ปัญหาการยึดวัดพุทธไชโย แจ้งผู้นับถือหลวงพ่อฤาษีลิงดำทราบ+เตรียมเปิดเผยการปาราชิก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย inzee, 5 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นิรันตรัง

    นิรันตรัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุโน นิจจัง
     
  2. นิรันตรัง

    นิรันตรัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92
    อ้างอิงข้อความของคุณ เอกีภาวะ


    ขอลูกจงจำ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ทรงให้เราตั้งศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร

    แล้วทรงประทานพระราชทรัพย์ร่วมมาด้วย

    และของที่โดยเสด็จพระราชกุศลก็มา


    "ควรทำต่อไป ถ้าพ่อตายแล้ว พวกลูกยังทำกิจนี้อยู่

    ก็ชื่อว่าลูกยังเกาะชายจีวรของพ่ออยู่"



    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุโน นิจจัง



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2011
  3. คณะปลาวาฬ

    คณะปลาวาฬ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +5
    จงพร้อมที่จะลบความคิดเดิมๆของคุณ

    และเปิดรับความคิดที่ดีกว่าเข้ามา

    ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาจากความสำเร็จเล็กๆ

    ในแต่ละขั้นตอน

    สิ่งที่คุณ "กำลังเป็น" สำคัญกว่าสิ่งที่คุณ

    "เคยเป็น" แต่สิ่งที่คุณมุ่งหวัง "จะเป็น"

    เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

    ที่ที่คุณเริ่มต้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ

    แต่ที่ที่คุณกำลังจะไปต่างหากที่สำคัญ

    นิพพานังปรมังสุขัง
     
  4. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
  5. ป้อมพระจุล

    ป้อมพระจุล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ความศรัทธาเริ่มมาจากความเชื่อ ความเชื่อเกิดมาจากความคิดพิจารณา ความคิดจากสิ่งที่เราได้รู้ ได้เห็น

    เราเห็นจริยาของหลวงพ่อ เรารู้ถึงคุณธรรมคำสอนของหลวงพ่อ เราเกิดความเชื่อว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนนั้นเป็นจริง เมื่อเราปฏิบัติตามจนเกิดผลเราก็เกิดความศรัทธา

    ส่งรายฃื่อไปแล้ว 54 รายฃื่อทางเมล์ หากต้องการกำลังสนับสนุนสามารถแจ้งมาได้ทันที ตามกฏหมายสามารถเอาผิดผู้ที่ต้องการยึดวัดได้หลายกรณี

    ขอเป็นกำลังใจให้คณะผู้ดำเนินการทุกท่าน หากมีโอกาสคงได้พบกันที่งานครบรอบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง

    และขอฝากถึงผู้ที่มีมิจทิฐิทั้งหลายที่มาวัด ที่ไปบ้านสายลมว่า อย่าพยายามสร้างกระแสโจมตีคณะผู้ดำเนินการ เพราะเรื่องนี้ผู้ใหญ่ทราบเรื่องหมด และสาขาวัดท่าซุงเป็นผู้ถูกกระทำ เป็นผู้เสียหาย หากคิดว่าแน่จริงก็ให้ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปถามพระดู ดีกว่าเอาวิชาของหลวงพ่อมาหากิน หาความศรัทธาจากลูกศิษย์ด้วยกัน เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อที่แท้จริงไม่เอาวิชชาของหลวงพ่อไปหาประโยชน์ใส่ตัวเหมือนพวกที่มายึดวัด หวังแต่ลาภสักการะ หวังให้คนมาขึ้น ยกย่องว่าเป็นครู เป็นอาจารย์ แต่คุณธรรมความรักพ่อนั้นหามีไม่

    กฐินที่วัดพุทธไชโยที่จะมีเจ้าภาพไปถวายเงิน 1 ล้าน บาท เจ้าภาพคงรู้แล้วนะว่าผู้ที่อยู่ที่วัดเป็นเช่นไร เอาไปถวายก็คือเอาไปให้โจรปล้นผ้าเหลืองมันเอาไปใช้ส่วนตัว เผลอๆสึกแล้วเอาเงินไปสร้างตัวเลยด้วยซ้ำ บวชเพราะชอบเต้นท์ไม่ได้บวชเพราะแสวงหาความหลุดพ้นลองดูในคลิป ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ให้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการเงินของวัด บัญชีวัด และบัญชีเจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัด อำเภอ ตำบล เงินประชาชนญาติโยมเขาทำบุญไม่ได้เอาไปให้พวกมึ...กินใช้ส่วนตัว

    เป็นถึงเจ้าคณะจังหวัดพูดจานักเลง ไม่สมควรเป็นพระผู้ใหญ่ที่ให้คนมากราบไหว้สึกแล้วกลับไปอยู่บ้านดีกว่าจะได้ลงนรกไม่ลึก เสียชื่อวัดคลองวาฬวัดอารามหลวง ให้รูปอื่นขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทนดีกว่าพระคุณเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  6. awatan

    awatan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +13
    วัดพุทธไชโยสร้างโดยคณะศิษย์พระราชพรหมยาน มีการเปิดเทปหลวงพ่อพระราชพรหมยานทุกวัน มีการฝึกมโนมยิทธิในสมัยก่อน แต่เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันไม่เคยฝึกมโนฯ แต่(ไปโดยไม่ลา)ไปอบรมวิปัสสนา3เดือน ใครจะทำบุญวัดนี้ลองใช้สติปัญญาใคร่ครวญดูก็แล้วกัน
     
  7. Orisma

    Orisma สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    พระอักษรและพระวรธรรมคติ สมเด็จพระสังฆราช

    ฉบับที่ ๑

    ๑.หากพระรูปใด บิดเบือนพระธรรม กล่าวหาพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำ สงฆ์ให้แตกแยกเป็น 2 ฝ่ายถือเป็นกรรมหนักสุด ทางศาสนาเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้ง ปัจจุบันและอนาคตที่หนัก
    ๒. พระรูปใด ได้ทรัพย์สิน ระหว่างที่บวชเพื่อความถูกต้อง ก็ต้องโอน สมบัติทั้งหมดเป็นของวัด

    ฉบับที่ ๒

    "ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที

    การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "

    ฉบับที่ ๓

    "การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ

    ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น

    ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน"

    ฉบับที่ ๔

    " ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม "

    ฉบับที่ ๕

    " ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช
    สกลสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ

    ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง
    รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 "



    --------------------------------------------------------------------------------


    พระวรธรรมคติ สมเด็จพระสังฆราช

    พระวรธรรมคติ 1

    เมื่อวันที่ 18 มี.ค.2542ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พุทธมณฑล มีการประชุมสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสทั่วประเทศ โดยมีพระสังฆาธิการ 800 องค์ ร่วมพิธีและถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกทรงเป็นประธานเปิดงาน โดยมีดำรัสเป็นพระวรธรรมคติว่า ยุคนี้เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ต้องยอมรับยุ่งยากที่สุด ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เป็นเครื่องชี้ให้เห็นจิตใจผู้คน ห่างไกล จากพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างลิบลับ ทั้งที่มีการสอนพระพุทธศาสนา สอนธรรมะปฎิบัติ น่าเสียใจน่าห่วงใย ใจคนทรุดต่ำลงมากมาย และเหลือเชื่อ เห็นได้จากการทำความไม่ดีไม่รู้สึกรู้สมไม่รู้จักอับอาย

    แม้กระทั่งพระ ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ปฏิบัติละเมิดศีล ละเมิดพระธรรมวินัยจนไม่เหลือให้เป็นผู้มีศีล มีธรรม มีวินัยของพระสงฆ์อีกแล้ว ที่จริง แม้ไม่นำมาพูดก็รู้กันดีอยู่ วันนี้จะขอร้องเพียงว่า อย่าทำตนเอง ให้เป็นเช่นที่รู้ที่เห็นดังกล่าว ขอจงรักษาตัว รักษาใจให้เป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่ง ในการประคับประคอง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้พ้นจากวิกฤตแลวร้าย พระเป็นที่พึ่งสำคัญ ของญาติโยม ขอทำตนให้เป็นที่พี่งที่แท้จริง "เพื่อให้สามารถรักษาตนให้พ้นความผิดความชั่วได้ ขอจงตั้งใจศึกษา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่มากมาย มิได้ว่างเว้นแต่ละเวลา ความตายที่เกิดขึ้นให้รู้ให้เห็น ตรงนี้ เป็นเหตุให้ผู้ไม่มืดบอดไปคิด ให้เกิดความกลัว ที่จะต้องพบกับความตาย โดยมิได้ทำความดี โดยที่ทำความชั่วอยู่หนักนักหนา เชื่อว่าไม่มีสักกี่คน ที่ไม่กลัวผลของความชั่ว ผลของการผิดศีลธรรมผิดวินัย ของพระของเณร เพียงแต่พากันประมาทจนเกินไป อยากขอให้กลัวความตายที่จะเกิดแก่ตน ขณะที่มีบาปมีกรรมชั่วร้าย ที่เป็นทางไปสู่ภพชาติ ที่น่าสะพรึงกับต่าง ๆ นาน ๆ สมบัติสักนิดติดตัวไปก็ไม่ได้ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ตามประชิดติดอยู่"

