มีใครพอทราบจะประวัติหลวงพ่อช่อ(ฤาษีลิงขาว) บ้างครับ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย KBANANAG, 30 ตุลาคม 2006.

  1. EXXXXXXXXXX

    EXXXXXXXXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +375
    ขอบคุณทุกข้อมูลทีมาแบ่งความรุ้ให้กันและกัน เพิ่มพูลความรู้ที่ยังไม่เคยรู้
     
  2. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222

    ผมว่าคุณจับประเด็นแบบจับแพะชนแกะแล้วกระมังครับ ?

    เพราะข้อความนี้ที่คุณตัดต่อมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ กล่าวถึงกรณีของคณะที่มีการประกาศว่าจะเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดหนองกุย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับกรณีของหลวงพ่อช่อท่านแต่อย่างใด

    ลองดูที่คุณยกมาเองอีกครั้งดีกว่าไหมครับ ในหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๑ นั่นเอง



    ถ้าตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ในการเป่ายันต์เกราะเพชร เท่าที่พอจะรู้มาบ้าง ก็ต้องจัดในวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ และท่านบอกว่าจะจัดเฉพาะวัดที่ท่านสังกัดอยู่เท่านั้น ไม่สามารถเดินสายไปจัดที่วัดนอกสังกัดได้

    กฎต่าง ๆ นี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่วนตัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ท่านยึดถือและสอนให้ลูกศิษย์ได้รับทราบครับ


    ถ้าตามอ่านคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงมาตลอด ส่วนใหญ่ท่านจะไม่ตำหนิใครชัดเจน ถึงแม้บางครั้งจะมีการตำหนิชัดเจนท่านก็มักจะไม่เขียนหรือพูดตรง ๆ อยู่แล้วครับ

    และการที่ตำหนิออกมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ต้องการ "เตือน" ไปยังผู้ที่รับสารให้ทราบ ไม่ได้ต้องการจะผูกโกรธแต่อย่างใด

    ถ้าท่านใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ "ไม่พูดด้วย" ไม่ว่าจะเป็นการตำหนิ หรือพูดจาชมเชย(ตามแต่ละอุปนิสัยของแต่ละท่าน) จะเป็นที่รู้กันภายในหมู่ลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ว่า "ต้องรีบปรับปรุงตัวให้เร็วที่สุด" ครับ


    ผมเคยเห็นบางสถานที่ จัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรโดยที่ผู้ประกอบพิธีไม่ได้สังกัดวัดที่จัดงานพิธีก็มีครับ


    ส่วนเรื่องพิธีกรรมในงานเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ไม่เคยปิดบังอะไรแต่อย่างใด

    ท่านใดที่มีหนังสือ "สมบัติพ่อให้" รุ่นเก่า ๆ ก็จะมีบอกไว้อย่างชัดเจนว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

    ลองค้นหาใน google ก็ไม่ยากครับ ไม่ใช่เรื่องราวลี้ลับซับซ้อนแต่อย่างใด


    หมายเหตุ

    ราชทินนามของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงคือ พระราชพรหมยาน ใ้ช้ ย.ยักษ์ ครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  3. เด็กเมื่อวานซืน

    เด็กเมื่อวานซืน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,222

    ขออภัยครับ ลืมถามข้อนี้ไปว่า ท่านนำข้อความนี้มาจากหนังสือเล่มไหน ถ้าเป็นไปได้รบกวนช่วยบอกด้วยก็ดีครับ ผมจะได้ลองไปสืบค้นครับ

    เท่าที่เคยเห็นมา เคยเห็นแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านตอบจดหมายของท่านพระครูปัญญาโสภิต แห่งวัดสร้อยทอง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดบางนมโคเช่นเดียวกับท่านครับ(อยู่ในหนังสือลูกศิษย์บันทึกพิเศษ)

    ผมจึงคิดว่า ข้อมูลที่ท่านได้ให้มาตามเนื้อความจดหมายนี้ น่าจะหาได้ไม่ยาก ถ้ารู้ชื่อหนังสือที่ลงข้อความนี้ไว้ครับ
     
  4. cnn001

    cnn001 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +42
    ความเป็นจริงสำคัญที่สุดครับ
    สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งมวล
     
  5. tank94

    tank94 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    หลวงปู่ช่อ จะเป็นพระอริยะเจ้าหรือไม่นั้นไม่รู้ครับ แต่หลวงพ่อฤาษีลิงขาว เพื่อนหลวงพ่อ นั้นท่านเป็นพระอริยะเจ้าแน่นอนครับ
    เรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน จะต้องเป่าพิธีเสาร์ห้าเท่านั้น ครับ พระใหญ่ ท่านมาสงเคราะห์ ไม่ได้เป่าเอง นอกจากนั้น เป่าได้แต่ผลอีกเรื่องนะครับ
     
  6. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    ที่สมุทรปราการก็มีศิษย์หลวงปู่ปานที่เป่ายันต์เกราะเพชรได้ นะครับและพระทที่ท่านสร้างก็ศักดิ์สิทธิ์ คือหลวงปู่พระครูสมุห์ทองดี วัดบางด้วนนอก วิชาเกราะเพชรเป็นวิชาเอกของหลวงปู่ปานครับมีการสอนให้สิษยืทุกรูปครับ ในอดีต หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจาท่านก็เรียนมา แต่หลวงปู่เคยบอกกับผมว่าไม่อยากจัดเป่ารำคาญ เดี๋ยวลูกศิษยืจะตีกันครับ
     
  7. sara_w

    sara_w สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอยืมรูปและข้อความจากคุณ lokkrok ด้วยนะครับ
    ผมเจอรูปหลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุงในกระทู้หนึ่งของบอร์ดพลังจิต หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านคงจะรู้จักหลวงปู่ช่อฤาษีลิงขาวน่ะครับ เห็นท่านมอบรูปให้ด้วย ลองชมกันดูนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ถ้าถามว่าทั้งสององค์เกี่ยวข้องอย่างไรกัน ก็ต้องบอกว่ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เกี่ยวพันกันที่แม่ของทั้งสององค์ โยมแม่ของหลวงพ่อช่อ เลี้ยงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (วีระ), พระมหาเวก วัดดาวดึงษาราม ซึ่งเป็นน้องชายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาพร้อมกับหลวงพ่อฤาษีลิงขาว(ช่อ) ทั้ง 3 องค์โตมาด้วยการเลี้ยงของโยมแม่เล็ก และกินนมท่านมา ทั้ง 3 องค์ และเรียกโยมแม่เล็กว่า "แม่" ทุกองค์ โยมแม่เล็กอายุยืนกว่าร้อยปีทีเดียว

