พระพุทธประทานธรรมมาให้(ข่าวล่าสุด)

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย lotte, 20 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    พระพุทธประทานธรรม เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ (เรียบเรียง)
    ทุกคนพึงทำจิตให้มั่นคงในความดีทั้งหมด มีศีล สัจจะ มีวิริยะ ความเพียร เอาชนะความโกรธ ความโลภ ความหลงใหลในโลกสมบัติซึ่งเป็นของไม่จริง ของจริงคือพระนิพพาน เป็นของมีความสุข ไม่สูญสลายดังที่คนคิดกัน ขันธมาร คือ กายกับประสาท อารมณ์ติดทางโลกทั้งหลาย คอยดึงจิตเราที่อาศัยกายชั่วคราวนี้ให้คิดผิด ทำผิด พูดผิด มัวเมากับลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่เสมอ โลก คือ กาย(รูป) รส กลิ่น เสียง(นาม) อย่าเอาไปรวมกับจิต เป็นคนละส่วนกัน ถ้าเอามารวมกันก็มีเหตุวุ่นวาย
    อย่าคิด อย่ามองคนอื่นในแง่ไม่ดีเด็ดขาด เขาจะดีจะชั่วก็เป็นเรื่องของเขา ต่างก็มีกรรมเวรเป็นของตน ไม่ต้องสนใจใคร หากสนใจความไม่ดีของคนอื่น ระวังตัวเราเองอาจจะต้องลงอเวจี ปฏิบัติมาถึงป่านนี้แล้วใครทำไม่ดีกฎของกรรมลงโทษเอง
    ระวังจิตของเราให้ดีที่สุด ทำจิตให้สะอาด เอาจิตที่ดียกไปไว้บนพระนิพพาน มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลาที่มีลมหายใจเข้าออก
    สิ่งที่ดีที่ควรคิดควรเก็บเอาไว้ในใจมีดังนี้
    1. ป้องกันความฟุ้งซ่านของจิต โดยเอาจิตจับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับนึกถึงพระพุทธพิชิตมารบรมศาสดา เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ร่วมกับ อานาปานสติกรรมฐาน มีคุณประโยชน์มหาศาล มีปัญญาดี เห็นความทุกข์ และบรรเทาทุกขเวทนาของร่างกาย
    2. ให้เอาจิตดูร่างกายให้ชัดแจ้งตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสะอาดหรือ สกปรก มีกลิ่นหอมหรือเหม็น จิตเราบังคับร่างกายให้เปล่งปลั่งสดชื่นได้หรือไม่ ถ้าจิตบังคับไม่ให้ร่างกายหิว เหนื่อย เจ็บ แก่ ตาย ไม่ได้ ก็แสดงว่าร่างกาย ไม่ใช่ของจิต ไม่ใช่ของเราจริง เป็นของธรรมชาติ เสื่อมสลายผุพังตามกฎของโลกนี้ คือ เกิดขึ้น แก่ลง แล้วแตกสลายเหมือนกันหมด
    3. ให้เอาจิตดูกายว่า ทุกลมหายใจเข้าออก ร่างกายใกล้ความตายทุกวินาที จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ แล้วตาย ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างกายเป็นเพียงบ้านชั่วคราว จิตเป็นของจริงไม่ตายตามร่างกาย จิตมุ่งมั่นตั้งใจไปพระนิพพานเป็นการตัดความหลง ตัดอวิชชาไปในตัว ไม่หวังการเกิดอีก
    4. ทำจิตใจสะอาดด้วยคุณธรรม มีเมตตากรุณาต่อคนสัตว์ทั่วโลก เป็นการตัดความโกรธ มีความชื่นชมยินดีกับผู้ที่ได้ดีมีสุข เป็นการตัดความอิจฉาริษยา ทำใจเฉย ๆ ไว้ไม่ซ้ำเติมกับผู้ทำผิด เฉยกับความทุกข์ความผิดหวังสารพัด จิตจะฉลาด ไม่ทุกข์ใจไปตามความเปลี่ยนแปลง ของชีวิตในโลก เงินทองจะเสียหายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนแปลง หนีไม่พ้น จะหนีพ้นก็มีที่เดียวแดนเดียวคือ แดนพระนิพพาน
