เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    483 = ปี 2500
    พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี

    พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี

    จากตัวเลข 543 เป็น 483 - 60 ปี มีอะไรที่จงใจ ปกปิด หรือมีความลับอะไรหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้

    การสังคายนาครั้งที่ ๓
    เมื่อปี 235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น 236


    คาถาสุภาษิตของพระปุสสเถระ

    ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส
    มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต
    ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
    กระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า


    ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อโอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึงคิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพ
    กันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลกก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง



    ฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะ

    ให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า

    ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้
    ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย
    มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล
    ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน
    ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่
    ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ
    ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย

    ปฏิทินปักขคณนา
    ว่าไปแล้วไม่ใช่ของใหม่แต่เป็นปฏิทินโหราศาสตร์โบราณ(โชยติษ)ใช้กันมาตั้งแต่ยุคพระเวทของพรามณ์อินเดีย ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงรื้อฟื้นขึ้นมาให้ถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ ซึ่งได้ทรงอาศัยการศึกษาจากพระเถระชาวรามัญ(มอญ) ซึ่งเชี่ยวชาญในคัมภีร์โหราศาสตร์เรียกว่า “คัมภีร์สารัมภ์” (แปลงมาจากคัมภีร์สุริยสิทธานะตะของอินเดียอีกที)เป็นคัมภีร์ว่าด้วยคำนวณการโคจรของดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้า คำนวณจันทร์เพ็ญจันทร์ดับ คำนวณการเกิดสุริยคราส จันทรคราส ได้ถูกต้องแม่นยำแม้กระทั่งในปัจจุบัน และใช้ในการกำหนดวันลงอุโบสถทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนามาตั้งแต่ยุคพุทธกาล ซึ่งดิถีจากการคำณวนในระบบนี้เรียกว่า"ดิถีเพียร"มีความถูกต้องแม่นยำตามหลักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์สำหรับการคำนวนให้ฤกษ์ยามชั้นสูงและการคำนวนดวงชาตาบุคคลในระบบโหราศาสตร์พระเวทของอินเดีย

    พระพุทธานุญาตให้เรียนปักขคณนา

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโจทนาวัตถุตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จกลับมายังพระนครราชคฤห์อีก. ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้เพียงนับปักษ์ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ ไฉนจะรู้คุณความดีอะไรอย่างอื่นเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้เรียนปักขคณนา.

    วิธีการคำนวณ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ตามพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "วิธีปักขคณนา" จากหนังสือ "ความรู้เรื่องปักขคณนา", มหามกุฏราชวิทยาลัย, หน้า 42 (ตัวสะกดรักษาตามต้นฉบับเดิม) ได้กล่าวถึงที่มาและวิธีการคำนวณไว้ว่า
    จะว่าด้วยกาลนับปักข์ตามมัชฌิมะคติให้ปริสัช ที่ไม่รู้ภาษามคธได้ เข้าใจ ก็คำที่เรียกว่าปักข์นั้น คือแปลว่าปีกแห่งเดือน คือนับแต่พระจันทร์เพ็ญจนดับ ดับจนเพ็ญเรียกว่าปักข์หนึ่งๆ ก็ในปักข์หนึ่งนั้นบางทีมีวัน 14 15 ก็ในปักข์ 15 นั้น เรียกว่า ปักข์ถ้วน ในปักข์ 14 นั้น เรียกว่า ปักข์ขาด ก็ปักข์ถ้วนสาม ปักข์ขาดหนึ่งเรียกว่า จุละวัคค์ ปักข์ถ้วนสี่ ปักข์ขาดหนึ่ง เรียกว่า มหาวัคค์ จุละวัคค์สองที มหาวัคค์ทีหนึ่ง เรียกว่า จุลละสะมุหะ จุละวัคค์สามที มหาวัคค์ทีหนึ่ง เรียกว่ามหาสะมุหะ ในชั้นนี้ใช้มหาสะมุหะเป็นพื้น มหาสมุหะหกครั้ง จุลสะมุหะทีหนึ่ง เรียกมหาพยุหะ มหาสะมุหะห้าครั้ง จุละสะมุหะทีหนึ่ง เรียกว่า จุละพยุหะ ในชั้นนี้ใช้จุละพยุหะเป็นพื้น ฯ จุละพยุหะเก้าที มหาพยุหะทีหนึ่ง เรียก จุลสัมพยุหะ จุลพยุหะสิบที มหาพยุหะทีหนึ่ง เรียกว่า มหาสัมพยุหะ ในชั้นนี้ใช้มหาสัมพยุหะเป็นพื้น มหาสัมพยุหะมาได้สิบเจ็ดที จุละสัมพยุหะมาทีหนึ่ง เมื่อเป็นไปได้เท่านี้ คะติพระ 1, 2 ว่าจะได้เป็นเหมือน โดยมัชฌิมะคะติครั้งหนึ่ง ฯ

    วัตถุประสงค์ของปักขคณนาก็เพื่อหาวันจันทร์เพ็ญ หรือ วันจันทร์ดับ และ วันจันทร์ครึ่งดวง ให้ใกล้เคียงกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ซึ่งแต่ละปักข์จะมี 14-15 วัน ต้องตรวจดูเป็นปักษ์ๆ ไป สำหรับปักข์ที่มี 15 วัน ใช้คำ ปักษ์ถ้วน หรือ ปักษ์เต็ม และ สำหรับปักข์ที่มี 14 วัน ใช้คำว่า ปักษ์ขาด

    พระมหาเถระท่านย่อมไม่ใช้ผู้ไม่รู้ศักราชไม่รู้จัก จ.ศ ร.ศ พ.ศ.ไม่รู้การการ บวกลบ คูณหาร ดอกกระมัง! มีปเทสะญาน ขนาดนี้

    ที่สำคัญถ้ามีความแม่นยำหรือเทียบเคียงได้จาก สถิติ เหตุการณ์ต่างๆ ฯลฯ มาสมการตามเลขคณิตศาสตร์ ก็อาจจะมีความลับแห่งกาลเวลาซ่อนอยู่ ในตัวเลขเหล่านี้


    แผ่นจารึกใต้พระประธานในพระอุโบสถ

    เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็น
    ผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
    สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไป
    แล้ว
    ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
    นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก
    เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
    คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้
    เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว


    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธาน
    ในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
    สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๙

    ถ้าเป็น 2738 - 2798


    235-236 คือ ปี พ.ศ. นับเอาหลัง ตติยสังคายนา

    การทำสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 234 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย โดยมี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น


    ตัด พ.ศ. ถ้าไทยนับเกิน 60 ปี +
    235/236 +2563 + 2798
    235/
    236 + 2503 + 2738

    เครื่องหมาย +คือ อนาคต
    เครื่องหมาย - คือ อดีต

    ตัด พ.ศ. ถ้าไทยนับเกิน 60 ปี -

    235/236 -2563- 2327 อัญเชิญขึ้นปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์
    235/236 -2503- 2267

    หากจะพิจารณา คำนวนจากตัวเลขหลายประการ

    ก็ล้วนแต่มุ่งความหมาย ไปที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่1ผู้ทรงเสด็จมากอบกู้พระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย ต่อจาก พระเจ้าติโลกราช ว่าด้วยเรื่องสังคายนา

    การสังคายนาครั้งที่ 1
    ความจริงสมัยนั้น เมืองเชียงใหม่เป็นอิสระ และถือได้ว่าภูมิภาคแถบนั้นเป็นประเทศล้านนาไทย แต่เมื่อรวมกันเป็นประเทศไทยในภายหลัง ก็ควรจะได้กล่าวถึงการชำระพระไตรปิฏก และการจารลงในใบลาน

    [​IMG] พระเจ้าติโลกราชผู้นี้ มีเรื่องกล่าวถึงไว้ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์สั้น ๆ ว่าสร้างพระพุทธรูปในจุลศักราช 845 ในหนังสือสังคีติยวงศ์เล่าเรื่องสร้างพระพุทธรูปชนาดใหญ่ ตรงกับหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แต่มีเล่าเรื่องสังคายนาพระไตรปิฏกด้วย (พ.ศ. 2020) พระเจ้าติโลกราชได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป มีพระธรรมทินเถระเป็นประธาน ให้ชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม 1 ปีจึงสำเร็จ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้ว ก็ได้ให้สร้างมณเฑียรในวัดโพธาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก
    ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ในการจารึกพระไตรปิฏกในครั้งนั้น คงเป็นอักษรแบบไทยล้านนา คล้ายอักษรพม่า มีผิดเพี้ยนกันบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตัว

    สังคายนาครั้งที่ 2

    [​IMG]พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์ผู้ทรงความรู้ให้ชำระพระไตรปิฎก ครั้งนี้มีพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 218 รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อีก 32 คน ร่วมกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลาน ใช้เวลาในการชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ 5 เดือน
    ในปี พ.ศ. 2331 รัชกาลที่ 1 ทรงสละพระราชทรัพย์ให้ช่างจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ให้ชำระแล้วแปลจากต้นฉบับที่เป็นอักษรลาวและรามัญ (มอญ) ลงสู่อักษรขอม (เขมร) แล้วสร้างพระไตรปิฎกถวายไว้ทุกอารามหลวง ต่อมาก็มีผู้กราบทูลว่า พระไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกาที่ใช้กันอยู่นี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก จึงควรจะมีการชำระให้ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ พร้อมกับพระเปรียญจำนวน 100 รูป มาถวายภัตตาหาร หลังจากนั้น พระองค์ก็ตรัสถามถึงความผิดพลาดของพระไตรปิฎกว่ามีมากน้อยเพียงใด เมื่อได้ทรงทราบว่ามีมากจึงตรัสให้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้เพื่อชำระพระไตรปิฎกอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่ได้รับคัดเลือกครั้งนั้นมีพระสงฆ์จำนวน 218 รูป ราชบัณฑิตอุบาสก 32 ท่าน สถานที่จัดชำระจัดที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ (ปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)

    [​IMG]การแบ่งงานการชำระพระไตรปิฏกครั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎก พระพุทฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททาวิเสส (ตำราไวยากรณ์และคำอธิบายศัพท์ต่าง ๆ) ครั้นชำระเสร็จทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้ช่างจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน แล้วปิดทองทับทั้งในปกหน้าหลังและกรอบทั้งหมด เรียกว่า “ฉบับทอง” ห่อด้วยผ้ายก เชือกที่รัดก็ถักด้วยไหมแพรเบญจพรรณ ทุกคัมภีร์จะมีชื่อกำกับไว้ ซึ่งมีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึกและฉลากทองเป็นตัวอักษร



    "อันทรงพระประสูติกาลในแผ่นดิน
    พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ"
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงประสูติ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352


    พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระราชสมภพ พ.ศ. 2223 สวรรคต พ.ศ. 2301 ทรงครองราชย์ พ.ศ. 2275-2301


    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2327 - 2352)
    พ.ศ. 2325 เกิดจลาจลขึ้นในบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงปราบปรามจนราบคาบ ข้าราชการทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ ต่อมาโปรดให้สร้างราชธานีใหม่ขึ้น ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานคร ทรงย้ายมาประทับในพระนครใหม่ใน พ.ศ. 2327 พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ในรัชกาลได้แก่การสงครามเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติหลายครั้ง ครั้งสำคัญที่สุด คือ สงครามเก้าทัพ ในปี พ.ศ. 2327 การปกครองประเทศทรงจัดแบ่งตามแบบกรุงศรีอยุธยา และโปรดให้ ชำระกฎหมายบทต่างๆ ให้ถูกต้องและจารลงสมุดไว้เป็นหลักฐาน 3 ฉบับ
    ทางด้านศาสนา โปรดให้สังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ. 2331 และจารฉบับทองประดิษฐานไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม นอกจากนี้ยังทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามและพระพุทธรูปต่างๆ เป็นอันมาก
    ทางด้านวรรณคดีและศิลปกรรม ทรงฟื้นฟูวรรณคดีไทยซึ่งเสื่อมโทรมตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตกให้ กลับคืนดีอีกวาระหนื่ง ทรงส่งเสริมและอุปถัมภ์กวีในราชสำนัก บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ เช่น บทละคร เรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น งานทางด้านศิลปกรรมนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้าง พระอารามเป็นจำนวนมาก เป็นการเปิดโอกาสให้ช่างฝีมือด้านต่างๆ มีงานทำและได้ผลิตงานฝีมือชิ้นเอกไว้
    ปัจจุบันมีวันที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือ วันที่ระลึกมหาจักรี ได้แก่วันที่ 6 เมษายนของทุกปี จะมีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า


    พระพุทธศาสนายุคมุสลิมยึดครอง พ.ศ. 1700-2200 -- พระพุทธศาสนายุคอังกฤษปกครอง พ.ศ. 2200-2490

    2267 ช่วงพระพุทธศาสนาหายสาปสูญไปจากอินเดีย ก็เป็นไปได้

    พุทธศาสนายุคอังกฤษปกครอง พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๔๙๐
    (Buddhism in British's time B.E.2200-2490)

    เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๗๖ สมัยพระเจ้าออรังเซบ พ่อค้าชาวยุโรปเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับอินเดีย คือชาวยุโรปมีชาติโปรตุเกส ฮอลันดาฝรั่งเศสและอังกฤษ การมาของชาวยุโรปนั้นจุดประสงค์แรกก็เพื่อการค้าขายเป็นสำคัญ ยังไม่มีความคิดที่จะยึดเป็นเมืองขึ้นแต่อย่างใด และเพื่อรักษาการค้าของตนเองไม่ให้ถูกโจมตีทั้งจากชาวยุโรปด้วยกันและคนท้องถิ่น หลายบริษัทได้ตั้งกองทหารขึ้นโดยใช้ทหารพื้นเมืองอินเดียเอง และต่อมาอังกฤษก็เข้ายึดครองอินเดียทีละรัฐ จนเข้าครอบครองอินเดียได้เกือบทั่วประเทศ ในระยะนี้อังกฤษได้นำเอาศาสนาของตนคือคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย อังกฤษก็นำชาวอินเดียให้หันมานับถือคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย อังกฤษก็นำชาวอินเดียให้หันมานับถือศาสนาของตนได้บ้าง
    สมัยนี้ศาสนามุสลิมอ่อนกำลังลงไปบ้าง ศาสนาฮินดูกลับเจริญขึ้น ศาสนาเชนก็มีอยู่บ้างประปรายซึ่งโดยมากมีผู้นับถืออยู่แคว้นบอมเบย์ ในหมู่พวกพ่อค้าชาวคุชราตที่แคว้นเบงกอล และแคว้นพิหารบ้างบางส่วน ศาสนาเชนนั้นแม้จะมีคนนับถือกันน้อย แต่เชนศาสนิกโดยมากก็เป็นคนร่ำรวย วัดของศาสนาเชนสะอาดและสวยงามทุกแห่ง ไม่เหมือนกับวัดฮินดูซึ่งโดยมากสกปรก ส่วนพุทธศาสนานั้นได้ถูกทอดทิ้งลบเลือนไปจากความทรงจำของชาวอินเดียอย่างสนิท


    โรเบิร์ต ไคลว์ (Robert Cile) กัปตันชาวอังกฤษได้เข้ามาอินเดียและแย่งอิทธิพลกับฝรั่งเศส เมื่อมีเหตุการณ์ขัดแย้งกันเอง ระหว่างผู้ปกครองในอินเดียทั้งอังกฤษและผรั่งเศสจะไปถือหางคนละฝ่าย เช่น กรณีขุนนางจันทา สาหิบ และโมหัมหมัด อาลี ต้องการขึ้นครองราชบัลลังก์ที่อาโกท และทั้งสองต่างเตรียมต่อสู้ ฝรั่งเศสเข้าฝ่ายโมหัมหมัด อาลีสุดท้ายฝ่ายอังกฤษชนะ จันทา สาหิบจึงถูกจับและสังหาร โมหัมหมัด อาลีจึงเป็นเจ้าผู้ครองนครแทน แต่เขาก็เป็นแต่ในนามเท่านั้น เพราะอำนาจสั่งการอยู่ที่อังกฤษ ทำให้ฝรั่งเศสเสียอิทธิพลอย่างมาก จนต้องต้องล้มแผนการยึดอินเดียเป็นอาณานิคมในที่สุด ในที่สุดอังกฤษก็เริ่มยึดดินแดนของอินเดียทีละน้อยจนที่สุดก็ยึดได้ทั้งประเทศราว พ.ศ.๒๓๐๐

    เป็นช่วงพระพุทธศาสนาหายไปจากอินเดีย
    ในปี พ.ศ. 2296 พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์ กษัตริย์ลังกา ได้ส่งราชทูตมาขอพระมหาเถระ และคณะสงฆ์ไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเสื่อมโทรมลงไป
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงโปรดให้ส่งคณะสมณทูตประกอบด้วยพระราชาคณะสองรูปคือพระอุบาลีเถระและพระอริยมุนี พร้อมคณะสงฆ์อีก 12 รูป ไปลังกา เพื่อประกอบพิธีบรรพชา อุปสมบท ให้กับชาวลังกา คณะสงฆ์คณะนี้ได้ไปตั้งสยามนิกายขึ้นในลังกา


    ประวัติสืบเนื่อง!
    พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือ พระไชยองค์เว้ เป็นพระราชโอรสของเจ้าชมพู ที่ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองเว้ พระองค์ได้ครองราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2245 ทรงตั้งให้เจ้าองค์ลองหรือเจ้านอง พระอนุชาต่างบิดาเป็นอุปราชและไปครองเมืองหลวงพระบาง และอัญเชิญพระบางมาประดิษฐานที่เวียงจันทน์

    ต่อมาใน พ.ศ. 2249 เจ้ากิ่งกิศราชซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าราชบุตรและเป็นหลานปู่ของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ที่ลี้ภัยไปอยู่สิบสองปันนากับเครือญาติฝ่ายพระมารดา ได้ยกทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง เจ้าลองสู้ไม่ได้ แตกพ่ายลงมาเวียงจันทน์ เจ้ากิ่งกิศราชยกทัพตามลงมาที่เวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยามาช่วย

    สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ได้ยกทัพขึ้นมาและไกลเกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน โดยให้แบ่งเขตแดนระหว่างหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ ให้เจ้ากิ่งกิศราชครองหลวงพระบาง ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองเวียงจันทน์ ทั้งสองกษัตริย์ตกลงแบ่งเขตแดนกันโดยใช้แม่น้ำเหืองเป็นแดนทางฝั่งขวา ทางฝั่งซ้ายใช้เทือกเขาภูชนะคามเป็นเขตแดน แคว้นสิบสองจุไทกับหัวพันห้าทั้งหกขึ้นกับหลวงพระบาง แคว้นเชียงขวางและแคว้นที่อยู่ใต้ลงมาให้ขึ้นกับเวียงจันทน์ การแบ่งเขตแดนนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2250

    หลังจากสิ้นสุดสงครามกับพระเจ้ากิ่งกิศราช พระองค์ได้เร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมือง ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปปกครองเมืองที่สำคัญ ทำให้กลุ่มของพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ต้องอพยพลงใต้ไปหาที่มั่นใหม่ ในที่สุดได้ไปตั้งมั่นที่เมืองจำปาศักดิ์ และแยกตัวเป็นอิสระจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2256 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2273 จึงสิ้นพระชนม์ จากนั้น เจ้าลองพระอนุชาได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน

    อาณาจักรล้านช้าง (ลาว: ອານາຈັກລ້ານຊ້າງ) เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาเขตอยู่ในบริเวณประเทศลาวทั้งหมด ตลอดจนพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองการปกครอง ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนพระพุทธศาสนา ที่มีพัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมกันอาณาจักรอื่น ๆ ใกล้เคียง ทั้งล้านนา สยาม พม่า และเขมร

    อาณาจักรแห่งนี้ได้สถาปนาขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นมั่งคงอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 1896 สมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม มีความรุ่งเรืองสลับกับความร่วงโรยต่อมาหลายสมัย ซึ่งยุคที่นับได้ว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านช้างคือรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2091- พ.ศ. 2114 และรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (พ.ศ. 2181- พ.ศ. 2238) หลังจากนั้นอาณาจักรลาวก็เสื่อมอำนาจลงและแตกแยกเป็น 3 ราชอาณาจักร และในปี พ.ศ. 2321 ทั้ง 3 อาณาจักรก็ได้สูญเสียเอกราชแก่ราชอาณาจักรสยามในที่สุด

    พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าในรัชกาลนี้ประเทศใกล้เคียงเข้ามาอ่อนน้อมเจริญสัมพันธไมตรี กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2234 นักเสด็จเถ้าพระเจ้ากรุงกัมพูชาโปรดให้พระยาเขมร 3 คนนำช้างเผือกพังช้างหนึ่งมาถวาย สมเด็จพระเพทราชาพระราชทานชื่อว่าพระบรมรัตนากาศ ชาติคเชนทร์ วเรนทรมหันต์ อนันตคุณ วิบุลธรเลิดฟ้า และพระราชทานผ้าแพรจำนวนมากให้พระยาเขมรนำไปพระราชทานนักเสด็จเถ้า

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2238 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้ส่งราชทูตนำพระราชสาส์นมาทูลว่าจะถวายพระราชธิดา และขอกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพไปช่วยป้องกันกรุงศรีสัตนาคนหุตจากกองทัพหลวงพระบาง จึงโปรดให้พระยานครราชสีมานำพล 10,000 ไปกรุงเวียงจันทน์ หลวงพระบางทราบข่าวจึงยอมประนีประนอมกับเวียงจันทน์ เมื่อเรือพระที่นั่งของพระราชธิดาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมาถึงหน้าวัดกระโจม กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็มีพระบัณฑูรให้รับพระราชธิดานั้นไว้ที่วังหน้า แล้วเสด็จไปกราบทูลสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเพทราชาก็พระราชทานตามที่ขอ

    สมเด็จพระเพทราชา เป็นชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ตั้งอยู่ใน ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี) เป็นบุตรของพระนมเปรม และมีพระขนิษฐาคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาได้รับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระเพทราชา ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคชบาล มีกำลังพลในสังกัดหลายพัน

    ในปี พ.ศ. 2231 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ทรงพระประชวรใกล้สวรรคต ทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้ใหญ่ จึงมอบหมายให้ว่าราชการแทน ระหว่างนั้นพระเพทราชาลวงพระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อยและเจ้าฟ้าอภัยทศว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จถึงเมืองลพบุรีก็ถูกหลวงสรศักดิ์จับไปสำเร็จโทษที่วัดทราก ส่วนพระปีย์พระราชโอรสบุญธรรมถูกผลักตกจากชาลาพระที่นั่งสุทธาสวรรค์แล้วกุมตัวไปสำเร็จโทษ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตแล้ว ได้สั่งให้พระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เข้ามาพบ เมื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาถึงศาลาลูกขุนก็ถูกกุมตัวไปประหารชีวิต เมื่อจัดการบ้านเมืองสงบแล้วจึงเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มาประดิษฐานที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ แล้วรับราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท

    เมื่อปราบดาภิเษกนั้นสมเด็จพระเพทราชามีพระชนมพรรษาได้ 51 พรรษา ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระมหาบุรุษ วิสุทธิเดชอุดม บรมจักรพรรดิศร บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว" แล้วทรงตั้งคุณหญิงกันเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา (พระมเหสีเดิมในพระเพทราชา เป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่ กรมพระเทพามาตย์ ในสมัยของพระเจ้าเสือ) ตั้งกรมหลวงโยธาเทพ (เจ้าฟ้าทอง) พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย ตั้งนางนิ่มเป็นพระสนมเอก ตั้งหลวงสรศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งหม่อมแก้วบุตรท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระขนิษฐาของพระองค์เป็นกรมขุนเสนาบริรักษ์ เป็นต้น

    เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ขับไล่กำลังทหารฝรั่งเศสออกไปจากกรุงศรีอยุธยา แต่ยังทรงอนุญาตให้บาทหลวง และพ่อค้าชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ ได้มีการทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เรื่องการขนย้ายทหาร และทรัพย์สินของฝรั่งเศสออกจากป้อมที่บางกอก โดยฝ่ายอาณาจักรอยุธยาเป็นผู้จัดเรือ กับต้องส่งคืนทรัพย์สิน ที่เป็นของกรุงศรีอยุธยาคืนทั้งหมด สำหรับข้าราชการและราษฎรไทย ที่ยังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา ผลการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศส สิ้นสุดลงตั้งแต่นั้นมา

    สมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2246พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสวรรคต ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ขณะครองราชย์ได้ 15 ปี สิริพระชนมพรรษาได้ 71 พรรษา

    สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 กับพระอัครมเหสีพระนามว่าสมเด็จพระพันวษา มีพระอนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าพรและเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม

    เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2252 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าภูมินทราชา แต่จารึกชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์ออกพระนามว่า พระบาทพระศรีสรรเพชญสมเด็จเอกาทศรุทอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว[แต่ประชาชนมักออกพระนามว่าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ต่อมาทรงสถาปนาพระบัณฑูรน้อย เจ้าฟ้าพร พระราชอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

    สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2275 รวมระยะเวลาครองราชย์ 23 ปี
    ประสูติ พ.ศ. 2221
    สวรรคต พ.ศ. 2275 (54 พรรษา)

    ในขณะที่สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ทรงพระประชวรหนักนั้น พระองค์ตัดสินพระทัยทรงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย แต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไม่ทรงยินยอม จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ ที่สุด

    กรมพระราชวังบวรสถานมงคลครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือ พระมหาธรรมราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 31 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่ 4 ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง


    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและพระศาสนาจนกล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยพระองค์นั้นเป็นยุคที่บ้านเมืองดี มีขุนนางคนสำคัญที่เติบโตในเวลาต่อมา ในรัชกาลของพระองค์หลายคน เช่น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นต้น ในทางด้านวรรณคดี ก็มีกวีคนสำคัญ เช่น เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ (หรือเจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งเป็นพระราชโอรส เป็นต้น




    11061207_821397377897784_8762860486542060966_n.jpg


    ว่า "บัดนี้ เราอยู่ผู้เดียวในป่า งูพิษ หรือแมลงป่อง หรือตะขาบ จะพึงขบกัดเราผู้อยู่ผู้เดียวในป่า, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อแรก

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เราจะพึงพลาดตกหกล้มบ้าง อาหารที่เราบริโภคแล้ว จะพึงเกิดเป็นพิษบ้าง น้ำดีของเรากำเริบบ้าง เสมหะของเรากำเริบบ้าง ลมมีพิษดั่งศัสตราของเรากำเริบบ้าง, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สอง

    ว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึง มาร่วมทางกันด้วยสัตว์ทั้งหลาย มีสิงห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว, สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สาม

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึงมี มาร่วมทางด้วยกันพวกคนร้าย ซึ่งทำโจรกรรมมาแล้วหรือยังไม่ได้ทำ (แต่เตรียมการจะไปทำ) ก็ตาม, พวกคนร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่สี่

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า พวกอมนุษย์ดุร้ายก็มีอยู่ในป่า พวกมันจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา,เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่ห้า


    ปโลภสูตร


    ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

    ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับ

    มาต่อบุรพพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า แต่ก่อน

    โลกนี้ ย่อมหนาแน่นด้วยหมู่มนุษย์ เหมือนอเวจีมหานรก บ้านนิคมชนบท

    และราชธานี มีทุกระยะไก่บินตก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ

    เป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็น

    บ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    มนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอ

    ครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ต่างก็ฉวยศาตราอันคมเข้าฆ่าฟันกันและกัน

    เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็น

    เหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็น

    บ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ





    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำ

    เสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้น จึงเกิด

    ทุพภิกขภัย ข้าวกล้าเสีย เป็นเพลี้ย ไม่ให้ผล เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเสีย

    เป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุก

    วันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้

    นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ



    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอ

    ครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจลงไว้ เพราะ

    ฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย

    เครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคม

    ก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ

    พราหมณ์มหาศาลนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ

    พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็น

    อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2020
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    483 = ปี 2500
    พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี

    พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี

    จากตัวเลข 543 เป็น 483 - 60 ปี มีอะไรที่จงใจ ปกปิด หรือมีความลับอะไรหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้

    เมื่อเอา 543 +483 -1026

    ก็มาตรงพุทธศักราช 1026
    ปฏิทินสุริยคติไทย 1026
    ปฏิทินเกรกอเรียน 483

    ช่างบังเอิญดีจริงๆ


    เวลาในเอกสารไทย
    เดิมไทยเราใช้วันเวลาทางจันทรคติในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยใช้เวลาตามที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก เริ่มต้นนับเดือนจันทรคติตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่ง สองค่ำ สามค่ำ ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เรียกว่า วันเพ็ญ ต่อด้วยแรมค่ำหนึ่ง สองค่ำ สามค่ำ ไปจนถึงแรม 15 ค่ำ ซึ่งเรียกว่าวันเดือนดับ รวมเป็นเดือนหนึ่ง เนื่องจากดวงจันทร์หมุนรอบโลกหนึ่งรอบเป็นเวลา 29 วันครึ่ง หรือสองรอบจะได้ประมาณ 59 วัน จึงกำหนดเดือนทางจันทรคติให้มี 29 วันในเดือนคี่ (เรียกเดือนขาด) และ 30 วัน ในเดือนคู่ (เรียกเดือนถ้วน) สองเดือน รวมเป็น 59 วันพอดี ตรงกับข้างขึ้น และข้างแรมตามจันทรคติ




    ปฏิทินจันทรคติระบบสุริยยาตร์


    เวลาตามจันทรคติในปฏิทิน 1 ปี มี 12 เดือน เท่ากับ 354 วัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปฏิทินสากล(ซึ่งใช้วันเวลาแบบสุริยคติ คือ วันเ วลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบเท่ากับ 365 1/4 วัน) จึงสั้นไป 11 วันเศษ ดังนั้นใน 3 ปี จึงเพิ่มเดือนพิเศษอีก 1 เดือน ที่หลังเดือน 8 เรียกว่า เดือน 8 หลังมี 30 วัน ทำให้ปีจันทรคติที่มี 13 เดือน หรือ 384 วัน เป็นปีอธิกมาส และในรอบ 19 ปีทางจันทรคติ จะเพิ่มวันพิเศษอีก 1 วัน ในเดือนเจ็ดทำให้มี 30 วัน (ปกติเดือนคี่มี 29 วัน) เรียกว่า ปีอธิกวาร ก็จะทำให้เวลาทางจันทรคติตามทันเวลาทางสุริยคติได้

    ส่วนวันเวลาตามแบบสุริยคติซึ่งเป็นปีที่ตรงตามฤดูกาล ปีปกติมี 365 วัน หรือ12 เดือน ในหนึ่งเดือนมี 28 - 30- 31 วัน ในทุก 4 ปี เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน เพิ่มขึ้น 1 วัน (ทุกปี ค.ศ.ที่หารด้วย 4 ลงตัว) ปีนั้นมี 366 วัน เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน เช่น เมื่อ ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ. 2543

    เดิมวันปีใหม่ในสมัยอยุธยา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ในสมัยปัจจุบันวันปีใหม่ทางจันทรคติเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (เดือนเมษายน) ซึ่งเป็นวันที่เปลี่ยนนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน เป็นการรับวัฒนธรรมจากขอม) เมื่อ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงได้ใช้ 1 มกราคม เป็นปีใหม่ตามแบบสากล



    ปฏิทินไทย


    ศักราชที่ใช้ในเอกสารไทย
    ศักราชที่ใช้ในเอกไทยได้แก่
    1. มหาศักราช (ม.ศ.) สันนิษฐานว่าผู้ที่ตั้งมหาศักราชคือ พระเจ้านิษกะ กษัตริย์จากเอชียกลางที่ยึดครองอินเดียภาคเหนือได้ทั้งหมด เมื่อ พ.ศ. 622 และถือว่าเป็นวันเริ่มต้นมหาศักราช ศักราชนี้ได้แพร่หลายใช้ในไทย พม่า เขมร และอินโดนีเซีย (มหาศักราช + 621 เท่ากับพุทธศักราช)

    2. จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชที่อดีตพระภิกษุ “บุปผะอรหันต์” ภายหลังได้เป็นพระเจ้าอนิรุทธมหาราช กษัตริย์พุกามได้ยกเลิก มหาศักราชและตั้งจุลศักราชขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1182 (จุลศักราช+1181 เท่ากับพุทธศักราช)

    3. รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ใช้รัตนโกสินทร์ศก ถือเป็นศักราชไทยอย่าง แท้จริง โดยกำหนดให้ พ.ศ. 2325 เป็นรัตนโกสินทร์ศกที่ 1 (รัตนโกสินทร์ศก + 2324 = พ.ศ.) และโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ปฏิทินสุริยคติแบบเกรกกอเรียน ตามสากลด้วย แต่วันปีใหม่ไทยยังคงใช้ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 อยู่ รัตนโกสินทร์ศกใช้มาจนถึงรัชกาลที่ 6 จึงเปลี่ยนเป็นพุทธศักราชแทน

    4. พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นในประเทศอินเดียนิยมใช้กันแพร่หลายในประเทศที่นับถือพระพุทธ ศาสนา เช่น ไทย พม่า ลาว ขมร ลังกา เริ่มต้นนับปีพุทธสักราชที่ 1 หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ตามข้อมูลที่ถูกต้องพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเมื่อ 483 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่พุทธศาสนิกชนที่ใช้ในลังกาและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เมื่อ 543 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งคลาดเคลื่อนไป 1 รอบพฤหัสบดีจักร หรือ 60 ปี

    ในระยะแรกการใช้ปีพุทธศักราชของไทยยังสอดคล้องกับประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท นิกายลังกาวงศ์ แต่ต่อมาพุทธศักราชของไทยกลับช้ากว่าประเทศอื่นๆ 1 ปี เช่น ไทยพุทธศักราช 2549 แต่ลังกา พม่า เขมร นับเป็นพุทธศักราช 2550 แล้ว นั้น อาจมาจากวิธีนับ คือ ไทยนับปีเต็ม เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี เป็น พ.ศ. 1 แต่ลังกา พม่า เขมร ลาว นับปีย่าง คือ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็น พ.ศ. 1

    การใช้พระพุทธศักราชในการบันทึกเรื่องราวในอดีตตามเอกสารไทยมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่นิยมใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ในสมัยอยุธยา (รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ก็มีการใช้พุทธศักราชในการบันทึกพงศาวดาร ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ได้ประกาศให้ใช้พุทธศักราชเป็นศักราชประจำชาติแทนรัตนโกสินทร์ศก

    5. คริสต์ศักราช (ค.ศ.) เป็นศักราชสากลที่มีวิวัฒนาการยาวนาน และแพร่หลายตั้งแต่จักรพรรดิคอนสแตนตินของโรมันรับนับถือศาสนาคริสต์ ในสมัยจูเลียส ซีซาร์ ได้ปฏิรูประบบปฏิทินทั้งหมด เรียกว่า ปฏิทินจุเลียน โดยใช้สุริยคติเป็นเกณฑ์ ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชสำนักวาติกันได้พบว่า ปฏิทินจุเลียนมีความคลาดเคลื่อน สันตะปาปาเกรกกอรี่ที่ 13 จึงประกาศให้ใช้ปฏิทินใหม่ใน ค.ศ. 1582 ปฏิทินใหม่นี้เรียกว่า ปฏิทินเกรกกอเรียน

    การตั้งคริสต์ศักราชเริ่มต้นเมื่อค.ศ. 525 สันตะปาปาเซนต์พอลที่ 1 ได้มอบหมายให้ไดโอนิซิอุส เอซิกุอุส (Dionysius Exiguus) คำนวณวันประสุติของพระเยซู ได้เป็นวันที่ 25 ธันวาคม ศักราชโรมัน 753 แต่ธรรมเนียมเดิมถือว่า ปีใหม่เริ่มต้นเดือนมกราคม จึงถือว่า วันที่ 1 มกราคม ศักราชโรมัน 745 เป็นวันเริ่มต้นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช (คริสต์ศักราช + 543 = พุทธศักราช)
    เกณฑ์การเทียบศักราช
    ม.ศ. + 621 = พ.ศ.
    จ.ศ. + 1181 = พ.ศ.
    ร.ศ. + 2324 = พ.ศ.
    ค.ศ. + 543 = พ.ศ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2020
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204








    อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังกึ่งพุทธกาล (ช่วงหลัง พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)
    จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก
    ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ
    สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรากัน
    สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก


    เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปี เป็นต้นไป (ช่วงหลัง พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)
    ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมชีพรามณ์จะอดอยากยากเข็ญ
    ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกซ้ำ

    สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคล้นจะอดอยาก
    ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร
    ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ
    ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก

    ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล
    โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ


    อินเดีย (อังกฤษ: India) หรือ ภารตะ (ฮินดี: भारत, ถอดอักษรเทวนาครีเป็นไทย ภารต, ออกเสียง [ˈbʱaːɾət̪] บฮฺลัต) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (อังกฤษ: Republic of India, ฮินดี: भारत गणराज्य) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลก และเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน มีภาษาพูดร้อยแปดสิบแปดภาษาโดยประมาณ ด้านเศรษฐกิจ อินเดียมีอำนาจการซื้อมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก ทั้งนี้ อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน
    ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นอกนั้นยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของโลก

    จากทิศตะวันออกของอินเดียตรงไปพม่า ลากยาว ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือไป ก็จะตรงกับ อเริกา เยื้องจีน รัสเซีย มาจนถึง ออสเตรีย

    กึ่งพุทธกาล 2500 ฉนั้นจึงไม่ใช่ เคสสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา

    ในบรรดามหาสมุทรทั้งหลาย อย่าง
    มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอาร์กติก

    ที่มีความเป็นไปได้สูงมากที่สุดและตรงตามพุทธทำนายนี้ คือ
    มหาสมุทรแปซิฟิก ระยะทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก จากอินเดีย ไป อเมริกา 17000 km


    มหาสมุทรนี้ มีจุดทดลอง ระเบิดนิวเคลียร์ อยู่บ่อยครั้งในอดีตและปัจจุบันในพื้นที่ มีเพียงมหาสมุทรแปซิฟิก ที่แสดงถึงความชอกช้ำมากที่สุด มาตั้งแต่ในอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน

    และมีฐานทัพในมหาสมุทรแปซิฟิคที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ในการโจมตีและป้องกันด้วย

    "พื้นที่การทดลองนิวเคลียร์ในมหาสมุทรแปซิฟิค"
    เกาะปะการัง บิกินี่ (Bikini Atoll), หมู่เกาะมาร์แชล (Marshall Islands)
    ที่นีเป็นหนึ่งในสถานที่ทดลองนิวเคลียร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เพราะเป็นที่แรกๆ ที่มีการเผยแพร่ภาพผลการทดลองออกสู่สาธารณะ (รวมถึงชื่อเกาะที่จำง่ายสุดๆ) อยู่ระหว่างฮาวาย และออสเตรเลีย แต่เดิมนั้นเป็นเกาะปะการังที่สวยงาม มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ในปี 1945 กองทัพสหรัฐฯ เลือกใช้ที่นี่ในการทดลองปรมาณู โดยอพยพผู้คนออกมาจนหมด แล้วใช้เป็นที่ทดลองอยู่ประมาณ 12 ปี ยิงไปทั้งหมด 23 ลูก ผลจากการทดลองบนเกาะนี้เอง ที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาระเบิดปรมาณูที่ใช้กับเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ

    กระทั่งปี 1957 เกาะนี้จึงถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดภัยจากกัมมันตรังสี แต่ถูกยิงจนพรุนขนาดนี้คงไม่มีใครอยากกลับมาอีกแล้ว ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมไปเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่องต่างๆ ที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นการถูกกล่าวถึงในเรื่อง ก็อตซิลล่าด้วย ว่าสาเหตุที่แท้จริงในการยิงนิวเคลียร์ที่เกาะนี้ก็เพื่อจัดการ “บางอย่าง” นั่นเอง

    โดมกระบองเพชร (Cactus Dome), หมู่เกาะมาร์แชล (Marshall Islands)
    ต่อเนื่องจากการทดลองในแถบหมู่เกาะมาร์แชล และบริเวณใกล้เคียงบริเวณแปซิฟิคตอนใต้ที่ต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบปี แถบนั้นจึงเต็มไปด้วยซากของสิ่งตกค้างปนเปื้อนรังสี ช่วงปลายยุคสงครามเย็น (ประมาณ 1970) กองทัพสหรัฐฯ จึงเริ่มเข้ามาเก็บกวาด นำเศษซากไปฝังไว้ที่บริเวณหลุมที่เกิดจากการทดลองนิวเคลียร์ “Cactus” เส้นผ่านศูนย์กลาง 106 เมตร เสร็จแล้วสร้างโดมคอนกรีตครอบทับไว้ แม้จะมีป้ายเตือนให้ระวังการปนเปื้อนปักไว้ ก็ไม่อาจห้ามให้ผู้ที่สนใจหลุมนิวเคลียร์เดินทางมาชมความแปลกตาของที่นี่ได้

    หมู่เกาะมูรูรัว (Mururoa Atoll), เฟรนช์โพลีนีเซีย French Polynesia
    เป็นที่ทดลองขีปนาวุธที่เป็นกรณีพิพาทระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน เมื่อทางฝรั่งเศสริเริ่มการทดลองใต้น้ ำในหมู่เกาะห่างไกลในพื้นที่อาณานิคมของตนเองเขตมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งกระทบกับประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขัดแย้งกันมายาวนานตั้งแต่ 1966-1996 ฝรั่งเศสทดลองไปทั้งหมด 188 ครั้ง ถึงได้ยุติ ปัจจุบันในพื้นที่ยังเป็นเขตอันตราย และปนเปื้อนรังสี

    เกาะคิริติมาติ (Kiritimati) หรือเกาะคริสต์มาส, สาธารณรัฐคิริบาติ (Republic of Kiribati)
    หนึ่งในสถานที่ทดลองที่อยู่ห่างไกลมากที่สุดในโลก โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิค แรกเริ่มนั้นเป็นที่ทดลองของประเทศอังกฤษในปี 1957 หลังจากนั้นจึงกลายเป็นที่ทดลองของสหรัฐอเมริกาในปี 1962 ก่อนที่จะทิ้งไปในปี 1969

    เพราะฉนั้นแล้วจากการรวมรวมสถิติแบบงูๆปลาๆนี้ มีความเป็นไปได้สูงสุดที่สถานการณ์รบในอนาคตในสงครามโลกครั้งที่ 3 มหาสมุทรแปซิฟิก จะต้องกลายเป็นที่รองรับความชอกซ้ำไปเต็มๆ

    เอาอะไรมาทำนาย คนสมัยนั้นรู้ขนาดนั้นเลยหรือ ว่าจะมีมหาสมุทรอะไรบอบช้ำ โดยชี้ทั้งทิศทางการมาของสงคราม ชี้ทั้งทิศทางของมหาสมุทร


    รอแต่

    ยักษ์หิน
    ที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก

    ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล
    โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ



    ทิศทางเข็มทิศ.png


    800px-India_(orthographic_projection).svg.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2020
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พุทธศักราช 2485 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1942 ซึ่งเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ฉนั้นแล้ว ในศิลาจารึกนี้ ยังไม่กึ่งพุทธกาล เพราะยังขาดอีก15 ปี ยาวนานมาได้แค่ 2488 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่1 มาที่ 2 ก็ยังไม่ยาวนานพอ ที่จะนับให้ถึงกึ่งพุทธกาล แต่ในพุทธทำนายนี้ ได้ระบุไว้ว่าหลังกึ่งพุทธกาล 2500 ปีผ่านไปแล้ว

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ.1939 ตรงกับปี 2482 แต่พุทธทำนายในศิลาจารึกนี้ ปรากฏขึ้นเมื่อ 2485

    ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่ตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้ ( คือ ก่อนปี ๒๕๐๐ หรือ ก่อน พ.ศ. 2482 -2485 ) มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ( ย่อมจะหมายถึง ปี พ.ศ. 2482 -2485 ซึ่งเป็นสงครามโลกครั้งที่1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผ่านมาแล้ว ผู้คนครึ่งหนึ่งของโลกจะได้รับภัยพิบัติเสียครึ่งหนึ่ง )





    สิ่งที่น่าสนใจ
    โครงการแมนฮัดตันถูกก่อตั้งขึ้น ซึ่งได้นำไปสู่การผลิตระเบิดปรมาณูในเวลาต่อมาในครั้งแรกสหรัฐอเมริกาทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ที่นิวเม็กซิโก ในปี ค.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488

    ข้อพิจารณา
    เป็นเรื่องราวในสมัยรัชกาลที่ 8 ฉนั้นแล้วการที่จะพิจารณาเรื่อง ระเบิดนิวเคลียร์ หรือ ระเบิดปรมาณู หรือระเบิดชนิดอื่นๆ ที่จะทำให้มหาสมุทรชอกช้ำได้ เรียกว่าชอกช้ำจริงๆ โดยรู้ล่วงหน้าเป็นเวลา 3 ปี ก็ไม่ใช่ฐานะอีก ต่อให้เป็นคนในยุค 2485 จริงๆ มา ขีดเขียนเพ้อเจ้อลงใน แผ่นศิลาจารึกที่ได้บันทึกไว้นี้ก็ตาม



    จับตาเหตุการณ์
    ล่าสุดอ้างว่าจะทำการทดลอง ยิงอาวุธนิวเคลียร์แบบทำลายล้างสูงอีก จะที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่เดิม คือ มหาสมุทรแปซิฟิค แต่ก็อาจไปทดลองที่อื่นก็ได้ แต่ถ้ามีการทดลองในมหาสมุทรแปซิฟิคจริง ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้มากๆหน่อย ถึงเหตุการณ์ที่จะตามมาหลังจากนั้น




    อาวุธนิวเคลียร์ เป็นวัตถุระเบิดซึ่งมีอำนาจทำลายล้างมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาฟิชชัน (atomic bomb)อย่างเดียว หรือ ฟิชชันและฟิวชัน(hydrogen bomb)รวมกัน ปฏิกิริยาทั้งสองปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลจากสสารปริมาณค่อนข้างน้อย การทดสอบระเบิดฟิชชัน (อะตอม) ลูกแรกปลดปล่อยพลังงานออกมาเทียบเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 20,000 ตัน การทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ ("ระเบิดไฮโดรเจน") ลูกแรก ปลดปล่อยพลังงานออกมาเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 10,000,000 ตัน

    อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์สมัยใหม่ที่หนักกว่า 1,100 กิโลกรัมเล็กน้อย สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่ากับการจุดระเบิดทีเอ็นทีมากกว่า 1.2 ล้านตัน ดังนั้น กระทั่งวัตถุนิวเคลียร์ลูกเล็ก ๆ ที่ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าระเบิดธรรมดา สามารถทำลายล้างนครทั้งนครได้ ด้วยแรงระเบิดไฟและกัมมันตรังสี อาวุธนิวเคลียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และการใช้และควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนับแต่ถือกำเนิดขึ้น

    มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงสองชิ้นเท่านั้นที่เคยใช้ตลอดห้วงการสงคราม ทั้งสองครั้งโดยสหรัฐอเมริกายามสงครามโลกครั้งที่สองใกล้ยุติ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 วัตถุประเภทจุดระเบิดยูเรเนียม (uranium gun-type) ชื่อรหัสว่า "ลิตเติลบอย" ถูกจุดระเบิดเหนือนครฮิโรชิมาของญี่ปุ่น อีกสามวันให้หลัง วันที่ 9 สิงหาคม วัตถุประเภทจุดระเบิดภายในพลูโตเนียม (plutonium implosion-type) ชื่อรหัสว่า "แฟตแมน" ระเบิดเหนือนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปประมาณ 200,000 ศพ ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการบาดเจ็บฉับพลันที่ได้รับจากการระเบิด

    นับแต่การทิ้งระเบิดฮิโรชิมาและนางาซากิ อาวุธนิวเคลียร์ถูกจุดระเบิดกว่าสองพันโอกาสเพื่อจุดประสงค์ด้านการทดสอบและสาธิต มีเพียงไม่กี่ชาติที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือถูกสงสัยว่ากำลังแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศที่ทราบว่าเคยจุดระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ และได้รับการรับรองว่าครอบครองอาวุธนิวเคีลยร์ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (รัสเซียเป็นผู้สืบทอดอำนาจนิวเคลียร์) สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ อิสราเอลยังถูกเชื่ออย่างกว้างขวางว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่ได้รับการรับรองว่ามี รัฐหนึ่ง แอฟริกาใต้ เคยยอมรับว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ที่ทำขึ้นก่อนหน้านี้ในอดีต แต่นับแต่นั้นได้แยกประกอบคลังแสงของตนและส่งให้กับผู้คุ้มครองนานาชาติ

    สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกาประเมินว่ามีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 15,700 หัวทั่วโลกใน พ.ศ. 2558 โดยมีราว 4,120 หัวถูกเก็บไว้ในสถานะ "ปฏิบัติการ" คือ พร้อมใช้งานได้ทันที
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ย้ำว่ามาจาก"วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี" ถ้าพี่ วิกิผิด ให้ไปถามพี่กูเกิ้ล
    ลำดับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 1939 ถึง 31 ธันวาคม 1939
    เดือนกันยายน
    • 1: การบุกครองโปแลนด์โดยนาซีเยอรมนี เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 4.45 น. ลุฟท์วัฟเฟอโจมตีเป้าหมายหลายแห่งในโปแลนด์ ลุฟท์วัฟเฟอเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อการ์กุฟ วูชและกรุงวอร์ซอ ภายในห้านาทีของการโจมตี กองทัพเรือเยอรมัน (ครีกซมารีเนอ) สั่งการให้เรือประจัญบานชเลซวิก-โฮลสไทน์อันเก่าแก่เปิดฉากยิงคลังพัสดุขนส่งทางทหารของโปแลนด์ที่เวสเทอร์เพลท (Westerplatte) ในนครเสรีดันซิก แต่การเข้าตีนี้ถูกขับกลับไป เมื่อถึงเวลา 8.00 น. กองทัพบกเยอรมัน (เวร์มัคท์เฮร์) เปิดฉากโจมตีใกล้กับเมืองม็อกรา (Mokra) ของโปแลนด์ ขณะที่ยังไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ
    • 1: เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์และฟินแลนด์ประกาศวางตัวเป็นกลางในสงคราม
    • 1: รัฐบาลอังกฤษประกาศระดมพล และเริ่มแผนอพยพเตรียมรับมือการเข้าตีทางอากาศของเยอรมนี
    • 2: สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสยื่นคำขาดร่วมต่อเยอรมนี ให้ส่งทหารกลับจากดินแดนโปแลนด์; ผู้เผด็จการอิตาลี เบนิโต มุสโสลินีประกาศว่าวางตัวเป็นกลาง ฝ่ายสาธารณรัฐไอร์แลนด์ก็ประกาศว่าตนเป็นกลางเช่นกัน; รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ประกาศระดมพล
    • 2: นครเสรีดันซิกถูกผนวกรวมกับเยอรมนี
    • 2: พระราชบัญญัติรับราชการทหาร ค.ศ. 1939 มีผลใช้บังคับทันที และเกณฑ์ชายทุกคนซึ่งมีอายุระหว่าง 18-41 ปี และพำนักอยู่ในสหราชอาณาจักร
    • 3: เมื่อเวลา 11.15 น. ตามเวลามาตรฐานอังกฤษ เนวิลล์ เชมเบอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศทางสถานีวิทยุบีบีซีว่าเส้นตายที่กำหนดให้เยอรมนีถอนตัวออกจากโปแลนด์ได้สิ้นสุดลงเมื่อ 11.00 น. และกล่าวว่า "เพราะฉะนั้น ชาตินี้จึงอยู่ในภาวะสงครามกับเยอรมนี" ออสเตรเลีย อินเดียและนิวซีแลนด์ก็ประกาศสงครามกับเยอรมนีในไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศสงครามของอังกฤษ
    • 3: เมื่อเวลา 12.30 น. ตามเวลามาตรฐานอังกฤษ รัฐบาลฝรั่งเศสยื่นคำขาดสุดท้ายคล้ายกัน ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 15.00 น. ตามเวลามาตรฐานอังกฤษ
    • 3: เรือเดินสมุทร แอดเบนเนีย (Atbenia) ถูกเรือดำน้ำ อู-30 ของเยอรมนีจม เพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเรือช่วยตรวจการของอังกฤษ มีผู้เสียชีวิต 112 ราย
    • 4: เมื่อเวลา 8.00 น. ตามเวลามาตรฐานนิวฟันด์แลนด์ ประเทศในเครือจักรภพนิวฟันแลนด์ (Dominion of Newfoundland) ประกาศสงครามกับเยอรมนี
    • 4: ในการปฏิบัติเชิงรุกครั้งแรกของอังกฤษในสงคราม กองทัพอากาศเปิดฉากตีโฉบฉวยกองเรือเยอรมันในอ่าวเฮลิโกแลนด์ โดยมุ่งเป้าไปยังเรือประจัญบานขนาดเล็ก (pocket-battleship) อัดมีรัลเชร์ ที่ทอดสมออยู่นอกวิลเฮล์มชาเวนที่ตะวันตกสุดของคลองคีล อากาศยานหลายลำสูญหายไปในการเข้าตีนี้ และ แม้เรือจะถูกยิงสามครั้ง แต่ระเบิดทุกลูกไม่ระเบิด
    • 4: ญี่ปุ่นประกาศวางตัวเป็นกลางต่อสถานการณ์ในทวีปยุโรป ฝ่ายกระทรวงกองทัพเรืออังกฤษประกาศเริ่มต้นการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนี เป็นหนึ่งในหลายมาตรการที่อังกฤษดำเนินการสงครามเศรษฐกิจต่อฝ่ายอักษะ
    • 4: สหรัฐอเมริกาเริ่มการลาดตระเวนความเป็นกลาง
    • 5: นายกรัฐมนตรีแอฟริกาใต้ แบร์รี่ เฮอร์ซอก ล้มเหลวในการหาเสียงสนับสุนในการประกาศวางตัวเป็นกลาง และถูกปลดโดยการประชุมลับของพรรคการเมือง และแทนที่ด้วยรองนายกรัฐมนตรีแจน สมุทส์
    • 5: สหรัฐอเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลางต่อสาธารณะ
    • 6: แอฟริกาใต้ประกาศสงครามกับเยอรมนี
    • 6: กองทัพเยอรมนียึดเมืองการ์กุฟ ทางตอนใต้ของโปแลนด์ กองทัพโปแลนด์ล่าถอยครั้งใหญ่
    • 7: ฝรั่งเศสเริ่มการรุกพอเป็นพิธี โดยเคลื่อนเข้าไปในดินแดนของเยอรมนีใกล้กับซาร์บรือเคน
    • 7: สหราชอาณาจักรผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยการขึ้นทะเบียนแห่งชาติ เริ่มใช้บัตรประชาชน รัฐบาลมีอำนาจในการควบคุมแรงงาน
    • 8: สหราชอาณาจักรนำระบบขบวนเรือในความคุ้มกัน (convoy) กลับมาใช้ใหม่กับเรือพาณิชย์ และปิดล้อมการเดินเรือของเยอรมนีเต็มขั้น
    • 8: รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศระบบคุ้มกันเรือพาณิชย์อีกครั้ง และกีดกันเรือสินค้าของเยอรมนีอย่างเต็มที่
    • 8: กองพลที่ 10 แห่งเยอรมนี ภายใต้การนำของนายพลวอลเทอร์ วอน ไรเชนนาว รุกคืบถึงขอบกรุงวอร์ซอว์ของโปแลนด์ กองพลที่ 14 โดยนายพลวิลเฮล์ม ลิสท์รุกถึงแม่น้ำซาน และกองพันแพนเซอร์ของนายพลไฮนส์ กูเดอเรี่ยน รุกถึงแม่น้ำบั๊ก ทางตะวันออกของกรุงวอร์ซอว์
    • 9: การรุกซาร์ลันท์ของฝรั่งเศสหยุดชะงักที่ป่าวาร์นดท์ที่มีการวางทุ่นระเบิดหนาแน่น หลังรุกเข้าไปในดินแดนเยอรมนีที่มีการป้องกันเบาบาง 8 ไมล์
    • 10: แคนาดาประกาศสงครามกับเยอรมนี
    • 10: กองทัพหลักของอังกฤษยกพลขึ้นบกที่ฝรั่งเศสเพื่อช่วยรบต่อต้านเยอรมนี นำโดย นายพล ลอร์ด โกร์ท มีจำนวนทหาร 160,000 นาย พร้อมยานพาหนะ 24,000 คัน
    • 11: ผู้สำเร็จราชการอินเดีย ลอร์ดลินลิธโกว์ ประกาศต่อสภานิติบัญญัติทั้งสองของอินเดีย (สภาแห่งรัฐและสภานิติบัญญัติ) ว่าเนื่องจากการเข้าร่วมสงคราม การวางแผนการจัดตั้งสหพันธรัฐอินเดียจึงถูกเลื่อนออกไป
    • 12: พลเอกเกมลินสั่งหยุดการรุกเข้าไปในเยอรมนี
    • 15: กองทัพโปแลนด์ได้รับคำสั่งให้ต้านทานที่พรมแดนโรมาเนียกระทั่งฝ่ายสัมพันธมิตรมาถึง
    • 16: กองทัพเยอรมนีล้อมกรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์ สมบูรณ์
    • 16: ฝรั่งเศสเสร็จสิ้นการร่นถอยออกจากเยอรมนี สิ้นสุดการรุกซาร์
    • 17: สหภาพโซเวียตบุกครองโปแลนด์จากทิศตะวันออก ยึดครองดินแดนทางตะวันออกของแนวคูร์ซอน เช่นเดียวกับเบียลีสตอกและกาลีเซียตะวันออก
    • 17: เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือหลวง คะเรเจิส ถูกเรืออู-29 จมระหว่างการลาดตระเวนนอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์
    • 17: กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีนครฉางชาของจีน เมื่อกำลังญี่ปุ่นทางเหนือของมณฑลเจียงซีเข้าตีไปทางตะวันตกสู่มณฑลเหอหนาน
    • 18: ประธานาธิบดีโปแลนด์ Ignacy Mościcki และผู้บัญชาการทหาร Edward Rydz-Śmigły หลบหนีจากโปแลนด์ไปยังโรมาเนีย ที่ซึ่งถูกกักตัวทั้งคู่ กำลังรัสเซียไปถึงวิลนีอุสและเบรสต์-ลีตอฟสค์ เรือดำน้ำโปแลนด์หลบหนีจากกรุงทาลลินน์ ทำให้ความเป็นกลางของเอสโตเนียถูกสหภาพโซเวียตและเยอรมนีตั้งคำถาม
    • 19: กองทัพเยอรมนีและโซเวียตบรรจบกันใกล้เมืองเบรสต์-ลีตอฟสค์
    • 19: กองทัพโซเวียตปิดล้อมท่าทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย
    • 19: สหภาพโซเวียตและมองโกเลีย พันธมิตร ชนะยุทธการคาลคินโกล เหนือญี่ปุ่น ยุติสงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น
    • 19: กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าตีกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีนตามแม่น้ำซินเชียงโดยใช้แก๊สพิษระหว่างยุทธการฉางชา
    • 20: เรือดำน้ำ อู-27 ของเยอรมนี ถูกจมโดยระเบิดน้ำลึกจากเรือประจัญบานอังกฤษ
    • 21: นายกรัฐมนตรีโรมาเนีย Armand Calinescu ถูกพวกคลั่งชาติในพื้นที่นาม "ผู้พิทักษ์เหล็ก" (Iron Guard) ลอบสังหาร
    • 24: กองทัพอากาศโซเวียตละเมิดน่านฟ้าของเอสโตเนีย ผู้แทนเอสโตเนียเดินทางไปเจรจากับโมโลตอฟที่กรุงมอสโก โมโลตอฟขู่ว่าสหภาพโซเวียตจะดำเนินการอย่างรุนแรงหากเอสโตเนียไม่ยอมให้มีการตั้งฐานทัพโซเวียตในดินแดนเอสโตเนีย
    • 25: ประเทศเยอรมนีเริ่มการปันส่วนอาหาร
    • 25: สหภาพโซเวียตได้เตรียมกำลังพล 160,000นาย รถถัง 600 คัน และเครื่องบินรบ600ลำ ตามแนวชายแดนเอสโตเนีย
    • 26: หลังจากการระดมยิงปืนใหญ่ ทหารเยอรมนีเข้าตีกรุงวอร์ซอว์
    • 26: เครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียตบินเหนือน่านฟ้าเมืองทาลลินน์
    • 27: ปืนใหญ่แห่งแนวซิกฟรีดเปิดฉากระดมยิงหมู่บ้านในประเทศฝรั่งเศสเบื้องหลังแนวมากิโนต์
    • 28: กองทัพส่วนที่เหลือและทหารชาวบ้านของโปแลนด์ยอมแพ้ที่กรุงวอร์ซอว์
    • 28: กองทัพโซเวียตประชิดชายแดนลัตเวีย น่านฟ้าลัตเวียถูกละเมิด
    • 28: สนธิสัญญามิตรภาพและพรมแดนระหว่างเยอรมนี-โซเวียตได้รับการลงนามโดยโมโลตอฟและริบเบนทรอพ โดยมีภาคผนวกลับที่เปลี่ยนแปลงการปักปันดินแดนที่เคยตกลงกันไว้ในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ โดยยกลิทัวเนียให้แก่สหภาพโซเวียต แต่เยอรมนีจะได้รับดินแดนในโปแลนด์มากขึ้น
    • 29: เอสโตเนียยอมเซ็นสัญญาความช่วยเหลือร่วมกันกับสหภาพโซเวียตเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งอนุญาตให้มีทหารโซเวียตประจำในแลตเวียจำนวน 30,000 นาย ซึ่งเป็นของตอบแทนสตาลินที่ให้คำมั่นว่าจะธำรงเอกราชของเอสโตเนีย
    • 29: โซเวียตเริ่มแผ่กำลังเข้าควบคุมคาบสมุทรบอลติกเพื่อระวังการรุกรานของนาซี
    • 30: ราชนาวีเยอรมีนจมเรือพาณิชย์อังกฤษนอกชายฝั่งของประเทศบราซิล
    เดือนตุลาคม
    • 2: ผู้แทนจากแลตเวียเจรจากับสตาลินและโมโลตอฟ สหภาพโซเวียตขู่ว่าจะใช้กำลังคุกคามถ้าหากไม่ได้ตั้งฐานทัพในลัตเวีย
    • 2: อเมริกาเห็นด้วยกับคำแถลงการณ์ที่ปานามา การกระทำทางสงครามจะต้องไม่เกิดขึ้นบริเวณผิวน้ำรอบทวีปอเมริกา อาณาเขตเป็นกลางกว้างประมาณ 300 ไมล์จะมีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาลาดตระเวน
    • 3: กองทัพอังกฤษเคลื่อนทัพสู่ชายแดนเบลเยี่ยม เพื่อป้องกันการรุกรานมาทางทิศตะวันตกของเยอรมัน
    • 3: ผู้แทนลิทัวเนียพบสตาลินและเมโลตอฟในกรุงมอสโก สตาลินเสนอจะให้เมืองวิลนิอัสของโปแลนด์แก่ลิทัวเนียถ้าหากยอมรับข้อตกลง ผู้แทนต้องยอมรับข้อเสนออย่างเสียไม่ได้
    • 5: ลัตวียเซ็นสัญญาความร่วมมือร่วมกันกับสหภาพโซเวียตเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งอนุญาตให้มีทหารโซเวียตกว่า 25,000 นายประจำในลัตเวีย สตาลินให้คำมั่นว่าจะเคารพเอกราชของแลตเวีย
    • 6: กองทัพจีนมีชัยเหนือกองทัพญี่ปุ่นในการต่อสู้ที่ฉางชา
    • 6: การต่อต้านของชาวโปแลนด์สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์กล่าวปราศรัยต่อหน้าสภาไรซ์ตาร์กว่าตนจะปรึกษาการฟื้นฟูสันติภาพกับอังกฤษและฝรั่งเศส
    • 7: ผุ้แทนลิทัวเนียมายังกรุงมอสโก โซเวียตยังต้องการที่จะสร้างฐานทัพในลิทัวเนีย
    • 9: ฮิตเลอร์ประกาศคำสั่งเตรียมบุกเบลเยียม ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์
    • 10: กองทัพโปแลนด์กองสุดท้ายยอมจำนนต่อกองทัพเยอรมัน
    • 10: เชมเบอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮิตเลอร์
    • 10: ลิทัวเนียเซ็นสัญญาความร่วมมือร่วมกันกับสหภาพโซเวียตเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งอนุญาตให้มีทหารโซเวียตกว่า 20,000 นายประจำการในลิทัวเนีย
    • 11: ทหารอังกฤษประมาณ 158,000 นายอยู่ในฝรั่งเศส
    • 12: ผู้นำฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเสนอสันติภาพของฮิตเลอร์
    • 12: ผู้แทนจากฟินแลนด์เข้าพบสตาลินและโมโลทอฟที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียตต้องการให้ฟินแลนด์ถอนฐานทัพใกล้กับเมืองเฮลซิงกิ และปรึกษากันเพื่อปกป้องเลนินกราดจากสหราชอาณาจักรหรือการรุกรานจากเยอรมนีในอนาคต
    • 14: ผู้แทนจากฟินแลนด์เข้าพบสตาลินอีกครั้ง สตาลินขู่ว่าหากการเจรจายืดเยื้อ อาจมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างกองทหารโซเวียตและฟินแลนด์ได้
    • 14: เรืออู-47 ฝ่าแนวป้องกันของอังกฤษที่อ็อร์คนีย์ ซึ่งกองเรืออังกฤษเทียบท่าอยู่ ส่งผลให้เรือหลวง รอแยล โอ็ค จมมีกะลาสีเสียชีวิต 786 นาย
    • 16: การโจมตีทางอากาศครั้งแรกในสหราชอาณาจักร
    • 18: กองทัพชุดแรกของสหภาพโซเวียตเข้ามายังเอสโตเนีย
    • 19: เกตโตหรือสลัมสำหรับชาวยิว ได้ก่อสร้างขึ้นในเมือง Lublin
    • 20: "สงครามลวง" ทหารฝรั่งเศสตั้งมั่นตามแนวเมกิโนต์ ส่วนทหารอังกฤษสร้างแนวสนามเพลาะระหว่างแนวเมกิโนต์กับช่องแคบอังกฤษ
    • 27: เบลเยียมประกาศวางตัวเป็นกลาง
    • 30: สหราชอาณาจักรรายงานว่ามีค่ายกักกันสำหรับชาวยิวและผู้ที่ต่อต้านนาซีกำลังก่อสร้างในยุโรป
    • 31: นาซีเยอรมนีได้ทีแผนบุกฝรั่งเศส โดยพลโท เอริก ฟอน มันชสไตน์วางแผนที่จะโจมตีผ่าน Ardennes มากกว่าการบุกเบลเยี่ยม
    เดือนพฤศจิกายน
    • 1: ฉนวนโปแลนด์ถูกผนวกเข้ากับเยอรมนี ส่วนดินแดนทางตะวันออกของโปแลนด์ถูกผนวกรวมกับยูเครนและเบโลรุสเซียของสหภาพโซเวียต
    • 3: ฟินแลนด์และสหภาพโซเวียตเจรจาเกี่ยวกับแนวชายแดนอีกครั้ง ฟินแลนด์ไม่ไว้ใจเจตนาของสตาลินและไม่ยอมยกดินแดนที่เป็นแนวป้องกันประเทศให้
    • 4: ชาวยิวในกรุงวอร์ซอว์ประมาณ 400,000 คนได้รับคำสั่งให้ย้ายไปยังชุมชนชาวยิว
    • 4: สหรัฐอเมริกาผ่านร่างกฎหมายยอมให้มีการค้าขายอาวุธกับรัฐใดก็ตามที่มีเงินจ่าย ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ประเทศฝั่งสัมพันธมิตร
    • 8: ฮิตเลอร์ได้กล่าวถึงการหนีในเหตุการณ์โรงเบียร์มิวนิกในปี 1923 ในวันนั้นกองทัพอากาศอังกฤษเข้าทิ้งระเบิดใส่เมืองมิวนิด
    200px-Talvisota_SB_Helsinki.png
    เครื่องบินโซเวียตทิ้งระเบิดกรุงเฮลซิงกิ ส่วนหนึ่งของสงครามฤดูหนาว - 30 พฤศจิกายน 1939


    200px-Admiral_Graf_Spee_Flames.jpg
    เรือรบเยอรมนี แอดมิรัล กราฟ สปีร์ ได้รับความเสียหายจากยุทธนาวีแม่น้ำปลาเต