    ที่ผ่านมาบางคนก็บอกว่าไม่รู้จักกัน บางคนก็บอกว่าถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำแล้วบอกว่าไม่ใช่เพื่อนท่าน บ้างก็ว่าเป็นลิงคนละฝูง ก็ถูกเพราะไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นพี่น้องกัน และก็ไม่ใช่ฝูงเดียวกันเพราะบวชกันคนละกลุ่ม เวลาหลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึงเพื่อน ก็มักจะหมายถึง ทหารเรือ 4 องค์ที่บวชพร้อมกัน โดยมีรุ่นพี่ 1 องค์ และเพื่อนรุ่นเดียวกัน 3 องค์ที่หลวงปู่ปานก็เรียก ลิงดำ ลิงขาว ลิงเล็ก โดยหลวงปู่ปานมักเรียกเด็กผู้ชายขึ้นต้นว่าลิงแล้วตามด้วยลักษณะของเด็ก จึงมักได้ยินท่านเรียก ลิงดำ ลิงขาว ลิงโย่ง ลิงเผือก เป็นต้น ส่วนผู้หญิงเรียกว่า อีหมา ดังนั้นจึงมี ลิง...แต่ละชื่อมากกว่าหนึ่งคน และเมื่อคนไหนบวชก็มักเรียกว่า "หลวงพ่อลิง......" เช่นหลวงพ่อลิงดำ หลวงพ่อลิงขาว หลวงพ่อลิงเล็ก เป็นต้น แต่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคือ มักสับสนกับชื่อที่มีคำว่า "ฤาษี" เติมอยู่โดยเข้าใจว่า หลวงพ่อลิงขาว กับหลวงพ่อฤาษีลิงขาว คือองค์เดียวกัน เป็นต้น

    ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเรามักจะเห็นหลวงพ่อช่อ โดนว่ากระทบกระเทียบมาโดยตลอด โดยหารู้ไม่ว่ากำลังทำสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรม เช่นกล่าวถึงว่า พระแอบอ้างว่าเป็นฤาษีลิงขาวอยู่แถวสุพรรณบ้าง ฯลฯ มีเยอะไม่อยากมาเขียนย้ำที่นี้อีก โดยหารู้ไม่ว่าท่านคือฤาษีลิงขาวตัวจริงตั้งแต่สมัยก่อน 2500

    และที่สำคัญคือหลวงพ่อช่อคือศิษย์เอกของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคตัวจริง เหตุผลก็คือท่านมาอยู่วัดบางนมโคตั้งแต่เด็ก แต่วิธีมาอยู่ต่างจากเด็กอื่นคือแทนที่จะมาขออยู่วัด แต่เป็นหลวงปู่ปาน ขอโยมแม่เล็กให้มาอยู่กับท่านเนื่องจากเห็นว่าเป็นเด็กเรียบร้อย และโยมแม่เล็ก ก็เป็นโยมที่ส่งข้างส่งน้ำหลวงปู่ปาน เรียนวิชาจากหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อเล็กเกสโร มาตั้งแต่เด็ก จนมาบวชเมื่อปี 2461 ที่วัดช่องลม สุพรรณฯ ที่ไม่บวชที่วัดบางนมโคก็เพราะช่วงนั้นหลวงปู่ปานเป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดสาลีและศาลาการเปรียญ วัดช่องลม โดยหลวงปู่ปานเป็นธุระจัดการบวชให้ทั้งหมดและเป็นคู่สวดให้ หลวงปู่ปานรักหลวงพ่อช่อเหมือนลูก ซึ่งลูกกับลูกศิษย์ต่างกัน และ ให้ลองสังเกตดูว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานแต่ละองค์จะสนิทกับหลวงพ่อช่อ(ฤาษี ลิงขาว)มาก ไปมาหาสู่เป็นประจำและที่สำคัญทุกองค์ให้ความเคารพและเกรงใจหลวงพ่อช่อทั้งๆ ที่ ถ้าดูอายุแล้วจะน้อยสุดในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ปานทั้งหมด ก็เพราะใครไปเรียนก็มักเจอหลวงพ่อช่อที่วัดตั้งแต่ยังไม่บวชพระ แต่ละ องค์ที่ไปเรียนกับหลวงปู่ปานก็ขึ้นกับว่ารับได้แค่ไหน ส่วนใหญ่จะเป็นกรรมฐาน ถ้าผ่านก็เรียนเรื่องธาตุ หรืออาจต่อเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ (ซึ่งน้อยมาก) บางท่านก็เรียนแพทย์แผนสมุนไพร ซึ่งตำรับท่านใช้อาคมเสกกำกับด้วย รดน้ำมนต์ เป็นต้น หลวงพ่อช่อได้เรียนมาเยอะเพราะอยู่ด้วยนาน อีกทั้งตำราที่เป็นลายมือหลวงปุ่ปาน รวมทั้งผงอิทธิเจก็ได้รับมาเยอะ

    อีกท้้งบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ปานก็ยกย่องหลวงพ่อช่อ เช่นเมื่อครั้งที่หลวงพ่อเณรขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ท่านก็บอกว่า "เรียนกับท่านช่อก็ครอบคลุมทุกคนหมดแล้ว" (วิชาหลวงปู่ปาน), หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา ก็อาจารย์ของหลวงพ่อเณร ท่านก็ไม่สอนวิชาสายหลวงพ่อปานให้หลวงพ่อเณรก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน สอนให้แต่วิชาสายอื่น เป็นต้น

    ใครที่เข้าวัดทุ่งเศรษฐี สมัยเมื่อ พ.ศ. 2531 - 2541 บ่อยๆก็จะเจอคนที่เกิดทันและรู้จักหลวงปู่ปาน มาที่วัดบ่อยๆ ก็จะรู้อะไรดีๆที่คนทั่วไปไม่รู้เยอะ

    • สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารีมหาเถร) พระอุปัชฌาย์หลวงพ่อเณร ซึ่งรู้จักหลวงปู่ปานดี และเป็นผู้แนะนำให้หลวงพ่อเณรไปเรียนกับหลวงพ่อฤาษีลิงขาว (ช่อ) และบอกว่าเป็นศิษย์เอกพร้อมทั้งเขียนจดหมายฝากไป
    • หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง อยุธยา (ศิษย์หลวงพ่อปาน)
    • หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย (ศิษย์หลวงพ่อปาน)
    • หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา (ศิษย์หลวงพ่อปาน)
    • หลวงพ่อช่อ (ฤาษีลิงขาว) (ศิษย์หลวงพ่อปาน)
    • พระครูวิจิตรสาธุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ฯ ผู้ที่เทศน์คู่กันมากับหลวงพ่อฤาษีลิงดำตั้งแต่ครั้งสมัยหนุ่มๆ
    รวม ทั้งหลวงพ่อช่อมักพาหลวงพ่อเณรไปสนทนากับเพื่อนสนิทท่านซึ่งก็คือ พระมหาเวก วัดดาวดึงฯ (น้องชายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อีกทั้งญาติพี่น้องอีกหลายคนก็ไปมาหาสู่ที่วัดทุ่งเศรษฐีตลอด เป็นต้น

