ภาพไทม์แลปส์ 10 ปีของดวงอาทิตย์กับ 10 การค้นพบที่น่าสนใจ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ เตือนภัย, 2 กรกฎาคม 2020.

  1. โพธิสัตว์ เตือนภัย

    โพธิสัตว์ เตือนภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    441
    ค่าพลัง:
    +655
    a1e0b98ce0b981e0b8a5e0b89be0b8aae0b98c-10-e0b89be0b8b5e0b882e0b8ade0b887e0b894e0b8a7e0b887e0b8ad.jpg

    โปรดเปิดการใช้งาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่ดูเนื้อหานี้


    ภาพไทม์แลปส์ 10 ปีของดวงอาทิตย์กับ 10 การค้นพบที่น่าสนใจ

    เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว


    องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) เผยแพร่ภาพดวงอาทิตย์ที่ใช้เทคนิคเร่งเวลา หรือ ไทม์แลปส์ ซึ่งบันทึกได้จากยานสังเกตการณ์สุริยพลวัต (Solar Dynamics Observatory – SDO) ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา


    ช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ยาน SDO บันทึกภาพของดวงอาทิตย์ไว้ได้ถึง 425 ล้านภาพ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้นำข้อมูลที่ได้มาใช้ศึกษาว่าดวงอาทิตย์ส่งผลต่อระบบสุริยะอย่างไร


    ข้อมูลจากเว็บไซต์สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่า องค์การนาซาส่งยาน SDO ขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2010 เพื่อบันทึกภาพและสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศ สนามแม่เหล็ก รวมทั้งพลังงานที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ และค้นพบเรื่องราวที่น่าสนใจ 10 เรื่องดังนี้


    1. การลุกจ้าอันแสนประหลาด (Fantastic Flares)


    ในปีแรกของการปฏิบัติภารกิจ ยาน SDO พบการลุกจ้าที่น่าประหลาดบนดวงอาทิตย์เกือบ 200 ครั้ง และ 15% ของจำนวนการลุกจ้าที่พบทั้งหมด มีการลุกจ้าชุดที่สองอยู่ในเปลวไฟเดิมตามมาหลังจากเริ่มเกิดการลุกจ้าตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจเกี่ยวกับปริมาณของพลังงานที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยออกมาจากการปะทุแต่ละครั้ง


    2. พายุทอร์นาโดบนดวงอาทิตย์ (Solar Tornadoes)


    เมื่อเดือน ก.พ. ปี 2012 ยาน SDO บันทึกภาพเปลวพลาสมาที่มีลักษณะคล้ายกับพายุทอร์นาโดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เกิดจากสนามแม่เหล็กที่ส่งผลให้พลาสมาหมุนวนเหนือพื้นผิวดวงอาทิตย์ด้วยอัตราเร็วสูงถึง 300,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นับเป็นทอร์นาโดที่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับพายุทอร์นาโดบนโลกที่หมุนด้วยอัตราเร็วเพียง 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


    3. คลื่นยักษ์ (Giant Waves)


    ในปี 2010 ยาน SDO เป็นยานลำแรกที่ค้นพบคลื่นยักษ์ที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็ว 480,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นนี้ถูกตั้งชื่อว่า EIT ตามชื่อของอุปกรณ์ที่ตรวจวัดบนยาน ชื่อว่า Extreme ultraviolet Imaging Telescope (EIT) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่าคลื่นยักษ์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยมวลโคโรนาของดวงอาทิตย์


    4. ดาวหางที่ลุกไหม้ (Combustible Comets)


    หลายปีที่ผ่านมา ยาน SDO เฝ้าสังเกตดาวหาง 2 ดวงที่ชื่อว่า Lovejoy และ ISON ในเดือน ธ.ค. 2011 ดาวหาง Lovejoy โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และสามารถทนต่อความร้อนแรงได้ ต่อมาในปี 2013 ดาวหาง ISON โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แต่ไม่สามารถทนความร้อนได้ จากการสำรวจนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจปฏิกิริยาที่ดวงอาทิตย์กระทำกับดาวหางมากยิ่งขึ้น