    • 13: มีการระเบิดครั้งแรกในสหราชอาณาจักร บริเวณหมู่เกาะเชตแลนด์นอกชายฝั่งสกอตแลนด์ เกิดความเสียหายเล็กน้อย
    • 13: การเจรจาแนวชายแดนระหว่างฟินแลนด์และสหภาพโซเวียตล้มเหลว ฟินแลนด์สงสัยว่าฟินแลนด์อาจเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงระหว่างเยอรมนี-สหภาพโซเวียต
    • 14: รัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์หลบหนีไปยังกรุงลอนดอน
    • 16: กองทัพอากาศเยอรมันทิ้งระเบิดในเมือง Oakney ของสกอตแลนด์
    • 17: IRA ถูกกล่าวหาว่าก่อระเบิดขึ้นในลอนดอน
    • 20: กองทัพเยอรมันเริ่มต้นปฏิบัติการการทำเหมืองแร่ที่แม่น้ำเทมส์
    • 24: ญี่ปุ่นยึดเมืองหนานหนิงทางภาคใต้ของประเทศจีน
    • 26: สหภาพโซเวียตเริ่มเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนฟินแลนด์
    • 29: สหภาพโซเวียตยุติสัมพันธ์ทางการทูตกับฟินแลนด์
    • 30: "สงครามฤดูหนาว" สหภาพโซเวียตโจมตีฟินแลนด์
    เดือนธันวาคม
    • 1: สหภาพโซเวียตทำสงครามกับฟินแลนด์ กรุงเฮลซิงกิถูกทิ้งระเบิดทางอากาศ ช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ทหารฟินแลนด์ล่าถอยไปยังแนวแมนเนอร์ไฮม์ซึ่งเป็นแนวป้องกันเก่าบริเวณชายแดนภาคใต้ที่ติดกับสหภาพโซเวียต
    • 2: ฟินแลนด์ยื่นคำร้องต่อสันนิบาตชาติเพื่อให้ยุติสงครามฤดูหนาว ซึ่งสันนิบาตชาติเห็นด้วยที่จะให้โซเวียตถอนตัวแต่ถูกปฏิเสธ
    • 2: สหราชอาณาจักรกำหนดให้ชายอายุ 19 ถึง 41 ปี เข้าเกณฑ์ทหาร
    • 5: สหภาพโซเวียตโจมตีแนวแมนเนอร์เฮมรุนแรงขึ้น
    • 7: อิตาลีประกาศเป็นกลางอีกครั้ง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กประกาศเป็นกลางในกรณีพิพาทระหว่างฟินแลนด์-โซเวียต
    • 7: กรมทหารที่ 163 ของโซเวียตเคลื่อนทัพถึงหมู่บ้าน Suomussali ทางตะวันออกของฟินแลนด์ และต้องหยุดทัพไว้เนื่องจากความหนาวเหน็บ และถูกโจมตีโดยกรมทหารที่ 9ของฟินแลนด์ที่พยายามรักษาเส้นทางลำเลียงเสบียง ด้านกรมทหารที่ 44 ของโซเวียตเองก็ถูกตรึงเอาไว้เช่นกัน กรมทหารทั้งสองของโซเวียตพยายามฝ่าแนวต้านทานไปจนกระทั่งปลายปี ก่อนจะยอมจำนน
    • 11: สหภาพโซเวียตประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธวิธีหลายครั้ง
    • 12: เรืออังกฤษสองลำประทะกันนอกชายฝั่งของสกอตแลนด์
    • 13: ยุทธนาวีแม่น้ำปลาเต้ เรือลาดตระเวนหนักของอังกฤษ เอ๊กเตอร์ พร้อมด้วยเรือลาดตระเวนเบา อาเจ็กซ์ และ อาชิลลิสต์ เข้าปะทะกับเรือประจันบาน กราฟ สปีร์ ของเยอรมนี ณ ปากแม่น้ำปลาเต้ นอกชายฝังอุรุกวัย ไม่มีเรือลำใดจม กราฟ สปีร์ หนีไปได้
    • 14: สหภาพโซเวียตถูกถอดถอนจากการเป็นสมาชิกองค์กรสันนิบาตชาติ
    • 15: สหภาพโซเวียตปะทะกับฟินแลนด์ที่ Taipale
    • 16: กองพลที่ 7 ของโซเวียตเดินทางมาถึงแนวแมนเนอร์ไฮม์ และเริ่มปฏิบัติการเข้าตีครั้งใหญ่
    • 17: เรือกราฟสปีร์ของเยอรมันได้ออกจากมอนเตวิโอ ออกไปจากน่านน้ำอุรุกวัย พร้อมลูกเรืออีก 200 คน
    • 18: กองทัพแคนาดาหน่วยแรกเดินทางถึงยุโรป
    • 19: เยอรมันสามารถป้องกันการโจมตีทางอากาศของอังกฤษได้
    • 20: ฮันส์ แลงสตอร์ฟ ผู้บัญชาการเรือกราฟสปีร์ฆ่าตัวตาย
    • 23: กองทหารแคนนาดาจำนวน 7,500 นายเดินทางถึงอังกฤษ
    • 27: กองทัพอินเดียหน่วยแรกเดินทางถึงฝรั่งเศส
    • 28: สหราชอาณาจักรจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์
    • 29: ฟินแลนด์ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการทำลายกองทหารและยุทธโธปกรณ์ของฝ่ายโซเวียต
    • มกราคม
      • 1: ก่อตั้ง "สหประชาชาติ" โดยมีฝ่ายสัมพันธมิตร 26 ประเทศร่วมลงนามในการประกาศต่อต้านฝ่ายอักษะ เป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "สหประชาชาติ" แทนความหมายของฝ่ายสัมพันธมิตร
      • 2: มะนิลาถูกญี่ปุ่นยึดไว้ได้; ทหารอเมริกันล่าถอยไปยังคาบสมุทรบาตาน
      • 5: กองทัพแดงเริ่มการรุกคืบครั้งใหญ่ภายใต้การนำของนายพลเกออร์กี จูคอฟ
      • 6: ประธานาธิบดีโรสเวลต์ให้คำสัญญาจะช่วยเหลืออังกฤษมากขึ้น ทั้งด้านเครื่องบินและกำลังทหาร
      • 7: มอลตาถูกทิ้งระเบิดขนานใหญ่ ประมาณว่าปริมาณระเบิดที่ทิ้งบนเกาะคราวนี้มากเป็นสองเท่าของเมื่อครั้งโจมตีกรุงลอนดอน
      • 11: ญี่ปุ่นยึดกัวลาลัมเปอร์และมาลายา; ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับเนเธอร์แลนด์ และโจมตีหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์
      • 12: ญี่ปุ่นรุกรานอินโดนีเซีย ยกพลขึ้นบกที่เกาะเซลีเบส
      • 13: กองเรืออูของเยอรมนีเข้าใกล้ชายฝั่งสหรัฐอเมริกา
      • 19: ญี่ปุ่นจับตัวทหารชาวอังกฤษจำนวนมากเป็นนักโทษในสิงคโปร์
      • 24: ทัพอเมริกันขึ้นเกาะซามัว ซึ่งเป็นส่วนของแผนป้องกันการรุกคืบของญี่ปุ่นในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิก
      • 25: ประเทศไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร; ทัพญี่ปุ่นรุกรานหมู่เกาะโซโลมอน
      • 26: ทัพอเมริกันกลุ่มแรกไปถึงยุโรป โดยขึ้นฝั่งทางด้านเหนือของไอร์แลนด์
      • 27: กองทัพอังกฤษถอนกำลังทั้งหมดไปยังสิงคโปร์
      • 28: บราซิลตัดสัมพันธ์กับฝ่ายอักษะ
      • 30: ฮิตเลอร์ปราศรัยที่เบอร์ลิน สปอร์ต พาเลซเกี่ยวกับการทำลายล้างชาวยิว รวมถึงแจ้งว่า ความล้มเหลวในการบุกโซเวียตเนื่องมาจากสภาพอากาศไม่ดี
      • 31: เยอรมันถอนทัพจากแนวรบด้านตะวันออกหลายจุด
      กุมภาพันธ์
      • 1: กองทัพเยอรมันภายใต้การบัญชาการของนายพลรอมเมลยึดเมืองเอล กาซาลาที่ชายแดนลิเบีย
      • 2: นายพลโจเซฟ สติลเวล ได้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของเจียง ไคเช็ค ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพสัมพันธมิตรในประเทศจีน
      • 3: กองทัพอากาศญี่ปุ่นมุ่งไปโจมตีเกาะชวา
      • 8: กองทัพเยอรมันในสหภาพโซเวียตถูกขับออกจากเคิร์สค์ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในแผนการของเยอรมนี
      • 9: ทัพอังกฤษเสริมกำลังพลไปยังสิงคโปร์เพื่อเตรียมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
      • 9: ผู้นำทางทหารของสหรัฐอเมริกาประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา
      • 11:"การตีฝ่าช่องแคบ" เรือประจัญบานเยอรมัน ชาร์นฮอร์ชตและไกเซเนา พร้อมด้วยเรือลาดตระเวนหนัก พรินซ์ ยูจีน ได้แล่นออกจากแบร็สต์ผ่านช่องแคบอังกฤษเพื่อไปที่ท่าเรือตอนเหนือ รวมทั้ง Wilhelmshaven เยอรมนี หน่วยกองเรืออังกฤษได้ล้มเหลวในการจมเรือของพวกเขา
      เรือบรรทุกอากาศยาน ยูเอสเอส ซาราโตกา ได้โจมตีทำลายเรือดำน้ำของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า I-6 ด้วยระยะห่าง 480 ไมล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเพิร์ลฮาร์เบอร์
      • 15: สิงคโปร์ยอมจำนนต่อญี่ปุ่น เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของกองทัพอังกฤษ
      • 19: แคนาดาประกาศเกณฑ์ทหาร
      • 19: กองทัพอากาศญี่ปุ่นโจมตีดาร์วิน
      • 20: กองทัพญี่ปุ่นข้ามแม่น้ำสาละวิน; ญี่ปุ่นรุกรานบาหลีและติมอร์
      • 22: ประธานาธิบดีโรสเวลต์ออกคำสั่งให้นายพลดักลาส แมกอาเธอร์ถอนตัวออกจากฟิลิปปินส์
      • 23: เรือดำน้ำญี่ปุ่นไอ-17 โจมตีแผ่นดินใหญ่สหรัฐอเมริกาได้เป็นครั้งแรก โดยถล่มโรงกลั่นน้ำมันในเอลวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย
      • 25: การกักตัวพลเมืองชาวอเมริกัน-ญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากความวิตกที่เพิ่มมากขึ้น
      มีนาคม
      • 1: การรุกของกองทัพแดงในคาบสมุทรไครเมียเริ่มต้นขึ้น
      • 5: ได้มีการออกกฎหมายการเกณฑ์ทหารฉบับใหม่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งรวมไปถึงชายหญิงทุกคนจนถึงอายุ 45 ปี
      • 6: ญี่ปุ่นตีเมืองย่างกุ้งแตก
      • 11: นายพลดักลาส แมกอาเธอร์ได้รับคำสั่งให้ถอยออกจากฟิลิปปินส์ เขาได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นที่จดจำเอาไว้ว่า "แล้วผมจะกลับมา" (I shall return.); กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบนเกาะมินดาเนา
      • 14: กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบนหมู่เกาะโซโลมอน
      • 17: นายพลแมกอาเธอร์เดินทางมาถึงออสเตรเลีย
      • 25: กองทัพอากาศอังกฤษส่งเครื่องบินไปทำลายเป้าหมายหลายแห่งในฝรั่งเศสและเยอรมนี
      • 26: ชาวยิวในกรุงเบอร์ลินต้องระบุบ้านของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน
      • 28: กองทัพอากาศหลวงได้ถูกส่งไปโจมตีฉาปฉวยที่ลือเบค เมืองได้ถูกทำลายไปกว่า 30 % และศูนย์กลางยุคกลาง 80% ทำให้ฮิตเลอร์โกรธเป็นอย่างมาก
      หน่วยคอมมานโดอังกฤษได้เริ่มปฏิบัติการแชร์เรียท(Operation Chariot )โจมตีบนท่าเรือที่แซ็ง-นาแซร์ ฝรั่งเศส เรือ HMS Campbeltown ที่บรรจุไปด้วยระเบิดแบบสายชนวนตั้งเวลา, ได้พุ่งชนประตูเทียบท่าเรือและหน่วยคอมมานโดได้ทำลายส่วนอื่นๆของพื้นที่ทางทะเล ท่าเรือได้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถใช้งานได้จนถึงปี ค.ศ. 1947 อย่างไรก็ตาม จำนวนราวประมาณสอง-สามส่วนของกองกำลังจู่โจมต้องพบกับความสูญเสีย
      เมษายน
      • 2: กองทัพผสมอเมริกัน-ฟิลิปปินส์ถูกปิดล้อมที่คาบสมุทรบาตาน; กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่เกาะนิวกินี
      • 5: กองทัพเรือแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นโจมตีกรุงโคลัมโบ บนเกาะศรีลังกา
      • 8: กองทัพเยอรมันเริ่มการบุกในคาบสมุทรไครเมีย
      • 9: กองทัพญี่ปุ่นยึดครองคาบสมุทรบาตาน เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรถูกบังคับให้เดินเท้าไปยังค่ายกักกันทางตอนเหนือ
      • 10: กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่เกาะเซบู
      พฤษภาคม
      • 1: แมนดาเลและเมืองท่าอื่น ๆ ในพม่าอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
      • 4: ยุทธนาวีทะเลคอรอลเริ่มต้นขึ้น
      • 5: กองทัพอังกฤษเริ่มต้นปฏิบัติการไอรอนแคลด: เริ่มการบุกมาดากัสการ์ของวิชีฝรั่งเศส เพื่อป้องกันการโจมตีจากจักรวรรดิญี่ปุ่น
      • 12: กองทัพโซเวียตเริ่มต้นการโจมตีครั้งใหญ่ที่เมืองคาร์คอฟ
      • 20: ญี่ปุ่นยึดครองพม่าอย่างสมบูรณ์
      • 22: เม็กซิโกประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ
      • 26: ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาอังกฤษ-โซเวียต โดยทั้งสองฝ่ายตกลงว่าจะไม่มีการลงนามเป็นพันธมิตรกับชาติใด ๆ โดยต้องได้รับการรับรองจากอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน
      • 31: กองทัพเยอรมันได้รับชัยชนะที่เมืองคาร์คอฟ
      มิถุนายน
      • 4: ยุทธนาวีแห่งมิดเวย์เริ่มต้นขึ้น
      • 5: สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับบัลแกเรีย ฮังการีและโรมาเนีย
      • 12: กองทัพเยอรมันขับไล่กองทัพสัมพันธมิตรออกจากแนวกาซาลา
      • 18: โครงการแมนฮัดตันถูกก่อตั้งขึ้น ซึ่งได้นำไปสู่การผลิตระเบิดปรมาณูในเวลาต่อมา
      • 21: กองทัพเยอรมันสามารถยึดเมืองโทรบรุคคืนได้ กองทัพอังกฤษล่าถอยไปยังอียิปต์ด้วยขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ
      • 24: กองทัพอังกฤษล่าถอยไปยังเมืองเอล อาลาเมน ซึ่งอยู่ห่างจากนครอเล็กซานเดรีย 60 ไมล์ เพื่อเตรียมตัวต่อสู้ครั้งสุดท้าย
      • 26: กองทัพเยอรมันมุ่งหน้าไปยังเมืองรอสตอฟ
      • 28: ปฏิบัติการสีน้ำเงินเริ่มต้นขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะยึดครองสตาลินกราดและเทือกเขาคอเคซัส
      • 30: กองทัพเยอรมันเคลื่อนทัพมาถึงเอล อาลาเมน
      กรกฎาคม
      • 1: ยุทธการแห่งเอล อาลาเมนครั้งที่หนึ่งเริ่มต้นขึ้น เมื่อนายพลรอมเมลเริ่มการโจมตีแนวตั้งรับของอังกฤษเป็นครั้งแรก
      • 1: กองทัพเยอรมันสามารถยึดเมืองซาเวสโตปอลได้สำเร็จ เป็นการยุติการรบต้านทานของทหารโซเวียตในคาบสมุทรไครเมีย
      • 3: กองทัพญี่ปุ่นยึดเกาะกัวดาคาแนล
      • 11: กองทัพเยอรมันหยุดชะงักที่เอล อาลาเมน เนื่องจากขาดแคลนเครื่องกระสุน
      • 24: กองทัพเยอรมันยึดเมืองรอสตอฟ-ดอน-วอน กองทัพโซเวียตล่าถอยไปตามแม่น้ำดอน
      สิงหาคม
      • 8: ยุทธนาวีเกาะซาโวเกิดขึ้นใกล้กับเกาะกัวดาคาแนล เรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง
      • 9: มหาตมะ คานธีถูกจับกุมตัว เนื่องจากการก่อจลาจลในอินเดีย
      • 13: พลโท เบอร์นาร์ต มอนโกเมอรี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่แปดแห่งสหราชอาณาจักรในแอฟริกาเหนือ
      • 22: บราซิลประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายอักษะจำนวน 6 ประเทศ
      • 27: จอมพล เกออร์กี จูคอฟ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการการป้องกันในนครสตาลินกราด; สตาลินกราดถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักจากกองทัพอากาศเยอรมัน
      • 30: ยุทธการแห่งอลาม เอล ฮัลฟา ไม่ไกลจากเอล อาลาเมนเกิดขึ้น เป็นความพยายามที่จะเจาะทะลุแนวป้องกันของอังกฤษ
      • 30: ลักเซมเบิร์กถูกผนวกเข้ากับเยอรมนีอย่างเป็นทางการ
      กันยายน
      • 13: นครสตาลินกราดถูกปิดล้อมโดยกองทัพเยอรมัน; นายพล วาซิลี ซุยคอฟ ได้รับแต่งตั้งให้บัญชาการการป้องกันเมือง
      • 18: กองทัพเยอรมันบางส่วนถูกผลักดันออกไป; ทหารโซเวียตส่งกำลังข้ามแม่น้ำโวลก้าในยามค่ำคืน
      • 23: นายพลรอมเมลถูกส่งกลับเยอรมนีเพื่อรักษาตัว
      ตุลาคม
      • 11: ยุทธนาวีแห่งแหลมเอสเปอเรนซ์ ทางชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกัวดาคาแนล กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาสามารถขัดขวางการเสริมกำลังทางเรือของญี่ปุ่นได้
      • 12: การรุกของกองทัพเยอรมันในสตาลินกราดหยุดชะงัก
      • 18: ฮิตเลอร์ออกคำสั่งคอมมานโด โดยให้ประหารหน่วยคอมมานโดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกจับได้ในทันที
      • 22: การเกณฑ์ทหารในสหราชอาณาจักรถูกจำกัดอายุลงเหลือ 18 ปี
      • 23: ยุทธการแห่งเอล อาลาเมนครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดที่ตั้งของกองทัพเยอรมันอย่างหนัก
      • 25: นายพลรอมเมลถูกส่งกลับไปบัญชาการรบที่เอล อาลาเมน แม้ว่าจะยังไม่หายจากอาการเจ็บป่วย
      • 26: ยุทธนาวีแห่งซานตา ครูซเริ่มต้นขึ้น
      • 29: ฝ่ายญี่ปุ่นได้เสริมกำลังของตนไปยังเกาะกัวดาคาแนล
      • 31: ยานเกราะฝ่ายสัมพันธมิตรเจาะผ่านแนวตั้งรับของเยอรมนี ทุ่งระเบิดไม่ประสบผลในการรุกครั้งนี้
      พฤศจิกายน
      • 1: ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มตีฝ่าออกจากเอล อาลาเมน
      • 3: กองทัพเยอรมันล่าถอยจากเอล อาลาเมนในยามค่ำคืน
      • 8: ปฏิบัติการคบเพลิง: ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่อัลจีเรียและโมร็อกโก
      • 10: นาซีเยอรมนีรุกรานวิชีฝรั่งเศส เนื่องจากได้มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายสัมพันธมิตร
      • 10: พลโทมอนโกเมอรีเริ่มต้นการบุกที่โซลลุมตามแนวชายแดนลิเบีย-อียิปต์; เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวินและเลื่อนยศขึ้นเป็นพลเอก
      • 13: กองทัพที่แปดแห่งสหราชอาณาจักรปลดปล่อยนครโทรบรุค
      • 15: แม้ว่ากองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจะประสบความสูญเสียใหญ่หลวงในยุทธนาวีรอบเกาะกัวดาคาแนล แต่ยังคงควบคุมน่านน้ำได้อยู่
      • 15: กองทัพอังกฤษมุ่งหน้าต่อไปยังตูนิเซีย
      • 19: กองทัพโซเวียตภายใต้การบัญชาการของจอมพล เกออร์กี จูคอฟ เริ่มต้น ปฏิบัติการยูเรนัส โดยมีเป้าหมายเพื่อโอบล้อมกองทัพเยอรมันในสตาลินกราด
      • 25: กองทัพเยอรมันถูกปิดล้อมที่นครสตาลินกราด; ฮิตเลอร์สั่งให้นายพลพอลลัสห้ามถอยออกจากนคร
      มกราคม 1943
      • 2: ชาวญี่ปุ่นอพยพออกจาก บูนา นิวกีนี ได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากต่อสู้ยืดเยื้อดุเดือดกว่าสองเดือน แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของแผนปฏิบัติการของสหรัฐฯ
      • 7: ทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเพิ่มเติมที่ Lae นิวกีนี
      • 10: ทัพโซเวียตเริ่มการโจมตีครั้งใหม่ที่สตาลินกราด และเริ่มการโจมตีใหม่ทางเหนือ (เลนินกราด) รวมถึงคอเคซัส
      • 13: สหภาพโซเวียตรีบประกาศล่วงหน้าว่าการปิดล้อมเลนินกราดได้รับการปลดปล่อยแล้ว
      • 14: การประชุมที่คาซาบลังกา ระหว่างเหล่าผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มต้นขึ้น เชอร์ชิลล์ กับ โรสเวลต์ หารือเพื่อหาข้อสรุปผลการรุกรานแผ่นดินใหญ่ของยุโรป การรุกรานซิซิลีและอิตาลีที่กำลังจะเกิดขึ้น และข้อตกลงว่าด้วย "การยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข"
      • 15: ทัพอังกฤษเริ่มต้นการรุกรานใหม่ยังทริโปลี
      • 16: อิรักประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ
      • 16: กองทัพอากาศอังกฤษเริ่มต้นการโจมตีทิ้งระเบิดใส่กรุงเบอร์ลินติดต่อกันสองคืน
      • 18: ชาวยิวในกรุงวอร์ซอว์ลุกฮือขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อจลาจลในโปแลนด์
      • 18: ชาวเมืองเลนินกราดได้รับการปลดปล่อยจากกองทัพโซเวียต
      • 19: นายพล กิออร์กี้ ชูคอฟ ได้เลื่อนขั้นเป็นจอมพล เนื่องจากการโจมตีสตาลินกราดใกล้สิ้นสุด
      • 21: สนามบินแห่งสุดท้ายในสตาลินกราดถูกกองทัพแดงยึดครองได้ ทำให้กองกำลังทางอากาศไม่สามารถส่งเสบียงสนับสนุนให้แก่กองทัพเยอรมันได้อีก ฮิตเลอร์ยังคงสั่งการให้พอลลัสทำการรบต่อ
      • 21: กองทัพแดงได้รับชัยชนะต่อเนื่องที่คอเคซัส และเข้ายึด Vitebsk ไว้ได้
      • 23: ทัพสัมพันธมิตรยึดทริโปลี ในลิเบียไว้ได้
      • 23: ทัพญี่ปุ่นยังคงต่อสู้ที่เกาะกัวดาคาแนล แต่ดูจะยกเลิกการปฏิบัติการปาปัวแล้ว
      • 24: กองทัพเยอรมันในสตาลินกราดใกล้จะพ่ายแพ้
      • 26: กองกำลังฝรั่งเศสยกเข้าทริโปลี
      • 27: เครื่องบินรบอเมริกัน 50 ลำเริ่มการโจมตีเยอรมนี (เป้าหมายแรกคือ Wilhelmshaven ซึ่งเป็นฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุด)
      • 28: เยอรมนีเริ่มเกณฑ์ทหารใหม่อีกรอบ โดยเปิดรับชายอายุระหว่าง 16 ถึง 35 และหญิงอายุระหว่าง 17 ถึง 45
      • 29: ยุทธนาวีที่เกาะเรนเนล (The naval battle of Rennel Island) ใกล้กับเกาะกัวดาคาแนล เรือรบชิคาโกอับปาง
      • 29: การโจมตีเบอร์ลินติดต่อกันอีกครั้งโดยกองทัพอากาศอังกฤษ
      • 30: ญี่ปุ่นอพยพออกจากเกาะกัวดาคาแนล ได้หมดด้วยแผนอพยพที่ชาญฉลาดโดยทางฝ่ายอเมริกันไม่สามารถตรวจจับได้
      • 31: กองกำลังส่วนใหญ่ของกองทัพที่ 6 ของเยอรมนีที่สตาลินกราด รวมทั้งจอมพลพอลลัส ยอมจำนน
      กุมภาพันธ์ 1943
      • 2: การรบที่สตาลินกราดสิ้นสุดลงโดยการยอมจำนนอย่างเป็นทางการของกองทัพที่ 6 แห่งเยอรมนี
      • 2: รอมเมลถอนทัพออกไปทางตูนิเซีย และเริ่มสร้างแนวป้องกันใหม่ที่ Mareth กองทัพสัมพันธมิตรเคลื่อนพลไปยังตูนิเซียเป็นครั้งแรกภายในเวลา 2 วัน
      • 5: ฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองลิเบียไว้ได้โดยสมบูรณ์
      • 5: Essen ถูกทิ้งระเบิด เป็นจุดเริ่มต้นการโจมตีกว่า 4 เดือน ต่อเขตอุตสาหกรรมในแคว้น Ruhr เยอรมัน
      • 7: มีการประกาศในสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการปันส่วนรองเท้า เริ่มต้นในอีก 2 วันข้างหน้า
      • 8: กลุ่ม Chindits ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพอังกฤษ Orde Wingate เริ่มต้นการรุกรานพม่า
      • 8: เนือร์นแบร์กถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก
      • 9: เกาะกัวดาคาแนลถูกยึดครองโดยสมบูรณ์ นับเป็นความสำเร็จครั้งแรกสุดของกองทัพอเมริกัน ในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิก
      • 9: การรบที่เคิร์สค์ (The Battle of Kursk) เริ่มต้นขึ้น กองทัพแดงเข้ายึด Belgorod
      • 9: มิวนิกและเวียนนาถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก เช่นเดียวกันกับกรุงเบอร์ลิน
      • 11: นายพลแห่งกองทัพสหรัฐฯ ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ได้รับเลือกให้บัญชาการกองทัพสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป
      • 13: จอมพลรอมเมลเริ่มการตีโต้ต่อกองทัพอเมริกัน ในทางตะวันตกของตูนิเซีย เข้ายึด Sidi bou Zid และ Gafsa เริ่มต้นการรบที่ช่องแคบแคสเซอรีน (The Battle of the Kasserine Pass) กองกำลังอเมริกันซึ่งไร้ประสบการณ์ถูกบีบให้ถอยทัพไปในเวลาไม่นานนัก
      • 14: Rostov-on-Don ได้รับการปลดปล่อยโดยกองทัพแดง
      • 16: สหภาพโซเวียตได้ชัยชนะที่ Kharkov อีกครั้ง แต่ต่อมาถูกตีโต้กลับออกมาในการรบที่คาร์คอฟครั้งที่สาม
      • 18: การปราศรัยที่ Berlin Sportpalast โดยรัฐมนตรีประชาสัมพันธ์ของเยอรมนี Joseph Goebbels ได้ประกาศ "สงครามเบ็ดเสร็จ" กับฝ่ายสัมพันธมิตร พรรคนาซีได้จับกุมบรรดาสมาชิกของ White Rose movement และกลุ่มยุวชนที่ต่อต้านนาซี
      • 18: กลุ่ม Chindits ตัดขาดเส้นทางรถไฟระหว่างเมืองมัณฑะเลย์ กับ Myitkyina
      • 21: อเมริกันยึดหมู่เกาะรัสเซล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Solomons chain ไว้ได้
      • 26: Rommel ถอนกำลังกลับขึ้นไปทางเหนือจากแนวป้องกัน Mareth ในตูนิเซีย
      • 28: เรือ SS United Victory ซึ่งเป็น เรือ Victory ลำแรก ถูกปล่อยออกมา ซึ่งทำให้เพิ่มความสามารถในการขนส่งคนและเสบียงข้ามมหาสมุทรอย่างมาก
      • 28: ปฏิบัติการกันเนอร์ไซด์ (Operation Gunnerside) ชาวนอร์เวย์ 6 คนนำโดย Joachim Ronneberg สามารถโจมตีโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Vemork ได้สำเร็จ
      มีนาคม 1943
      • 3: เรือลำเลียงพลของญี่ปุ่น 8ลำ พร้อมเรือพิฆาต 4 ลำ ที่เดินทางจากลาเอล สู่ราวาล ถูกกองบินผสมอเมริกา/ออสเตรเลีย เข้าโจมตีและจมที่ช่องแคบเดมเปอร์ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เทคนิก"การทิ้งระเบิดแบบสะท้อนผิวน้ำ"ถูกนำมาใช้
      มกราคม 1944
      220px-1944-01-01GerWW2BattlefrontAtlas.jpg
      สภาพการรบในทวีปยุโรป (ซ้าย) และในมหาสมุทรแปซิฟิก (ขวา) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944