    เรื่องราวหลวงปู่ปาน และเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่าน ลพ.เณร ท่านจะรู้ดีแต่ก็ไม่ค่อยจะเล่าให้คนท่วไปฟัง เพราะรำคาญถึงกับเอ่ยปากว่า "พระหนะดี แต่ลูกศิษย์ชอบทำให้ครูบาอาจารย์เสีย ชอบทำให้ลูกศิษย์พระแต่ละองค์ทะเลาะกัน" พี่ก็ไม่ค่อยอยากเขียนถ้าไม่จำเป็น ความลับมีเยอะทั้งบอกได้และไม่ควรบอกแม้เป็นเรื่องจริง เดี๋ยวจะติดกรรมที่ทำให้คนเกิดเสื่อมศรัทธา ถ้าสิ่งที่เขียนไปกระทบผู้อื่น
     
  8. pis_41

    pis_41 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    995
    ค่าพลัง:
    +1,700
    สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารีมหาเถร) พระอุปัชฌาย์หลวงพ่อเณร ซึ่งรู้จักหลวงปู่ปานดี และเป็นผู้แนะนำให้หลวงพ่อเณรไปเรียนกับหลวงพ่อฤาษีลิงขาว (ช่อ) และบอกว่าเป็นศิษย์เอกพร้อมทั้งเขียนจดหมายฝากไป

    ระดับพระสมเด็จให้หลวงพ่อเณรไปเรียนวิชาหลวงพ่อปาน กับหลวงปู่ช่อฤาษีลิงขาว แสดงว่าหลวงปู่ช่อท่านต้องไม่ธรรมดาแน่เลยครับ เสียดายที่ช่วงเวลานั้นไม่ได้เจอหลวงปู่เสียดายจริงๆ :'(
     
  9. น้องเจ

    น้องเจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +137
    ได้เห็นรูปของคุณ lokkrok ที่คุณ sara_w นำมาโพสต์แล้วให้นึกถึงความหลัง แสดงว่าคุณ lokkrok อยู่ในเหตุการณ์ของหลวงปู่จริงๆ ไม่แน่เราอาจจะได้เคยพบกันมาก่อน

    รูปดังกล่าวนี้มีอยู่จริล ข้าพเจ้าเห็นแขวนอยู่ที่ริมหน้าต่างของศาลารับแขกของหลวงปู่หลังเก่า ที่วัดฤกษ์บุญมี เป็นรูปที่หลวงปู่ฤาษีฯมอบให้หลวงปู่ช่อจริงๆ และมีรายมือเขียนไว้
    แต่ดูเหมือนหลวงปู่จะไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก เพราะอย่างที่บอกว่า หลวงปู่ช่อไม่เคยกล่าวอ้างว่าตนเป็นฤาษีลิงขาวเลย ท่านเล่าแต่เพียงว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานเท่านั้น
     
  10. Lukkrok

    Lukkrok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ยินดีที่รู้จักครับ รูปที่โพสนี้เอามาจากหนังสือลานโพธิ์ฉบับนึงซึ่งลงเรื่องเกี่ยวกับพัดยศครับ แต่ไฟล์สแกนจากรูปถ่ายตัวจริงก็มีแต่ละเอียดเกินไปเลยใช้จากในหนังสือแทน

    ต้องบอกว่าโชคดีอย่างหนึ่งที่พระผู้ใหญ่และบุคคลต่างๆที่รู้จักหลวงปุ่ปานมาเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐีเยอะ จึงทำให้รู้เรื่องราวต่างๆดี อีกทั้งหลวงปุ่ช่อก็มาจำวัดอยู่ที่วัดทุ่งเศรษฐีหลายปีก่อนจะกลับไปอยู่ที่วัดช่องลมไม่ถึงปีก็มรณภาพ

    ข้อมูลเชิงลึกไม่สามารถหาอ่านได้ทั่วไปต้องประสพผู้เกี่ยวข้องเอง รูปเก่าๆของหลวงปู่ก็มีเยอะครับอิริยาบทกับพระผู้ใหญ่ที่หาดูไม่ได้ทั่วไปก็เยอะ กับครูบาธรรมชัย หลวงปู่บุดดา หรือแม้รูปถ่ายกับครูบาราศรี (ตุ๊เจ้าเสือดาว) ที่แทบจะไม่ค่อยมีคนได้เห็นด้วยซ้ำแต่มีรูปถ่ายกับหลวงปู่ช่อ เป็นต้น รูปเหล่านี้อยู่ที่วัดทุ่งเศรษฐีทั้งนั้นครับ

    หลวงปู่ช่อถึงอายุจะน้อยเมื่อเทียบกับลูกศิษย์คนอื่นแต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้คือบุคคลต่างๆหรือพระเกจิผู้ใหญ่กลับเกรงใจและยกย่อง ถ้าบอกว่าเพราะรู้จักหลวงพ่อเณรและหลวงปู่ช่อเป็นอาจารย์เลยพยายามยกย่อง ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่เพราะลูกศิษย์หลวงปู่ปานที่เป็นอาจารย์หลวงพ่อเณรมีหลายองค์และทุกองค์กลับบอกว่า "เรียนกับท่านช่อก็ครอบคลุมทุกคนหมดแล้ว" แต่ถ้าเราถามหลวงปู่ช่อ ท่านก็จะตอบว่า "เราเป็นศิษย์รุ่นสุดท้าย" ประมาณว่าท่านเรียนมาน้อย หลวงปู่จะถ่อมตัวอย่างนี้เสมอ (แต่จริงๆเรียนตั้งแต่เป็นฆราวาสไม่ใช่พึ่งเรียนตอนบวช) แม้เมื่อมีคนถามหรือเรียกท่านว่า "ฤาษีลิงขาว" ก็จะตอบกลับไปว่าท่านไม่ใช่ลิง จริงๆก็เพราะชื่อเหล่านี้ท่านให้หลวงปู่ปานเรียกเท่านั้น หลวงปู่จะไม่คอยโฆษณาว่าตัวเองคือฤาษีลิงขาว ยกเว้นเวลาต่้องใช้ก็เขียนไป แต่ก็ไม่ใช่พยายามบอกคนอื่นว่าตัวเองคือฤาษีลิงขาวนะ ผมเองก็ไม่รู้จนกระทั่งสมเด็จพระธีรญาณมุนีฯ อุปัชฌาย์หลวงพ่อเณร บอกว่านี่คือฤาษีลิงขาว ศิษย์เอกหลวงปู่ปาน ได้วิชาเยอะสุด และเขียนจดหมายให้หลวงพ่อเณรถือไปหาหลวงปู่ช่อ ซึ่งมามั่นใจก็ตอนสมเด็จฯนิมนต์มาเป่ายันต์และตอนมาสอบเป่ายันต์เกราะเพชรให้หลวงพ่อเณร ที่วัดทุ่งเศรษฐี http://palungjit.org/กระทู้หลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี.html

