ยังไม่ได้เลือกว่าจะนับถือศาสนาอะไร สอบถามครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย สุวาน, 22 สิงหาคม 2010.

  1. สุวาน

    สุวาน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมยังไม่เคยสนใจศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลยครับ ตอนนี้กำลังเลือกอยู่ครับ จึงขอสอบถามเกี่ยวกับศาสนาพุทธครับ
    กรุณาอธิบายข้อดีและข้อเสียของการนับถือศาสนาพุทธหน่อยซิครับ ขอบคุณครับ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เวลาที่เรา จะเข้าไปศึกษาอบรมสำนักใด ก็ตามสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาคือ

    1 ศิษย์สำนักนั้น มีความรู้ตรงตามแบบแผนไหม มีการยืนยันหรือไม่

    2 แบบแผนในการฝึก มีแบบแผน หรือไม่

    เราเปรียบศาสนาพุทธได้ คือ สำนักฝึกตัวฝึกตน ให้มีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว ดับทุกข์และแก้ไขปัญหาชีวิตได้ทั้งปวง ตามขั้นที่เราได้ฝึก และ ที่สำคัญคือ ผลปลายทางนั้น

    พระพุทธองค์ ทรงออกแบบ หลักสูตร ให้มีพยาน บุคคล 4 ระดับ คือ
    พระโสดาบัน เปรียบได้ นักศึกษาปีั 1
    พระสกิทาคามี เปรียบได้กับ นักศึกษาปี 2
    พระอนาคามี เปรียบได้กับ นักศึกษาปี 3
    พระอรหันต์ เปรียบได้กับ นักศึกษาปี 4
    ซึ่ง พระพุทธองค์ ได้ทรงวาง ปริญญา หรือ ผลที่ได้ ทุกขั้นตอน ให้ ผู้ที่เข้ามาศึกษา ได้ เปรียบเทียบผลที่เราได้กับตนเองทุกขั้น

    ซึ่ง ศาสนาอื่นๆในโลกไม่มีการวางแบบแผนเช่นนี้ ศาสนาอื่นๆในโลก มีแต่บอกให้เชื่อในพระเจ้า และสอนให้ทำความดี แต่ความดีของศาสนาใดๆ ก็ไม่มีนิยามบอกชัดเจนว่า เท่าไรถึงเป็นความดี เท่าไรจึงเป็นความไม่ดี

    แต่ พระพุทธศาสนา ระบุ อกุศลจิต และ กุศลจิต ทุกขั้นทุกตอน

    นี่พูดขนาดนี้แล้ว จะไปนับถือศาสนาใดอีกหรือ
     
  3. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    เป้าหมายสูงสุดของหมู่สัตว์ทั้งสามภพ ในทุกจักรวาล ก็เพื่อความสุขอันสูงสุดที่เที่ยงแท้แน่นอน นั่นคือ สภาวะที่จิตหลุดพ้นจากการยึดเหนี่ยวในสิ่งทั้งปวง (รูปนาม-ขันธ์ ๕) นั่นคือนิพพาน หรือการหมดกิเลสตัณหาความทยานอยากแล้ว

    นี่คือเป้าหมายสูงสุด ที่มีอยู่จริงและปฏิบัติได้จริง เฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะ เหตุใด เพราะ ศาสดาของพุทธศาสนา คือพระพุทธเจ้า จำแนกแจกแจงธรรมสั่งสอนมนุษย์ และสัตว์โลกอื่น โดยที่ท่านรู้แจ้งโลกแล้วถึงที่สุดแล้ว คือท่านหมดกิเลสแล้ว อาจารย์ที่หมดกิเลสแล้วคือจิตปราศจากธุลีแม้แต่อนุภาคหนึ่งในล้าน ๆ ส่วน เมื่อจำแนกแจกแจงธรรมสั่งสอนสัตว์ ย่อมเที่ยงตรงแน่นอนไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่เอาเส้นผมมาผ่าให้ได้พันซีก