    5. จิตนึกถึงความดีของพระนิพพาน จิตเป็นสุข เย็นสบายเพราะจิตไม่ติดในกายเรากายเขา ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จิตที่พระนิพพานเป็นจิตดับ ราคะ(รัก) ตัณหา (ความอยาก) ดับอุปาทาน ยึดขันธ์ 5 (รูป-นาม) ว่าเป็นของเรา แท้จริง รูป- นาม นี้เป็นของธรรมชาติ เราคือ จิต ยืมธรรมชาติมาใช้ชั่วคราว พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ เป็นสถานที่จริง พระนิพพานไม่ใช่วัตถุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แบบ โลกนี้ พระนิพพานเป็นนามธรรม มองได้ด้วยจิตสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จิตเป็นทิพย์ ที่เห็นพระนิพพาน เป็นรูปร่าง ท่านเรียกกันว่า รูปพระนิพพาน รูปพระนิพพานอยู่ในนามละเอียดยิ่งกว่าลมอากาศ จิตเป็นทิพย์เท่านั้นจึงจะสัมผัสได้ (คนที่ยังไม่ตายก็สัมผัสแดนทิพย์พระนิพพานได้โดยทำสมาธิวิปัสสนา ซึ่งมีหลายแบบ แบบง่าย ๆ คือ มโนมยิทธิ ) มีพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายล้านพระองค์ และพระอรหันต์มากมาย พระนิพพานไพศาลกว่าโลกมนุษย์หลายล้านเท่า พระท่านที่นิพพานแล้วก็ยังคงช่วยเหลือเทวดา มนุษย์ที่มีศีลธรรมอยู่
    6. จิตให้จับอริยสัจ คือ ความเป็นจริงของโลก ตรวจตราดูให้ทั่วว่าคนในโลกที่เป็นสุขจริงหรือไม่ การที่ร่างกายมีภาวะหิวกระหาย เหนื่อยอ่อน หนาว ปวดโน่นปวดนี่ การวิ่งวุ่นหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิตเป็นสุขจริงหรือ ?
    7. ใช้จิตเราตรวจตราดูว่ากิเลสร้อยรัด 10 ตัว นั้นเราตัดตัวใดได้บ้างแล้ว กิเลส 10 ตัวมีดังนี้
    (1) เห็นว่าร่างกาย ทรัพย์สมบัติ เป็นของเรา
    (2) สงสัยในพระธรรมคำสอน
    (3) ไม่มีความมั่นคงในศีล 5
    (4) หลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (กามฉันทะ)
    (5) มีความไม่พอใจหงุดหงิด (ปฏิฆะ)
    (6) หลงในรูปฌาน
    (7) หลงในอรูปฌาน
    (8) มีมานะถือว่าเราดีกว่าเขา เสมอเขา ด้อยกว่าเขา
    (9) มีจิตคิดฟุ้งซ่านนอกเรื่องพระนิพพาน (อุทธัจจกุกกุจจะ)
    (10) มีอวิชชา คิดว่าโลก สวรรค์ พรหม น่าอยู่ น่าสบาย
    ให้คิดใคร่ครวญก่อนทำ พิจารณาให้รอบคอบอย่าใจร้อน สติปัญญาที่มีให้เอาออกมาใช้ ระวังจิตให้ดี มารนั้นคอยดึงจิตเราไปในทางชั่ว คนทั่วไปในโลกนี้จิตที่ดี มีประโยชน์จริง ๆ มีเพียง 1 % อีก 99 % เป็นจิตที่ไหลตามอำนาจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตามโลก ไหลไปตามภาวะของโลกจึงเดือดร้อน อย่าฟังคนรอบข้าง ต้องเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้ดี ให้จริงจัง อย่าเกียจคร้าน อย่าสนใจทางโลกมนุษย์ ซึ่งวุ่นวายไม่มีจบสิ้น ได้มโนมยิทธิ แล้วก็ให้ยกจิตไปไว้บนพระนิพพานบ่อย ๆ อายุสังขารเหลือน้อยลงทุกวัน ร่างกายก็เสื่อมโทรมลงใกล้ ความเน่าเปื่อยลงทุกวัน
    การปฏิบัติธรรมนั้นจงตั้งมั่นที่ใจ อย่าทำที่วาจา ความดีควรมีที่กิริยา จิตที่เข้มแข็งมีกำลังใจเต็มเป็นบารมี การปฏิบัตินั้น ขอให้มุ่งในเรื่องอย่ายึดในสิ่งที่เป็นสมมุติ คือ ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ พยายามทำใจให้นิ่ง นิ่งเฉยมากที่สุด อย่ากลัวพลาด กลัวห่วง กลัวธรรมะ คือ กลัวแก่เจ็บไข้แล้วทรมาน กลัวความตายที่กำลังเดินทางเข้ามาหาทุกลมหายใจเข้าออก จงอยู่กับปัจจุบัน ปล่อยให้ชีวิตทำหน้าที่ของมันไป จิตเราก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของหลอกลวง ของสมมุติ