    สิ่งที่รับรู้มาจากพระผู้ใหญ่อย่างน้อย 7 รูป (จริงๆมีอีก) สมเด็จพระธีรญาณมุนีฯ หลวงปู่ช่อ หลวงพ่อเชิญ หลวงพ่อมี หลวงพ่อเมี้ยน พระครูวิจิตรสาธุวัตร พระมหาเวกฯ และบุคคลอื่น ก็ทำให้รู้ความจริงที่มีคนรู้ไม่มาก

    จริงๆแล้วรูปถ่ายพร้อมลายมือนี้สามารถแทนคำพูดได้มากมาย ว่าสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้มาตลอดมันไม่ถูกต้องเยอะ เราจึงอย่าด่วนเชื่อสิ่งที่อ่านมาอย่างเดียว จะกลายเป็นทำบาปโดยไม่ตั้งใจได้ ให้ยึดหลักกาลามสูตรเข้าไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  11. ทีฆา

    ทีฆา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +3,641
    ถ้าเราจะหาคำตอบกันไปก็ไม่สิ้นสุด
    เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พี่น้องสมาชิกพลังจิตเกิดพลาดพลั้งไปปรามาสพระอริยะเจ้าได้ ซึ่งทั้งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงปู่ช่อนั้นก็น่าจะเป็นพระอริยะทั้งคู่ ผมเสนอว่าให้เพื่อนสมาชิกใช้คาถาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คือคาถา "ช่างหัวมัน" แล้วปล่อยให้เรื่องมันจบไปเถอะครับ
    ท่านใดชอบปฏิปทาองค์ไหน จะยึดจะถือก็อย่าไปว่ากัน ไปเที่ยวหาหลักฐานกันไปมา ถ้าเกิดพลาดพลั้งไปปรามาสท่านทั้งสองเข้า จะกลายเป็นการดึงตัวเองลงนรกกันไปเสียเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2011
  12. EXXXXXXXXXX

    EXXXXXXXXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +375
    อ่านแล้ว ได้ความรู้เพิ่มขั้นมากมายไม่เคยได้อ่านเจอในหนังสือทั่วๆไปเพราะหนังสือประวัติ

    หลวงพ่อปานเขียนกันลอกกันมาเกือบทั้งหมดและพอถึงช่วงฤาษีลิงขาว ก็หายเลยกระโดด

    มาถึงฤาษีลิงดำผมเองไม่เคยได้เจอหลวงพ่อฤาษีลิงดำ-ขาว พยายามค้นคว้าหาประวัติ

    หลวงพ่อช่อ มานานพอสมควรด้วยความอยากรู้สิ่งที่หนังสือเขียนตัดไปแบบ งงๆๆ

    จนได้อ่านกระทู้นี้ข้อมูลมันมีสองด้าน ด้านหนังสือ กับ ด้านของบุคคล จนเกิดเป็นที่มาที่

    ต้องอยากรู้คำตอบว่าตกลง หลวงพ่อช่อ ท่านคือ ฤาษีลิงขาว อย่างที่เขามีข้อมูลมา

    นำเสนอหรือไม่ คำตอบอยุ่ในใจครับ ว่างๆลองไปวัดแถว บางปลาม้าดู เสียเวลาฮึด

    แบบผมจะได้ข้อมูลอีกด้าน กระดาษขาวมันมีสองหน้ายังไงเราก็ลองอ่านหน้าที่สอง

    ดูรับรู้ไว้ก็เพิ่มความรู้ดีนะ เวลาจะพิสูจน์ความจริงนะผมว่า แต่ถ้าเปิดออกมาแล้วเรา

    จะรับได้ไหมเท่านั้น ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลที่ไม่ได้มาจากหนังสือ

    สงสัยต้องพึ่งประตูกาลเวลาซะแล้ว




    หลวงปู่ช่อยังไม่ละสังขาร >>> หลวงพ่อท่านละสังขารไปนานแล้วครับ ทางวัดพึ่งจะจัดงานครบรอบการละสังขารไปไม่นานนี้เองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2011
  13. ไพรดำ

    ไพรดำ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อมูลทางหลวงปู่ฤๅษีลิงขาวถูกต้องทั้งหมด หากท่านใดไม่เชื่อก็ให้ลองเดินทางไปสอบถามคนที่บ้านสาลี อ.บางปลาม้าดู แล้วก็ให้เดินทางไปสอบถามพระผู้ใหญ่หรือพระที่ใกล้ชิดพระผู้ใหญ่ที่อ้างถึงได้ เรื่องจริงหลายๆเรื่องเข้าใจว่าทางฝ่ายฤๅษีลิงขาวมีข้อมูลชัดเจนไม่กล้าเล่าเพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้ง
     
  14. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เข้ามารับฟังข้อมูล

    อืม แสดงว่า หากทางศิษย์หลวงปู้ช่อ คิดจะเปิดเผยข้อมูลขึ้นมาเมื่อไหร่
    ทางฝ่ายศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คงจะต้องอึ้งกันมากแน่ๆ

    เพราะที่บอกว่า ไม่กล้าเล่าเพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้ง
    แสดงว่าความจริงที่เก็บกันไว้ หากกล่าวออกมา คงจะเป็นการเปิดโปงอะไรออกมาครั้งใหญ่
    อาจจะรวมไปถึง ความไม่จริงที่น่าเศร้า ด้วย

    แต่นั่นก็อย่างว่า
    ช่างมัน
    ดีกว่า
    :cool:
     
  15. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    อ๊ะ เพิ่งสังเกตุ
    พลังการให้คะแนนของผมเยอะจังเลย ฮรี่ ฮรี่ (เทียบกับจำนวนการโพสข้อความน่ะนะ)
    ไม่รู้ว่ามีเกณฑ์การให้คะแนนอย่างไร
    แต่ก็ขอบคุณผู้ให้คะแนนนะครับ
    ที่เป็นกำลังใจ ให้ผมก้าวต่อไปสู่พระนิพพาน (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย 555)
     