    สมเด็จพระสังฆราชตรัสอีกว่า ให้พระภิกษุ สามเณร หยุดความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ควรปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ เมื่อชาติหน้ามาถึง จะได้ไม่ไปอายสัตว์นรกที่อยู่ก่อน โดยเฉพาะสัตว์นรกพวกนี้ไม่ได้เป็นพระเป็นเณรมาก่อน ไหน ๆ บวชเรียนมาแล้วเป็นเวลานานปี อย่าให้เสียเวลาเปล่า จงเร่งทำประโยชน์ให้ตัวเองพ้นนรก พ้นกรรมหนัก ที่เป็นผู้ทำพระพุทธศาสนาสนา ให้ด่างพร้อย ให้ถูกแวดล้อมด้วยความสกปรกของพระเณรที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีวินัย ยุคนี้สมัยนี้เห็นต้องพูดเช่นนี้ หวังว่าที่พูดในวันนี้พระเณรคงได้ยินและเชื่อกันบ้าง เพื่อให้พรตนเองให้พ้นกรรมมหันต์ เป็นสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า ขอฝากทุกคนไว้แค่นี้

    พระวรธรรมคติ 2

    สมเด็จพระสังฆราช ประทาน พระวรธรรมคติ อีกฉบับให้กับคณะสงฆ์ที่จะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ในวันที่ 22 มิ.ย.2542นี้ โดยจะตีพิมพ์หนังสือ "อนุสรณ์ธรรมศึกษา" ประจำปี 2542 ของวัดป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ ประเทศสหรัฐฯ ใจความว่าแม้ไม่พูดก็ทราบกันดีทุกคน ขณะนี้กำลังปรากฏ ความชุลมุนวุ่นวายในบรรดา ผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่มิใช่ความวุ่นวายหรือเศร้าหมองในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธศาสนาจะไม่ศร้าหมองด้วยเหตุใดทั้งสิ้น

    พระพุทธศาสนานั้น สมเด็จพระสังฆราช ทรงเปรียบว่าเหมือนเพชรที่ไม่ว่า จะนำโคลนตมสิ่งสกปรกโสโครกใด ไปพอกทาก็หาอาจทำให้เพชร เกิดความมัวหมองได้ไม่ เมื่อสิ่งสกปรก ถูกขจัดออกไป เพชรย่อมปรากฏความเป็นเพชรดวงงามบริสุทธิ์ล้ำค่าเช่นเดิม จึงมั่นใจได้ว่า เมื่อความชุลมุนวุ่นวาย ที่กำลังเกิดขึ้นสงบลง พระพุทธศาสนาก็จะปรากฏ ความรุ่งเรือง สว่างสืบไปในไทยและในโลก

    ความสำคัญอยู่ที่ว่าชาวไทย ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด นอกหรือในประเทศต้องมี ความสามัคคีพร้อมใจแก้ปัญหา ทำความวุ่นวายให้สงบโดยเร็ว แสงแห่งพระพุทธศาสนา จะได้พ้นจากการถูกพรางไว้ด้วยความสกปรกวุ่นวาย อันเกิดแต่ความเบาปัญญา ของผู้ไม่รู้คุณของพระพุทธศาสนา โดยหลงเข้าใจผิด ด้วยมีมิจฉาทิฐิว่า ตนกำลังเป็นกำลังสำคัญ เทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนา ซึ่งการรู้ธรรมะในพระพุทธศาสนา อย่างถูกต้องแม้เพียงพอสมควร จะป้องกันมิให้เกิดมิจฉาทิฐิเช่นนั้นได้ จะพ้นจากการที่เป็นผู้ทำดีมีบุญ ไปเป็นการทำไม่ดีมีบาป เพราะทำร้ายพระพุทธศาสนาได้ด้วยความเบาปัญญา อันเป็นโทษ ที่ร้ายแรงหนักหนา

    พระพุทธศาสนา จะสว่างเจิดจ้า เหนือแสงใดทั้งปวง อยู่ทุกหนทุกแห่งทุกนาที ชาวพุทธมีหน้าที่ต้องขจัดความสกปรก ให้ไกลออกไปเพื่อจะได้รับแสงสว่าง งดงามแห่งพระพุทธศาสนา ส่องทางชีวิตให้ดำเนินไปอย่างสวัสดีที่สุด ในโลกแห่งความมืดนักหนานี้

    พระวรธรรมคติ 3

    เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 29 ส.ค. 42 ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกฯ ได้ทรงเสด็จเป็นองค์ประทานการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาสในเขตปกครองตามมติมหาเถรสมาคม จำนวน 321 รูป ในการนี้ได้ทรงประทานพระวรธรรมคติแก่พระสังฆาธิการที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้

    ช่วงหนึ่งของพระวรธรรมคติระบุว่า ทุกวันนี้สถาบัน พระพุทธศาสนา ที่สูงส่งประเสริฐสุดต้องการความหวังดีอย่างจริงใจจากพุทธบริษัท 4 เพราะความหวังดี อย่างจริงใจของพุทธบริษัทนี่แหละที่จะเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้เป็นคุณประโยชน์ต่อไทย และต่อทุกชาติในโลก พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาจะหมดสิ้นไปจากโลก แม้ไม่ได้รับน้ำใจหวังดีจากผู้เป็นพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธศาสนาไม่มีวันจะดับสูญไปจากโลก

    บ้านเมืองไทยของเรา อันหมายรวมถึงประเทศชาติไทย พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์
    3 สถาบันหลักชีวิตของเราไทยทุกถ้วนหน้า จะตกอยู่ในความมืด ความร้อน ความร้ายแรง หนักขึ้นและหนักขึ้นแน่นอน แม้เราทั้งหลายโดยเฉพาะเราผู้เป็นพระเป็นเณร ผู้มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องทุ่มเทกำลังทั้งปวง ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา เทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาด้วยความหวังดีจริงใจ มิใช่ด้วยหวังเงินทองสมณศักดิ์ ฟังธรรมให้ธรรมดีกว่าให้เงิน

    กฎหมายพระสงฆ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดตราไว้ ข้อที่ 1 ว่า มีพระราชกระแสให้นิยมการฟังธรรมยิ่งกว่าอามิสทาน ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้น้อยผู้ใหญ่สมาทานพระไตรสรณคมน์ ศีล 5 ศีล 8
    ศีล 10 ในสำนักพระสงฆ์ทุกวันทุกเวลา เป็นปฏิบัติบูชา อันเป็นกองมหากุศลวิเศษประเสริฐกว่าอามิสบูชาทั้งปวง ทั้งทรงโปรดให้มีพระธรรมเทศนา
    เป็นธรรมทาน ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฟัง เป็นกองพระราชมหากุศล อันประมาณผลมิได้ บุคคลผู้ประพฤติเป็นสัมมาคารวะต่อพระธรรมในพระไตรปิฎกจะมีผลประมาณมิได้ เมื่อประพฤติมิได้มีสัมมาคารวะต่อพระธรรมในพระไตรปิฎก ก็จะมีโทษแก่บุคคลผู้นั้น อันเป็นโทษใหญ่หลวงนักหนา

    พระเณรยุคนี้น่าจะพยายามทำความนิยมให้ตรงกับที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงตราเป็นกฎหมายพระสงฆ์ ดังกล่าวมาคือนิยมการฟังธรรม การให้ธรรม ยิ่งกว่าอามิสทานเถิด อามิสทานที่เป็นเงินเป็นทองนั้น อย่าลืมว่าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทางกล่าวไว้ว่าเป็นงูพิษ และพิษของงูคือสิ่งที่จะทำลายชีวิตได้อย่างแน่นอน ที่ควรกลัวอย่างยิ่งคือ พิษของงูพิษนั้นทำลายชีวิต แต่พิษของเงินทองนั้นทำลายได้สิ้นทั้งชีวิต ทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ พิษของเงินทองจึงน่ากลัวยิ่งกว่าพิษของงูพิษมากมายเกินกว่าจะประมาณได้ ยิ่งเป็นพระเณรก็ยิ่งควรกลัวพิษเงินทองให้มากเป็นพิเศษ วงการสงฆ์วุ่นเพราะพระ

    นอกจากพระวรธรรมคติแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระสังฆราชทางประทานพระวรธรรมคติอีกฉบับหนึ่ง ทั้งนี้รายละเอียดในพระวรธรรมคติเป็นเรื่องของคำว่า พระ โดยมีสาระโดยสรุปว่า พระ
    แปลว่า ผู้ประเสริฐ ควรเป็นที่ภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับทุกรูปที่เป็นพระ การจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐนั้นมิใช่จะเป็นไปได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป พวกเรา ผู้เป็นพระได้รับมอบหมายแล้วโดยอัตโนมัติแสดงถึงความเชื่อถือว่าเราเป็นผู้ประเสริฐ
    แน่นอนแล้ว เมื่อถือเพศสมณะ เป็นพระ

    ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า ที่ความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายในวงการพระสงฆ์ ซึ่งจะโทษว่าเป็นใครอื่นที่มิใช่พระมิใช่สงฆ์มาทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ถูก ต้องยอมรับ
    ความจริงว่า พระสงฆ์ทำกันเอง คิดความวุ่นวายขึ้นเอง วงการของพระของสงฆ์ทุกวันนี้จึงวุ่นดังเป็นที่รู้ที่เห็น ที่ห่วงใยกันอยู่เป็นอย่างยิ่ง เราเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่สุดประเสริฐ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมครูของเรา มีพระพุทธดำรัสไว้ว่า ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ดับเหตุได้
    ย่อมดับผลได้ ทำเหตุใดย่อมได้ผลนั้น นั่นก็คือเพราะทุกวันนี้เราก่อเหตุวุ่นวาย ผลจึงวุ่นวาย ปรากฎให้เห็นอยู่ชัดเจน

    เราทุกคนต้องตาย และเมื่อถึงเวลานั้น อำนาจก็ตาม ความใหญ่ก็ตาม ความดังก็ตาม
    สมบัติ มหาสมบัติก็ตามหาติดตามเราไปได้ไม่ ที่น่ากลัวอย่างยิ่งก็คือชาติหน้า
    ของทุกคนอยู่ติดกับชาตินี้ วินาทีเดียว ก็อาจไปถึงชาติหน้าได้ จะนำชีวิตไปถึงชาติหน้า
    อย่างงดงามพรั่งพร้อม หรือชาติหน้าที่เป็นนรกอเวจีก็เลือกเถิด

    พระวรธรรมคติ 4

    เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก พระราชทานพระวรธรรมคติเป็นลาย พระหัตถ์ให้สื่อมวลชนตามคำขอ เนื่องในวันประสูติครบรอบ 86 พรรษา ในวันที่ 3 ต.ค. นี้ว่าระยะหลังมีข่าวพาดพิงถึงบ่อย มีผู้อ่านให้ฟัง หรือเล่าบ้าง พอเข้าใจงานของนักข่าว แต่เดิมเสียงพูดถึงนักข่าวไม่น่าไว้วางใจ แต่ระยะหลังกลับเป็นผู้มีอุดมคติได้รับสรรเสริญอยู่มากที่เข้าถึงหู ทำให้สบายใจ เกิดความเชื่อถือและมีความอุ่นใจว่าสื่อมวลชนไม่ทิ้งสิ่งสูงค่าที่สุดคือพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด มีสัมมาทิฐิคือความเห็นชอบ ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ในมรรค 8 แม้ผู้มิได้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์การปฏิบัติมรรค 8 ด้วยยึดมั่นในความเห็นชอบ แม้ในเรื่องราวทั้งหลายที่เผชิญอยู่ย่อมได้รับความพิทักษ์รักษาจากพระศาสนาให้พ้นความเสียชื่อ เสียคน เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีความเป็นคน

    ผลงานสื่อมวลชนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแสดงชัดเจนว่านักข่าวมีสัมมาทิฐิมั่นคง รักษาความดี ให้กลัวผลแห่งกรรม เพราะต้องมีชาติหน้าแน่ เป็นคนให้เป็นคนดีเถิด เป็นพระให้เป็นพระดี จะไม่ได้ไม่ถูกแรงดูดจากนรกลงไปเร่าร้อนทรมานแสนสาหัส สื่อมวลชนมีโอกาสกว่าคนทั่วไปที่จะนำคนจำนวนมากเป็นสุข รักษาความยุติธรรมเที่ยงตรง และให้รักษาความเห็นชอบไว้ให้มั่นคง แม้ชาติหน้ามาถึงก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเป็นคนดี รวมถึงได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่สุดคือร่วมรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่อยู่หนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง และขอฝากสัมมาทิฐินี้ไว้สำคัญยิ่งใหญ่กว่าให้พรอื่น

    พระวรธรรมคติ 5

    ในวันเดียวกัน ( 14/10/42 ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ประทาน พระวรธรรมคติ
    ในการเปิดประชุม นวกภิกษุพระธรรมยุติส่วนกลาง ความว่า โลกอยู่ในช่วงวิกฤต การปฏิบัติตามพระธรรม จะปกป้อง คุ้มครองภัยทั้งปวงได้เหตุการณ์ที่ชาวไทยกำลังผจญอยู่ทำให้เห็นว่าจิตใจคนปราศจากพระธรรม ปล่อยให้อำนาจชั่วร้ายของกิเลศเข้าครอบงำ ให้ทำความชั่วช้าได้สารพัด ควรเป็นคนดีกลับเป็นคนเลว ควรเป็นพระดีกลับเป็นพระเลว

    อย่างไรเสียยังไม่สายจะกลับตัวกลับใจได้ทัน ที่สำคัญต้องตั้งใจแน่วแน่จริง ในพริบตาเดียวอาจเปลี่ยนใจชั่วร้ายให้เป็นใจที่ดีได้ เพราะใจเป็นใหญ่ จึงขอให้คิดให้ดีจะเป็นพระดี เป็น คนดีหรือจะเป็นพระไม่ดี คนไม่ดี บาปบุญเท่านั้นจะติดตามไปดังเงา อย่ายอมทำบาป ทำความชั่วร้าย ใด ๆเพื่อแลกกับเงินทองหรือยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นของพระหรือของคนธรรมดาไหน ๆ ความตายก็ประชิดติดตัวทุกคนอยู่แล้ว ชาวพุทธมีโอกาสทำกุศลยิ่งใหญ่ ด้วยการเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนา และให้กลัวกรรมที่ทำต่อพระพุทธศาสนา โดยทรงยกตัวอย่างของพระองคุลิมาลกับพระเทวทัตให้กลัวกรรมที่ทำกับพระศาสนา จนไม่เห็นค่าสูงสุด และกล้านำไปแลกกับอะไร ๆ ทั้งหลายที่ปรารถนาต้องการ แผ่นดินทุกวันนี้ยังแยกได้ ธรณีก็ย่อมยังสูบได้ เช่นเดียวกับพระเทวทัต ช่วยกันนำไปเตือนใคร ๆ ให้ด้วย จะเป็นการเทิดทูนรักษาพระศาสนาด้วยวิธีหนึ่ง

    ที่มา http://rabob.tripod.com/pralikit.htm
     
  8. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    วันอาทิตย์นี้ คณะผู้ดำเนินการและทีมกฏหมายและลูกหลานหลวงพ่อที่สะดวกมาในพิธีบวงสรวง จะเริ่มทำพิธีกัน 8 โมงเช้า ขอทุกท่านที่ให้การสนับสนุนอยู่ที่ต่างจังหวัดก็ดี ต่างประเทศก็ดี ร่วมกันอธิษฐานจิตขอบารมีสิ่งศักดิสิทธิ์ ครูบาอาจารย์ เปิดชุมนุมเทวดา 8 โมงตรง นะครับที่ซอยสายลม
     
  9. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    ข้อความจากการสนทนาในเฟสบุ๊ค

    คุณ P:
    ศพหลวงพ่อพระครูปลัดนิภัทรไ<WBR>​ม่เน่าเป้นเพราะว่าแช่โรงเย<WBR>​็นไว้คะ ไปเช้ดน้ำเหลือง น้ำหนองที่ไหลออกจากโลงศพมา<WBR>​แล้ว ด้วยความสัจจริง ไม่มุสา ทีแรกเข้าว่าคิดไปเอง กลิ่นโชยหน่อย แต่หลวงพี่เอบอกโยมมาว่า หลวงไก่วัดที่ไหนมะรุ้ว่า เบอรื1 กระดูกจะเป็นพระธา...ตุอะ...เหอๆ พอมาคิดอีกทีถ้ากระดูกจะเป็<WBR>​นพระธาตุ ทำไมต้องแช่เย็นอะคะ ก้โยมมะรู้หนิ พอไปวัดท่าวุง เห้นหลวงพ่อฤาษีมะเห็นแช่ตู<WBR>​คนละเรื่องเลย แบบนี้ หลวงพี่เอ มุสาดยมชัดๆ ศีล 5ข้อยังทำ มะได้ แล้ว 227 ข้อจะทำได้ มะเนี๊ยะ กีดกันมะให้ฦโยมคุยกะป้าถาว<WBR>​รอีก มาว่าโยมเป็นสายวัดท่าซุง โยมยังไม่รู้จักใครเลยที่วั<WBR>​ดท่าซุง ไปวัดมาแล้วเซ็งมากๆ อุตส่าห์เรี่ยไรเงินไปช่วยง<WBR>​านปาริวาสกรรม มาบอกว่า คนอื่นมาถวายเยอะกว่าโยมอีก<WBR>​ แถมเอายันต์เกราะเพชร มาหลอกโยมอีกว่า บังเอิยมีคนเอามาขายให้ที่ว<WBR>​ัด แต่โยมว่า รื้อจากห้องหลวงพ่อพระครูปลัดเบอร์1 มาต่างหาก หลวงพี่เจ้าอาวาสวัดเขาน้อย<WBR>​ ถ่ายรูปสมบัติในวัดพุทธไชยโ<WBR>​ยไว้หมดเลย มีสิทธิ อะไร มีแม่ชี มานั่งคุมงานในวัดด้วย จำไม่ได้มาจากวัดไหน รู้แต่ว่า มาจากวัดเจ้าคระตำบล ทำแก้มแดงวิ่ง และนั่งแอ๊คอยู่ไหนวัด ทำหน้าที่หลวงหลวงพี่เอ เจ้าอาวาส แม่ชีทำหน้าที่หวงหลวงพี่เอ<WBR>​ด้วย
    ----------------------------------------------
    คุณ P:
    ที่รับสังฆทาน วัดพุทธ ช่องที่เดินไปข้างหลังที่มีแมวเ<WBR>​ลี้ยงอยุ่ ไม่แน่ในว่ารุปพระพุทธเจ้า หรือรุปหลวงพ่อฤาษีฯ แขวนไว้แต่หันหน้าไปทิศตะวันตก พวกที่เล่นของ จะหันหน้าพระไปทางทิสตะวันตก อะ หลวงพี่เอเจ้าอาวาส จะสนิทกับร่างทรง ที่ชุมพรเป็นผุ้หญิง พระหลวงไก่ที่กาญฯ และพระเพื่อนซี้ที่ขอนแก่น