      • 4: ยุทธการ Monte Cassino เริ่มต้น
      • 4: กองทัพยูเครนที่ 1 ของกองทัพแดง บุกเข้าถึงโปแลนด์
      • 9: กองทัพอังกฤษเข้ายึดครอง Maungdaw เมืองท่าสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศพม่า
      • 11: การรบครั้งแรกของยุทธการ Monte Cassino ทัพอเมริกันประสบความล้มเหลว
      • 12: เคานต์ Ciano รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี และบุตรเขยของมุสโสลินี ถูกประหาร
      • 17: กองทัพอังกฤษในอิตาลีเดินทัพข้ามแม่น้ำ Garigliano
      • 19: กองทัพแดงรุกคืบไปทางตะวันตกเข้าสู่กลุ่มประเทศบอลติก
      • 20: กองทัพอากาศอังกฤษทิ้งระเบิด 2,300 ตันเหนือกรุงเบอร์ลิน
      • 20: กองทหารราบที่ 36 ของสหรัฐอเมริกาในอิตาลี ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในการพยายามข้ามแม่น้ำ Rapido
      • 22: ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มปฏิบัติการ Shingle เข้ายึด Anzio ในอิตาลี กองทหารราบที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาต้านทานการโจมตีที่ Anzio อยู่นานถึง 4 เดือน โดยที่กองปืนของเยอรมันรุกใกล้จะถึงชายหาด
      • 24: ทัพสัมพันธมิตรพ่ายแพ้ในการพยายามข้ามแม่น้ำ Rapido
      • 29: กองกำลังอเมริกันยกพลขึ้นบกที่หมู่เกาะ Admiralty ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิวกีนี
      • 30: กองทัพสหรัฐเข้ารุกราน Majuro ในหมู่เกาะมาร์แชล
      • 31: กองกำลังอเมริกันขึ้นบกที่เกาะ Kwajalein และเกาะอื่นๆ ในหมู่เกาะมาร์แชลซึ่งอยู่ในอาณัติของญี่ปุ่น
      • 31: กองกำลังอเมริกันยังคงพยายามป้องกันหัวหาดที่ Anzio
      กุมภาพันธ์ 1944
      • 3: การยึดครองหมู่เกาะมาร์แชลของกองทัพอเมริกันใกล้จะสมบูรณ์
      • 8: แผนการบุกฝรั่งเศสของฝ่ายสัมพันธมิตร ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด ได้รับการอนุมัติ
      มีนาคม 1944
      • 1: กลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์เริ่มการตอบโต้ทางตอนเหนือของอิตาลี
      • 6-7: กองทัพอากาศโซเวียตโจมตีนาร์วา (Narva) และทำลายเมืองลงได้
      • 7: ญี่ปุ่นเริ่มรุกรานเข้าสู่อินเดีย เกิดสงครามรอบ Imphal เป็นเวลา 4 เดือน
      • 8: กองทัพแดงรุกคืบไปทางตะวันตกจาก Dnieper ในยูเครน ทำให้ทัพเยอรมันต้องถอยทัพไปมาก
      • 9-19: กองทัพอากาศโซเวียตทิ้งระเบิดทางอากาศใส่เมือง Tallinn ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 800 คน
      • 17: มีการทิ้งระเบิดใส่เมืองเวียนนาอย่างหนัก
      • 21: ฟินแลนด์ปฏิเสธข้อตกลงสันติภาพของโซเวียต
      • 22: แฟรงก์เฟิร์ตถูกทิ้งระเบิดหนักและมีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก
      • 24: Orde Wingate เสียชีวิตจากเครื่องบินตก
      • 24: หลายเมืองในเยอรมนีถูกทิ้งระเบิดติดต่อกันเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง
      • 28: ทัพญี่ปุ่นถอนกำลังออกจากพม่า
      เมษายน 1944
      • 3: เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเมืองบูดาเปสต์ในฮังการี และเมืองบูคาเรสต์ในโรมาเนีย ซึ่งอยู่ในอาณัติของเยอรมันในเวลานั้น
      • 4: นายพล Charles de Gaulle เข้าบัญชาการกองกำลังอิสระของฝรั่งเศส
      • 6: ทัพญี่ปุ่นรุกคืบเข้าที่ราบของ Imphal โดยที่ฝ่ายอังกฤษไม่สามารถต้านทานไว้ได้
      • 12: ทัพเยอรมันถอนตัวออกจาก Crimea
      • 14: Crimea และ Odessa ได้รับการปลดปล่อยโดยกองกำลังโซเวียต
      • 17: ทัพอากาศสหรัฐฯ ลงที่เมืองมินดาเนา ทางใต้ของฟิลิปปินส์
      • 17: ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าสู่แผ่นดินจีนตอนกลาง และมุ่งหน้าลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนซึ่งเป็นฐานทัพอากาศขนาดใหญ่ที่ทัพอเมริกันตั้งมั่นอยู่
      • 17: Yalta เมืองท่าสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Crimea ถูกกองทัพแดงยึดไว้ได้
      • 21: รัฐบาล Badoglio ของอิตาลีถูกโค่นลง แต่เขารีบจัดตั้งคณะใหม่ขึ้นทันที
      • 21: การทิ้งระเบิดอย่างหนักในกรุงปารีส ทำให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก
      • 22: เครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ โจมตีนิวกีนีโดยทั่วไป ทหารสหรัฐฯ สามารถขึ้นยึด Hollandia และ Aitape ทางตอนเหนือของนิวกีนีได้ ทำให้ทัพญี่ปุ่นในนิวกีนีถูกตัดขาดจากภายนอก
      • 24: กองกำลังอังกฤษตีฝ่าเปิดทางจาก Imphal ไปยัง Kohima ในอินเดียได้
      • 27: โศกนาฏกรรม Slapton Sands : ทหารอเมริกันถูกสังหารระหว่างการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมการสำหรับวันดีเดย์ ที่เมือง Slapton ใน Devon
      • 30: การเตรียมการครั้งใหญ่สำหรับวันดีเดย์ ตลอดทั่วทางใต้ของประเทศอังกฤษ
      .

      พฤษภาคม 1944
      • 6: ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดขนานใหญ่บนแผ่นดินใหญ่ เพื่อเตรียมการสำหรับวันดีเดย์
      • 8: กำหนดวันดีเดย์สำหรับปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด เป็นวันที่ 5 มิถุนายน
      • 9: เกิดการรบใหญ่ที่ "แนวกุสตาฟ" ใกล้ มอนติคาสิโน
      • 12: ทัพจีนยกพลจำนวนมากเข้ารุกรานตอนเหนือของพม่า
      • 18: การรบที่มอนติคาสิโนสิ้นสุดลงโดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ ทหารโปแลนด์แขวนธงสีแดงและขาวบนซากปรักหักพังของเมือง ทัพเยอรมันถอยออกไป
      • 18: การต้านทานครั้งสุดท้ายของทัพญี่ปุ่นที่หมู่เกาะ Admiralty ในนิวกีนีสิ้นสุดลง
      • 21: ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดหนักขึ้นในเขตแดนฝรั่งเศสเพื่อเตรียมการสำหรับวันดีเดย์
      • 27: ทัพอเมริกันขึ้นยึด Biak เกาะในนิวกีนีซึ่งเป็นฐานทัพสำคัญของญี่ปุ่น แต่ฝ่ายญี่ปุ่นยังดิ้นรนต่อสู้ยืดเยื้อจนถึงเดือนสิงหาคม
      • 31: ญี่ปุ่นถอนทัพออกจาก Imphal (ในอินเดีย) โดยได้รับความสูญเสียอย่างหนัก การรุกรานอินเดียเป็นอันสิ้นสุด
      มิถุนายน 1944
      • 5: รุ่งสางพลร่มอเมริกันกระโดดร่มลง นอร์ม็องดี เพื่อก่อกวรแนวหลังของเยอรมันก่อนการยกพลขึ้นบก
      • 5: กองทัพสัมพันธมิตรส่วนแรกสุด ยกพลขึ้นบกที่ นอร์ม็องดี
      • 6: เริ่มการรบที่นอร์ม็องดี วันดีเดย์ของปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด พลทหารกว่า 155,000 คนของทัพสัมพันธมิตรขึ้นฝั่งที่นอร์ม็องดี ประเทศฝรั่งเศส
      • 10: พลเรือน 642 คนถูกสังหารที่ Oradour-sur-Glane เมืองเล็กๆ ในฝรั่งเศส
      • 10: พลเรือน 218 คนถูกสังหารที่ Distomo massacre ในกรีซ
      • 22: ปฏิบัติการเบเกรชัน (Operation Bagration) : ทัพโซเวียตขับไล่เยอรมันออกจากเมืองเบลารุส
      กรกฎาคม 1944
      • 7: ทัพโซเวียตบุกถึงเมืองวิลนา ในลิทัวเนีย
      • 24: "ปฏิบัติการคอบรา" (Operation Cobra) ดำเนินการเต็มรูปแบบ
      สิงหาคม 1944
      • 1 : กองทัพสัมพันธมิตรยึดเมือง Saint-Hilaire-du-Harcouet ในฝรั่งเศส
      • 1: เกิดการจลาจลในกรุงวอซอร์ เมืองหลวงของโปแลนด์
      • 3 : กองทัพสัมพันธมิตรยึดเมือง Myitkyina ในพม่า
      • 4 : กองทัพสัมพันธมิตรเข้าถึงชานเมือง Florence ในอิตาลี

     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    • เดือนมกราคมเดือนกุมภาพันธ์
      • 3 กองทัพสหรัฐเข้าสู่มะนิลา
      • 4 เริ่มการประชุมยอลต้า และกองทัพเยอรมันล่าถอยจากเบลเยี่ยม
      • 9 แนวต้านของเยอรมันแห่งสุดท้ายแตกจากแม่น้ำไรน์
      • 13 กรุงบูดาเปสต์ถูกปลดปล่อยโดยกองทัพโซเวียต
      • 13-14 การทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ต่อเมืองเดรสเดน
      • 19 กองทัพอเมริกันยกพลขึ้นบกที่เกาะอิโวจิมา
      • 28 กองทัพอเมริกันสามารถปลดปล่อยมะนิลาได้สำเร็จ
      เดือนมีนาคม
      • 6 กองทัพเยอรมันโจมตีกองทัพโซเวียตในฮังการี
      • 7 กองทัพอเมริกันเดินเท้าข้ามสะพานเรมาเกนสู่แผ่นดินเยอรมนี
      • 16 กองทัพเยอรมันพ่ายในฮังการีอีกครั้ง
      • 20 ก็อดฮาร์ด ฮินริชี่ เป็นแม่ทัพป้องกันเบอร์ลินในแนวรบด้านตะวันออก
      • 27 กองทัพพันธมิตรตะวันตกชะลอการบุกของตน และปล่อยให้กองทัพโซเวียตยึดกรุงเบอร์ลิน
      • 29 กองทัพโซเวียตเข้าประเทศออสเตรีย ส่วนกองทัพพันธมิตรตะวันตกยึดเมืองแฟรงก์เฟิร์ต
      • 30 กองทัพโซเวียตตีได้เมืองดันซิก
      • 31 นายพลดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวน์ ออกอากาศและเรียกร้องให้เยอรมนียอมแพ้
      เดือนเมษายน
      • 1 เริ่มยุทธการโอกินาวา กองทัพสหรัฐยกพลขึ้นบกที่เกาะโอกินาวา ของญี่ปุ่น
      • 2 กองทัพโซเวียตเข้าโจมตีกรุงเวียนนา
      • 7 เรือประจัญบานยามาโตะ ของญี่ปุ่น ถูกยิงจมลงที่ทะเลจีนตะวันออก
      • 9 การรบที่ Königsberg สิ้นสุดลงโดยโซเวียตเป็นฝ่ายชนะ
      • 11 ฝูงบินกามิกาเซ ของญี่ปุ่น บุกโจมตีกองเรือของสหรัฐฯ ที่โอะกินะวะ อย่างต่อเนื่อง
      • 12 ประธานาธิบดีแฟลงกลิน ดี. โรสต์เวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา ถึงแก่อสัญกรรม แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
      • 13 โซเวียตได้ชัยที่กรุงเวียนนา
      • 14 มีการทิ้งระเบิดใส่กรุงโตเกียวอย่างหนัก
      • 25 วันเอลเบ (Elbe Day) : ทัพโซเวียตกับทัพอเมริกันบรรจบกันที่แม่น้ำเอลเบ ใกล้เมือง Torgau ในเยอรมนี
      • 27 มุสโสลินีถูกจับกุมตัว โดยกองกำลังปาร์ติซานของพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี ที่บริเวณใกล้ชายแดนอิตาลี-สวิสเซอร์แลนด์ ในขณะที่เขาพยายามจะหลบหนีออกจากอิตาลี
      • 28 มุสโสลินีถูกประหารชีวิตด้วยข้อหาทรยศต่อชาติ โดยคำตัดสินลับหลังของคณะลูกขุนแห่งคณะกรรมการปลดแอกแห่งชาติ ร่างของมุสโสลินี ภรรยาน้อย และผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์คนอื่นๆ อีกประมาณ 15 คน ได้ถูกนำไปยังเมืองมิลาโน เพื่อแขวนประจานต่อสาธารณชน
      • 29 ฮิตเลอร์แต่งงานกับอีวา บราวน์
      • 30 ฮิตเลอร์กับภรรยาฆ่าตัวตาย โดยใช้ทั้งยาพิษและปืน โจเซฟ เกบเบิลส์ได้ขึ้นเป็นมุขมนตรีแห่งไรซ์ และพลเรือเอก คาร์ล เดอนิตช์ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งไรซ์
      เดือนพฤษภาคม[แก้]
      220px-News._V.E._Day_BAnQ_P48S1P12270.jpg
      Montreal Daily Star: "Germany Quit", 7 พฤษภาคม 2488 (ค.ศ. 1945)

      • 1 การรบในอิตาลีสิ้นสุดลง
      • 3 ย่างกุ้ง เป็นอิสระ
      • 5 ทหารเยอรมันในเนเธอร์แลนด์ยอมจำนนอย่างเป็นทางการ
      • 5 เดนมาร์ก ได้รับการปลดปล่อยโดยทัพสัมพันธมิตร
      • 7 นาซีเยอรมนียอมจำนนอย่างไม่เป็นทางการ โดยประธานาธิบดีคาร์ล เดอนิตช์
      • 8 การหยุดยิงเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 0.01 น. และเป็นวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรป
      • 8 นาซีเยอรมนียอมจำนนอย่างเป็นทางการ
      • 11 กองบัญชาการกองทัพกลุ่มกลางของเยอรมนีในเชโกสโลวาเกียยอมจำนน สงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปยุติลง
      • 14 เมืองนะโงะยะ ในญี่ปุ่น ถูกโจมตีอย่างหนัก
      • 23 มีการทิ้งระเบิดอย่างหนักที่เมืองโยโกฮามา ซึ่งเป็นเมืองท่าและฐานทัพเรือที่สำคัญของญี่ปุ่น
      เดือนมิถุนายน
      • 5 เกิดไต้ฝุ่นในแปซิฟิก ทำลายทัพเรืออเมริกันในบังคับบัญชาของพลเอก ฮัลซีล กองเรือได้รับความเสียหายอย่างมาก
      • 6 ฝ่ายสัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงในการแบ่งเยอรมนีออกเป็นสี่ส่วน
      • 15 เมืองโอซะกะ ในญี่ปุ่น ถูกโจมตีอย่างหนัก
      • 16 ทัพญี่ปุ่นถอนกำลังออกจากประเทศจีน
      • 26 มีการลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ซานฟรานซิสโก
      เดือนกรกฎาคม
      • 4 พลเอก ดักลาส แมคอาเธอร์ ประกาศว่าฟิลิปปินส์ได้เป็นอิสระแล้ว
      • 6 นอร์เวย์ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น
      • 14 อิตาลีประกาศสงครามกับญี่ปุ่น
      • 16 สหรัฐอเมริกาทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ที่นิวเม็กซิโก
      • 17 เริ่มต้นการประชุมที่พอตสดัม ผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงร่วมกันในเจตจำนงให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
      • 24 ระหว่างการประชุมที่พอตสดัม ประธานาธิบดีทรูแมนบอกเป็นนัยให้ทุกฝ่ายทราบว่า สหรัฐอเมริกามีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
      • 28 เรือประจัญบานฮารุนะ ของญี่ปุ่น ถูกจมลงโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ
      • 30 เรือรบอินเดียนาโปลิส ถูกจมลงภายหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย โดยเรือดำน้ำของญี่ปุ่น หลังจากได้ส่งมอบส่วนประกอบระเบิดนิวเคลียร์
      • 31 กองทัพอากาศสหรัฐโจมตีเมืองโคเบะและนะโงะยะ
      เดือนสิงหาคม
      220px-Nagasakibomb.jpg
      เมฆรูปเห็ดสูงกว่า 18 กิโลเมตร เป็นผลจากระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองนะงะซะกิ

      เดือนกันยายน
      • 2 ญี่ปุ่นลงนามในสัญญายอมจำนน บนดาดฟ้าเรือรบมิสซูรี ในอ่าวโตเกียว
      • 5 สิงคโปร์ ได้เป็นอิสระอย่างเป็นทางการ โดยการปลดปล่อยของกองกำลังอังกฤษ
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เมื่อสหรัฐอเมริกาขู่จะคว่ำบาตรจีน
    จีนจะทำตามต้องการ โดยไม่กลัวถูกคว่ำบาตรจาก สหรัฐ!

    การคว่ำบาตร (อังกฤษ: boycott) หมายถึง การยุติการติดต่อกันในมิติใดมิติหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการลงโทษ ต่อรอง หรือเพื่อตักเตือน โดยที่มาของคำว่าคว่ำบาตรในภาษาไทยมาจากศัพท์ในพระไตรปิฎกเถรวาท แต่ส่วนใหญ่คำว่าคว่ำบาตรในประเทศไทยนั้นมักถูกใช้แทนความหมายของคำว่า boycott ในภาษาอังกฤษ ที่เป็นความหมายในด้านการค้าหรือการเมือง

    การคว่ำบาตร (boycott หรือ บอยคอต) ในทางการค้า มักจะใช้ในระดับการค้าระหว่างประเทศ โดยกลไกการคว่ำบาตรอาจจะมีทั้ง การไม่ยอมขายสินค้าหรือบริการให้ประเทศคู่ค้า หรือไม่ซื้อสินค้าหรือบริการจากประเทศคู่ค้า หรืออาจจะทั้งสองกรณีก็ได้ การคว่ำบาตรในความหมายทางการค้าจึงถือได้ว่าเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่ร้ายกาจอย่างหนึ่ง เพื่อใช้ต่อรองให้คู่กรณีจำยอมในข้อตกลงด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการทูต การเมือง วัฒนธรรม การทหาร หรือแม้แต่ด้านการค้า เนื่องเพราะทุกประเทศในโลกต้องค้าขายกัน เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่ตนเองไม่สามารถผลิตเองได้ หรือผลิตได้ไม่พอกับความต้องการในประเทศ

    คว่ำบาตร ที่ใช้ในเชิงเศรษฐกิจ มาจากคำว่า Boycott ในภาษาอังกฤษ โดยเดิมนั้นเป็นนามสกุลของ กัปตันชาร์ลส์ คันนิ่งแฮม บอยคอต ซึ่งเป็นคนแรกที่ถูกคว่ำบาตร ไม่คบหาสมาคมด้วย สาเหตุของการที่กัปตันบอยคอต เป็นคนแรกในโลกที่ถูกคว่ำบาตร เนื่องมาจากว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินให้เช่ารายใหญ่ในไอร์แลนด์ แต่ว่ากันว่า กัปตันบอยคอตไล่ผู้เช่าที่ดินทำกินออกจากที่อย่างไร้เมตตา ชาวบ้านจึงรวมตัวกันประท้วงไม่ยอมทำงานให้ ไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้นและไม่คบหาสมาคมกับครอบครัวนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1880 แล้ว แต่ชื่อของเขาก็ยังถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องยาวนานจนกลายเป็นศัพท์เฉพาะจนถึงปัจจุบัน

    ในชีวิตจริง ใครเล่นลูกไม้มาก จนทำให้อีกฝ่ายหมดความอดทน

    ตอนนั้นล่ะ! การ
    เอาคืนอย่างสาสม จึงบังเกิด สู้ไม่ได้ก็สู้แค่ตาย! แค่นั้น!


    ถ้าการคว่ำบาตรทำให้ประชาชนในประเทศจีน เกิดความลำบากทุกข์ยากถึงขั้นถึงชีวิตแล้วล่ะก็ เชื่อว่า คงจะมี ภาษาจีน สุภาษิตจีน "ถ้าข้าตาย เจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอด" ออกมาอย่างแน่อน!

    不, 要走一起走! 要死 一起死!
    ไม่ จะไปก็ไปด้วยกัน จะตายก็ตายด้วยกัน อะไรประมาณนี้!


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2020
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ตั้งปี 2700 คือไม่เกินปี 2800
    ถ้าเป็นดังนั้นจริง อย่างเร็วที่สุด โดย นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป !ภายในห้วงเวลาอีก
    235 ปี ต่อจากนี้ จะรบกันยาวแล้วก็ เละ! จนถึงขั้นจะต้องมาฟื้นฟูกันทีเดียว เป็นห้วงเวลาระมัดระวัง สงครามโลกครั้งที่ 3


    พระเจ้าธรรมิกราชร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป

    บูรณะวัดเพื่อสืบศาสนา แสดงว่า เสียหาย ละลายเพียบ วัดนี้จึงโดดเด่นที่สุด !

    235+2563 + 2798
    235+2503 + 2738

    แผ่นจารึกใต้พระประธานในพระอุโบสถ

    เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็น
    ผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
    สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไป
    แล้ว ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
    นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก
    เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
    คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้
    เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว

    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธาน
    ในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
    สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๙

    ถ้าเป็น 2738 - 2798 น่ะนะ

    ปล.ยามนั้น ข้าพเจ้า ผู้เขียนเพ้อเจ้อไว้ตรงนี้คงตายแล้ว ถ้าไม่ได้รักษา อิทธิบาท ๔ และได้กินผลคืนขันธ์ ๕ ก็ขอทิ้งไว้ให่อนุชนรุ่นหลังมาแก้ปริศนาต่อไป


    11061207_821397377897784_8762860486542060966_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2020
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สูญสิ้น

    (ทำไมจึงจ้องเล่นงานทำลายนักปราชญ์ คือ ผู้รู้ )

    ยักษ์หินในที่นี้ นอกจาก ท้าวกกขนาก และภูเขาไฟระเบิดแล้ว
    ยัง พวกอาฬวกยักษ์ที่ได้รับมอบหน้าที่เป็นพิเศษ ( งานทีเด็ด )

    .
    ดูก่อนยักษ์ และท่านจงมีความสุขด้วย ขอท่านจงไม่มีโรคเบียดเบียน ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกเถิด .





    เสียง ๔ ประเภทได้ยินในชมพูทวีปทั้งสิ้น คือ
    ๑. เสียงที่
    ปุณณกะ ยักขเสนาบดีชนะพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะด้วยการพนัน ปรบมือประกาศก้องว่า เราชนะแล้ว.

    ๒. เสียงที่
    ท้าวสักกะจอมทวยเทพ เมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป กำลังเสื่อม ทรงทำวิสสุกรรมเทพบุตรให้เป็นสุนัข ให้ประกาศทั่วไปว่า เราจักกัดกินภิกษุชั่ว ภิกษุณีชั่ว อุบาสกอุบาสิกาและคนทั้งหลายที่เป็นอธรรมวาที.