  16. danmra

    danmra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +80
    <center> พระอภิญญา
    </center>
    ปีนั้นเป็นปีครบรอบที่ หลวงพ่อปาน บอกว่า "ถ้าแกบวชครบ ๒๐ พรรษา จะต้องออกจากวัด" ท่านไล่ไว้ตั้งแต่วันบวชแล้ว ไม่ใช่มาไล่ทีหลังหรอก ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านสั่งสององค์นั่นบอกว่า
    "ไอ้ ๒ ตัวนี่ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่าไป แล้วห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย ไอ้ตัวนี้ ๒๐ พรรษา ต้องออกจากวัด แต่เข้าป่าไม่ได้นะ เป็นหนีเขามาก..."
    [​IMG]
    ไอ้เราก็นึก "เอ๊! เป็นหนี้ใครมาละหว่า...เกิดมาชาตินี้ก็ไม่ได้ยืมสตางค์ใคร มีแต่ขโมยสตางค์แม่ ขโมยสตางค์ยาย เราไม่ได้ยืมนี่ เราขโมยต่างหาก แปลก!..."
    ก็เป็นอันว่า ๒ องค์นั้น ๑๐ พรรษาเขาเข้าป่าตามคำสั่ง เขาบอกศาลาเลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเข้ากลุ่มชนจะไม่มีสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะเขาเป็น"พระอภิญญา" ใช่ไหม อภิญญาก็ครบหกเสียด้วย ไม่ใช่ห้า สำหรับพระอภิญญาไปอยู่ป่านี่ ถ้าจะถามว่ามิต้องไปสร้างกุฏิอยู่เรอะ! ก็ตอบได้ว่าจะต้องสร้างอะไรกับมัน ฝนตกมันก็บอกว่า ไปตกที่อื่นเถอะ! ที่กูห้ามตกนะ มันก็ไม่ตก ตกได้รอบ ๆ ตัว แต่ที่ตัวเขาไม่ตกหรอก อากาศหนาว บอกแกไปหนาวที่อื่นตัวข้าห้ามหนาว มันก็ไม่หนาวใช่ไหม มันเรื่องเล็ก ๆ น่ะ แล้วไอ้หมอ ๒ คนมันก็ขยันซน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
    เมื่อปีที่แล้วไปที่ป่าสุโขทัย คุณอ๋อยไปด้วย ไปกับท่านหญิงวิภาวดีด้วย แหม..มันหนาวจับใจ ความจริงหนาวต้องคิดทีเดียว ไอ้ผ้าที่ติดตัวไปมันก็น้อย แต่คิดว่าหนาวก็หนาว อยากตายให้มันตายไป ขี้เกียจหนาว พอดึกขึ้นมามันก็หนาวขึ้นทุกที ลุกขึ้นมานึกว่า เอ..มันจะหนาวไปถึงไหนหว่า..พักหนาวเสียทีเถอะ! มันก็เบาหนาว พอเบาหนาวเจ้า ๒ ตัว เอ้ย! ๒ องค์ แต่ไม่เป็นไร พวกเดียวกัน พวกโยมล่ะอย่าไปเรียกเข้านา คนละพวก เจ้า ๒ ตัวเขาโผล่มาก็ถามว่า "เฮ้ย! มึงมาทำไมวะ?" เขาตอบว่า "กูมาเที่ยวส่ง" ถามว่า "เอ..มากี่ตัววะ?" เขาบอกว่า "กู ๒ ตัว แล้วอยู่ข้างนอกอีก ๕ ตัว"
    เป็นอันว่า "พระอภิญญา" ของเรานี้ เวลานี้ในป่ามีเยอะ เขาบอกว่า "เวลานี้มา ๗ องค์ด้วยกัน" ไอ้ที่ไปพักน่ะมันเป็นที่ระหว่างวงเขาล้อมแคบ ๆ นะ บริเวณนั้นก็จะมีเนื้อที่สัก ๑,๐๐๐ ไร่ นอกนั้นเป็นเขาล้อมหมด ถามว่า "อีก ๕ องค์อยู่ไหน?" เขาตอบว่า "อยู่บนยอดเขาริม ๆ " ถามว่า "หนาวไหม?" เขาบอก "ฮึ! เรื่องหนาวเรื่องร้อนเรื่องเล็ก เราอยากหนาวมากมันก็หนาวมาก เราอยากหนาวน้อยมันก็หนาวน้อย อยากร้อนมากก็ร้อนมาก" เขาก็เบ่งส่งเดช แต่เบ่งได้เสียด้วยซิ
    เป็นอันว่า เขาก็มานั่งคุย คุยไปคุยมา ถามว่า "อยู่ในป่าเป็นสุขไหม?" เขาว่า "ในป่าดีกว่าในเมือง" ถามต่อไปว่า "แกเข้าเมืองบ้างหรือเปล่า?" ตอบว่า "ตอนนี้ไปบ่อยโว้ย!" ถามว่า "ไปคนเดียวรึ หรือว่า ๒ องค์?" เขาบอกว่า "ไม่ใช่หรอก.." ถามอีกว่า "ในป่ามีเท่าไหร่ล่ะ? ไอ้พวกลิง ๆ แบบนี้น่ะ" ตอบว่า "เยอะ! หลายตัว" คณะเขาที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ประมาณสัก ๓๐ ตัวกว่า พวกลิงนะ ไอ้ที่เขาไม่ลิงต่างหาก คือ พวกลิงหมายความว่าพวกซนเล่นอภิญญามีเยอะนะ แต่พวกนี้เข้ามาในเมืองไม่ได้นะ ถ้าเขามาล่ะ พวกเราตกนรกกันเป็นแถว ถ้าเข้ามาประจันหน้ากับคนนะ ดีไม่ดีเข้ามาแบบนี้ เดี๋ยวทำพระพุทธลอยเล่น หรือนั่งเอาหัวลงเอาก้นขึ้นเสียแล้ว เราเห็นก็จะว่า เอ..พระองค์นี้เล่นกลนี่หว่า บ้า ๆ บอ ๆ เสร็จเลยเรา ๕๐๐ ชาติ ว่าท่านบ้า ๆ บอ ๆ เราก็ไปจวกบ้าเสีย ๕๐๐ ชาติ นี่เขาต้องหลบเพราะเหตุนี้นะ ท่านที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แล้วก็ชอบซนนี่ แต่อภิญญาที่ไม่ซนเขามีอยู่ อภิญญาที่ไม่ซนและสู้หน้าคนเขามีอยู่ ถ้าอภิญญาซนนี่ต้องเข้าป่าหมด...