    5. การไหลเวียนบนดวงอาทิตย์ (Global Circulation)


    ดวงอาทิตย์ไม่ได้มีพื้นผิวที่แข็ง แต่เป็นพลาสมาความร้อนสูงที่ไหลเวียนตามการหมุนรอบตัวเอง บริเวณศูนย์สูตรมีลักษณะการไหลเวียนขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Meridional circulation การสังเกตการณ์ของ SDO เผยให้เห็นว่า การไหลเวียนนี้มีความซับซ้อนมาก และยังเชื่อมโยงกับจุดบนดวงอาทิตย์ (sunspot) ด้วย ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่า เหตุใดบางช่วงเวลาจุดบนดวงอาทิตย์ซีกหนึ่งจึงมีจำนวนมากกว่าอีกซีกหนึ่ง


    6. ทำนายอนาคต (Predicting the Future)


    การปลดปล่อยมวลจากบรรยากาศชั้นโคโรนา (Coronal Mass Ejection – CME) ของดวงอาทิตย์ เป็นอันตรายต่อยานอวกาศและนักบินอวกาศ ด้วยข้อมูลที่ได้จากยาน SDO นักวิทยาศาสตร์ของนาซาจึงสามารถสร้างแบบจำลองเส้นทางของ CME เพื่อทำนายผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโลก และทำนายว่าดวงอาทิตย์จะปล่อยมวลออกมาอีกเมื่อใดได้


    7. โคโรนาที่หรี่ลง (Coronal Dimmings)


    นักวิทยาศาสตร์ศึกษาชั้นบรรยากาศที่ร้อนที่สุดของดวงอาทิตย์ หรือ “โคโรนา” พบว่าบางช่วงเวลา ชั้นดังกล่าวมีความสว่างน้อยลง และมีความเชื่อมโยงกับ CME นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลที่ได้จากยาน SDO มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อคำนวณหามวลและความเร็วของ CME ที่พุ่งมาสู่โลก และหวังว่าจะสามารถใช้ในการอธิบายสภาพอวกาศในของระบบดาวฤกษ์ดวงอื่นได้


    8. การเกิดและจบลงของวัฏจักรสุริยะ (Death and Birth of a Solar Cycle)


    จากการสังเกตการณ์มาหนึ่งทศวรรษ ทำให้ SDO เห็นวัฏจักร 11 ปีของดวงอาทิตย์เกือบสมบูรณ์ การสังเกตการณ์นี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการจบลงของวัฏจักรสุริยะ และการเริ่มวัฏจักรใหม่ในครั้งถัดไป


    9. หลุมโคโรนา (Polar Coronal Holes)


    บางช่วงเวลาพื้นผิวของดวงอาทิตย์จะดูเหมือนถูกแปะด้วยแผ่นสีดำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “หลุมโคโรนา” หลุมเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับวัฏจักร 11 ปีของดวงอาทิตย์ ในช่วง solar maximum หลุมโคโรนาจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย สำหรับหลุมที่ก่อตัวขึ้นบริเวณขั้วของดวงอาทิตย์จะเรียกว่า polar coronal hole นักวิทยาศาสตร์ใช้หลุมเหล่านี้ในการตรวจสอบว่าสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะกลับด้านเมื่อใด ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้สำคัญในการระบุจุดที่เป็น solar maximum


    10. การปะทุแบบใหม่จากสนามแม่เหล็ก (New Magnetic Explosions)


    การสังเกตการณ์ของยาน SDO ในช่วงท้ายของทศวรรษ คือ เดือน ธ.ค. 2019 ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์พบการปะทุของสนามแม่เหล็ก ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่เคยพบมาก่อน การค้นพบครั้งนี้ช่วยยืนยันทฤษฎีเก่าเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงกลไกที่ทำให้ชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์มีความร้อนสูง และทำนายสภาพอวกาศได้ดีขึ้น นำไปสู่ความก้าวหน้าในการทดลองเรื่องปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันและพลาสมาในห้องปฏิบัติการ


    ขอบคุณที่มา
    https://www.bbc.com/thai/features-53250574
     

แชร์หน้านี้

Loading...