    คุณ N:
    ช่องข้างหลัง มันจะเป็นห้อง ปีกซ้ายกับปีกขวารึป่าว
    <ABBR class=timestamp title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:23 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:23:39 -0700"></ABBR>
    <ABBR class=timestamp title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:23 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:23:39 -0700">คุณ P:
    ถ้าตรงที่รับสังฆทาน นะ อยู่ฝั่งขวานะคะ เพราะนุ่เอาข้าวไปให้แมวแล้<WBR>​วเห้น เพราะนู่เห็นพี่สาวทำกับแม่<WBR>​นู๋ จะบังคับให้แม่หันหน้าพระไป<WBR>​ทิสตะวันตก ดวงตกกันทั้งบ้านเลย
    --------------------------------------
    คุณ P:
    ข้าพเจ้าเห็นอาของหลวงพี่เจ้าอาวาสขึ้นไปรื้ออะไรกันบน​ที่เข้ารับสังฆทานนะคะ ใช้ป้าถาวรอย่างกะทาส แม่ชี นั่งแอ๊คอยุ่ใต้ต้นลั่นทมหน้าวัด

    ช่วงแรกๆ ที่ไม่มีเงิน เจ้าอาวาสวัดเขาน้อยลักษณะเ​หมือนกะเทยอะคะ ซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำ​มาเพลที่วัดบ่อยๆ

    แล้วมีครูผู้ชายคนหนึ่งอยุ่​แถววัดเขาน้อยบอกว่า เจ้าคระตำบลไปวัดธรรมกายบ่อ​ยๆ ไปแรกๆ ไม่รู้ถึงปัญหาของวัด เลยไปช่วยพออยู่บ่อยๆ ไปเรื่องชักเยอะเลยไม่ค่อยไ​ป ที่ไปเพราะเป็นห่วงป้าถาวร ซึ่งเราพึ่งรุ้จักกัน สงสารป้า แล้วป้าถามบ่อยๆ ว่าเรื่องของวัดจะสำเร็จมั๊​ย ตอนนี้ไม่ได้ติดต่อกับป้าเล​ยไม่รุ้เป็นไงมั่ง

    </ABBR>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  10. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    พระวรธรรมคติ 2 ของสมเด็จพระสังฆราช

    พระวรธรรมคติ 2

    พระพุทธศาสนา จะสว่างเจิดจ้า เหนือแสงใดทั้งปวง อยู่ทุกหนทุกแห่งทุกนาที

    ชาวพุทธมีหน้าที่ต้องขจัดความสกปรก ให้ไกลออกไปเพื่อจะได้รับแสงสว่าง

    งดงามแห่งพระพุทธศาสนา ส่องทางชีวิตให้ดำเนินไปอย่างสวัสดีที่สุด ในโลก

    แห่งความมืดนักหนานี้


    ขอบคุณ คุณจวนเย็นที่นำมาลงครับ

    พวกที่บอกปล่อยวางลองอ่านดูนะขอรับครับกระผม
     
  11. ฟาร่าห์

    ฟาร่าห์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    สุภาษิตโบราณท่านกล่าวว่า " มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ "

    ..มือมีไม่ถ่อทั้ง...........ไม่พาย
    เท้ารอน้ำกำจาย..........ยักเยิ่น
    เขากอบกิจมุ่งมั่น.........ร่วมกัน สรรค์ต่อ
    ใจไม่ก่อกลับขวางไซร้...ลูกแท้ อย่าทำ..~

    แม้ไม่อายใคร ก็อายหัวใจตนเองบ้างก็จะดีนะคะ สำหรับผู้ที่ " ดีแต่พูด " ที่ไม่เคย " พูดแต่ดี "

    จะปล่อยจะวาง แล้วทางที่สร้าง..? ใครจะเดิน...? คิดสักนิดก็ดีนะ.. ว่าไม๊ค๊ะ...~catt13
     
  12. คณะปลาวาฬ

    คณะปลาวาฬ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +5
    ตอนนี้ถ้าใครที่คิดไปทำบุญที่วัดพุทธไชโย

    ก็คงไม่ได้บุญแน่นอนเพราะไม่ได้ทำบุญกับผู้ปฏิบัติอย่างแท้


    จริงเพราะตอนนี้มีแต่เจ้าอาวาสที่แม้แต่ศีลข้อ 4 ก็รักษาไม่

    ได้แล้ว 227 จะรักษาได้ฤาน่าสงสัยนะ

    ไปทำบุญแล้วจะได้บุญหรือได้ยินว่ามีเจ้าภาพกฐินจะไปทอด

    น่าเสียดายเงินนะหากใครรู้จักเจ้าภาพเตือนท่านหน่อยก็ดีนะ

    เพราะเสียทั้งเงินเสียทั้งความรู้สึกแถมบุญก็ไม่ได้จะไปทำ

    ทำไมหนาดูกระทู้นี้แล้วก็ไปดูกระทู้ปัญหาวัดพุทธไชโย

    ด้วยแล้วไม่ต้องไปทำบุญอีกเลยที่พุทธไชโยแม้แต่จะกราบ

    ไหว้พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ก็ไม่รู้ว่าได้บุญไหม

    ขอขมาโทษนะครับน่าจะมีแต่....ในผ้าเหลืองหรือเปล่า

    ข่าวออกมาล่าสุดเจ้าอาวาสใหม่ก็ติดกิ๊กอะไรวุ่นวายจัง

    ถ้าไม่มีมูลข่าวคงไม่ออกมาเช่นนี้หรอกนะทำอะไรก็ปิดให้

    มิดๆหน่อยถ้าอยากมีกิ๊กมีแฟนก็ปลงผ้าออกมาเถอะเขาจะได้

    ไม่ว่าเอาสงสารพระศาสนาบ้างเถอะเวลานี้ก็เหลือพระที่ให้

    กราบไหว้น้อยลงทุกทีแล้ว

    ใครที่คิดจะไปทำบุญก็คิดให้รอบครอบหน่อย

    ด้วยความหวังดี<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. คณะปลาวาฬ

    คณะปลาวาฬ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +5
    บวงสรวงวันที่ 7 สิงหาคม2554 เวลา 8.00 น. ตั้งจิตอธิษฐาน

    ได้สัมผัสกับความเป็นทิพย์ที่สุดยอดเลยครับ

    คณะทำงานทุกท่านได้รับอุนาโลมจากองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้าองค์พระปฐม

    ท่านทรงเจิมให้กับทุกท่านเลยครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่านนะครับที่ร่วมตั้งจิตอธิษฐานได้ร่วมรวมพลังอันยิ่งใหญ่

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    จากการพูดคุยในเฟสบุ๊ค
    (อธิบายคำศัพท์ที่เขาคุนกัน เบอร์1 เจ้าอาวาสเก่า เบอร์2เจ้าอาวาสใหม่)