    ๓.
    เสียงที่พระมหาบุรุษ ในเมื่อกษัตริย์ ๗ พระองค์เข้ายึดพระนครได้แล้ว เพราะเหตุแห่งนางประภาวดี จึงได้ยกนางประภาวดีขึ้นคอช้างไปกับตน ออกจากพระนครแล้ว ประกาศก้องในกุสชาดกว่า ฉันนี้แหละ คือ สีหัสสรกุสมหาราช.

    ๔. เสียงที่
    อาฬวกยักษ์ยืนบนยอดเขาไกลาสประกาศว่า เรา คือ อาฬวกะ.ดูก่อนยักษ์ และท่านจงมีความสุขด้วย ขอท่านจงไม่มีโรคเบียดเบียน ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกเถิด

    -----------------------------------------------------------------------
    ในเสียง 4 ประเภท

    ประเภทที่1 ???????? พิจารณาเรื่องราวแล้ว ยังไม่ได้ข้อสรุป

    ประเภทที่ 2 ไขความแล้ว ในการสืบต่อพระพุทธศาสนาห้วงปลายพุทธกาล
    มหากัณหชาดก ชาดกว่าด้วย สุนัขดำกินคน



    ประเภทที่ 3 ???????? พิจารณาเรื่องราวแล้ว ยังไม่ได้ข้อสรุป

    ประเภทที่ 4 รอเปิดงาน ดูก่อนยักษ์ และท่านจงมีความสุขด้วย ขอท่านจงไม่มีโรคเบียดเบียน ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกเถิด



    ข้อพิจารณาเพิ่มเติม ประเภทที่ 1.เมื่อมีภัย คุณวิเศษย่อมปรากฎ
    ข้อพิจารณาข้อเพิ่มเติม ประเภทที่ 3.จะต้องอัญเชิญเสด็จ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2020
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ยักษ์สะลึคึ ตำนานแม่น้ำโขง



    ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มียักษ์เพศผู้ตนหนึ่งหากินอยู่บริเวณที่เป็นอาณาเขตของประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ในปัจจุบัน ยุคนั้นบ้านเมืองต่าง ๆ ยังไม่มีการรวมกลุ่มเป็นประเทศ จะมีเพียงผู้คนอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตามป่าเขา ชาวบ้านทั่วไปจะรู้จักยักษ์เพศผู้ตนนี้ดี เพราะเวลามันเดินทางไปหาอาหาร จะเกิดเสียงดังสนั่นเหมือนกับเกิดแผ่นดินเลื่อนหรือแยกออกเป็นร่อง พอชาวบ้านได้ยินเสียงดังกล่าวจะพากันอพยพหลบหนีไปซ่อนตัวตามหุบเขาให้พ้นเส้นทางที่ยักษ์ตนนี้เดินผ่านจะได้ปลอดภัย ชาวบ้านทั่วไปเรียกยักษ์ตนนี้ว่า “ยักษ์สะลึคึ” และเล่าขานถึงลักษณะกิริยาอาการที่ยักษ์ตนนี้แสดงพฤติกรรมให้เห็นว่า “ยักษ์สะลึคึดั๋งแด๋ง นอนตะแคงคุงฟ้า เด็กน้อยเข้าไปหลิ่นหมากบ้าในฮูดั๋งมัน ได้เป็นพันเป็นหมื่น ยามมันพลิกคิงตื่น เด็กน้อยเป็นหมื่นแตกตื่นออกมา” เล่ามาถึงตอนนี้ก็พอทราบได้ว่า “ยักษ์สะลึคึ” ตัวใหญ่ขนาดไหน?

    อีกบุคลิกหนึ่งที่ยักษ์สะลึคึมีก็คือ มันมีอวัยวะเพศใหญ่ยาวมากจนไม่สามารถจะหากางเกงหรือเสื้อผ้าใส่เหมือนยักษ์ตนอื่น ๆ มันจึงเปลือยกาย เดินลากอวัยวะเพศไปหาอาหารกินเรื่อยไป ร่องรอยเส้นทางที่มันลากอวัยวะเพศไปนั้น กัดเซาะผืนดินผืนป่า เป็นร่องลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เพราะมันจะลากไปมาตามเส้นทางเดิมอยู่เสมอ เมื่อถึงฤดูฝนน้ำที่ไหลจากเทือกเขาต่าง ๆ ในบริเวณประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็จะไหลลงไปรวมกันที่ร่องอันเป็นเส้นทางที่ยักษ์สะลึคึ เดินลากอวัยวะเพศไปมานั่นเอง ทำให้ร่องน้ำนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาต่าง ๆ ก็มากขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้าน ชาวป่า ชาวเขาที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ริมน้ำ จะพากันเรียกชื่อ หรือขนานนามให้แม่น้ำสายนี้ว่า “แม่น้ำของ” บ้าง “แม่น้ำโขง” บ้าง แล้วแต่สำเนียงของผู้คนแต่ละท้องถิ่น ประชาชนชาวลาวซึ่งอาศัยอยู่บริเวณอาณาจักรล้านช้าง จะพากันเรียกว่า “แม่น้ำของ” โดยมีเหตุผลว่า เป็นแม่น้ำที่เกิดจาก “ของ” หรือ “อวัยวะเพศ” ของยักษ์สะลึคึ ลากไปมาจนเป็นร่องน้ำนั่นเอง ชาวลาวที่อาศัยอยู่บริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และชาวไทยอีสานที่อาศัยอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำโขงต่างก็เรียกว่า “แม่น้ำของ” เหมือนกัน แต่ที่พากันเรียกชื่อแม่น้ำโขง อาจเป็นเพราะฝรั่งที่สำรวจแม่น้ำโขงยุคแรก ๆ ฟังสำเนียงชาวบ้านพื้นถิ่นที่เขาบอก “แม่น้ำของ” ฝรั่งก็เขียน “Mekong” จึงออกเสียงเป็น “แม่โขง” ก็เป็นได้

    เมื่อเรื่องราวของยักษ์สะลึคึ ผู้เป็นต้นกำเนิด “แม่น้ำของ” หรือ “แม่น้ำโขง” ได้ถูกกล่าวขานแพร่ขยายไป ก็เป็นที่โจษขานกันมาก บางคนวิเคราะห์เจาะลึกถึงผลกระทบต่าง ๆ ว่า ตอนที่ยักษ์สะลึคึลาก “ของ” ไปนั้น ต้นไม้ที่หักโค่นลงนั้น จะไม่เป็นเสี้ยนหนามปักเสียบเข้าไปในเนื้อหนังของยักษ์สะลึคึบ้างหรือ? เรื่องนี้มีคำตอบจากผู้เฒ่าเล่าสืบต่อกันว่า เสี้ยนหนามที่ปักเสียบเข้าไปในเนื้อหนังอวัยวะเพศของยักษ์สะลึคึนั้นมีจริง แต่ก็ไม่ระคายเคืองแก่ยักษ์สะลึคึมากนัก เพราะยักษ์สะลึคึถือว่า เป็นเศษไม้เล็ก ๆ เท่านั้น มันก็ถอดเศษหนาม หรือเสี้ยนทิ้งไปตามที่ต่าง ๆ แต่เมื่อผู้คนไปเห็นเสี้ยนหนามดังกล่าว เป็นท่อนซุงไม้ตะเคียนเป็นส่วนใหญ่ แต่ละท่อนใหญ่และยาวมาก จึงพากันนำเสียนหนามดังกล่าวมาขุดเป็นเรือยาว แต่ละลำได้ความยาวถึง 20 เมตร แล้วนำมาพายแข่งขันกันในลำน้ำของนั่นแหละ ดังนั้น ในช่วงเทศกาลออกพรรษาจะมีการ “ส่วงเฮือ” ซึ่งหมายถึง การแข่งขันเรือยาว ก็เริ่มต้นมาจากชาวบ้านเอาเสี้ยนหนามที่ยักษ์สะลึคึถอดทิ้ง มาทำเป็นเรือยาว แข่งขันสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้แล

    ร่องรอยเส้นทางที่ยักษ์สะลึคึลาก “ของ” ไปหากินสัตว์แต่ละวันนั้น ในปัจจุบันยังมีสถานที่หลายแห่ง ที่ปรากฏให้เห็น เช่น “ภูคันนา” หรือ “กำแพงหินยักษ์” ซึ่งทอดยาวจากเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไปตามเส้นทางหมายเลข 13 มีลักษณะเป็นคันหินที่วางทับซ้อนกันมีความหนาของคันหิน ประมาณ 1 เมตร บางช่วงสูง 10 – 20 เมตร เป็นแนวยาวจากตัวเมืองท่าแขกไปทาง ทิศเหนือ ถึงบริเวณบ้านกกไฮ ยาวประมาณ 14 – 16 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไปชมกันมาก ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า กำแพงหินเกิดจากยักษ์สะลึคึลาก “ของ” ไปจะทำให้ หินภูเขาแยกไปเป็นแถบ ๆ พอขากลับเกิดลากของกลับมาผิดร่องเดิม หินจึงมีลักษณะเป็นคัน เหมือนคูนาแต่สูงมากชาวบ้านจึงเรียก “ภูคันนา” เลียบไปตามริมฝั่ง “แม่น้ำของ” จริง ๆ ก็ลองไปพิสูจน์ไปดูกันด้วยตาจะพบกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์

    อยู่มาวันหนึ่ง ยักษ์สะลึคึ ออกเดินทางไปหาอาหารกินตามปกติ มันเดินทางจากท่าแขกขึ้นไปทางทิศเหนือ พอไปใกล้จะถึงบริเวณที่เป็นอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยในปัจจุบัน ยุคนั้น “แม่น้ำของ” บริเวณนั้นน้ำกัดเซาะตลิ่งทำให้ “แม่น้ำของ” กว้างและลึกมากกว่าที่อื่น ยักษ์สะลึคึเห็นควายป่าตัวหนึ่ง ตัวใหญ่มาก มีเขาสวยงามยามแสงแดดกระทบที่เขาจะมีแสงวับวาวราวกับสีเงินยวง มันจึงจับก้อนหินใหญ่ทุบไปที่ตัวควายป่า ทำให้ควายป่าที่มีเขาเป็นสีเงินตัวนั้น ตกลงไปในลำแม่น้ำของ และจมหายไป ยักษ์สะลึคึงมหาเท่าไรก็ไม่พบ จึงหาไม้ซุงมาทำเป็นไม้คานหาบเอาหินภูเขาฝั่งซ้ายแม่น้ำของ มาทดน้ำด้านเหนือไว้ เพื่อจะได้มองเห็นควายป่าที่จมอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำได้ มันพยายามทำเป็นคันคูหิน โดยหาบหินมาหลายเที่ยว คันคูหินใกล้จะจรดฝั่งขวาเข้าทุกที แต่แล้วไม้ซุงที่ทำเป็นคานหาบหินนั้น เกิดหักกะทันหัน ทำให้ไม้คานแตกเป็นเสี่ยงเสี่ยง ของไม้คานบางส่วนกระเด็นไปตกยังฝั่งของแม่น้ำโขงบริเวณนั้น ชาวบ้านจึงเรียกชื่อว่า “เสี่ยงคาน” ภายหลังเรียกเพี้ยนกันมา กลายเป็น “เชียงคาน” ซึ่งเป็นชื่ออำเภอเชียงคาน มาจนถึงปัจจุบัน และคันคูหินที่ยักษ์สะลึคึ สร้างเพื่อทดน้ำนั้น ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ส่วนภูเขาที่อยู่ทางด้านทิศใต้ของแก่งคุดคู้นั้น จะมีลักษณะเป็นชะง่อนผาแหลมยื่นออกมาเหมือนเขาควาย เชื่อกันว่าควายป่าตัวที่จมในน้ำนั้นแหละ! กลายเป็นภูเขา ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ภูควายเงิน” ด้วยเหตุที่เขาควายตัวนั้น เมื่อกระทบกับแสงแดดจะเป็นสีเงินยวง ยังมีผู้สงสัย อยากถามเกี่ยวกับยักษ์ในยุคนั้นว่า มีแต่ยักษ์เพศผู้ชื่อสะลึคึ เท่านั้นหรือ? ยักษ์เพศเมียล่ะมีบ้างหรือไม่? เรื่องนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เล่าให้ฟังว่า “มี” ยักษ์เพศเมียอีกตนหนึ่งชื่อว่า “อีแก้วโยนีหลวง” ฟังชื่อแล้วก็ไม่ต้องอธิบายขยายความเกี่ยวกับอวัยวะเพศของเธอ เพราะชื่อก็บอกอยู่ว่า “ใหญ่หลวง” หรือจะเทียบกับคำว่า “มหึมา” ก็น่าจะได้ “อีนางแก้ว…หลวง” เธอจะหากินอาหารประเภทปลา ตั้งแต่บริเวณจังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน ลงไปทางใต้ผ่านอุบลราชธานี จำปาสัก บริเวณน้ำตก “คอนพระเพ็ง” ที่จำปาสักนั้นแหละ เป็นแหล่งหาปลาของเธอและเลยลงไปจนถึงดินแดนกัมพูชา ถึงเวียดนามติดกับทะเล การหาปลาของ “อีนางแก้ว…หลวง” ก็ไม่ต้องมีเครื่องมือจับปลาเหมือนชาวประมงทั่วไปเนื่องจาก เธอไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้า วิธีหาปลาจะใช้วิธีนอนถ่างขา เอาอวัยวะเพศรองรับน้ำตก “คอนพระเพ็ง” บ้าง “น้ำตกหลี่ผี” ที่มีปลาชุกชุมบ้าง ฝูงปลาก็จะเข้าไปรวมตัวกันในช่องคลอด พอเธอเห็นว่าปลาเข้าไปอยู่ภายในมากพอประมาณแล้ว เธอก็หุบขาเข้า ลุกขึ้นยืน ก้าวย่างลงไปทางทิศใต้ถึงบริเวณเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน แล้วเธอก็จะถ่างขาเทน้ำและปลาออกมา ทั้งน้ำ ทั้งปลา จำนวนมากก็หลั่งลงพื้น เจิ่งนอง กลายเป็นทะเลสาบ ปัจจุบันเรียก “โตนเลสาบ” ซึ่งเป็นแหล่งปลาชุกชุมมากที่สุดในกัมพูชา ก็เป็นผลงานของ

    “อีนางแก้ว…หลวง” นั่นแหละ! บางคนพอได้ทราบเรื่องที่มาของปลากรอบเขมรแล้ว บางครั้งปลากรอบมีกลิ่นไม่ดี ก็คงเป็นพราะผลพวงจากวีรกรรมของ “อีนางแก้ว” ก็เป็นไปได้…

    ถ้ากล่าวถึงความรักของยักษ์จะมีเหมือนมนุษย์เราหรือไม่? ก็ได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ผู้สันทันกรณี ท่านเล่าให้ฟังว่า ยักษ์สะลึคึก็มีความต้องการทางเพศสูง มีความใฝ่ฝันหาเพศตรงข้ามเหมือนมนุษย์ทั่วไปและในทำนองเดียวกัน ยักษ์ “อีนางแก้ว…หลวง” ก็มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน ต้องการความรักจากเพศตรงข้ามด้วย เล่ากันว่า เวลาที่ยักษ์สะลึคึเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา ไม่มีอะไรจะทัดทานได้ บางทีตัวมันเองต้องไปดึงเอาหวาย จากป่าดงมาจำนวนมาก เพื่อทำเป็นเชนาะหรือเชือกมัดดึงอวัยวะเพศไว้ แต่หวายที่ขันชะเนาะนั้นทนแรงดันไม่ได้ก็ขาดสบั้น จนหวายจะไม่เหลือให้เราได้ใช้จักสานกันเลย ส่วนยักษ์ “อีนางแก้ว…หลวง” ก็ใช่ย่อยความคันที่เกิดกับเธอ ผู้เฒ่าเล่าว่าความคันของ “บอน” ที่มีอยู่ในบึงนับพันแห่งรวมกันเข้า ก็ยังไม่คันเท่า “อีนางแก้ว…หลวง” มันคัน! ผู้เฒ่าที่เล่าให้ฟังท่านยืนยันหนักแน่น จนน่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง!

    บุพเพสันนิวาส…มีจริง…ณ บริเวณจังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน แต่ก่อนเทือกเขาภูพานจะทอดเป็นแนวยาว พาดผ่านจากจังหวัดสกลนครไปถึงจังหวัดมุกดาหาร นับว่าเป็นภูเขาที่สูงมาก บริเวณเทือกเขานี้ ต่อไปจะเป็นที่ที่มีความรักของยักษ์ทั้งสองตนจะเกิดขึ้น! เหมือนลานสาวกอดเชียวละ…

    ยักษ์สะลึคึเที่ยวหากินสัตว์ป่า จากดินแดนประเทศจีนลงมาทางทิศใต้ผ่านพม่า ลาว ไทย จนถึงบริเวณเมืองท่าแขกและนครพนม มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน ซึ่งมีเทือกเขาภูพานกั้นอยู่ ในขณะเดียวกัน ยักษ์อีนางแก้ว…หลวง ก็หาปลากินตามปกติ โดยหาปลาขึ้นมาเรื่อย ๆ มุ่งหน้าจากดินแดนเวียดนามผ่านกัมพูชา เข้าสู่ดินแดนไทยใกล้เข้ามาถึงมุกดาหารที่มีเทือกเขาภูพานขวางกั้นอยู่…แม้จะมีภูเขาสูงกั้น แต่ยักษ์ทั้งสองตนก็สูงใหญ่เกินภูเขาสูงเสียอีก ยักษ์ทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก…รักแรกพบเกิดขึ้นแล้ว!…ทั้งสองโผเข้าหากัน! แม้ภูเขาจะกั้นขวางหน้า…ก็หาได้เป็นอุปสรรคไม่ ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยง กลิ้งไปมาทำให้เทือกเขาภูพานส่วนหนึ่งแตกถล่มทลายกลายเป็นภูเขา ลูกเล็ก ลูกน้อย บางแห่งราบเป็นหน้ากอง แตกพังทลายลง ในปัจจุบัน บริเวณดังกล่าว กลายเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น บริเวณที่ยักษ์บักสะลึคึ กับยักษ์อีนางแก้วนอนด้วยกัน เรียกว่า “ดงบักอี่” ภูเขาที่แตกออกเป็นภูเล็กภูน้อยก็มีชื่อว่า ภูมโน ภูหมู ภูจ้อก้อ และภูผาเทิบ และยังมีลำห้วยธรรมชาติแห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศใต้ของหอแก้วมุกดาหาร ลงไปประมาณ 5 กิโลเมตร กรมทางหลวงได้ทำป้ายชื่อของลำห้วยที่หัวสะพานว่า “ห้วยลึคึ” ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสายน้ำที่เกิดจากการถึงจุดสุดยอดของยักษ์สะลึคึ จนเป็นสายธารหลั่งไหลลงสู่แม่น้ำของนั่นเอง… ผู้เฒ่าที่รู้เรื่องราวเหตุการณ์แห่งความรักอันเป็นมหาอมตะนิรันดร์กาลนี้ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ขณะที่ยักษ์อีนางแก้วยังนอนหลับไหลอยู่นั้น เจ้ายักษ์สะลึคึลุกขึ้นจะเดินไปดูบริเวณที่เป็นรังรักว่าพังทลายพินาศขนาดไหน แต่พอมันได้ก้าวเดินไปทางทิศใต้เลยอำเภอดอนตาลไปไม่ไกลนัก เกิดเข่าอ่อน ทรุดฮวบลง หัวเข่าทั้งสองข้างกระทุ้งลงพื้นดิน อวัยวะเพศที่มหึมาก็กระแทกลงพื้นดินเช่นกัน ทำให้พื้นบริเวณนั้นทรุดลง เป็นแอ่งกว้างลึก ภายหลังกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ บริเวณที่ยักษ์สะลึคึล้มเข่ากระแทกพื้นนี้ ภายหลังมีผู้คนไปอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ดังกล่าว จนกลายเป็นชุมชนมีความเจริญเป็นบ้านเป็นเมือง เรียกว่า “ชานุมาร” ซึ่งแปลว่า “หัวเข่าของยักษ์” ภายหลังมีการเขียนชื่อเปลี่ยนไปว่า “ชานุมาน” เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอำนาจเจริญ

    ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ยังปรากฏร่องรอยของยักษ์สะลึคึและยักษ์อีนางแก้ว…หลวง ที่เกี่ยวข้องกับลุ่มแม่น้ำของ เช่น ภูเขาที่ชาวบ้านน้ำแม่สะนามที่เขื่อนน้ำเทิน 1 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

    เรียกว่า “ฮ่างบักสะลึคึ” จะมีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศของยักษ์สะลึคึ ชูโดดเด่นเป็นแท่งขึ้นไปอย่างน่าอัศจรรย์ และยังมีภูเขาหินก้อนไม่ใหญ่โตนัก ที่ปรากฏอยู่ที่อำเภอปายแม่ฮ่องสอน รูปร่างเหมือนผู้หญิงเปลือยกายนอนตะแคง ชาวบ้านเรียก “นางแก้ว” ซึ่งอยู่ภายใน “หมู่บ้านสันติชน” ยูนนาน อำเภอปาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของอำเภอปายอีกแห่งหนึ่ง ได้สอบถามชาวยูนนานบริเวณนั้นแล้วว่า บริเวณนี้มี “น้ำของ” ผ่านหรือไม่? เขาบอกว่าที่อำเภอปาย จะมีแม่น้ำของเหมือนกัน แต่เป็นสายน้ำเล็กกว่าแม่น้ำของหรือแม่น้ำโขงที่ลาว แม่น้ำของที่อำเภอปายจะไหลสู่

    แม่น้ำปาย เป็นแหล่งล่องแพท่องเที่ยวที่สวยงามมาก ถึงตอนนี้ก็พอจะสรุปความได้ว่า เมื่อมีชื่อ “แม่น้ำของ” อยู่ที่ไหน ยักษ์อีนางแก้ว…เธอก็จะไปเที่ยว หาปลากินที่นั่นแหละ…พอเหนื่อยก็นอนพักเอาแรงจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่หมู่บ้าน “นาไก่เขี่ย” เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จะมีรอยไก่ยักษ์ปรากฎบนลานหิน ชาวบ้านเรียกว่า เป็นรอยไก่ยักษ์ ที่เกิดพร้อมกับยักษ์สะลึคึ ปัจจุบันชาวบ้านเขาอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานได้ดูเป็นแหล่งเรียนรู้ ประกอบตำนานหมู่บ้าน “นาไก่เขี่ย” ผู้สนใจมีโอกาสไปเที่ยวเมืองท่าแขก ก็แวะไปชมกันได้ ไม่ห่างจากแม่น้ำของเลย…

    สรุปข้อสันนิษฐานตามหลักฐานทางภูมิศาสตร์-วิทยาศาสตร์

    ตำนานหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์สะลึคึนั้น หากเทียบเคียงสถานที่หรือแหล่งธรรมชาติ ตามภูมิศาสตร์ในลุ่มน้ำโขงแล้ว มีสิ่งต่าง ๆ ดังนี้

    – รูจมูกของยักษ์สะลึคึ ที่ผู้คนเข้าไปอาศัยและใช้เล่นกิจกรรมต่าง ๆ นั้น อาจเป็นถ้ำ ตามภูเขาต่าง ๆ นั่นเอง

    – ยักษ์สะลึคึ กระดิกตัวหรือพลิกตัวจะตื่นจากการนอนหลับ อาจเป็นแผ่นดินไหว เพราะตามหลักฐานทางกรมทรัพยากรธรณี มีรอยแยกท่าแขกปรากฏชัดเจน

    – กำแพงหินยักษ์ ที่ยังปรากฏในเมืองท่าแขก ที่คู่ขนานไปตามลำแม่น้ำโขงนั้น อาจเกิดจากรอยแยกของการเคลื่อนขยายของแผ่นดินในยุคก่อน ปัจจุบันจึงเห็นเป็นกำแพงหินมีขนาดความหนาประมาณ 1 เมตร สูง 10-20 เมตร ยาวประมาณ 14-16 กิโลเมตร