    พวกที่ศึกษาพระธรรมที่มาจากมหาเถรสมาคมก็ดี พุทธศึกษาหรืออื่น ๆ ก็ดี เขามักจะสอนธรรมวินัย ธรรมของโลกเสียมากว่าที่จะสอนให้คนหนีโลก
    บางคนบอกว่าพระนิพพานเป็นอนัตตา ซึ่งบิดเบือนไปจากคำสอนที่เป็นจริง พระนิพพานเป็นอมตะ เป็นของจริงไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนโลก พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา เหนืออนัตตา เหนือทุกขัง เหนืออนิจจัง เหนือโลก สวรรค์ พรหม อย่าเอาไปเทียบกับของต่ำ พระนิพพานเป็นของสูง ของจริง ไม่ใช่ของสมมุติเหมือนโลกนี้
    การปฏิบัติธรรมะ ให้ระลึกว่าความตายมีอยู่ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อกันความประมาทพลั้งเผลอ พิจารณาว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ตายเมื่อไรจิตเราแยกจากกายเด็ดขาด มุ่งไปแดนพระนิพพานที่ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่หนาวร้อน ไม่ทุกข์ดีกว่า สบายถาวรดี
    การประพฤติธรรมจะถูกจะผิดจะตรงจะชอบ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ถอยหน้า ถอยหลัง นั้น เทวดา พรหม มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านทรงทราบทุกอย่างไม่มีอะไรปิดบังได้
    เส้นทางชีวิตของแต่ละคนเป็นทางเอก ทางส่วนตัว เราจะต้องดูแลรักษาทางอันนั้นให้สะอาด เดินง่ายเรียบร้อย เราอย่าเป็นคนทำทางของเราให้เป็นอุปสรรค กับชีวิตเราเองด้วยการมีอารมณ์ร้อน เศร้าหมอง วิตกกังวล ต้องรักษาจิตใจให้สดชื่นเย็นสบาย ทางชีวิตก็ถึงจุดหมายคือพระนิพพานได้
    โอกาสและเวลาของแต่ละคนมีคุณค่าทางโลกและทางธรรมมากนัก ฉะนั้นควรทำโอกาสและเวลาของเราให้เป็นบุญเป็นประโยชน์มากที่สุด โอกาสนั้นก็ทำแสนง่ายดายคือ ทำที่จิต เห็นว่าจิตมาอาศัยกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชั่วคราว จิตมีที่ไปที่เดียวคือ พระนิพพาน ทางอื่น นรก สัตว์เดรัจฉาน โลก สวรรค์ พรหม เราไม่ไปเด็ดขาด ตั้งจิตไว้อย่างนี้เป็นแรง อธิษฐานบารมี
    อุดมคติ คือ ความปรารถนาในสิ่งที่งดงาม มีอุดมคติอะไรก็พึงทำแต่สิ่งที่อยู่ในอุดมคติเท่านั้น อย่าออกนอกอุดมคติ เรามีชาติ ศาสนา พระประมุข อยู่ 3 สิ่งก็อย่าให้เลยเถิดจาก 3 สิ่ง
    จริงอยู่ที่ว่าโลกเราหาความยุติธรรมไม่ได้ในสิ่งที่มองเห็น แต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติหรือธรรมะนั้นเป็นกฎของธรรมดาหรือกรรม เป็นของยุติธรรมแน่นนอน เราก่อชีวิตขึ้นมาก็เป็นธรรมชาติที่เราจะต้องหาทางให้ชีวิตนั้นสดใส ด้วยการมีศีล 5 ครบ ศีล 5 ทำให้เป็นคนดี สมาธิทำให้เป็นคนเฉย การรู้เห็นทุกข์ของร่างกายทำให้คนมีปัญญา ระวังอย่าให้อารมณ์พอใจ โกรธ เกลียด รัก ชอบ หลง เป็นเจ้าหัวใจ ความยินดีไม่ได้ทำให้คนประสบความสำเร็จ การบำเพ็ญเพียรภาวนาพิจารณาร่างกายเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวน่าเบื่อหน่าย ทำให้คนจำนวนมากสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม จงพยายามและหาช่องทางสำหรับตัวเราเสียก่อนที่จะหมดเวลาคือ ตาย เวลาที่เป็นทุนนั้น จงใช้สร้างคุณอย่าสร้างโทษ จงใช้เวลาและกำลังของสังขารให้เป็นทุนต่อธรรมประจำตนให้มากที่สุด แล้วก็จะได้รับพรที่วิเศษคือ จงหมดภาระจากทุกสิ่ง