    คุณ P:
    ร่างทรงที่เค้าไปๆกัน มีที่ชุมพรเป็นผู้หญิง หลวงไก่วัดอะไรไม่รุ้ที่กาญ<WBR>​ แล้วพระเพื่อนหลวงพี่เอเจ้า<WBR>​วสที่ขอนแก่น คะ
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:04 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:04:25 -0700">วันวันเสาร์เวลา 17:04 น.</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:04 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:04:25 -0700"></ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:04 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:04:25 -0700">คุณ N:</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:04 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:04:25 -0700">พวงร่างทรงที่เบอร์2ชอบไปอะ<WBR>​หรอ...เนี่ยถ้าฝึกมโนฯ ก็ไม่ต้องใช้วิชามารพวกนี้ ถามองค์สมเด็จหรือพระโดยตรง<WBR>​...แต่มโนฯ ต้องมีศีลนะ...ศีลมั่วไปมั่<WBR>​วมาก็ฝึกไม่ได้ โดยเฉพาะศีลต้องบริสุทธิ์ด้<WBR>​วย<ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:09 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:09:28 -0700">วันวันเสาร์เวลา 17:09 น</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:09 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:09:28 -0700"></ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:09 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:09:28 -0700">คุณ P:</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:09 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:09:28 -0700">ไปคลุกคลีกลับมาแล้วซวย คะ เลิกกับแฟน ปิดกิจการ ตกงาน ไม่สบายเจ็บขาหนีบ ไม่รุ้เป็นกรรม หรือโดนทำของใส่<ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700">วันวันเสาร์เวลา 17:11 น</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700"></ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700">คุณ P:</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700">เค้าเห็นปันนามีรถพยายามจะซื้อ ให้ไปรับพระที่วัดไหนมะรู้ ปันนาไปจ่ายตลาดวันที่เค้ามีปาริวาสกรรมของจ่ายตลาดก้เต็มรถ ป้านันทื กับป้าถาวรอีก เพื่อนปันนาอีก เออ...จะบอกว่าป้านันคือคนที​รับจ้างทำกับข้าวให้วัดนะรู้เรื่องดี รุ้แม้กระทั่งว่า แม่ชีเป้นแฟนกับหลวงพี่เอ 10ปีมาแล้วอุปถัมนืกันมา มีทะเลาะกันในวัดแล้วแม่ชีว​วิ่งมาร้องไห้กับป้านันทืด้ว​ย ป้านันทืเล่า แล้ววันปาริวาสกรรม นะ หลวงพี่เอ เรียกให้มาช่วยแม่ชีก้เลยวิ​งแก้มแดงในวัดใหญ่เลยป้านันทืเห้น เพื่อนนู่ก็เห้น แล้วนู่ก้เห็น</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700"></ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700">คุณ P:</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:11 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:11:01 -0700">เค้าพยายามทำให้ปันนาเป้นสา<WBR>​วกเค้านะ เค้าบอกว่าวันที่พระเพื่อนเ<WBR>​ค้ามาจากขอนแก่นนะ ให้ปันนาไปให้ได้ ดีนะ ไม่มีใจอยากไป ตอนนี้ปันนาว่าป้าถาวร ดดนคนเดียวเต็มๆ อะ<ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:44 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:44:45 -0700">วันวันเสาร์เวลา 17:44 น</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:44 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:44:45 -0700"></ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:44 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:44:45 -0700">คุณ N:</ABBR>
    <ABBR title="6 สิงหาคม 2011 เวลา 17:44 น." data-date="Sat, 06 Aug 2011 03:44:45 -0700">ป้าถาวรมีองค์สมเด็จมีหลวงพ่อรักษา จากหนักก็เป็นเบา พี่เคยถามป้าว่าเพราะอะไรถึ​งมาอยู่วัด ป้าบอกว่าอ่านอริยสัตย์ของห​ลวงพ่อ ทุกลมหายใจป้าบอกว่าทำเพื่อ​พระศาสนา ป้าถึงอยู่แต่ในครัว ทำงานให้วัดทั้งวัน
    เมื่อวานนี้ เวลา 11:57 น.

    [​IMG]</ABBR></ABBR></ABBR></ABBR>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2011
  15. awatan

    awatan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +13
    เรื่องที่ ๑๖๕
    ตายจากพระสงฆ์ที่บวชมา ๓๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

    "..พระทรงสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ที่ ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์ และก็เป็นพระองค์เดียวกับที่ท่านว่าเรื่องนรกที่อาตมานำมาเล่าให้ท่านยายฟัง เป็นเรื่องโกหกพกลม ท่านบอกว่า "บวชพระมา ๓๐ ปีเศษแล้วไม่เคยเห็นนรกสักนิด" อาตมาจึงไม่เคารพท่าน เนื่องจากท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรกว่าเขาทำผิดอะไรมาจึงลงนรก อาตมาก็เลยต้องไปดูนรกเป็นประจำ เมื่อทราบข่าวท่านเจ้าคุณตาย ท่านยายไปเยี่ยมศพ อาตมานั่งเล่นที่ชานบ้านซึ่งอยู่ริมนํ้า มีลมพัดเย็นสบาย ใจก็เลยคิดว่าท่านเจ้าคุณตายแล้ว ท่านจะไปอยู่ที่ไหน จะไปถามท่านลุงดู อาตมาจึงนึกถึงพระองค์ยิ้ม รูปสวย องค์ที่เคยมาหา พอ ภาวนาว่า "พุทโธ" ๓ คำ ท่านก็มาหาและยิ้ม จึงกราบเรียนท่านว่า "ผมอยากไปดูนรก" ท่านยิ้มอีกครั้ง ปรากฏว่าอาตมาอยู่บนยอดเขาที่เคยไป เมื่อไปถึงก็นึกถึงท่านลุง ท่านลุงก็มาหาถามว่า "หลานต้องพบทำไม" บอกท่านว่า "ได้ข่าวพระตาย ๑ องค์มีชื่อว่า......." ท่านลุงก็บอกว่า "เขาตัดสินแล้วขณะนี้อยู่ในอเวจีมหานรก" ถามท่านอีกว่า "พระตกนรกด้วยหรือ" ท่านตอบว่า "พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระ ก็ต้องตกนรก" ถามท่านว่า "พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก" ท่านตอบว่า "ก็พระดีแต่สอนชาวบ้านแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดีแต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และก็มีโทษหนักมาก"
    อาตมาบอกท่านลุงว่า "ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ"
    ท่านยกมือขึ้นเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมหานรกมาปรากฏใกล้ตัวท่น และภาพท่านเจ้าคุณปรากฏดังนี้
    ๑) ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบน ปักติดอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น
    ๒) มีหอกปักด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้ามตรึงติดกำแพงเหล็ก
    เป็นอันว่ามีหอกปักตรึงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว และมีเปลวไฟละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุม พุ่งมาเผาตลอดเวลา
    ถาม ท่านลุงว่า "ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร" ท่านลุงเรียกให้ท่านเจ้าคุณขึ้นมาหา ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ ท่านเดินขึ้นมาเห็นอาตมาเข้า ท่านกล่าว "ขออภัย" ท่านลุงบอกว่า "การขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌานถูกตัดสินแล้ว" ท่านเจ้าคุณบรรยายเรื่องที่ท่านทำผิดเมื่อตายแล้วลงอเวจีมหานรกให้ฟังดังนี้
    ๑) เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ ๑ ใน ๓ ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควรเป็นพระจัดเป็นความผิด คือเป็นคนลวงโลก หลอกชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน
    ๒) ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว ไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์สินนั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆราวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำแต่ฝืนทำ
    ๓) เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศ คิดว่าตัววิเศษ แม้แต่ผู้ทรงฌาน ท่านพูดแล้วก็ชี้มาที่อาตมา ก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
    ๔) ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องใหญ่ มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงินตามอัตรา เวลามาขอยศขอตำแหน่ง ก็ต้องหาพานมาประเคนมีแบงก์ใบใหญ่ๆ เวลานิมนต์เทศน์ต้องติดเงินก้อนใหญ่ๆ ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้ใหญ่ๆ คือมีเงินให้กู้มากๆ มีทองจำนำเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ๆ ก็เลยตกนรกขุมใหญ่ มีความทุกข์ทรมานใหญ่
    อาตมาถามท่านเจ้าคุณว่า "ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันบ้าง"
    ท่านตอบว่า "ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ มีดังนี้
    ๑) มีเงินสดอยู่ ๗๓,๐๓๒.๗๕ บาท
    ๒) ทองคำที่รับจำนำไว้ ๓๕ บาท
    ๓) ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นสาวน้อย เจ้าของร้านขายของมีนํ้าหนัก ๕๐ บาท
    ๔) ของที่คณะกรรมการตรวจพบไม่ได้ คือเงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก ๔ หมื่นบาทเศษ อันนี้ไม่มีหลักฐาน"
    อาตมาถามท่านเจ้าคุณว่า "ของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน"
    ท่านตอบว่า "คณะกรรมการควบคุมไว้"
    ถามท่านอีกว่า "วันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม"
    ท่านตอบว่า "ทราบ เพราะกรรมการเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้"
    ๕) ที่เป็นกรรมหนักก็ในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือบวชแต่ตัวและมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีเป็นพระอริยเจ้ามาไหว้ท่าน ท่านก็เลยทำใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมข้อนี้อีกข้อหนึ่งที่ทำให้ท่านลงอเวจีมหานรก
    เมื่ออาตมาได้เรื่อง แล้วก็ดีใจมาก ลาท่านลุงกลับบ้าน เมื่อคุณยายกลับมา ก็เล่าเรื่องทรัพย์สินเงินทองของท่านเจ้าคุณให้ทราบ คุณยายตกใจมากถามว่า "พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร" เรียนท่านว่า "เมื่อคุณยายไปฝั่งโน้น (คือฝั่งพระนคร ชาวธนบุรีเรียกว่าฝั่งโน้น สมัยนั้นจากตลิ่งชันก็ไปลำบาก ต้องไปเรือยนต์หรือเรือโดยสาร ที่บ้านไม่มีเรือยนต์ เรือโดยสารออกเป็นเวลา วันหนึ่งไม่เกิน ๕ เที่ยว การที่จะแอบอ่านป้ายเอามาบอกนั้นไม่มีทางทำได้แน่) ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก พบท่านเจ้าคุณลงอเวจีมหานรก ท่านลุงเรียกขึ้นมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต จึงได้ทราบ" เมื่อพูดจบ ท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่ คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ ปรากฏว่าตรงกันทุกอย่าง ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่า "ไม่น่าเลย พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้ พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก"
    นี่เป็น มุมหนึ่งของนรก ที่ใครๆ ก็สามารถจะเห็นได้ ถ้าบวชเพื่อความเป็นพระ แต่ถ้าบวชกันเพื่อแสวงหาความรู้มาเป็นอาชีพ หรือเพื่อยศศักดิ์ เพื่อลาภผล เพื่อเป็นเหยื่อล่อสตรีที่เห็นว่าดีว่างาม ท่านก็ไปตามท่านเจ้าคุณองค์นี้ ถ้าบวชแล้วปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะมัง ภันเต" แปลว่า "ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
    เป็นอันว่าท่านที่บวชเพื่อเข้าถึงพระนิพพานทุกองค์ เรื่องเห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องกล้วยๆ ไม่มีอะไรหนักเลย.."
     