    – ที่บ้านนาไก่เขี่ย เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน มีรอยเท้าไดโนเสาร์พันธุ์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ปรากฏบนลานหิน ปัจจุบันชาวบ้านทำรั้วล้อมไว้และเชื่อว่าเป็นรอยไก่ยักษ์ ยุคเดียวกับยักษ์สะลึคึ เมื่อมีชุมชนเกิดขึ้นในบริเวณนี้ จึงตั้งชื่อหมู่บ้านไปตามสิ่งที่พบเห็นว่า “บ้านนาไก่เขี่ย” ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวลาวเผ่าโส้

    – บริเวณตอนใต้ของลาว ซึ่งแม่น้ำโขงไหลผ่าน กัดเซาะผืนแผ่นดิน แยกออกเป็นเส้นทางน้ำหลายสาย จนเกิดเป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่จำนวนมาก เรียกว่า “สี่พันดอน” หรือ “สี่พันเกาะ” เชื่อว่าเป็นเส้นทางหากินปลาของนางแก้วโยนีหลวง ซึ่งต้องเหยียบย่ำไปมาวันแล้ววันเล่า จนเกิดเป็นเกาะแก่งมาถึงปัจจุบัน

    – ตัวยักษ์สะลึคึนั้น บางแนวคิดอาจหมายถึง ไดโนเสาร์ ที่มีขนาดใหญ่มหึมาที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า เวลาเดินไปหาอาหาร จะลากหางเดินไปจนเป็นร่องทางเดินก็อาจเป็นไปได้

    yak1.jpg

    เด่นชัย-ไตรยะถา.png
     
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เขมร

    "บึงยักษ์โลม หรือยักษ์ลอม" ภาษาเขมรเรียกว่า "បឹងយក្សឡោម" เป็นบึงขนาดใหญ่ มีพื้นที่ 2,612 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 800 เมตร ลึก 50 เมตร อยู่อำเภอบานลุง จังหวัดรตนะกีรี โดยจังหวัดนี้เป็นจังหวัดติดกับประเทศเวียดนาม มีป่าไม้เยอะ และมีชนเผ่าต่างๆ หลากหลายเผ่า(ถือว่ามากที่สุดในประเทศกัมพูชา) บึงยักษ์โลม หรือยักษ์ลอม เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนี้ีด้วย
    เรื่องราวเกี่ยวกับบึงนี้มี 2 อย่างที่แตกต่าง คือ
    1. ตามแบบธรณีวิทยาบอกว่า บึงนี้เกิดจากระเบิดภูเขาไฟในอดีต (แต่ไม่รู้ตอนไหน)
    2. ตามเรื่องนิทานพื้นบ้านเขมรเล่าว่า สมัยก่อนมียักษ์นครหนึ่งมีลูกสาวสวย น่ารัก ใครๆ ก็ชอบ วันหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่วิชาอาคม ได้แอบลอบเข้าไปจีบลูกสาวยักษ์จนตกหลุ่มรักกัน และพากันหนีออกจากพระนคร ยักษ์ผู้เป็นบิดารู้เรื่องนี้แล้วโกรธมาก สั่งให้บริวารออกตามหา จับชายหนุ่มนั้นฆ่าทิ้งซะ พวกยักษ์ไล่ตามเรื่อยๆ จนถึงป่าตรงบริเวณบึงนี้ (แต่ก่อนไม่ใช่บึง) ยักษ์พากันปิดลอมและค้นหา ไม่ใช่แค่มองดูเฉยๆ พวกยักษ์ถอนต้นไม้ทิ้ง ขุดดินเพื่อหาลูกสาวยักษ์จนพื้นที่ตรงนี้เป็นบึง จึงถึงปัจจุบันนี้
    ฉะนั้นชื่อ "บึงยักษ์โลม หรือยักษ์ลอม" นี้ก็เกิดจากการที่ยักษ์ลอมป่าเพื่อหาลูกสาวยักษ์ ถนอนต้นไม่ ขุดดินจนเป็นบึงนั้นเอง


     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เวียดนาม

    เทพยักษ์สร้างโลก

    เทพเสาค้ำฟ้า


    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนมีมนุษย์และสัตว์ถือกำเนิด โลกยังสับสนวุ่นวายมืดมิดหนาวจัด ฯ

    https://books.google.co.th/books?id...TAGegQIChAB#v=onepage&q=ยักษ์เวียดนาม&f=false
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    1. พระกกุสันธพุทธเจ้า (พระชนมายุ 40,000 ปี)
    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า (พระชนมายุ 30,000 ปี)
    3. พระกัสสปพุทธเจ้า (พระชนมายุ 20,000 ปี)
    4. พระโคดมพุทธเจ้า (พระชนมายุ 80 ปี)
    5. พระศรีอริยเมตไตรย (พระชนมายุ 80,000 ปี)

    ตามปรากฏที่ พระสูตร 1

    เมื่อสิ้นพุทธันดร 1 แผ่นดินจะสูงขึ้น 1 โยชน์ 3 คาวุต ประมาณ 32-35 กิโลเมตร

    ผ่านมา 3 พุทธันดร แผ่นดิน อารยะธรรม พระพุทธศาสนา จะอยู่ใต้พื้นดิน 100 กิโลเมตร

    ถ้ายังไม่บุบสลายสูญสลายไป ก็คงรอวันงอกเงยโผล่ขึ้นมา
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เจดีย์ไจ๊กะส่าน (Kyaik Ka San Pagoda)

    เจดีย์เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของเมืองย่างกุ้ง เจดีย์องค์นี้สร้างมาแล้ว 2 พันกว่าปี โดยกษัตริย์ชาวอินเดีย ซึ้งเป็นกษัตริย์ในยุคเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราช ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้าและพระธาตุส่วนอื่นๆ 32 องค์ ตามตำนาน ในสมัยที่เมืองย่างกุ้ง ได้กลายเป็นเมืองร้าง มียักษ์สองพี่น้อง ชื่อ “นองดอ องค์พี่ และ “นยีดอ”องค์น้อง ทำหน้าที่คุ้มคลองรักษาองค์พระเกศาธาตุและพระธาตุที่บรรจุไว้ ณ เจดีย์ไจ๊กะส่านแห่งนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน

    1571320735_5.jpg

    1571320602_4.jpg


    หายักษ์ ในอาเซี่ยน ไปหลับอยู่แถวไหนน้อ !
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    นิทานพื้นบ้านประเทศอินโดนีเซีย

    เรื่อง พระธิดาลอรากับยักษ์

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาทรงพระนามว่า “ราตุโบโก” ผู้ครองแคว้นเขตปราบานัน ในชวาภาคกลาง พระองค์ทรงมีพระธิดาสิริโฉมเป็นที่เลื่องลือไปทุกทิศแคว้น นามว่า “พระธิดาลอรา”

    วันหนึ่งพระธิดาลอรา พร้อมด้วยนางกำนันในวังไปเล่นน้ำในอุทยาน ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของยักษ์ตนหนึ่ง ..ยักษ์ตนนั้นได้เห็นพระธิดามาเล่นน้ำก็เกิดหลงรัก และต้องการแต่งงานกับพระธิดาทันที

    เจ้ายักษ์จึงได้ไปกราบทูลพระราชาราตุโบโก เพื่อขอแต่งงานกับพระธิดาทันที
    “กระหม่อมมีความต้องการที่จะแต่งงานกับพระธิดาในวันรุ่งขึ้น”
    พระราชาเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบว่า “พระธิดาแต่งงานกับเจ้าไม่ได้ นางมีคู่หมั้นหมายแล้ว จะอภิเษกกับเจ้าชายในไม่ช้านี้”

    เจ้ายักษ์หนุ่มเมื่อได้ยินก็โมโหเกรี้ยวกราด หัวเราะลำพองใจ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันดังกลางท้องพระโรงว่า “ข้อนั้นข้ามิได้สนใจ พระธิดาต้องแต่งงานกับข้าเท่านั้น” พระราชาได้ยินก็หวั่นเกรงเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น

    พระธิดาลอรา ซึ่งทรงยืนแอบฟังและได้ยินการสนทนาโดยตลอด เห็นว่าเหตุการณ์จะบานปลาย จึงเดินออกไปแล้วประกาศว่า “เราจะยอมแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้าต้องสร้างโบสถ์ให้แล้วเสร็จครบหนึ่งพันหลังภายในคืนเดียว เท่านั้น”

    เจ้ายักษ์เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะโดยมิได้หวั่นเกรง แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่พระธิดาต้องการเป็นเรื่องที่ง่ายดายของเกล้ากระหม่อมยิ่งนัก แต่พระองค์อย่าลืมที่ตรัสไว้ก็แล้วกัน” เจ้าหัวพูดจบก็หัวเราะแล้วเดินจากไป

    คืนนั้นเจ้ายักษ์หนุ่มได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับขู่เข็ญชาวบ้านจากทุกทิศทางมาสร้างโบสถ์ ผู้คนนับพันต่างเกรงกลัวยักษ์จึงต้องมาช่วยกันก่อสร้างโบสถ์จำนวนหนึ่งพันหลังนี้ ชาวบ้านช่วยกัน ทำงานอย่างหนักตลอดทั้งคืน ใครที่ทำไม่ไหว เจ้ายักษ์ก็จะลงโทษเฆี่ยนตีอย่างหนัก
    พระราชาและพระธิดาลอรา ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนักเมื่อเห็นชาวเมืองตนเอง และชาวบ้านจากที่ ต่าง ๆ ต้องมาลำบากได้รับความทุกข์ทรมานเพราะตนถึงเพียงนี้ ...ครั้นเมื่อเวลาใกล้รุ่งสาง ปรากฏว่าโบสถ์ถูกสร้างเสร็จไปถึง 999 หลัง และหลังที่หนึ่งพันก็จวนเจียนจะเสร็จสิ้นลงก่อนรุ่งสางเป็นแน่ พระธิดาลอราไม่ประสงค์จะอภิเษกกับยักษ์ปักษาตัวนี้ จึงทรงคิดว่า หากปล่อยให้สร้างอยู่แบบนี้โบสถ์หลังสุดท้ายต้องเสร็จก่อนเป็นแน่ พระองค์จึงตรงไปยังเล้าไก่ พลางขอร้องพ่อไก่ว่า “พ่อไก่จ๋าช่วยเราด้วยเถิด รีบตื่นขึ้นมาส่งเสียงขันดังๆ บอกให้รู้ว่าสว่างแล้วด้วยเถิด” บรรดา พ่อไก่ในเล้าก็ต่างพากันส่งเสียงขันพร้อมกัน
    “เอ้ก...อิ...เอ้ก ๆ ๆ ๆ ๆ ”

    เมื่อเจ้ายักษ์ได้ยินเสียงไก่ขันก็รู้ว่ารุ่งสางแล้ว ด้วยความคิดว่าตนพ่ายแพ้ เจ้ายักษ์จึงตะโกนด้วยอารมณ์โกรธแค้นว่า “หยุดทำงานได้แล้ว พวกเจ้าไม่มีได้เรื่องเลยจริงๆ ทำงานแค่นี้ไม่สำเร็จ” และประกาศว่าจะทำร้ายชาวบ้านนี้ให้สิ้นทั้งหมดโทษฐานที่ทำงานไม่สำเร็จ ชาวบ้านที่ได้ยินต่างวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน เมื่อคนงานหนีไปหมด แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เจ้ายักษ์ก็รู้ทันทีว่าตนเองโดนหลอก หลงกลลวงของพระธิดาลอรา ..จึงเกิดความโกรธแค้น และประกาศว่า
    “พระธิดาใช้กลลวงหลอกข้า ข้าจะทำให้เจ้าและพระราชาเป็นทุกข์ จนกว่าท่านจะยอมแต่ง งานกับข้า” เจ้ายักษ์พูดจบ ก็เดินเข้าไปในเมืองที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ ทำลายข้าวของ บ้านเรือน พืชผลกรเกษตร หากใครขัดขวางก็ทำร้าย เจ้ายักษ์ทำแบบนี้ทุกวัน จนเวลาล่วงไป 3 วัน ประชาชนชาวเมืองล้มเจ็บจำนวนมาก บ้านเรือน พืชผลการเกษตรเสียหายทุกหนแห่ง ชาวบ้านจึงรวมตัวกันไปกราบทูลขอให้พระราชาทรงช่วยเหลือ

    “พวกข้าพุทธเจ้าเดือนร้อนอย่างหนักพะยะค่ะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เจ้ายักษ์ร้ายทำลายบ้าน เรือน พืชผลการเกษตรเสียหายหนัก หนำซ้ำยังทำร้ายชาวบ้านที่ขัดขวางจนไปจำนวนมา ทุกคนหวาด กลัว ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือชาวบ้านด้วยเถิดพะยะค่ะ”
    พระราชาได้ยินดังนั้นและทราบความมาโดยตลอดก็เป็นทุกข์หนัก จนถึงกับพระประชวร พระธิดาลอรา เห็นว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านเดือดร้อน พระบิดาประชวร จึงประกาศว่า “ข้าจะยอมแต่งงานงานกับเจ้ายักษ์ แต่มีข้อแม้ว่า เจ้าต้องสร้างบ้านเรือนที่เสียหายทั้งหมดให้ประชาชนของข้า และต้องทำให้พืชผลการเกษตรฟื้นคืนกลับมา และยักษ์กับมนุษย์จะไม่เข้าใกล้กันอีก และเจ้าต้องสร้างปราสาทหอคอย ให้ข้าด้วย” พระธิดากล่าว
    เจ้ายักษ์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รับคำพระธิดาและไปสร้างบ้านให้ชาวบ้านใหม่ ทำให้พืชผลการเกษตรฟื้นกลับมา และไปสร้างปราสาทห่างออกไปไกลโพ้น.... พระธิดาลอรา กราบลาพระราชบิดาทั้งน้ำตา และกล่าวว่า

    “ข้าพเจ้าสร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมือง ข้าเป็นผู้สร้างปัญหา มิสมควรเฝ้าอยู่แต่ที่นี่เพื่อให้ ทุกคนปกป้องข้า ข้าพเจ้าเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ปีติแล้วที่จะได้สละสิ่งที่ข้าสมควรสละ เพื่อ ประชาชนและพระบิดา ข้ามิควรทำสิ่งที่เป็นความสุขของข้าส่วนตัว” พระธิดากล่าวแล้วจากไป เมื่อถึงปราสาทสูงเทียมฟ้า พระธิดาจึงวิ่งขึ้นไปยังยอดปราสาทและขังตัวเองอยู่เช่นนั้นและบอกเจ้ายักษ์ว่า “ถ้าท่านอยากแต่งงานกับข้าก็เข้ามาหาข้าในนี้” เจ้ายักษ์ได้ยินดังนั้นก็พยายามจะเข้าไปหาเจ้าหญิง วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เพราะประตูนั้นเล็กเท่าร่างมนุษย์ เจ้ายักษ์พยายามทุกทางจนลืมนำอาหารมาให้พระธิดาลอรา ...และนางก็ไม่เคยร้องขออาหารหรือน้ำดื่มจากยักษ์ จนในที่สุดพระธิดาสิ้นพระชนม์ ...

    พระราชาเมื่อทราบความ ก็เสียพระทัยยิ่งนักจึงโปรดฯ ให้สร้างรูปปั้นเหมือนพระธิดาลอราขึ้น ซึ่งก็ยังมีปรากฎอยู่ในปัจจุบัน หากใครไปเมืองปราบานัน ประเทศอินโดนีเซีย ก็จะได้เห็นรูปปั้นนี้

     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ยักษ์ทางธรณีวิทยา

    10 Most Dangerous Active Volcanoes in the World


    หนึ่งในภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดคือ การระเบิดของภูเขาไฟ ที่เป็นผลมาจากการสะสมของความร้อนใต้เปลือกโลก จนทำให้แมกมาเคลื่อนตัวด้วยแรงดันออกมาสู่ผิวของเปลือกโลก

    ในการระเบิดแต่ละครั้งของภูเขาไฟก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนเกิดแผ่นดินไหว เกิดการปะทุของลาวาร้อนระอุที่อาจเคลื่อนตัวได้เร็วถึง 50,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกิดเถ้าภูเขาไฟกระจัดกระจายทั่วบรรยากาศ และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ

    เนื่องจากอันตรายและผลกระทบจากภูเขาไฟที่มีมากมาย เว็บไซต์ Conservation Institute จึงได้รวบรวม 10 อันดับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่อันตรายที่สุดในโลกมาให้ได้ชมกัน แต่ละอันดับเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงสุด ๆ เลยทีเดียว

    อันดับที่ 10 ภูเขาไฟเมานาโลอา เกาะใหญ่ รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

    ภูเขาไฟเมานาโลอา (Mauna Loa) เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ประมาณ 5,180 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติฮาวาย รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา จัดเป็นภูเขาไฟมีพลังที่ยังไม่ดับสนิท โดยเกิดการระเบิดทุก ๆ 3 ปีครึ่ง และการระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อปี 2527

    อันดับที่ 9 ภูเขาไฟตาอัล จังหวัดบาตังกัส เกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์

    ภูเขาไฟตาอัล (Taal) เป็นเกาะภูเขาไฟที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบตาอัล บนเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ มันอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปเพียง 50 กิโลเมตรเท่านั้น นับตั้งแต่การระเบิดครั้งแรกคือในปี 2115 ภูเขาไฟตาอัลก็ได้ระเบิดอย่างต่อเนื่องถึง 33 ครั้งจนปัจจุบัน

    อันดับที่ 8 ภูเขาไฟอูลาวัน เกาะนิวบริเทน ประเทศปาปัวนิวกินี


    ภูเขาไฟอูลาวัน (Ulawun) ตั้งอยู่กลางเกาะนิวบริเทน ประเทศปาปัวนิวกินี มันเป็นภูเขาไฟที่ยังทรงพลังที่สุดในโลก มีการระเบิดครั้งใหญ่ที่แสนสาหัสมากกว่า 22 ครั้งตั้งแต่ช่วงปี 2243 และประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงก็ต่างบอกเล่ากันว่ามีการพบเห็นการระเบิดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้งจนเริ่มชินไปเสียแล้ว


    อันดับที่ 7 ภูเขาไฟนีรากองโก อุทยานแห่งชาติวิรุงกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

    ภูเขาไฟนีรากองโก (Nyiragongo) เป็นภูเขาไฟแบบกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ปากปล่องของมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่กว้างถึง 20 กิโลเมตร และมักจะมีลาวาอยู่เต็มเปี่ยมเสมอ จนได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบลาวา ในปี 2520 ลาวาเหล่านี้ไหลนองออกจากปากปล่องและมุ่งหน้าลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความเร็ว 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายหมู่บ้านใกล้เคียง คร่าชีวิตและทำให้คนได้รับบาดเจ็บนับหมื่นราย ส่วนในปี 2545 การระเบิดของมันฆ่าคนไป 147 ราย และทำให้คนอีกนับแสนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย



    อันดับที่ 6 ภูเขาไฟเมราปี เกาะชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย

    ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) มีความหมายตรงตัวว่า “ภูเขาไฟ” มาจากคำว่า เมรุ ในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ภูเขา และ อาปี ที่แปลว่า ไฟ มันเป็นหนึ่งในภูเขาไฟ 129 ลูกของอินโดนีเซียที่ยังมีพลังอยู่มากที่สุด คาดการณ์กันว่ามันมีอายุอย่างน้อย 10,000 ปี และเมื่อปี 2553 การระเบิดของมันฆ่าคนไป 353 คน รวมถึงอีก 320,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัยจากภัยธรรมชาติครั้งนั้น
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อันดับที่ 5 ภูเขาไฟกาเลราส ประเทศโคลอมเบีย
    ภูเขาไฟกาเลราส (Galeras) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติกาเลราส เมืองนาริโน่ ประเทศโคลอมเบีย นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิชาวิทยาภูเขาไฟ ได้ลงความเห็นว่ามันน่าจะระเบิดมามากกว่า 1 ล้านปีแล้ว การระเบิดที่ถูกบันทึกไว้ได้ครั้งแรกของภูเขาไฟกาเลราส เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 และระเบิดอีกครั้งในปี 2531 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มันเป็นภูเขาไฟที่ไม่มีการปะทุใด ๆ การระเบิดของมันเมื่อปี 2521 ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีลางสังหรณ์ว่ามันอาจระเบิดอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ และที่สำคัญคือมีเมืองชื่อพาสโต้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับภูเขาไฟกาเลราส ซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่า 450,000 คน



    อันดับที่ 4 เกาะซากุระ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น

    เกาะซากุระ (Sakurajima) หรือฉายาว่า ภูเขาไฟวิสุเวียสแห่งตะวันออก มันเป็นเกาะภูเขาไฟชนิดกรวยสลับชั้นและยังมีพลังอยู่มาก แต่เดิมเป็นเกาะธรรมดา แต่เกิดการปะทุของภูเขาไฟที่กลางเกาะในปี 2457 ทำให้ลาวาไหลเชื่อมเกาะเข้ากับแผ่นดินใหญ่ เกาะซากุระมียอดเขาสามลูก ได้แก่ ยอดคิตะ (ยอดทิศเหนือ) ยอดนากะ (ยอดกลาง) และยอดมินามิ (ยอดทิศใต้) ซึ่งเป็นยอดที่ยังคงมีพลังอยู่ในปัจจุบัน และมักพบเห็นการปะทุเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่หากมันเกิดปะทุรุนแรงขึ้นมา ประชาชนชาวเมืองคาโกชิมะราว 700,000 รายจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงทันที



    อันดับที่ 3 ภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีเปเติล ประเทศเม็กซิโก

    ภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีเปเติล (Popocat?petl) ตั้งอยู่ห่างออกไปจากกรุงเม็กซิโกซิตี้เพียง 56 กิโลเมตร และเคยระเบิดมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2543 ประชาชนราว 4 หมื่นคนต้องอพยพหนีตายทันที และขณะนี้ มีประชาชนราว 9 ล้านคนอาศัยอยู่ในรัศมีของการระเบิด หากเกิดการระเบิดขึ้นอีกครั้ง มันจะกลายเป็นหายนะอันใหญ่หลวงที่สุดของชาวเม็กซิโก



    อันดับที่ 2 ภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี

    ภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) เป็นภูเขาไฟเพียงแห่งเดียวที่ยังไม่ดับในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ใกล้เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี การระเบิดครั้งใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม 662 เถ้าถ่านและลาวาหลั่งไหลเข้าทับถมเมืองปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียมทั้งเมือง จนกลายเป็นเมืองโบราณที่ลือกันว่าต้องคำสาปของพระเจ้าจวบจนทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่าภูเขาไฟวิสุเวียสน่าจะระเบิดทุก ๆ 20 ปี และการระเบิดครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2487 ฉะนั้นหลายคนก็ยังคงหวั่นใจว่าภูเขาไฟอาจจะระเบิดเมื่อไรก็ได้



    อันดับที่ 1 อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน ประเทศสหรัฐอเมริกา

    แอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดใต้ดินเยลโล่สโตน (Yellowstone Caldera) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน ประเทศสหรัฐอเมริกา มันเป็นภูเขาไฟใต้ดินที่ใหญ่และทรงพลังมากที่สุดในสหรัฐฯ มันอยู่ใต้ดินอุทยานลึกลงไปราว 5 ไมล์ (ราว 8 กิโลเมตร) ทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนมากมายหลายพันบ่อในอุทยาน

    ในอดีตมันเคยปะทุมาแล้วถึง 3 ครั้ง เมื่อ 2 ล้านปี 1.3 ล้านปี และเมื่อ 642,000 ปีก่อนตามลำดับ และอายุของอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนตามหลักฐานทางธรณีวิทยาจนถึงปัจจุบันคือ 640,000 ปี ซึ่งหมายความว่าอีกไม่นานนี้ โลกเราอาจได้พบกับสุดยอดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดก็เป็นได้

    หากภูเขาไฟเยลโล่สโตนเกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง จะทำให้เกิดแรงระเบิดที่มีพลังงานเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ราว 1,000 ลูก ในทุก ๆ 1 วินาที ผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบราว 87,000 รายจะถูกแรงระเบิดฆ่าในทันที และฝั่งตะวันตกของอเมริกาเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากแรงระเบิดของมัน นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นสรุปไว้ว่า การระเบิดครั้งต่อไปที่เยลโล่สโตนนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเมื่อไรกันแน่

     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คืนนี้นั่งสมาธิแล้วเห็น มากับตัวอักษร เมก้า/เมกกะสึนามิ แผ่นดินยิ่งสไลด์พายุหมุนกวนเกษียณสมุทรกันสนุกอยู่ช่วงนี้ !