    บางคนที่มีทิฐิว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วย่อมไม่ปรากฏอีก โดยอ้าง พระบาลี นิพพานัง ปรมังสุญญัง คำว่า สูญ นั้นหมายถึง สูญจากกิเลส จิตสูญจากกิเลสจึงจะเข้าพระนิพพานได้ จิตมัวหมอง ไม่รู้ตามความเป็นจริง แปลบาลีผิดจากความหมายพระพุทธองค์ จิตก็หลงทางไปสู่อบายภูมิเพราะเป็นจิตไม่ฉลาด
    สิ่งที่ไม่มีที่พระนิพพานได้แก่ นรก สัตว์ โลก สวรรค์ พรหม ธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ขันธ์ 5 (รูป-นาม) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ราคะ อุปาทาน บาปกรรม อวิชชา สังโยชน์ (กิเลสร้อยรัด 10 อย่าง ) เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งเหล่านี้ไม่มีในแดนพระนิพพาน
    เราอยู่ในพระพุทธศาสนา จับหลักในคำสอน จับหลักให้จริงก่อน ให้คิด ไตร่ตรองก่อนว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นจริงไหม แล้วจึงเชื่อจึงปฏิบัติ
    ถ้ามัวดูอภินิหาร ดูฤทธิ์ แล้วจึงเชื่อ ต่อไปถ้าพบคำสอนที่วิเศษ แล้วไม่มีอิทธิฤทธิ์ ก็หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีประโยชน์นะสิ
    จงดูกายของเราว่าเป็นฉันใด กำลังทำอะไร กำลังคิดอะไร ถ้าคิดดีมีประโยชน์ก็เก็บเอาไว้ ถ้าคิดชั่วมัวหมองไร้สาระ วิตกกังวลก็โยนทิ้งไป โดยเฉพาะขันธ์ 5 กายเขากายเราอย่าสนใจ ให้สนใจจิตสะอาดมีธรรมะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ในจิต ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่ช้าก็พังสลายไม่มีอะไรเหลือ เราพิจารณากายจิตเพื่อหนีพ้นกรรมเวร เราต้องการความสุขที่แท้จริงไม่ใช่หรือ ?
    ทุก ๆ คนจงทราบไว้ว่า พระโสดาบันยังมีกิเลส ตัณหา ราคะ ยังมีความโกรธอยู่ แต่ไม่มีอาฆาต มีสติ มีการยับยั้ง รู้คิด ยังอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ไม่หลง มีศีล 5 ครบ ไม่สงสัยในคำสอนพระรัตนตรัย ไม่ลืมตัวกลัวตาย มีความมั่นใจว่าเดินเข้าสู่สายพระนิพพานแน่ ไม่หลงใหลแวะเวียนไปทางอื่น


    ธรรมใดที่เจริญรอยตามองค์พระตถาคต จงทำธรรมะนั้นให้รู้แจ้ง รู้จนเป็นครูได้ เพื่อที่จะสอนมวลสัตว์ทั้งหลายให้ถึงธรรมนั้น ๆ จนสิ้นถึงพระนิพพาน และจงทำธรรมนั้นโดยปฏิบัติให้ถ่องแท้ในจิต เพื่อแสงสว่างแห่งมวลมนุษย์ สัตว์ อสูรกาย เปรต และสัตว์นรกทั้งหลาย
    ไม่ควรพูดมากไร้สาระประโยชน์ ควรพูดมากอย่างมีสาระ ไม่ควรไปจับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ คือ โลกธรรม 8 มี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ และร่างกายเราเขา แล้วนำเอามาเป็นเครื่องวุ่นวายแก่ตัว มีเชือกคือ ร่างกาย ก็ให้เอาไว้ใช้งาน อย่าเอามาเล่นจนเชือกพันตัว ความกลัวโน่นกลัวนี่ อย่าไปกลัวจนเกินเหตุ เหตุมีมาจึงค่อยสู้ ถ้ามากเรื่องก็มากความ อย่าเอามาห่วง มองข้างหน้าคือ สิ่งที่ต้องทำ มองข้างหลังคือ สิ่งที่เป็นครู
    พระพุทธ เอามาไว้ที่ใจ
    พระธรรม เอามาเป็นปัญญา
    พระสงฆ์ เอามาเป็นครู