  16. awatan

    awatan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +13
    พระตกนรก


    พระเรานี่มีอะไรเป็นพิเศษนอกเหนือจากชาวบ้านเขาอยู่อย่างหนึ่งคือจะ กระทำสิ่งใดก็ตามจะต้องให้อยู่ในระเบียบวินัยขนบธรรมเนียมประเพณี และอยู่ในกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์ จะผิดเพี้ยนจากนี้ไม่ได้ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าชาวบ้านเขาให้ความเคารพ นับถือยกย่องว่าเป็น ปูชนียบุคคล คือบุคคลที่ควรบูชา

    คำว่า พระ แปลว่า ประเสริฐ และก็ประเสริฐอย่างไม่มีที่ติ หรืออีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่า สมณะ ซึ่งหมายถึงผู้สงบหรือผู้ที่มีบาปอันลอยแล้ว ถ้าหากว่าพระเรามีอารมณ์ไม่สงบ มีกำลังใจไม่สงบก็ไม่ใช่พระ เป็นอะไรก็ไม่รู้

    ทีนี้พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา อันดับแรกจะต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการให้ได้เสียก่อน จึงจะเรียกว่า “เนกขัมมะบารมี” เมื่อระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้แล้วก็จะต้องรักษาศีล ๒๒๗ ให้ครบถ้วน พยายามรักษามันให้ครบ ถ้าไม่ครบ มันพลาดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งก็ตาม ให้หวังได้เลยว่าเราตกนรกแน่นอน อันนี้ไม่ได้ขู่ เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ซึ่งประสบมาเองก็จะขอเล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นคติเตือนใจ จะได้มีจิตตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    มีพระองค์หนึ่งท่านตกนรก พระองค์นั้นเป็นเจ้าคณะอำเภอ ตายเมื่ออายุ ๗๒ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก หนุ่ม ๆ คงรูปหล่อ สาวรักมาก ตายแล้วเลยตกนรก

    คืนนั้นฉันนอนเล่น ๆ ใกล้เวลา ๒ ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ก็เห็นเทวดาองค์หนึ่ง ท่านมายืนอยู่ข้างหน้า พอเหลียวไปดูท่าน ๆ ก็นั่งคุกเข่ายกมือพนม เลยถามว่า

    “มาทำไม” ท่านบอกว่า

    “ท่านใหญ่ให้มานิมนต์ครับ”

    คำว่าท่านใหญ่นี่เราทราบเลยว่าต้องเป็นพระยายม พระยายมนี่เป็นพรหมนะ ไม่ใช่เป็นพวกนรก อย่าเข้าใจผิด เขาอยู่แดนสวรรค์ สำนักพระยายมนี่ไม่ใช่แดนรก แต่มันอยู่ใกล้แดนนรกมีหน้าที่กันคนลงนรก ก็เลยบอกว่าไป เขาก็นำไป พอไปถึงสำนักของพระยายมก็ถามท่านว่า

    “ลุงมีธุระอะไร...?”

    “ไม่มีธุระอะไรมากหรอก เพื่อนท่านน่ะซิ เขามาหนึ่งแล้ว”


    ก็เป็นอันรู้กันว่า ถ้าพระไปล่ะเป็นต้องไปตาม ท่านบอกว่า

    “เพื่อนท่านเขามาหนึ่งแล้ว ไปเยี่ยมเขาหน่อยซิ” ก็เลยถามว่า

    “อยู่ที่ไหนล่ะ...?” ท่านบอกว่า

    “อยู่โน้น ขุมที่ ๗”

    แหม...ดีจัง ขุมที่ ๗ นี่มีอายุครึ่งกัปไอ้ขุมที่ ๗ นี่คือ มหาตาปะนรก มันร้องไม่ออก ร้องเสียงดังแต่มันดังไม่ได้ ไปถึงก็เห็นเขากำลังลงโทษ แต่ว่าถ้าเราจะเข้าไปพูดเองพวกนั้นเขาไม่ยอม นายนิรยบาลนี่ถ้าเราไปตามลำพังแล้วไปบอกให้เขาเอาคนนั้นขึ้นมาที คนนี้ขึ้นมาที เขาจะไม่พูดด้วย เราต้องเอาคนของสำนักพระยายมไปคนหนึ่งเขาถึงจะยอม วันนั้นพระยายมท่านไปเอง พอไปแล้วท่านก็เลยบอกว่า

    “นี่ เอาคนนั้นขึ้นมา”

    พอบอกว่าเอาคนนั้นขึ้นมา คนนั้นก็เลยหลุดจากเครื่องพันธนาการ เขาก็ขึ้นมาจากขุมนรก พอขึ้นมาแล้วก็แต่งตัวเป็นพระ แหม...พวกฉันจริง ๆ แฮะ แต่ฉัน ๒ พรรษา องค์นั้นเขา ๕๒ พรรษา เรามันเท่าเศษเขาพอดี ขึ้นมาแล้วก็เลยถามว่า

    “บวชอายุเท่าไหร่ ตายอายุเท่าไหร่...?” เขาตอบว่า

    “บวชเมื่ออายุ ๒๐ ปีเศษ ตายเมื่ออายุ ๗๒ ย่าง ๗๓” เลยถามว่า

    “บวชตั้ง ๕๒ พรรษาแล้วมีตำแหน่งอะไร...?”

    “ผมเป็นเจ้าอาวาส เป็ฯเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ แล้วก็เป็นอุปัชฌาย์”

    “ทำไมถึงตกนรก...?”


    เขาบอกว่า “ตอนบวชนั้นผมเป็นสมมติสงฆ์จริง ๆ อยู่ ๒ พรรษา”


    ไอ้คำว่าสมมติสงฆ์นะยังเกรงใจพระวินัย ก็มีบกพร่องบ้าง อะไรบ้าง แต่ยังรู้สึกว่ายังเกรงใจพระวินัยอยู่แค่ ๒ พรรษานะ นอกนั้นก็หมดจากความเป็นพระ หมดจากความเป็นพระแล้ว แต่ก็ยังครองผ้าเหลืองอยู่ กรรมมันเลยหนักก็เลยถามว่า

    “หมดจากความเป็นพระประเภทนี้มันน่าจะลงอเวจี เราทำไมจึงไม่ลง...?”

    เขาบอกว่า “ผมมารู้สึกตัวตอนใกล้ ๆ จะตายสัก ๒ ปี ก็พยายามทำความดีทุกอย่างแต่มันคืนไม่ได้”

    ก็ยังดีไม่ลงอเวจี ลงแค่ขุมที่ ๗ แต่ว่าอีกนาน พวกเราตายอีกร้อยครั้ง องค์นั้นไม่ขึ้นเลย เพราะขุมนี้มีอายุตั้งครึ่งกัป แต่ว่าอย่าลืมนะขุมใหญ่มีอายุครึ่งกัปและยังมีโทษอะไรอีก ถ้ามีโทษอะไรอีกก็จะต้องมาไล่เบี้ยขุมใหญ่อีกคือ

    เมื่อออกจากขุมที่ ๗ ก็จะต้องผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุมแต่ละขุมมีอายุไม่แน่นอน เขาจะกักไว้กี่ร้อยกัปก็ได้ นอกจากนรกบริวาร ๔ ขุมแล้ว ถ้ามีโทษอย่างอื่นอีก ก็จะต้องไปตามนรกขุมใหญ่อีกออกจากที่นั้นก็ต้องตกนรกบริวารอีก ๔ ขุม เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดเขตเขา

    อีกตอนหมดเขตของเขาแล้ว ยังต้องไปตก ยมโลกียนรก อีก ๑๐ ขุม แล้วยมโลกียนรกนี่มันก็อายุไม่เหมือนกัน ไม่บอกเวลาแน่นอน และการตกนรกขุมนี้เขาจะไล่เบี้ยตั้งแต่ปาณาติบาตไปเรื่อยจนครบทั้ง ๕ ข้อ