    ท่านสอนอะไร ท่านสอนธรรม ธรรมอะไร ธรรมชาติของกายหรือที่เราเรียกว่ารูปของสรรพสิ่ง (แต่เน้นที่รูปกายของเราเอง) และ ธรรมชาติของจิตและเจตสิก(ความรู้สึกนึกคิด) ซึ่งเราเรียกว่านาม เมื่อรู้ธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้ว คือ รู้ธรรมชาติที่สุดของรูปและนามแล้วคือ มันมีสภาวะความเป็นจริงอยู่สามอย่างคือ เกิดขึ้นมา คงอยู่สภาพเดิมไม่ได้จึงต้องเปลี่ยนแปลงไป และสลายไปในที่สุด ความยึดเหนี่ยวจึงหมดไป ความหลุดพ้นของจิตจึงเกิดขึ้น

    ธรรมชาติของสรรพสิ่ง หรือของกายและจิต นี้ไม่ใช่เกิดจากการดลบรรดาลหรือเสกเป่า มันเป็นธรรมชาติแบบนี้มาเป็นโกฎล้าน ๆๆๆๆ ปี เพียงแต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะมีผู้ที่มีบุญบารมีเต็มเปี่ยมและปัญญามาก มาค้นพบและประกาศให้สัตว์ทั้งสามโลกให้รู้ทั่วกัน

    ศาสดาของศาสนาพุทธ เป็นศาสดาองค์เดียวในลัทธิทั้งปวงที่ท่าน ประกาศตนเองว่าไม่ใช่ God หรือเทพเจ้า แต่ท่านตรัสบอกกับสัตว์ทั้งหลายว่าท่านเป็น มนุษย์ธรรมดา (normal human) แต่ธรรมะหรือธรรมชาติหรือสิ่งที่ท่านค้นพบนั้น เกิดจากความเพียรพยายามของมนุษย์

    ศาสดาของศาสนาอื่นสอนเหล่าสาวกว่าให้ไปอยู่ด้วยกันที่สวรรค์ สวรรค์คือที่มีความสุข คนพาเดิน เคยเดินทางไปแค่สวรรค์ก็จะประกาศบอกคนทั้งหลายว่า สวรรค์นั้นคือที่สุดแล้ว

    แต่พระพุทธเจ้าท่านทำให้แจ้งว่า เทวดา ยังเป็นที่มีทุกข์เนื่องจากยังมีตัณหาคือความทยานอยาก เทวดาไม่มีรูปกายที่แท้จริง แต่มีจิต เมื่อมีจิตก็มีความรู้สึกนึกคิด ในความรู้สึกนึกคิดนี้ปนไปด้วยตัณหา เช่น เทวดาอยากได้วิมาณสวยงาม อยากได้อยากเห็นสิ่งสวยงาม ฯลฯ เมื่อยังมีความอยากเกิดขึ้น ทุกข์ก็เกิดขึ้น พวกพรหมก็ไม่ต่างจากเทวดา ยังมีความไม่แน่นอนของสุขที่เป็นอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปสภาวะของตนเปลี่ยทุกข์ก็จะเกิดขึ้น

    ศาสนาพุทธสอนไปเลยกว่าการไปเป็นเทวดา ที่สุดของศาสนาอื่นคือการไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าของตน แต่ที่สุดของศาสนาพุทธสอนไปยิ่งกว่านั้นคือ การทำให้หยุดการเวียนว่ายตายเกิด คือเมื่อหมดกิเลสตัณหาก็หยุดเกิด / ส่วนวิธีการนั้นท่านสอนไว้หมดแล้วพร้อมทั้งแจกแจงถ้วนถี่

    ศาสนาอื่นสอนให้ไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าของตน เพราะศาสดาของตนรู้เท่านั้นคือรู้ไม่หมด เพราะตนเองยังไม่หมดกิเลส ยังไปไม่ถึงที่สุด ผู้ใดก็ตามถ้ายังไม่หมดกิเลส ยังไม่ถึงที่สุด การสอนย่อมคลาดเลื่อน

