มหลงเพ้อพกไปได้ แม้อาตมาเอง มันยังหลอกให้หลงอยู่กับนิมิตเกือบ ๖ ปี เพราะนิมิตตัวเดียวแท้ ๆ สำหรับบทปฏิบัตินั้น ถ้าสติไปถึงจิตเมื่อไร เมื่อนั้นพวกกิเลสหรือนิวรณ์ทั้งหลายนี่มันจะถอยหนีไปหมดเลย”

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร
    วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

    =======================================
    ธรรมะปฏิสันถาร
    เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่รำราญแห่งอิริยาบถของหลวงปู่ ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปุจฉาว่า “หลวงปู่การละกิเลสนั้น ควรละกิเลสอะไรก่อน”
    หลวงปู่ถวายวิสัชนาว่า
    “กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน”

    =======================================
    แก้เหตุต้องพิจารณากรรมฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิชั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นสมาธิชั้นสูง การพิจารณาเป็นญาณชั้นสูง แต่อยู่ในกรรมฐาน ๕ การสมเหตุสมผล คือ คันที่ไหนก็ต้องเกาที่นั้น จึงจะหายคัน คนติดกรรมฐาน ๕ หมายถึง หลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนัง คงจะวิ่งกันแทบตาย เมื่อหลงกันที่นี้ ก็ต้องแก้กันที่นี่ คือ เมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นความจริง เกิดความเบื่อหน่ายเป็น วิปัสสนาญาณ

    หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ

    =======================================

    วิธีการบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด

    โยม : หลวงปู่ครับผมทำอย่างไรจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด
    หลวงปู่ : ก็ละความอยากบรรลุธรรมของคุณสิ ได้เร็วที่สุด คุณละได้เร็วเท่าไหร่คุณก็จะบรรลุธรรมได้เร็วเท่านั้น
    โยม : ไม่ใช่ครับผมหลวงปู่ ผมหมายถึงว่า ในการปฏิบัติธรรม วิธีการปฏิบัติของสายใดเป็นวิธีลัดให้เราบรรลุธรรมได้ง่ายๆและเร็วที่สุด
    หลวงปู่ : เออ ก็อย่างนั้น แล้วคุณจะรีบไปไหนหล่ะ หรือทุกวันนี้คุณรีบไม่พอ เดินทางก็รีบ ทำมาหากินก็รีบ รีบไปหมด การปฏิบัติธรรมก็รีบ คุณดูนี่ (แล้วท่านก็ยกมือข้างซ้ายท่านขึ้นมา กางนิ้วมือทั้ง ห้าน้ิวออก แล้วก็เริ่มโบกเร็วๆ) คุณว่าตอนนี้มีกี่นิ้ว
    โยม : เห็นไม่ชัดครับผม หลวงปู่ต้องโบกช้าๆครับผม ผมถึงจะเห็น
    หลวงปู่ : นั้นๆ นี่ไงหล่ะ ขนาดคุณยังอยากให้หลวงปู่โบกมือช้าๆเลย โบกมือเร็วๆไม่เห็นนิ้วมือใช่ไหม โบกช้าๆมันจึงจะเห็นชัด การปฏิบัติธรรมหน่ะคุณเอ้ย มันไม่มีอะไรเร็วได้ดอก รีบทำ รีบทำ มันไม่เห็นปัญญานะ ถึงเห็นมันก็ไม่แจ้ง ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่อย่าหยุด เดินทุกวัน ทำทุกวัน ภาวนาทุกวัน ขี้เกียจขี้คร้านก็ทำ ขยันหมั่นเพียรก็ต้องทำ อย่าหยุด ค่อยเป็นค่อยไป พวกคุณใช้ชีวิตแบบเร่งๆรีบๆจนเคยตัว เลยคิดว่าการพ้นทุกข์นั้นก็รีบได้ ยิ่งพวกคุณอยาก พวกคุณรีบ ยิ่งพวกคุณปฏิบัติสุกเอาเผากิน ธรรมมะก็ยิ่งจะหนีห่างพวกคุณออกไปไกลเรื่อยๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ สังเกตุไปทุกระยะ ตั้งสติอย่าขาด อย่าวาดอนาคต อย่าผูกอดีต อย่าอยาก “การปฏิบัติธรรมให้เหมือนการเอามือกำนกตัวน้อยๆ กำแรงนกก็ตาย กำเบานกก็บินหนี กำให้มันพอดี อย่าเบาอย่าแรง” อย่าเร่งอย่ารีบ อย่าอยากมุงหลังคาทั้งๆที่ยังไม่ตั้งเสายังไม่เทพื้นเทคาน ทานเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างหยาบมีศีลเป็นผล ศีลเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างกลางมีสมาธิเป็นผล สมาธิเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างละเอียดมีปัญญาเป็นผล ปัญญาเป็นเหตุรู้รอบในกองสังขารทั้งปวงมีวิมุติความหลุดพ้นเป็นผล ทำไปตามขั้นตามตอน อย่าอยากอย่าเร่งอย่ารีบ ถ้ามันบ่มให้สุกได้อย่างกล้วย อย่างมะม่วง มันก็ดีหน่ะสิแต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ไม่มีใครลัดได้ดอก ดูความยากของการปฏิบัตินะ มันจะได้ละอยาก ละความห่วงในโลก อันนั้นหล่ะคุณจะได้ไวไว เข้าใจนะ

    ___________________

    พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)
    วัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2017
  7. แสงแห่งบารมี

    แสงแห่งบารมี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    12
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +107
    หลวงปู่มั่นพิจารณาลำดับการเป็นพระพุทธเจ้าขององค์ท่าน

    เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทำให้หลวงปู่ระลึกถึงชาติภพต่างๆมาพอสมควร เห็นความน่ากลัวของสังสารวัฏและหากปรารถนาจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ จะต้องละเสียจาก “พระโพธิญาณ” ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจาก “โพธิญาณ”นั้นท่านพิจารณาก่อนว่าแล้วเมื่อไรจะได้ถึงคิวเป็นพระพุทธเจ้าตามความปรารถนา”

    อ่านฉบับเต็มที่

    http://www.tnews.co.th/contents/214163

    กรรมฐาน 40 กอง
    http://www.vimokkha.com/krammathan.htm

    หากในอดีตชาติเคยบำเพ็ญภาวนามา การเบิกบุญจะทำให้เราไปต่อได้เร็วมาก ต่อยอดของเก่าได้ รวมถึงบุญบารมีที่เกิดจากการสร้างพระประธาน สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม สร้างสื่อ เอกสารธรรมมะ เป็นต้น แต่จริงๆแล้วขั้นตอนการเบิกบุญที่ดีที่สุด ควรนั่งสมาธิอยู่ในฌานลึกที่สุด ลึกจนปราศจากความคิดทั้งปวง ช่วงนั้นของเก่าที่ฝึกในอดีตชาติจะส่งผลตามมา ทำให้เราต่อยอดไปได้เร็วมาก ได้ยินหลายครั้งจากสถานที่ปฏิบัติธรรม พระปฏิบัติ ท่านจะเทศน์ประมาณว่า หากนั่งสมาธิทรงฌานได้ถึงขั้น สิ่งที่เคยปฏิบัติของเก่าที่เคยฝึกมาจะส่งผลได้ชัดเจน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2017
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    อ้อ มันเปนยังงี้นี่เอง :):D
     

แชร์หน้านี้

Loading...