    นอกจากนั้นถ้ายังมีคนโกงจัด คคโกงจากการเรี่ยไร เมียซ้อมผัว ผัวซ้อมเมีย ด่าพ่อตีแม่อีก อย่างนี้เขาเก็บหมดเลย เก็บหมดนี่แล้วฉันยังไม่รู้เลยว่ามันใช้เวลาทั้งหมดกี่ร้อยกัป

    หลังจากนั้นก็จะต้องมาเป็น เปรต เปรตมี ๑๒ ระดับกว่าจะพ้นแต่ละระดับก็แสนจะยาก จากเปรตก็มาเป็น อสุรกาย จากอสุรกายก็ต้องมาเป็น สัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานจะไปเป็นคนหรือเทวดาได้ด้วยบุญเดิม ก็จะต้องเป็นสัตว์ที่มีความรู้มาก ต้องมีคนเมตตา

    สัตว์ที่จะพ้นจากความเป็นสัตว์ได้นี่สังเกตไม่ยาก พวกนี้เขาจะได้รับความเมตตาจากคน ถ้ายังไม่มีใครเมตตาเพียงใด พวกนั้นก็ยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์

    แหม...มันน่าหนักใจเหมือนกัน แต่ถ้าคิดดูอีกทีหนึ่งในเมื่อเราตั้งใจบวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติความดีก็ไม่น่า หนักใจ ต้องคิดว่าพระอรหันต์ทุกองค์ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่กำเนิด ท่านก็ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นแบบเดียวกับเรานี่แหละ ทำไปแก้ข้อบกพร่องไปเรื่อย ๆ มีความพากเพียรเป็นปกติ มี อิทธิบาท ๔ ครบถ้วน จะทำสิ่งใดมันก็ต้องสำเร็จจนได้ มันก็สำเร็จทุกอย่าง
    ฉะนั้นในเมื่อเราบวชมาแล้วเขาเรียกว่า เราว่า พระ สึกไปแล้วก็ควรจะเป็นพระต่อไป พระที่นุ่งผ้าเหลืองหรือไม่นุ่งผ้าเหลืองไม่มีความหมาย ความหมายมันอยู่ที่ว่าเราเป็น พระอริยเจ้า หรือเปล่า

    ถ้าเรานุ่งผ้าเหลืองอยู่จิต แต่จิตของเราไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ก็เป็นได้แค่ สมมติสงฆ์ เราก็ยังเป็นเหยื่อของนรกอยู่ตลอดเวลา การบวชไม่มีความหมาย บวชก็ถือเพศของการบวชเฉย ๆ ประโยชน์ของการบวชไม่มีเลย

    ในเมื่อมาบวชแล้ว ก็ตัดนรกมันตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันสึก ถ้าสึกแล้วก็ควรตัดตลอดไปจนกว่าจะถึงวันตาย นั่นคือ คุมอารมณ์ของพระโสดาบันไว้ อารมณ์ของพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันนี้เรามีกันอยู่แล้ว

    ต่อไปก็ดูสิกขาบท ศีลทุกสิกขาบทพยายามรักษาไว้ให้ได้ อย่าให้บกพร่องและส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ อารมณ์พระนิพพาน เราจะทำงานทำการอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นการให้ทานแก่สัตว์ก็ดี ให้ทานแก่คนก็ดี ทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมก็ดี รักษาความสะอาดบริเวณวัดก็ดี ทำดีทุกอย่างเราไม่ต้องการผลตอบแทนเป็นอย่างอื่น สิ่งที่เราทำไปแล้วนี้ เราทำเพื่อ พระนิพพานอย่างเดียว

    ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เป็นปรกติ และพยายามรักษากำลังใจแบบนี้ไว้ได้อยู่เสมอ เราก็จะสามารถที่จะตัดนรกออกไปได้ไม่มีปัญหา

    __________________
    การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา และการ เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ มันมีสภาพไม่สูญ ที่ใครว่าสูญเป็นเรื่องของเขา เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมีความเข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
     
  17. awatan

    awatan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +13
    <table align="center" width="759"><tbody><tr><td class="StyleT16" align="center" bgcolor="#CCCCCC" height="30" width="751">คำสอนของหลวงพ่อ</td></tr><tr><td>พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า......

    "ขอเตือนว่า ที่ท่านทั้งหลายบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา มีพระบาลีบทหนึ่งว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน และการบวชเข้ามาในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าถือเอาผ้าเหลืองเป็นเครื่องกันตัว มันจะมีโทษหนัก ขอท่านทั้งหลายที่อุปสมบทบรรพชาเข้ามา เห็นท่าว่าจะทนไม่ไหว รีบสึกไปเสียก่อน เรื่องระเบียบ เรื่องวินัย เป็นของมีความสำคัญ แม้การทะนงตัว จงอย่ามีแก่ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้มีสติใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ จงอย่าทำอะไรตามอารมณ์ที่เราคิดว่ามันดี ก่อนที่จะคิดประเภทนี้ ก็ต้องดูเสียก่อนตามระเบียบ สิ่งที่สำคัญก็คือ

    ๑. จรณะ ๑๕ ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน
    ๒. บารมี ๑๐ ต้องมีอารมณ์ให้ครบ
    ๓. อิทธิบาท ๔ ต้องมีครบถ้วน
    ๔. พรหมวิหาร ๔ ต้องครบถ้วน
    ๕. กำจัดนิวรณ์ให้ได้
    ๖. ทรงฌานให้เป็นปกติ
    ๗. เห็นธรรมดาของขัณธ์ ๕

    สำหรับโทษการละเมิดพระวินัยนี่ ความจริงมีโทษหนักแต่ทว่าครูบาอาจารย์่่ท่านไม่สอน ผมก็ไม่โทษครูบาอาจารย์ เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านอาจจะบอกว่า ท่านไม่รู้ เมื่อครูท่านไม่สอน การที่มีโทษทางพระวินัยก็หมายถึงว่า ตกนรกบ้าง เกิดเป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ความจริงเรื่องนี้มีมาในพระไตรปิฎก คือ ในพระวินัยปิฎกนั่นเอง เป็นของไม่ยาก ทำไมถึงไม่มีใครค้นคว้ามาสอนกัน แล้วมักจะสอนกันว่า อาบัติเล็กน้อย...ปลงตก"

    </td></tr><tr><td>พระ ภิกษุสงฆ์ต้องถือศีลตามพระวินัย ๒๒๗ ข้อ ถ้าทำผิดจากพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ถือว่าเป็นอาบัติ ซึงสามารถแบ่ง ออกเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ ดังนี้

    ๑. ปาราชีก มี ๔ ข้อ
    ๒. สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
    ๓. อนิยต มี ๒ ข้อ (เป็นอาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
    ๔. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละส่ิงของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ)
    ๕. ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
    ๖. ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
    ๗. เสขิยะ มี ๗๕ ข้อ (ว่าด้วยการศึกษาเรื่องมารยาท)
    ๘. อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์) เป็นอาบัติที่ไม่ได้มาในพระไตรปิฎก

    รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติ หรือการปลงอาบัตินั้น ก็คือการกล่าวสารภาพผิดของอาบัตินั้นๆ กับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อแสดงตนต่อความผิด แต่เรื่องความหมายของการปลงอาบัตินั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้แนะนำไว้ว่า....


    </td></tr></tbody></table> "...คำ ว่า ปลงอาบัติ นั้นมันเป็นการยับยั้งการกระทำความชั่วต่อไปเท่านั้น ส่วนที่ชั่วไปแล้วมันก็ชั่วแล้ว มันจะกลับคืนดีมาอีกไม่ได้ สมมติว่า ถ้าเราไปลักไปขโมยของของบุคคลอื่นเขา ในวันต่อมาเราก็เลิกลักเลิกขโมย ไอ้โทษที่ลักขโมยของของเขาน่ะ มันหมดโทษแล้วหรือยัง ทางกฏหมายเขาให้ไหม เขายกโทษให้หรือเปล่า ความจริงมันก็เปล่า ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การละเมิดโทษในทางพระวินัยก็เหมือนกัน ละเมิดแล้วถึงจะแสดงอาบัติ (แสดงอาบัติก็ไม่ได้รู้ภาษาอะไรเลย ว่ากันส่งเดชไป) อย่าลืมว่าแสดงแล้ว ถึงแม้ว่าจะแสดงแล้วทำถูก ส่วนที่เสียมันก็เสียไป ดูตัวอย่างท่านพระกบิลเป็นต้น เมาในความดี เห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสดงพระธรรมเทสนาเป็นที่จับใจ พอใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จ พระชินวร ก็อยากจะบวชเข้ามาสร้างความดี จึงขอบวชในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์มีพระนามว่า พระพุทธกัสสป เมื่อระยะต้นประพฤติพระธรรมวินัยดีมาก เคร่งครัด มัธยัสถ์ มีระเบียบเป็นอันดี แต่พอเนิ่นนานเข้า ความชั่วมันเกิดขึ้น ก็มีความรู้สึกว่า การเป็นพระนี่มันก็ไม่ต่างจากคน มีความรู้สึกเท่ากัน นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิเสียแล้ว สร้างความทะนงด้วยประการต่างๆ เห็นว่าอาบัติเล็กน้อย แสดงได้ ก็เลยละเมิดมันดะ ตั้งแต่สังฆาทิเสส สังฆาทิเสสนี่เขาเรียกว่า อยู่กรรมได้ เมื่อสังฆาทิเสสแล้ว ถึงปีก็ไปอยู่กรรม ที่เขาเรียกกันว่า อยู่ปริวาสกรรม ละเมิดอาบัติ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ ทุกกฏ ทุพภาษิต และนอกจากสังฆาทิเสสแล้ว ถือว่าแสดงอาบัติตก.."
     