    ก็นึกตกใจ! ห่วงเหมือนกัน จึงพยายาม ภาวนาขอพระผู้ทรงอิทธิฤทธิ์มาช่วยอยู่ ถ้าจะมีแบบนี้จริงๆ สูงเป็นร้อยหลายร้อยเมตรนี่ไม่ไหวนะ นึกถึงใครตะแคง กะละมังเล่นกันเลยทีเดียว

    ใช่อันนี้ หรือเปล่า ที่กลัวๆจะเกิดกัน

    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก.jpg


    นักธรณีวิทยาออกมาเตือนหลายประเทศในมหาสมุทรแอนแลนติกว่าในอนาคตอาจถูกถล่มด้วยคลื่นยักษ์ ที่อาจมีความสูงหลายร้อยเมตร ซึ่งสูงกว่าตึกระฟ้าทุกตึกบนโลก โดยเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า “แมกกะสึนามิ ( Mega-tsunami )” ซึ่งมีความรุนแรงกว่าคลื่นสึนามิธรรมดานับสิบเท่า จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่าคลื่นดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตและมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจเริ่มก่อตัวจากหมู่เกาะเล็กๆในมหาสมุทรแอตแลนติก จากหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันมหัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัวของธรรมชาตินี้ได้พบครั้งแรกในปี ค.ศ.1953 [1] เมื่อนักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน 2 คน คือ George Plafker และ Don Miller ได้ทำการสำรวจหาน้ำมันที่อ่าวลิทูยา ( Lituya Bay ) ในรัฐอาลาสก้า สหรัฐอเมริกา แทนที่ทั้งสองจะพบน้ำมัน แต่พวกเขากับพบหลักฐานทางธรณีวิทยาว่าบริเวณอ่าวดังกล่าวได้เคยถูกซัดกระหน่ำด้วยคลื่นยักษ์ซึ่งมีความสูงกว่า 150 เมตร เทียบได้เท่ากับความสูงของตึก 50 ชั้น การค้นพบนี้ทำให้นักธรณีวิทยาทั้งสองประหลาดใจมาก เพราะไม่ปรากฏว่ามีคลื่นชนิดใดในประวัติศาสตร์ที่จะมีความสูงถึงขนาดนั้นแม้แต่คลื่นยักษ์ที่ทรงพลังที่สุดอย่างสึนามิ
    George Plafker ใด้กล่าวกับนักข่าวบีบีซีในขณะนั้นถึงความประหลาดใจในการเกิดคลื่นยักษ์ที่สูงขนาดนั้นได้ เพราะแม้แต่คลื่นสึนามิอันทรงพลังที่สุด ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวนั้นยังมีความสูงแค่ 10 ถึง 15 เมตรเท่านั้น แต่คลื่นที่ถล่มอ่าวลิทูยากลับมีสูงกว่าถึง 10 เท่าคลื่นยักษ์สึนามิ ทั้งนี้เป็นที่รู้จักกันมานานสำหรับนักธรณีวิทยาว่าคลื่นสึนามิที่รุนแรงสุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1946 เมื่อคลื่นยักษ์สูง 10 เมตร พัดเข้าถล่มชายฝั่งเมือง Hilo ในหมู่เกาะฮาวาย [2] โดยที่ประชาชนบนเกาะไม่มีทางรู้ตัว เพราะจุดกำเนิดของสึนามิอยู่ห่างจากเกาะฮาวายนับพันกิโลเมตร เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้พรากชีวิตผู้เคราะห์ร้ายไปมากกว่า 100 คน จนเมื่อหลายปีมาแล้วคนไทยเคยตื่นกลัวกับข่าวของคลื่นยักษ์สึนามิ ถึงกับเคยมีข่าวลือใหญ่โตว่าจะมีคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเกาะภูเก็ตอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกถล่มด้วยสึนามิ เมื่อเทียบหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย หรือ ตามชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา

    คำว่า “สึนามิ” เป็นภาษาญี่ปุ่น หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น ทำไมไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งนี้สึนามิเป็นพิบัติภัยที่เกิดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการใช้คำนี้มานาน 400-500 ปีแล้ว แต่ในภาษาอังกฤษนั้นแต่เดิมใช้คำศัพท์ “Harbour Wave” [3] หรือ สึนามิ ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า คลื่นท่าเรือ ส่วนในประเทศไทยเองครั้งที่เกิดสึนามินั้นได้ใช้คำว่า “คลื่นยักษ์” เป็นคำแรก ต่อจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2548 ราชบัณฑิตยสถาน ได้กำหนดให้ใช้คำว่า “สึนามิ” และ คำนี้จึงกลายเป็นภาษาสากลที่ทราบกันทั่วโลก คลื่นนี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อชุมชนบริเวณชายฝั่งมหาสมุทร และ เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว คลื่นสึนามิยังอาจเกิดได้จากแผ่นดินถล่มใต้มหาสมุทร (Submarine Landslide) หรือ จากภูเขาไฟระเบิด คลื่นสึนามิแตกต่างจากคลื่นน้ำธรรมดามากเพราะตัวคลื่นนั้นสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตร โดยไม่สูญเสียพลังงานแต่อย่างใด และ สามารถเข้าทำลายชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดหลายพันกิโลเมตรได้ โดยทั่วไปแล้วคลื่นสึนามิซึ่งเป็นคลื่นในน้ำจะเดินทางได้ช้ากว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เป็นคลื่นที่เดินทางในพื้นดิน ดังนั้นคลื่นอาจเข้ากระทบฝั่งภายหลังจากที่ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว

    คลื่นโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติสำคัญที่วัดได้อยู่สองประการคือ คาบ ซึ่งจะเป็นเวลาระหว่างลูกคลื่นสองลูก และ ความยาวคลื่น ซึ่งเป็นระยะห่างระหว่างลูกคลื่นสองลูก ในทะเลเปิดคลื่นสึนามิจะมีคาบที่นานมาก โดยเริ่มจากไม่กี่นาทีไปจนเป็นชั่วโมง ในขณะเดียวกันก็มีความยาวคลื่นที่ยาวมากเช่นเดียวกัน โดยอาจยาวถึงหลายร้อยกิโลเมตร ในขณะที่คลื่นทั่วไปที่เกิดจากลมที่ชายฝั่งมีคาบประมาณ 10 วินาที และ มีความยาวคลื่นประมาณ 150 เมตรเท่านั้น ความสูงของคลื่นในทะเลเปิดมักน้อยกว่าหนึ่งเมตร ซึ่งทำให้ไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนบนเรือ คลื่นสึนามิจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วตั้งแต่ 500 ถึง 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ชายฝั่งที่มีความลึกลดลง จะส่งผลให้คลื่นมีความเร็วลดลง และ เริ่มก่อตัวเป็นคลื่นสูง โดยอาจมีความสูงมากกว่า 30 เมตร ซึ่งคลื่นสึนามิจะเคลื่อนตัวออกจากแหล่งกำเนิด ดังนั้นชายฝั่งที่ถูกกำบังโดยแผ่นดินส่วนอื่นๆมักปลอดภัยจากคลื่นสึนามิ อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสที่คลื่นจะสามารถเลี้ยวเบนไปกระทบได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้คลื่นไม่จำเป็นต้องมีความแรงเท่ากันในทุกทิศทุกทาง โดยความแรงจะขึ้นกับแหล่งกำเนิด และ ลักษณะของภูมิประเทศแถบนั้น โดยคลื่นจะมีพฤติกรรมเป็น "คลื่นน้ำตื้น" เมื่ออัตราส่วนระหว่างความลึกของน้ำและขนาดของคลื่นนั้นมีค่าต่ำ ดังนั้นเนื่องจากมีขนาดของคลื่นที่สูงมาก คลื่นสึนามิจึงมีคุณสมบัติเป็นคลื่นน้ำตื้นแม้อยู่ในทะเลลึกก็ตาม

    ts.jpg

    รูป: คลื่นสึนามิที่มีความสำคัญ พบการก่อตัวของคลื่นสึนามิในโตโฮกุ ญี่ปุ่น (ซ้าย) และ คลื่นสึนามิบริเวณท่าเรือของเมืองเครสเซนต์ (ขวา) Harbor อเมริกา ที่มีลักษณะการก่อตัวแบบหมุนวนขนาดใหญ่ในทะเลลึก

    ลักษณะที่สำคัญของคลื่นสึนามิ คือ เป็นคลื่นที่เคลื่อนตัวในมหาสมุทร ประกอบด้วยชุดคลื่นที่มีความยาวมาก โดยมีระยะทางระหว่างยอดคลื่นแต่ละลูก ตั้งแต่ 100 จนถึง 200 กิโลเมตร และมีคาบคลื่น คือ ช่วงเวลาเคลื่อนที่ของยอดคลื่นแต่ละลูก ตั้งแต่ 10 นาทีไปจนถึง 1 ชั่วโมง สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงตั้งแต่ 700 จนถึงมากกว่า 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนที่ไปได้ในระยะทางไกลหลายร้อย หรือหลายพันกิโลเมตร หากไม่มีผืนแผ่นดินใดๆกั้นขวางอยู่ในทะเล ขณะเคลื่อนที่อยู่ในบริเวณน้ำลึกความสูงของคลื่นมีเพียง 30 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร แต่เมื่อเข้าไปถึงบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งจะเพิ่มความสูงขึ้น และ ความรุนแรงจะมากขึ้นตามลำดับ จนอาจมีลักษณะคล้ายกำแพงน้ำขนาดใหญ่ที่ถาโถมเข้าหาชายฝั่ง ยิ่งถ้าบริเวณชายฝั่งเป็นอ่าวแคบหรือมีรูปทรงเป็นกรวยยื่นเข้าไปภายในพื้นแผ่นดินด้วยแล้ว คลื่นอาจเพิ่มความสูงได้มากถึง 30 เมตร มวลน้ำมหาศาลที่คลื่นพัดพาขึ้นไปบนฝั่งจะปะทะกับอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ ซึ่งถ้าหากเป็นอาคารเตี้ยๆ ที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรงก็จะถูกทำลายจนราบเรียบ คลื่นสึนามิจึงนับเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงมากอย่างหนึ่งของโลก

    เนื่องจากโดยแท้จริงแล้วคลื่นสึนามิไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใด ๆ เลยกับน้ำขึ้นน้ำลง จึงมีการมองว่าคำว่า “tidal waves” นั้น อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดถึงสาเหตุของการเกิดคลื่นดังกล่าวได้ นักสมุทรศาสตร์จึงไม่แนะนำให้เรียกคลื่นสึนามิว่า “tidal waves” แต่แนะนำให้เรียกเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Seismic Sea Wave” ซึ่งมีความหมายตรงๆ ในภาษาไทยว่า “คลื่นทะเลที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือน” ทั้งนี้ในเว็บไซต์และหนังสือบางเล่มกล่าวถึงชื่อเรียกของคลื่นชนิดนี้ในภาษาอังกฤษที่ผิด คือ “Harbor Wave” ซึ่งเป็นชื่อที่แปลอย่างตรงตัวจากภาษาญี่ปุ่นแต่ไม่ได้ให้ความหมายใดๆ ในภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ในพจนานุกรม Oxford Learner's Dictionary ได้ให้ความหมายของคำว่า Tidal Wave ไว้ว่าเป็นคลื่นทะเลที่ส่วนใหญ่เกิดจาแผ่นดินไหวใต้สมุทร คลื่นสึนามินั้นสามารถเปลี่ยนสภาพพื้นที่ชายฝั่งในช่วงเวลาสั้นๆ ให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ เกิดคลื่นสึนามิได้นั้น ได้แก่การเกิดแผ่นดินถล่ม ทั้งที่ริมฝั่งทะเล และใต้ทะเล เช่นที่ ปาปัวนิวกีนี หรือ ผลจาก อุกกาบาตพุ่งลงทะเล ทำให้มวลน้ำถูกแทนที่จึงเกิดปฏิกิริยาของแรงต่อ เนื่องทำให้เกิดคลื่นยักษ์ใต้น้ำขึ้น ซึ่งก็คือคลื่นสึนามินั่นเอง มีหลักฐานว่าเมกะสึนามิหรือสึนามิที่มีความสูงมากกว่า 100 เมตร นั้นเกิดขึ้นจากพื้นดินบางส่วนของเกาะพังทลายลงสู่ทะเล หรืออุกกาบาตตกลงสู่ทะเล[4] เนื่องจากคลื่นสึนามิที่สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้มีความสูงกว่า 500 เมตร โดยเกิดจากแผ่นดินถล่มที่รัฐอลาสกาในปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) อย่างไรก็ตาม เมื่อคลื่นไปถึงทะเลเปิดมันได้สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ความสูงของคลื่นสึนามินั้นถูกกำหนดโดยลักษณะของพื้นที่มากกว่าพลังงานที่เกิดจากแผ่นดินถล่ม กรณีที่เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในมหาสมุทรหรือใกล้ชายฝั่งแผ่นดินไหวจะสร้าง คลื่นขนาด มหึมา จะแผ่ออกทุกทิศทุกทางจากแหล่งกำเนิดนั่นคือแผ่ออกจากรอบศูนย์กลางบริเวณที่ เกิด คลื่นสึนามิ เมื่ออยู่ บริเวณน้ำลึก จะมีความสูงของคลื่นไม่มากนัก และไม่เป็นอันตรายต่อเรือเดินทะเล แต่คลื่นจะค่อนข้างใหญ่มาก และอันตรายเมื่อเข้าสู่ฝั่ง สภาพที่เป็นจริงในทะเลเปิดน้ำลึก จะเห็นคล้ายลูกคลื่นไม่สูงนักวิ่งไปตามผิวน้ำ ซึ่งเรือยัง สามารถแล่นอยู่บนลูกคลื่นนี้ได้แต่เมื่อคลื่นนี้เคลื่อนมาถึง บริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง มันจะเคลื่อนโถมเข้าสู่ชายฝั่ง บางครั้งสูงถึง 40 เมตร ซึ่งคลื่นสึนามินี้มีความเร็วสูงมากเมื่ออยู่ในทะเลลึก โดยมีความเร็วประมาณ 720 กม.ต่อ ชั่วโมง ในบริเวณที่ทะเลมีความลึก 4,000 เมตร

    แบบจำลองทางกายภาพของสึนามิในห้องปฏิบัติการการก่อตัวของคลื่นสึนามิ จากการบิดเบี้ยวของพื้นมหาสมุทรในสามมิติ เนื่องจากการเคลื่อนที่ของรอยแตกของเปลือกโลก เมื่อเราสามารถจำแนกกลไกของแผ่นดินไหวด้วยลักษณะของการเคลื่อนตัวของรอยแตกของเปลือกโลกได้ชัดเจนขึ้นแล้ว จะทำให้สามารถแสดงรูปแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นการแพร่กระจายของคลื่น ระดับน้ำทะเลหนุน และ ระยะทางเข้าฝั่ง ที่ถูกคลื่นสึนามิซัดท่วมถึงได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากขึ้นด้วย ในปัจจุบันรูปแบบจำลองลักษณะของการแพร่กระจายของคลื่นสึนามิโดยทั่วไปจะใช้วิธีการที่เรียกว่า "implicit-in-time finite difference method" [5] รูปแบบจำลองเพื่อคำนวณระยะทางเข้าสู่ฝั่งที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง (inundation) ซึ่งบอกให้ทราบว่าพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่จะถูกน้ำท่วมมากน้อยเพียงใด ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนและการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับคลื่นสึนามิ การใช้รูปแบบการคำนวณระยะทางเข้าสู่ฝั่งสูงสุดที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง จะช่วยกำหนดว่าจะต้องอพยพผู้คนออกนอกเขตใด และ ควรใช้เส้นทางใดเพื่อการย้ายผู้คนในชุมชนชายฝั่งไปสู่ที่ซึ่งปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิให้อพยพ

    ts1.jpg



    รูป: แผนภาพแสดงขั้นตอนของการวิวัฒนาการของคลื่นสึนามิแผ่นดินไหวที่สร้างโดยทั่วไปจากแหล่งที่ฝั่ง[5]



    รูปจำลองของการเกิดคลื่นสึนามิ ณ ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1995 แสดงให้เห็นผลระดับน้ำทะเลหนุนสูงและระยะทางเข้าสู่ฝั่งที่คลื่นสึนามิซัดท่วมถึง โดยเทียบกับระดับน้ำทะเลปกติ และ เส้นแนวชายฝั่ง (เส้นสีขาวในภาพ) บริเวณอ่าวทาโอกุ (Tahauku) เมืองฮิวาโฮ (Hiva Hoa) บนหมู่เกาะมาเคซัส (Marquesas Islands) ของหมู่เกาะโพลินีเว๊ยของฝรั่งเศส (French Polynesia) เหตุการณ์นี้ทำให้เรือเล็กจำนวน 2 ลำ อับปางลงบริเวณอ่าวทาโอกุ

    ts2.jpg



    รูป: จำลองของคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากการก่อตัวของคลื่นสึนามิเป็นเวลา 9 ชั่วโมง

    ts3.jpg

    มาตรการการป้องกันที่ได้นำมาใช้เพื่อรับมือคลื่นสึนามิในอดีต จากกรณีก่อนคลื่นสึนามิโชวา ซานริกุ ในปี 1933 มาตรการหลักในการป้องกันภัยจากคลื่นสึนามิ ก็คือให้ประชาชนอาศัยอยู่บนเนินเขา และ หาที่หลบภัยเมื่อเกิดคลื่นสึนามิขึ้น แม้กระทั่งหลังจากปี 1933 มาตรการหลักยังคงเป็นการอยู่อาศัยบนเนินเขา แต่ในพื้นที่ คามาอิชิ ทาโร และ พื้นที่ในเมืองอีก 3 จุดในเมืองโตโฮกุที่ซึ่งพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาลไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยได้ ทำนบป้องกันคลื่น และผนังกั้นน้ำทะเลจึงได้ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลานั้น เครื่องมือที่ใช้สาหรับการเตือนภัยคลื่นสึนามิก็คือวิทยุ ซึ่งเริ่มที่จะมีการใช้อย่างแพร่หลาย ในปี 1941 ระบบเตือนภัยสาหรับคลื่นสึนามิที่ใช้วิทยุได้ริเริ่มนามาใช้ในพื้นที่ซานริกุ (ชายฝั่งที่อยู่ในทิศตะวันออกที่สุดในด้านมหาสมุทรแปซิฟิคของประเทศญี่ปุ่น) ในปี 1952 พื้นที่เป้าหมายที่กาหนดใช้ระบบเตือนภัยดังกล่าวได้ขยายไปทั่วทั้งประเทศ และ กฎหมายควบคุมของระบบอุตุนิยมวิทยาได้มีการประกาศใช้ ก่อนปี 1952 เพียงเล็กน้อย ระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิชั่วคราวได้ทางานประสบผลสาเร็จเป็นอย่างดีในเหตุการณ์คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวโตกาชิ – โอกิ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นที่นอกชายฝั่งย่านโตโฮกุ ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า “แผ่นดินไหวปี 2011 นอกชายฝั่งแปซิฟิคในโตโฮกุ” โดยสถาบันอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น แผ่นดินไหวขนาด Mw = 9.0 ได้ก่อให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงของพื้นดินส่งผลกระทบต่อเกาะฮอนชูตั้งแต่อ่าวโตเกียวไปจนถึงด้านเหนือของเกาะ และก่อให้เกิดกลุ่มคลื่นสึนามิซึ่งทาความเสียหายแก่บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งอย่างต่อเนื่องตลอดพื้นที่ อาฟเตอร์ช็อคขนาดใหญ่ (Mw > 7) ได้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเพิ่มเติมความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่รอบชายฝั่งโตโฮกุระหว่างภาวะฉุกเฉินและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

    จากแผ่นดินไหวใหญ่และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิสมัยเมื่อ 12,000 ปีมาแล้ว นักธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น บริตตานี ของฝรั่งเศส ได้รายงานในวารสารวิชาการธรณีวิทยา ว่าได้สำรวจพบเกาะสปาร์เตล ซึ่งจมอยู่ก้นทะเลในบริเวณช่องแคบยิบรอลตาร์ ในระดับลึก 60 เมตร ปกคลุมด้วยตะกอนหยาบๆ อยู่หนาระหว่าง 50-120 เซนติเมตร เชื่อว่าคงจะเป็นทวีปแอตแลนติก ตามที่เพลโตนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงสมัยโบราณกล่าวบอกไว้ในตำนาน เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า เกาะอันมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง ถูกทำลายจมหายไปในทะเลชั่วเวลาวันเดียว เขาอ้างว่าคำบอก กล่าวของเพลโต สอดคล้องกับเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ พร้อมกับคลื่นยักษ์สึนามิสูงถึง 10 เมตร แบบกับที่เกิดถล่มทลายกรุงลิสบอนของโปรตุเกส เมื่อปีพ.ศ. 2298 นอกจากนั้นจากการตรวจวิเคราะห์ชั้นฝุ่นตะกอนที่ปกคลุมอยู่ ยังได้พบว่า มันมีอายุเก่าแก่อยู่ในราว 12,000 ปี การศึกษายังทำให้รู้ข้อมูลด้วยว่า เหตุแผ่นดินไหวใหญ่อย่างที่ถล่มกรุงลิสบอนนั้น จะเกิดขึ้นในอ่าวคาดิซบริเวณเดียวกันนั้น อยู่ทุกๆ 1,500-2,000 ปี






    อ้างอิง



    [1] NKK ClassNet. การเกิดสึนามิ. เข้าถึงได้ที่ URL: classnet.nkk.ac.th/etraining/file/1150788422-bunkkee.doc.


    [2]C. Chagué-Goff, J. Goff, S.L. Nichol, W. Dudley, A. Zawadzki, J.W. Bennett, S.D. Mooney, D. Fierro, H. Heijnis,D. Dominey-Howes and C. Courtney. 2012. Multi-proxy evidence for trans-Pacific tsunamis in the Hawai'ian Islands. Marine Geology 299–302: 77–89.



    [3] Patrick J. Lynett, Jose C. Borrero, Robert Weiss, Sangyoung Son, Dougal Greer and Willington Renteria. 2012. Observations and modeling of tsunami-induced currents in ports and harbors. Earth and Planetary Science Letters 327–328, 15 April: 68–74.

    [4] Wikipedia. 2012.คลื่นสึนามิ. เข้าถึงได้ที่ URL: http://th.wikipedia.org/wiki/คลื่นสึนามิ.



    [5] Tiziana Rossetto,William Allsop, Ingrid Charvet and David I. Robinson. 2011. Physical modelling of tsunami using a new pneumatic wave generator. Coastal Engineering 58(6): 517–527.

    http://dpm.nida.ac.th/main/index.php/articles/tsunami-and-earthquake/item/198-ลักษณะการเกิดของคลื่นสึนามิ-tsunami
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    "แผ่นดินยิ่งไสด์"

    ตนเองได้พูดถึงเรื่องนี้มาหลายครั้งในกระทู้ ของตนเอง"เตรียมตัวให้พร้อมมันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก" มาได้เกือบปี คือเมื่อประมาณปลายปีที่แล้วที่รับรู้ได้นี้

    และพูดถึงอีกหลายครั้ง แม้กระทั่งขณะนี้ เปรียบเหมือนเรายืนอยู่บนเรือ รังรู้ถึงการไหวโยกไปมาได้

    ถ้าเป็นแบบนี้จริงล่ะก็คงเป็นกรณีคล้ายพลิกคว่ำตีลังกา ตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าว

    ที่นำมาพูดมิใช่สนับสนุนที่จะให้โลกเป็นเช่นนั้น แต่เป็นความบังเอิญ ที่นิมิตรของท่านในสมาธิที่สอดคล้องกับสิ่งศักดิ์ และความเป็นจริงของพลังงานใต้พิภพที่โยกไหว หากเปรียบดั่งที่ท่านกล่าวไว้ว่าสไลด์ น่าจะเป็นความหมายและเห็นภาพที่ชัดเจนที่สุดค่ะ

    ข้อมูลของท่านช่างตรงกันจริง ๆ เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่คะ

    และนักวิทยาศาสตร์โลกก็ได้ยันแล้วว่าหมายถึงอะไร และปัจจุบันนี้ ยุคพลังงานใหม่หรือที่หลายคนกล่าวว่ายุคศิวิไลซ์ ยังคงดำเนินเข้าไปอยู่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2020
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    "ถิ่นกาขาว" อีกนัยหนึ่ง!
    ถ้าเป็นตามนัยนี้ ย่อมทรงเสด็จมาอย่างแน่นอน!

     

แชร์หน้านี้

Loading...