    ถ้าพระเจ้าของใครสร้างโลกสร้างจักรวาล สร้างมนุษย์และสัตว์ คงจะสร้างโลกสร้างสังคมมนุษย์ให้สวยงามเสมอเหมือนกันหมด รูปร่างคนคงจะสวยงามหล่อและรวยทรัพย์เหมือนกันหมด ถ้าเป็นดังนั้น โลกนี้จักรวาลนี้จะยุติธรรมไฉน แสดงว่าการทำดีทำชั่วของเหล่าสัตว์นั้นไม่เป็นผลอะไรเลย ทำชั่วก็รอการล้างบาปรอเสกเป่าบันดาลตอบแทนแต่ด้วยสิ่งดีงาม โลกนี้จักรวาลนี้จะไม่มีความยุติธรรมเลย

    ศาสนาพุทธสอนว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำกรรมสิ่งได้ไว้ไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมได้รับวิบากทั้งดีและเลวที่เป็นผลของกรรมที่ติดจิตดวงนั้นไปทุกสถานที่ทุกภพชาติ นี่ต่างหากที่เป็นกฏที่ยุติธรรมที่สุดของสัตว์ในทุกจักรวาล

    ศาสนาพุทธ สอนเรื่องรูป-นาม ขันธ์ห้า ร่างกายจิตใจ เรื่องการรับรู้ การเกิดกิเลสตัณหา การตัดกิเลสและตัณหา มีหลักและวิธีการ คือ ทาน ศีล ภาวนา และ ศีล สมาธิ ปัญญา ผลความก้าวหน้าทีได้ก็จะบรรลุเป็นขั้น ๆ ไป จนถึงปัญญาสูงสูด การเกิดสิ้นสุดแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว สิ่งที่ต้องทำแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว

    ศาสนาพุทธไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเรื่องความจริงที่สุด (absolute truth) ที่เรียกว่า ปรมัตถ์ของธรรมชาติของสรรพสิ่ง เมื่อรู้แล้วก็จบ

    วิชานิพพาน เป็นวิชาเดียวที่เรียนแล้วจบแล้วจบเลย ไม่ต้องเกิดมาเรียนวิชาใด ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้สุขทุกข์ปนเปกันอีก

    เกิดมาซ้ำแล้วซ้ำอีก น้ำตาคนเดียวมหาสมุทรไม่พอใส่ กระดูกคนเดียวกองเป็นภูเขา

    จะศรัทธา หรือจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ได้มีผลอะไรต่อสัตว์ทั้งหลาย เพราะ ธรรมชาติของสรรพสิ่งมันก็ยังเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ถึงแม้โลกนี้จักรวาลนี้ไม่มีหมู่สัตว์อยู่เลย ธรรมะหรือธรรมชาติก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ คือ เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และ ดับไป

    โชคดีของหมู่สัตว์ทั้งหลาย แสดงว่าเราสร้างบารมีกันมาไม่ใช่น้อย ที่ได้มีโอกาสเกิดมาตรงกับช่วงที่คำสอนของศาสนาพุทธยังคงอยู่ มันเป็นเวลาช่วงสั้น (short time scale) (คำสอนของศาสนาพุทธนี้จะมีคงอยู่แค่ประมาณ ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น) ตรงกับที่เราเกิดมาพอดี มีเหล่าสัตว์อีกล้านโกฎที่ไม่ได้มีโอกาสมาเจอคำสอนที่มีผู้มีบารมีเต็มเปี่ยมและปัญญามาก ใช้ความเพียรของความเป็นมนุษย์ค้นพบและประกาศให้รู้ทั่วกัน

    ที่สุดของศาสนาอื่น คือ แค่สวรรค์ แต่

    ที่สุดของศาสนาพุทธ คือ การไม่เกิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2010
  4. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    บางศาสนา จงเชื่อ จงศรัทธา อย่าสงสัย
    บางศาสนา จงเลือก ว่าจะอยู่ข้างใคร
    จะไม่เปิดโอกาสให้ใช้ปัญญากันเลยหรือนี่ ทั้งที่ปัญญาเป็นของดี ว่ามั้ย...