    ท่านบอกว่า เข้ามาในเมืองบ่อย เพราะเวลานี้เข้ามาบ่อยได้ ที่เข้ามาบ่อยได้เพราะอะไร เพราะจิตใจของบุคคลที่รักพระนิพพานมีมากขึ้น แต่ว่าลักษณะการมาของเขาน่ะ พวกเราไม่รู้หรอก แล้วแต่เขาชอบใจใคร บางทีพระเดินบิณฑบาตเขาก็เดินตามมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามีโอกาสใส่บาตรเขาหน่อย ก็รู้สึกมีคุณค่ามาก เพราะถ้าเขามาเขาต้องทรงอภิญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นพระอรหันต์ด้วย
    เวลาจะเข้าอภิญญาสมาบัติ สมาบัติมันต้องเต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่มันมาเร็วไม่ได้ เพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียวมันช้าไป ช้ากว่า ตามพระบาลีบอกว่า "แค่ลัดนิ้วมือเดียว" ไม่รู้จะเอาอะไรเร็วกว่านั้นใช่ไหม แต่เนื้อแท้แล้วทำจริงเร็วกว่านั้นมาก นี่ก็ชื่อว่าเป็นบุญของบรรดาประชาชนที่พระอภิญญาในป่าเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ทว่าเราจะรู้จักท่านไม่ได้ นอกจากว่าท่านจะแสดงอะไรสักอย่างหนึ่ง
    อย่างคุณหมอนั่น ที่ว่าแกเห็นนั่นน่ะใช่ ที่ว่ามาบิณฑบาตอยู่ดี ๆ พอเปิดจีวรก็บาตรลูกเบ้อเริ่มเลย แกก็สงสัยว่าพระองค์นี้ทำไมบาตรโต ไอ้เวลาเดินมาเห็นเท่าธรรมดานะ แต่เวลาใส่บาตรแล้วบาตรใหญ่ พอใส่บาตรแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอะกัน
    ท่านบอกว่า "โยม! ขอกระติกน้ำร้อนลูกหนึ่ง" แน่ะ! อันเสือกขอเอาด้วย พระนี่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้นี่เขาห้ามขอนะ ถ้าขอเป็นอาบัติ แกก็รับว่าครับ วันนั้นเป็นวันเสาร์ แกเลยบอกว่าวันจันทร์นิมนต์มารับ พอกลับมาจากใส่บาตร แกก็ให้ลูกชายไปซื้อกระติกน้ำร้อน พอลูกชายไปแล้วแกก็นึกในใจว่า ถ้าพระองค์นี้เป็นพระควรแก่การบูชา พระดี ก็ขอให้ลูกชายได้กระติกสีเขียวมา เพราะแกชอบสีเขียว อ้อ..คุณหมออุดม ถ้าหากเป็นพระธรรมดาขอให้ได้สีอื่น พอลูกชายเอากระติกน้ำร้อนมาก็กลายเป็นสีเขียวจริง ๆ แกบอกว่าไม่ได้ตั้งจิตบังคับลูกชายหรอก แต่คิดว่าพระองค์นี้สำคัญ
    พอวันจันทร์ แกก็เตรียมเครื่องใส่บาตรเป็นกรณีพิเศษสำหรับใส่บาตร ปกติแกก็ให้คนอื่นใส่ แกเองไม่ใส่ คอยนั่งจ้อง เอาน้ำร้อนน้ำชาใส่กระติกเสร็จ จัดอาหารเป็นกรณีพิเศษนั่งคอยจนพระบิณฑบาตหมด ก็ไม่เห็นพระองค์นั้นมา แกคอยจ้องดูกลัวจะจำไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะผ่านไปโดยไม่เห็น แกก็คิดว่า ถ้า ๘ โมงเช้าแล้วไม่มาก็เป็นอันไม่มาแน่ ก้มลงมองดูนาฬิกา ๘ โมง พออยากจะลุกก็โผล่ถึงพอดี แกก็เลยถวายของไป ถวายกระติกน้ำไป
    พอต่อมา หมออุดมมาเล่าให้ฟังก็นึกในใจว่า ไอ้เสือนี่มาเล่นเขาเข้าแล้ว ตกกลางคืนพบกับเขาก็ถามว่า "นี่..แกไปหลอกเขาหรือ?" ตอบว่า "ฮึ! ข้าไม่ได้หลอกนี่หว่า.." ค้านว่า "ไม่ได้หลอกทำไมถึงบาตรใหญ่" ตอบว่า "อ้าว! ถ้าบาตรไม่ใหญ่ก็ไม่สงสัยน่ะซิ!" เออ..เขาไม่ได้หลอก เขาทำให้สงสัย ว่าเขาไม่ได้นะ เลยถามว่า "แล้วแกไปขอกระติกน้ำเขาทำไม? ธรรมดาคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณา แกไปขอเขามาเป็นอาบัติ" เขาก็เถียงว่า "แกรู้เรอะว่าข้าไม่ได้เป็นญาติกับหมอน่ะ!" บอกว่า "จะเป็นญาติยังไง หมอกับแกไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อายุอานามก็ไล่เรียงกัน ถ้าเป็นญาติของแกข้าก็ต้องรู้จัก เพราะว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก" เขาบอกว่า "ชาตินี้ไม่ใช่ญาติ ก็ชาติก่อนเป็นญาตินี่หว่า.." ถามว่า "ทำไม?" แกก็ตอบว่า "เห็นหมออุดมเป็นคนดี มีจิตใจเข้าถึงธรรม" ก็ถามว่า "หมออุดมนี่มีกำลังถึงอรหันต์ไหม?" เขาก็เลยบอกว่า "ถ้าหมออุดมไม่ยั้งตัวก็ถึงอรหันต์" นี่เป็นอันว่า เขามากันบ่อย ๆ