  18. Saizen

    Saizen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    นิทานสุภาษิต

    <iframe width="640" height="510" src="http://www.youtube.com/embed/F-nCBI5UsP4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  19. นิรันตรัง

    นิรันตรัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92

    ได้ยินว่ามีเจ้าภาพกฐินจะไปทอด



    ลูกศิษย์ขององค์หลวงพ่อมีอย่างนี้ด้วยหรือ? ตอนนี้ฝ่ายโน้นเขากำลังต่อสู้ว่า

    นักบวชที่เขาตั้งชอบแล้ว มีความสามารถดำเนินการบริหารวัดไปได้ และมีคน

    พร้อมที่่จะให้การสนับสนุน เขาจึงได้จัดงานปริวาสกรรม ต่อไปเขาก็จะจัดอบรม

    ค่ายพุทธบุตร นี่คือการดิ้นรนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับเขา แต่ไม่รู้สึก

    แปลกใจอะไร แต่การที่มีคณะบุคคลที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์องค์หลวงพ่อวัด

    ท่าซุง รวมตัวกันไปเพื่อให้การสนับสนุนคณะนักบวชคณะนี้ด้วยการจะนำกฐิน

    ไปทอดนี่สิ รู้สึกสลดใจจริงๆ



    ถ้าท่านสนับสนุนนักบวชคณะุนี้ ก็ได้อยู่ แต่การดำเนินการของนักบวชคณะนี้ ก็

    จะเหมือนส่วนใหญ่ทั่วไป คือ ไม่เคารพพระธรรมวินัย ไม่ให้ความสำคัญของการ

    รักษาศีล ลุ่มหลง มัวเมาในกามสุข ยึดติดแต่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทาง

    โลกีย์วิสัย วันดีคืนดี นักบวชประเภทนี้ก็มีโอกาส ปราชิก ได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง

    หนังสือพิมพ์ ได้ออกสกรุ๊ปพิเศษใน โทรทัศน์ ทำให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา

    มัวหมองได้ ที่สำคัญคือ เขาจะลบหลู่องค์หลวงพ่อเรา และ คณะศิษย์ขององค์

    หลวงพ่อเราอย่างหนัก คุณเอาเงินไปให้เขา ต่อหน้าคุณเขาก็ว่าดีเพราะเขา

    ยินดีในเงินในทองอยู่แล้ว ให้เขามากเท่าไหร่ยิ่งดี คุณก็ยิ่งได้หน้า แต่ลับหลัง

    คุณเขาก็จะด่าหลวงพ่อเรา ค้านคำสอนขององค์หลวงพ่อเรา คุณเคยรู้เรื่องนี้

    บ้างไหม และคุณจะเอาไหม?




    แต่ถ้าคุณอยากทอดกฐิน อยากได้บุญกฐิน คุณรอให้คณะทำงานสามารถนำ

    คณะสงฆ์ที่เคารพในพระรัตนตรัย เคารพในพระธรรมวินัย ประพฤติตนเพื่อความ

    พ้นทุกข์ ได้แก่พระนิพพาน นำคำสอนอันประเสริฐของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่

    องค์หลวงพ่อนำมาสอนเรา ทั้ง ๔ หมวด คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ

    และ ปฏิสัมภิทัปปัตโต มาปฏิบัติ ณ.สถานที่นี้ ได้สำเร็จก่อนจะได้ไหม? บุญ

    กุศลมันแตกต่างกันหาประมาณมิได้ และการดำเนินไปของวัดต่อไปก็จะมีแต่่

    บุญกุศล คุณงามความดีตลอดไป ตามเจตนารมณ์ขององค์หลวงพ่อของเราที่

    สร้างวัดนี้ไว้ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ



    ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ คุณก็จะกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับของนักบวชคณะนี้

    โดยปริยาย ผลสุดท้ายเขาก็จะเอาพวกคุณนี่แหละ เอาภาพกิจกรรมที่คุณไป

    สนับสนุนเขานี่แหละ มาเป็นแนวร่วม นำมาเป็นข้อต่อสู้ เพื่อต่อต้านคณะสงฆ์ ที่

    ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ให้เข้ามาบริหารวัด ไม่ให้ดำเนินการตามแนวทางของ

    องค์หลวงพ่อเราต่อไป อย่างที่บอกข้างต้น เขาก็จะอ้างความชอบธรรมว่า เขา

    สามารถบริหารวัดสืบต่อไปได้ คุณจะว่าอย่างไร


    เพราะฉะนั้นคุณอย่าเห็นแก่การได้หน้า ได้คำยกยอปอปั้นจากนักบวช ผู้เห็น

    แก่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทางโลกีย์วิสัยคณะนี้ แล้วทุ่มเทสนับสนุนเขา ด้วย

    ปัจจัย ๔ คุณก็จะได้อานิสงส์ สนับสนุนโจร ปล้นความดีให้สิ้นไปจากพระพุทธ

    ศาสนา ปล้นความดีให้สิ้นไปจากขอบเขตของพระพุทธศาสนา จาำกวัดพุทธ

    ไชโยด้วย คุณจะได้บุญได้อย่างไร?



    คำสอนขององค์หลวงพ่อ พูดภายในกับพระและคนไกล้ชิืด


    " ถ้าพวกเอ็งแตกความสามัคคีกัน เขาจะมายึดวัด "


    คนหลายคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่ผม

    เข้าใจ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์วัดพุทธไชโยนี้ ก็ยิ่งทำให้เข้าใจยิ่งขึ้น



    เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ขอให้เราทุกคนที่รู้สึกตัวว่า เราเป็น ลูกหลานขององค์หลวง

    พ่อแล้ว ขอให้ว่าอะไรว่าตามกันไปก่อนจะได้ไหม? กู้สถานะการณ์ นำเอาวัด

    พุทธไชโยกลับคืนสู่สภาวะที่ องค์หลวงพ่อของเราประสงค์ คณะศิษย์ที่มอง

    เห็นปัญหาประสงค์ และ นำวัดพุทธไชโยเข้าสู่สภาวะที่พระพุทธองค์ทรงมี

    พระพุทธประสงค์ด้วยกันก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง จะได้ไหม?



    แต่ถ้าจะด้วยเหตุใดก็ตาม หากคุณจะยังยืนยันที่จะให้การสนับสนุน นักบวช

    คณะนี้ต่อไป โดยไม่พยายามที่จะเปิดใจรับเหตุผลของคณะทำงานเรื่องนี้ คุณก็

    จะได้รับความเสียใจ ได้รับภัยต่างๆ อันเกิดจากการกระทำของคุณเองในไม่ช้า

    เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป มันถึงเวลาแล้วที่นักบวชประเภทมหาโจร ๕ จำพวกที่

    พระพุทธองค์ทรงมีพระดำรัสไว้ จะถึงกาลแห่งความพินาศ จะถูกกำจัดให้ออก

    ไปจากขอบเขตของพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ด้วยกฏแห่งกรรม คุณก็

    จะไปกับเขาด้วยโดยปริยา



    บัดนี้ถึงกาลเวลาที่พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกครั้ง จะมีผู้ทรงอภิญญา

    จะมีพระอริยะเจ้ามากเหมือนกับสมัยพุทธกาล เพราะฉะนั้น จำเป็นอยู่เอง ที่

    กาฝากของพระพุทธศาสนาจะต้องถูกกำจัดไป เพื่อไม่ให้เปลืองที่ของพระพุทธ

    ศาสนา เพื่อให้เป็นที่อยู่ของคนดีสืบไป จนถึงปีพุทธศักราช สี่พันกว่าๆ ถึงจะ

    ค่อยๆลดกำลังลง และสิ้นศาสนาไปในที่สุด เมื่อครบห้าพันปี



    อนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่านที่เสียสละ เพื่อที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนา

    ขอความตั้งใจอันดีนี้ จงปรากฏผล ให้ท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ

    ปราุถนาสมหวังทุกอย่าง ตลอดนิรันตกาลด้วยเถิด
     
  20. คณะปิดทอง

    คณะปิดทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +363
    ปัจจุบันนี้ข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด พระทำอะไรไว้ไม่ดีอย่าคิดว่าไม่มีคนรู้คนเห็น

    ยุคนี้คือยุคขุดรากถอนโคนนักบวชที่อาศัยผ้าเหลืองหากินบนความศรัทธาญาติโยม


    ในเมื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ มีจำนวนไม่มากพอกับอลัชชี

    ชาวบ้าน ญาติโยม ก็จะลุกขึ้นมาช่วยเพื่อปกป้องและจรรโลงพระพุทธศาสนา


    อย่าคิดว่าผู้ปฏิบัติธรรมต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว แล้วคิดจะมาย่ำยีได้ง่ายๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...