    ศาสนาพุทธ จงพิสูจน์เถิด จงมาลองดูเถิด
    ของดีของจริง ต้องพิสูจน์ได้ สงสัยได้ หาข้อเท็จจริงได้ คลายความสงสัยได้ จริงไหม

    อะไรทำแล้วสบายใจก็ทำเถิด แต่สบายใจแบบไม่มีข้อกังขา เจริญด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเชื่อ น่าจะดีกว่าไหม ไม่เชื่อลองพิสูจน์ดูได้ ว่าไหม

    จากคนเคยคิดอย่างนี้มาบ้างเหมือนกัน
     
  5. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    อ้าว แล้วในทะเบียนบ้านกับในบัตรประชาชนคุณไม่ได้ระบุศาสนาหรอกหรือ ? หรือระบุศาสนาไปอย่างนั้นแหละ แต่ไม่เคยเข้าวัด โบสถ์ฝรั่ง หรือมัสยิด....

    สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะคนไทยพุทธถูกสอนมาให้ใช้ปัญญา ดังนั้นต้องใช้ปัญญา หลักเรื่องไม่ให้เชื่อใครง่ายมีอยู่ในเรื่อง "กาลามสูตร"

    คุณถามว่าข้อดีคืออะไร ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ไงครับ..... เป็นเหตุเป็นผล หลักเรื่องเป็นเหตุเป็นผลนั้น เรียกว่า อิทัปปจยตา เมื่อมีสิ่งนี้เกิด ย่อมมีผลอย่างนั้นตามมา .....

    คุณเข้าใจเรื่องพลังจิตใช่มั้ย ข้อนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับคนเรามีพลังจิต มีการค้นคว้าทดลองกันมากมาย ศาสนาพุทธมีสอนเรื่องการฝึกจิตให้มีพลังด้วย และหลักสูตรเรื่องนี้ในศาสนาพุทธไม่ใช่เพิ่งมีมาแค่สองสามร้อยปี แต่หลักสูตรเรื่องการฝึกจิตนี้มีมานานถึง 2,500 ปีแล้ว

    รู้จักไอน์สไตน์ใช่มั้ยครับ ไปหาดูครับวาไอน์สไตน์พูดถึงศาสนาพุทธอย่างไร

    จริงๆแล้ว การจะยกข้อดีต่างๆ หลักธรรมต่างๆมาอธิบายในตอนนี้ก็ยังไม่เหมาะนัก เพราะจิตคุณยังไม่รับ ดีไม่ดีคุณอาจคิดว่า เอ้า ก็เชียร์กันเองนี่ ดังนั้นก็เอาเพียงแค่ย่อๆแค่นี้แหละ ถ้าคุณจะศรัทธา คุณก็จะศรัทธาเอง

    อย่าว่าแต่คนไม่มีศาสนาเลย คนที่นับถือศาสนาอื่น หันมานับถือศาสนาพุทธก็มีตั้งเยอะแยะ แม้กระทั่งคนนับถือศาสนาอิสลามหันมาเข้าวัด ถวายเทียนพรรษา ก็ยังมีเลย ผมเจอมากับตัว

    ข้อสุดท้าย ประเด็นที่คุณถามก็คือ ศาสนาพุทธมีข้อเสียอย่างไร

    คำตอบคือ ไม่มี เพียงแต่ว่าคนนับถือศาสนาพุทธจะเข้าใจในศาสนาของตัวเองได้ดีแค่ไหน นั่นแหละคือประเด็น.....
     