     
  17. danmra

    danmra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +80
    <center> พระอภิญญา
    </center>
    ปีนั้นเป็นปีครบรอบที่ หลวงพ่อปาน บอกว่า "ถ้าแกบวชครบ ๒๐ พรรษา จะต้องออกจากวัด" ท่านไล่ไว้ตั้งแต่วันบวชแล้ว ไม่ใช่มาไล่ทีหลังหรอก ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านสั่งสององค์นั่นบอกว่า
    "ไอ้ ๒ ตัวนี่ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่าไป แล้วห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย ไอ้ตัวนี้ ๒๐ พรรษา ต้องออกจากวัด แต่เข้าป่าไม่ได้นะ เป็นหนีเขามาก..."
    อ้เราก็นึก "เอ๊! เป็นหนี้ใครมาละหว่า...เกิดมาชาตินี้ก็ไม่ได้ยืมสตางค์ใคร มีแต่ขโมยสตางค์แม่ ขโมยสตางค์ยาย เราไม่ได้ยืมนี่ เราขโมยต่างหาก แปลก!..."
    ก็เป็นอันว่า ๒ องค์นั้น ๑๐ พรรษาเขาเข้าป่าตามคำสั่ง เขาบอกศาลาเลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเข้ากลุ่มชนจะไม่มีสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะเขาเป็น"พระอภิญญา" ใช่ไหม อภิญญาก็ครบหกเสียด้วย ไม่ใช่ห้า สำหรับพระอภิญญาไปอยู่ป่านี่ ถ้าจะถามว่ามิต้องไปสร้างกุฏิอยู่เรอะ! ก็ตอบได้ว่าจะต้องสร้างอะไรกับมัน ฝนตกมันก็บอกว่า ไปตกที่อื่นเถอะ! ที่กูห้ามตกนะ มันก็ไม่ตก ตกได้รอบ ๆ ตัว แต่ที่ตัวเขาไม่ตกหรอก อากาศหนาว บอกแกไปหนาวที่อื่นตัวข้าห้ามหนาว มันก็ไม่หนาวใช่ไหม มันเรื่องเล็ก ๆ น่ะ แล้วไอ้หมอ ๒ คนมันก็ขยันซน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
    เมื่อปีที่แล้วไปที่ป่าสุโขทัย คุณอ๋อยไปด้วย ไปกับท่านหญิงวิภาวดีด้วย แหม..มันหนาวจับใจ ความจริงหนาวต้องคิดทีเดียว ไอ้ผ้าที่ติดตัวไปมันก็น้อย แต่คิดว่าหนาวก็หนาว อยากตายให้มันตายไป ขี้เกียจหนาว พอดึกขึ้นมามันก็หนาวขึ้นทุกที ลุกขึ้นมานึกว่า เอ..มันจะหนาวไปถึงไหนหว่า..พักหนาวเสียทีเถอะ! มันก็เบาหนาว พอเบาหนาวเจ้า ๒ ตัว เอ้ย! ๒ องค์ แต่ไม่เป็นไร พวกเดียวกัน พวกโยมล่ะอย่าไปเรียกเข้านา คนละพวก เจ้า ๒ ตัวเขาโผล่มาก็ถามว่า "เฮ้ย! มึงมาทำไมวะ?" เขาตอบว่า "กูมาเที่ยวส่ง" ถามว่า "เอ..มากี่ตัววะ?" เขาบอกว่า "กู ๒ ตัว แล้วอยู่ข้างนอกอีก ๕ ตัว"
    เป็นอันว่า "พระอภิญญา" ของเรานี้ เวลานี้ในป่ามีเยอะ เขาบอกว่า "เวลานี้มา ๗ องค์ด้วยกัน" ไอ้ที่ไปพักน่ะมันเป็นที่ระหว่างวงเขาล้อมแคบ ๆ นะ บริเวณนั้นก็จะมีเนื้อที่สัก ๑,๐๐๐ ไร่ นอกนั้นเป็นเขาล้อมหมด ถามว่า "อีก ๕ องค์อยู่ไหน?" เขาตอบว่า "อยู่บนยอดเขาริม ๆ " ถามว่า "หนาวไหม?" เขาบอก "ฮึ! เรื่องหนาวเรื่องร้อนเรื่องเล็ก เราอยากหนาวมากมันก็หนาวมาก เราอยากหนาวน้อยมันก็หนาวน้อย อยากร้อนมากก็ร้อนมาก" เขาก็เบ่งส่งเดช แต่เบ่งได้เสียด้วยซิ
    เป็นอันว่า เขาก็มานั่งคุย คุยไปคุยมา ถามว่า "อยู่ในป่าเป็นสุขไหม?" เขาว่า "ในป่าดีกว่าในเมือง" ถามต่อไปว่า "แกเข้าเมืองบ้างหรือเปล่า?" ตอบว่า "ตอนนี้ไปบ่อยโว้ย!" ถามว่า "ไปคนเดียวรึ หรือว่า ๒ องค์?" เขาบอกว่า "ไม่ใช่หรอก.." ถามอีกว่า "ในป่ามีเท่าไหร่ล่ะ? ไอ้พวกลิง ๆ แบบนี้น่ะ" ตอบว่า "เยอะ! หลายตัว" คณะเขาที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ประมาณสัก ๓๐ ตัวกว่า พวกลิงนะ ไอ้ที่เขาไม่ลิงต่างหาก คือ พวกลิงหมายความว่าพวกซนเล่นอภิญญามีเยอะนะ แต่พวกนี้เข้ามาในเมืองไม่ได้นะ ถ้าเขามาล่ะ พวกเราตกนรกกันเป็นแถว ถ้าเข้ามาประจันหน้ากับคนนะ ดีไม่ดีเข้ามาแบบนี้ เดี๋ยวทำพระพุทธลอยเล่น หรือนั่งเอาหัวลงเอาก้นขึ้นเสียแล้ว เราเห็นก็จะว่า เอ..พระองค์นี้เล่นกลนี่หว่า บ้า ๆ บอ ๆ เสร็จเลยเรา ๕๐๐ ชาติ ว่าท่านบ้า ๆ บอ ๆ เราก็ไปจวกบ้าเสีย ๕๐๐ ชาติ นี่เขาต้องหลบเพราะเหตุนี้นะ ท่านที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แล้วก็ชอบซนนี่ แต่อภิญญาที่ไม่ซนเขามีอยู่ อภิญญาที่ไม่ซนและสู้หน้าคนเขามีอยู่ ถ้าอภิญญาซนนี่ต้องเข้าป่าหมด...
    ท่านบอกว่า เข้ามาในเมืองบ่อย เพราะเวลานี้เข้ามาบ่อยได้ ที่เข้ามาบ่อยได้เพราะอะไร เพราะจิตใจของบุคคลที่รักพระนิพพานมีมากขึ้น แต่ว่าลักษณะการมาของเขาน่ะ พวกเราไม่รู้หรอก แล้วแต่เขาชอบใจใคร บางทีพระเดินบิณฑบาตเขาก็เดินตามมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามีโอกาสใส่บาตรเขาหน่อย ก็รู้สึกมีคุณค่ามาก เพราะถ้าเขามาเขาต้องทรงอภิญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นพระอรหันต์ด้วย
    เวลาจะเข้าอภิญญาสมาบัติ สมาบัติมันต้องเต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่มันมาเร็วไม่ได้ เพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียวมันช้าไป ช้ากว่า ตามพระบาลีบอกว่า "แค่ลัดนิ้วมือเดียว" ไม่รู้จะเอาอะไรเร็วกว่านั้นใช่ไหม แต่เนื้อแท้แล้วทำจริงเร็วกว่านั้นมาก นี่ก็ชื่อว่าเป็นบุญของบรรดาประชาชนที่พระอภิญญาในป่าเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ทว่าเราจะรู้จักท่านไม่ได้ นอกจากว่าท่านจะแสดงอะไรสักอย่างหนึ่ง
    อย่าง คุณหมอนั่น ที่ว่าแกเห็นนั่นน่ะใช่ ที่ว่ามาบิณฑบาตอยู่ดี ๆ พอเปิดจีวรก็บาตรลูกเบ้อเริ่มเลย แกก็สงสัยว่าพระองค์นี้ทำไมบาตรโต ไอ้เวลาเดินมาเห็นเท่าธรรมดานะ แต่เวลาใส่บาตรแล้วบาตรใหญ่ พอใส่บาตรแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอะกัน
    ท่านบอก ว่า "โยม! ขอกระติกน้ำร้อนลูกหนึ่ง" แน่ะ! อันเสือกขอเอาด้วย พระนี่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้นี่เขาห้ามขอนะ ถ้าขอเป็นอาบัติ แกก็รับว่าครับ วันนั้นเป็นวันเสาร์ แกเลยบอกว่าวันจันทร์นิมนต์มารับ พอกลับมาจากใส่บาตร แกก็ให้ลูกชายไปซื้อกระติกน้ำร้อน พอลูกชายไปแล้วแกก็นึกในใจว่า ถ้าพระองค์นี้เป็นพระควรแก่การบูชา พระดี ก็ขอให้ลูกชายได้กระติกสีเขียวมา เพราะแกชอบสีเขียว อ้อ..คุณหมออุดม ถ้าหากเป็นพระธรรมดาขอให้ได้สีอื่น พอลูกชายเอากระติกน้ำร้อนมาก็กลายเป็นสีเขียวจริง ๆ แกบอกว่าไม่ได้ตั้งจิตบังคับลูกชายหรอก แต่คิดว่าพระองค์นี้สำคัญ
    พอ วันจันทร์ แกก็เตรียมเครื่องใส่บาตรเป็นกรณีพิเศษสำหรับใส่บาตร ปกติแกก็ให้คนอื่นใส่ แกเองไม่ใส่ คอยนั่งจ้อง เอาน้ำร้อนน้ำชาใส่กระติกเสร็จ จัดอาหารเป็นกรณีพิเศษนั่งคอยจนพระบิณฑบาตหมด ก็ไม่เห็นพระองค์นั้นมา แกคอยจ้องดูกลัวจะจำไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะผ่านไปโดยไม่เห็น แกก็คิดว่า ถ้า ๘ โมงเช้าแล้วไม่มาก็เป็นอันไม่มาแน่ ก้มลงมองดูนาฬิกา ๘ โมง พออยากจะลุกก็โผล่ถึงพอดี แกก็เลยถวายของไป ถวายกระติกน้ำไป
    พอ ต่อมา หมออุดมมาเล่าให้ฟังก็นึกในใจว่า ไอ้เสือนี่มาเล่นเขาเข้าแล้ว ตกกลางคืนพบกับเขาก็ถามว่า "นี่..แกไปหลอกเขาหรือ?" ตอบว่า "ฮึ! ข้าไม่ได้หลอกนี่หว่า.." ค้านว่า "ไม่ได้หลอกทำไมถึงบาตรใหญ่" ตอบว่า "อ้าว! ถ้าบาตรไม่ใหญ่ก็ไม่สงสัยน่ะซิ!" เออ..เขาไม่ได้หลอก เขาทำให้สงสัย ว่าเขาไม่ได้นะ เลยถามว่า "แล้วแกไปขอกระติกน้ำเขาทำไม? ธรรมดาคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณา แกไปขอเขามาเป็นอาบัติ" เขาก็เถียงว่า "แกรู้เรอะว่าข้าไม่ได้เป็นญาติกับหมอน่ะ!" บอกว่า "จะเป็นญาติยังไง หมอกับแกไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อายุอานามก็ไล่เรียงกัน ถ้าเป็นญาติของแกข้าก็ต้องรู้จัก เพราะว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก" เขาบอกว่า "ชาตินี้ไม่ใช่ญาติ ก็ชาติก่อนเป็นญาตินี่หว่า.." ถามว่า "ทำไม?" แกก็ตอบว่า "เห็นหมออุดมเป็นคนดี มีจิตใจเข้าถึงธรรม" ก็ถามว่า "หมออุดมนี่มีกำลังถึงอรหันต์ไหม?" เขาก็เลยบอกว่า "ถ้าหมออุดมไม่ยั้งตัวก็ถึงอรหันต์" นี่เป็นอันว่า เขามากันบ่อย ๆ
     