    ระลึกไว้เป็นนิตย์ก็จะดี ใจเราอยากตามรอยพระบรมครู จงนำสติมาเป็นสมาธิ เอาธรรมขององค์บรมครูมาเป็นปัญญา หาทางรู้ที่สว่างกระจ่างแจ้ง เห็นจริงในธรรมทั้งปวง เอาพระสงฆ์มาเป็นองค์ขัดใจ ใช้ชี้แจงข้อติดขัด เหมือนกับว่าขัดดวงตา เราที่ยังมืดเสียให้กระจ่าง จะเข้าใจธรรมะได้ ต้องเข้าใจทุกข์เสียก่อน มองเห็นทุกข์แล้วจึงจะหนีทุกข์ได้ ทำไปเถิดไม่หนีความสามารถของเราได้ เพราะเราเป็นคนสร้างขันธ์ 5 (รูป-นาม) ได้ก็หนีขันธ์ 5 ได้ ทำใจให้มั่นคง มีได้ก็มีหมด อย่ายึดว่า ของเรา เพราะจะทำให้เกิดความรัก ความหวงขึ้น จะทุกข์ใจเมื่อของเรามันจากไป
    อันพุทธบริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระสมณโคดมบรมอาจารย์นั้นเป็นผู้ที่ได้พบแสงสว่างจากธรรมของพระองค์ นับว่าท่านทั้งหลาย เป็นผู้มีกิเลสน้อย ในบรรดาสัตว์โลกทั้งปวงในยุคกึ่งพุทธกาล นับว่าเป็นของมีค่ามหาศาลอเนกอนันต์อยู่มากในชีวิตของคนที่จะพึงหา ขอให้ใช้แสงแห่งธรรมนี้ให้ถูก ถ้ารู้แล้วขาดการปฏิบัติของนั้นก็เสมอด้วยของไร้ค่า ทำอะไรให้มันจริงจังแน่จริง อย่ามีคำว่าแน่จริงเก็บไว้เฉย ๆ โดยไม่ทำ การทำก็ไม่ต้องแบกหามลงทุนลงรอนอะไร ทำได้ง่าย ๆ ที่จิตใจนี่แหละ
    ฌาน คือ เครื่องรู้ด้วยอารมณ์บริสุทธิ์ ฌานจะเกิดขึ้นได้โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกจนชินเรียกว่า ฌาน
    ในพระพุทธศาสนานั้นถือความจริง เอาเหตุผลเป็นประการสำคัญ คือ พระนิพพานเป็นของแท้ของจริงของถาวร โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง มีแต่ปัญหา พังสลายในที่สุด ไม่เป็นของแท้แน่นอน ไม่มั่นคงถาวร ดังนั้นโลกมนุษย์จึงเป็นของหลอกลวง สูญสลายหมด คนสัตว์สิ่งของจึงเป็นของไม่จริง อันนี้เราพิสูจน์ได้ว่าโลกมีแต่เปลี่ยนไปในทางที่ผุพังไม่ดี ศีลเป็นสิ่งบังคับคนให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ของศาสนา บุคคลมีศีลเป็นมารยาท เพิ่มด้วย มีสมาธิภาวนา นี้จะทำให้เราเป็นผู้ชนะทุกอย่าง ชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน ตัวกำเริบมายั่วยุใจ อารมณ์ของเราให้กวัดแกว่งไปในทางอกุศล ผู้มีสมาธิ เป็นคนไม่ประมาทมีสติ ต่อมาก็มีตัวรู้คือปัญญา รู้ทั้งดีทั้งชั่ว รู้หลบของชั่ว รู้ธรรมของดี รู้ในความจริงของโลกว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่น่าอยู่ไม่น่าลุ่มหลง
    ทุกคนควรตั้งใจแน่วแน่ว่าจะ สละละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ทิ้งทางใจเท่านั้น ร่างกายยังเป็นของโลก ก็ต้องทำหน้าที่ พ่อบ้าน แม่บ้าน ลูกบ้าน คนงาน ให้ครบ แต่จิตใจนั้นคิดละให้เด็ดขาด ของอะไรที่เป็นสมบัติของโลก ต้องรู้จักมันให้แจ้ง เช่น ความสุขกาย สุขเพราะอิ่มเพราะเสพกาม เพราะถูกกาย สงบเพราะนอนหลับ สงบเพราะอยู่คนเดียว ต้องทิ้งใจไม่ติดในมันเพราะเป็นความสุขของโลก รักเพราะสวย เพราะงาม เพราะหน้าที่ เพราะเป็นของที่เราหามาได้ยาก ความคิดนี้ให้ทิ้งไปเสีย เพราะเป็นของโลกเป็นของสมมุติ
    หลง ตรงกันข้ามกับ โกรธ เกลียด หึง อิจฉา เสียใจ ทุกข์ใจ ร้อนใจ เจ็บใจ หลงเป็นแม่บทของรัก เป็นต้นตอ คิดว่าตนเองดี หลงตัวเราว่าทุกอย่างต้องเป็นของเรา โธ่
     

แชร์หน้านี้

Loading...