  6. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    อ่าว.....แล้วตอนเกิด คุณพ่อ คุณแม่ ลงทะเบียนไปว่านับถือศาสนาอะไร หรอ ครับ
     
  7. Kathaleeya

    Kathaleeya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +207
    อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ และเห็นจริงตามคุณKhomerayaค่ะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของความเป็นเหตุเป็นผล มีฐานคือศรัทธาและยอดคือปัญญาค่ะ ซึ่งแตกต่างจากบางศาสนา บางลัทธิ ที่ฐานคือศรัทธาและยอดก็ยังเป็นศรัทธาอยู่ ถ้าเราปฎิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะรู้จริง เห็นจริงด้วยตนเอง โอปะนะยิโก เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว มีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียค่ะ

    พุทโธอัปมาโน ธัมโมอัปมาโน สังโฆอัปมาโน พระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีประมาณ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตและตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพานเทอญ
     
  8. Surachai Mankong

    Surachai Mankong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +329
    ศาสนาพุทธมีหลักธรรมคำสอนที่เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง ไม่อยากที่จะนับถือแค่ลองศึกษาดูด้วยตัวเองครับ

    ข้อเสียของศาสนานี้ไม่มีหลอกครับ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นที่คนนับถือมากกว่า ที่จะทำให้ศาสนาเสีย
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาที่อยู่เหนือการมีข้อดี และ การมีข้อเสีย

    ศาสนาอื่นๆนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นศาสนาที่มีข้อดีจำนวนมากให้แลกรับ

    ลัทธิใดๆนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะยังคงมีข้อเสียปนอยู่(จึงไม่ถูกยกให้เป็นศาสนา)

    * * * * * *

    ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาที่ไม่รณรงค์ในเรื่อง "ศรัทธา อำนาจ และ เงินตรา"
    กล่าวคือ

    ศาสนาพุทธไม่มุ่งเน้นให้ใครต้องมาศรัทธา คนไม่ศรัทธาศาสนาพุทธจึงพ้น
    โทษการประหาร หากเป็นศาสนาอื่น หรือลัทธิอื่น การไม่ศรัทธาย่อมมีโทษ
    ประหารอยู่ มีการตัดสิน มีการพิพากษารออยู่

    ศาสนาพุทธไม่มุ่งเน้นให้ใครต้องมายกกำลังทหารให้ คนไม่ยกกำลังทหารให้
    ศาสนาพุทธจึงพ้นโทษการประหาร หากเป็นศาสนาอื่น หรือลัทธิอื่น การไม่
    ยกกำลังทหารให้ย่อมมีโทษประหารอยู่ มีการตัดสิน มีการพิพากษารออยู่

    ศาสนาพุทธไม่มุ่งเน้นให้ใครต้องมายกทรัพย์สินให้ คนไม่ยกทรัพย์สินให้
    ศาสนาพุทธจึงพ้นโทษการประหาร หากเป็นศาสนาอื่น หรือลัทธิอื่น การไม่
    ทรัพย์สินให้ย่อมมีโทษประหารอยู่ มีการตัดสิน มีการพิพากษารออยู่

    ด้วยเหตุดังกล่าว ศาสนาพุทธจึงไม่เน้นการมี อำนาจ เงินตรา แล วาสนา
    (ศรัทธา) อยู่พ้น หรือ เหนือสิ่งอันที่จะนำไปสู่การประหารผู้ใด พ้นการ
    รอการตัดสิน พ้นการรอการพิภากษาใดๆ เพราะบริสุทธิได้ด้วยการหมั่น
    ประกอบ หมั่นประพฤติปฏิบัติของสิ่งไรๆ

    และด้วยเหตุที่กล่าวตามวรรคข้างต้น จึงอาศัยปรารภว่า

    ศาสนาพุทธ อยู่พ้นการมีข้อดี การมีข้อเสีย หรือโลกธรรมทั้งปวง

    * * * * *

    ก็ขอให้พิจารณาเลือก เอาตามแต่ที่จะ ตั้งใจ เอาใจไปสำเร็จ เทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...