  18. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ขอยืนยันความจริง ว่า หลวงปู่ปาน ท่านทรงอภิญญา ท่านตรัสไว้อย่างไร ย่อมเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อช่อ ท่านเป็น ท่านปู่ฤาษีลิงขาวอีกองค์ และเป็นศิษย์หลวงปู่ปานเหมือนกัน ซึ่งเป็นญาติกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แต่ไม่ใช่องค์ที่เป็นพระสหาย ที่เป็นหลวงปู่ฤาษีลิงขาว เพราะหลวงพ่อฤาษีลิงขาว องค์ดังกล่าว ท่านรักษ์สันโดษมากและเป็นพระทรงอภิญญาและบรรลุธรรมในป่า และคอยช่วยเหลือพระที่เดินธุดงค์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ในป่าให้หลุดพ้นปลอดภัยพร้อมสอนธรรมประกอบ ส่วนหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็ต้องให้หนี้เยอะตามที่หลวงปู่ปานตรัสบอกไว้นั่นแหละครับ

    อนึ่งหลวงพ่อช่อ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง หลวงพ่อปาน ท่านมีความเมตตา กับศิษย์ทุกรูปไม่เคยหวงวิชาและรักเสมอเท่าเทียมกัน และท่านยังรู้ว่าต่อไปใครจะเจริญในพุทธศาสนาอย่างไร เพราะแต่ละรูปก็สั่งสมบุญมาต่างกัน อนุสัยสันดานเดิมต่างกัน จริตต่างกันครับ ขอให้จบความสงสัยลงเท่านี้นะครับ สาธุ กรรมอันใดที่ลูกได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย ลูกขออนุญาตุกล่าวอ้างประวัติพระอริยะเจ้า โดยมิได้ขออนุญาตุ ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ เพื่อการระวังและสำรวมต่อไในภายภาคหน้า สาธุ
     
  19. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ผมอยากทราบประวัติหลวงพ่อลิงเล็กน่ะครับ ว่าท่านอยู่ที่ไหน ผู้รู้ช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ
     
  20. Freddy_Kruger

    Freddy_Kruger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +759

    จริง ๆ เรื่องมันน่าจะจบตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังมีความพยายามจะปั่นเรื่องให้อยู่ เพราะอะไรก็ว่ากันไป

    เรื่องนี้ หลวงพ่อเคยบอกไว้นานแล้วว่า "เป็นลิงคนละฝูงกัน" ก็ไม่รู้จะพยายามโยงเข้ามาหากันอีกทำไม

    ชื่อจริงของหลวงพ่ออีกสององค์ ที่เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็รับรู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่าชื่อ "สวัสดิ์ กับ น้อม" เป็นทหารเรือเก่าทั้งคู่

    ก็ไม่รู้อีกว่า จะไปเกี่ยวอะไรกันหนักหนา


    ไม่ต้องอื่นไกล สมัยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านยังไม่ละสังขาร ก็ยังมีบรรดาสำนักทรงเจ้าต่าง ๆ บอกว่า จะมีหลวงพ่อฯ ไปลงทรงเลย

    เรื่องแบบนี้หลวงพ่อฯ ท่านตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ไม่รู้จะสร้างกระแสกันอีกทำไมมากมาย ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...