ประสบการณ์ขนหัวลุก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 22 พฤศจิกายน 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    บุญเรือง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหลังตลาดหมอชิตผมอยู่หมู่บ้านเคซีอาร์หลังขนส่งหมอชิตเก่ามา 20 กว่าปีแล้ว ซอยตรงข้ามมีโรงแรมซูเปอร์ซึ่งเปิดมาก่อนหน้านั้นราว 10 ปี น่าแปลกอยู่อย่างที่เป็นโรงแรมติดๆ กับหมู่บ้านจัดสรร แต่มีคนมาใช้บริการเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้หลังโรงแรมเคยเป็นบ้านตึกหลังใหญ่ มีเนื้อที่กว้างขวางราว 3 ไร่ รั้วคอนกรีตแน่นหนา ประตูด้านหน้าติดกับถนนซอยที่ผ่านหมู่บ้านพอดีถนนนี้เลี้ยวซ้ายไปออกสถานีช่อง 7 ถ้าเลี้ยวขวาก็ไปทะลุซอยวิภาวดี 3 หรือซอยร่วมศิริมิตร ผ่านหน้าโรงแรมซูเปอร์ไปออกซอยสุทธิสาร 15 หรือเลี้ยวขวาไปทางพหลโยธิน 18 ก็ได้ครับ...ผ่านไปมาบ่อยๆ ก็เห็นว่าแปลกประหลาดเอาการ!
    สุดซอยนี้มีต้นหางนกยูงสองต้น หน้าร้อนจะออกดอกสีแดงสะพรั่ง เลี้ยวซ้ายไปทางโรงแรมก็เป็นซากตึกรกร้าง เหลือแต่ศาลพระภูมิตั้งเด่น...ติดๆ กับศาลพระภูมิของตึกแถวห้องแรกที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นปกติที่ว่าแปลกก็เพราะมีทั้งต้นหางนกยูงคู่กับศาลคู่ อยู่ใกล้ๆ กันนั่นเอง...แถมยังมีปาล์มคู่ที่หน้าตึกใหญ่อีกต่างหาก!
    เมื่อตอนที่ผมไปอยู่ใหม่ๆ ยังเป็นรถราเข้าออกคึกคัก ต่อมาก็ปิดตาย ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้ม มีทั้งปาล์มขวดต้นสูงๆ ตะขบผุดขึ้นมานับสิบๆ ต้น รวมทั้งพวกไม้ล้มลุกและไม้เลื้อยต่างๆ ริมรั้วถัดจากบ้านนี้ไปทางซอยวิภาวดี 3 ด้านซ้ายก็เป็นที่ว่างร่มครึ้มอีกเหมือนกัน ด้านหน้ามีรั้วลวดหนามเก่าๆ กั้นไว้พอเป็นพิธี มีขยะกองสุมเหลือเชื่อ ทั้งถังน้ำมันไปถึงบานประตูหน้าต่าง สังกะสีและกระเบื้องเก่าๆ แตกหัก ขนาดทีวีกับตู้เย็นพังๆ ยังมีคนเอาไปทิ้งที่นั่นเลยครับกลางวันยังวังเวงใจน่ากลัว...ยิ่งกลางคืนไม่ต้องพูดถึง เขาว่าผีดุนักหนา! เมื่อ 2-3 ปีก่อนมีคนพบศพหญิงสาว ถูกฆ่าจากที่ไหนไม่ทราบ ฆาตกรนำศพมาทิ้งไว้ที่นั่น ตอนแรกก็ไม่มีคนเห็น จนกระทั่งศพเน่า ฝูงหมาเห่าหอนกันขรมถึงได้เจอศพที่เละเทะแล้วต่อมาก็มีตลาดนัดอุบัติขึ้น! ตอนเย็นๆ ทุกวันอังคาร - พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พ่อค้าแม่ขายก็มาชุมนุมกันขายของ ทั้งรถเข็นและแผงลอย ผู้คนในละแวกนั้นก็ออกมาเดินซื้อของกินของใช้กันคึกคัก ตกค่ำก็เปิดไฟสว่างจ้าโดยต่อไฟมาจากร้านมุมถนนนั่นแหละสินค้ามีทั้งลาบ ข้าวเหนียว ส้มตำ น้ำตก เสื้อร้องไห้ ผัดและแกง ทอดมัน หัวหมู ปลาเผา น้ำพริกกะปิ-ปลาร้า ไปยันน้ำพริกขวด ทั้งน้ำพริกแมงดา ปลาร้า แจ่วบองสารพัดชนิดหอยแครงกับหอยแมลงภู่ พอสั่งซื้อก็ลวกกันสดๆ เดี๋ยวนั้น มีน้ำจิ้มใส่ถุงให้ไปกินที่บ้านใกล้ๆ กันขายผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน มังคุด ลองกอง มะม่วง ส้มเขียวหวาน รวมทั้งมะพร้าวอ่อน ข้าวโพดต้ม ฝั่งตรงข้ามก็มีขนมน้ำแข็งไสให้เลือกเยอะแยะหนุ่มอินเดียมาขายโรตีทั้งแบบธรรมดาและใส่ไข่...ใช้เนยเหลวแทนน้ำมัน ขายดิบขายดีจนทอดแทบไม่ทัน
    ไหนจะเครื่องใช้ประจำบ้าน เครื่องสำอาง วิทยุและเกมกดราคาถูกๆ ใกล้กับแผงขายซีดีสารพัดชนิด เด็กๆ กับวัยรุ่นเข้าไปมุงกันแน่นเป็นประจำ...ราวสองทุ่มนั่นแหละถึงจะตลาดวายตลาดนัดที่ว่าตั้งแผงอยู่ริมรั้วตรงสี่แยกนั่นเอง! ข้างกำแพงของที่รกร้างตั้งได้ 4-5 แผงเท่านั้น เพราะถัดไปจนถึงประตูโรงแรมด้านหลังมีดงไม้ล้มลุกขึ้นยาวเหยียว ทั้งไม้ดอกไม้ใบ...มองลอดรั้วที่เป็นช่องๆ เข้าไปก็ดูเยือกเย็นน่ากลัวพิลึกละครับปาล์มคู่ยืนต้นเด่นอยู่ริมทางเข้า นอกนั้นมีมะพร้าว 2-3 ต้นกับตะขบขึ้นสะพรั่ง สันนิษฐานว่าคงจะขึ้นเองตามยถากรรมมากกว่าเจ้าของจะปลูกไว้มีคนเห็นใครเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น แต่เอามาเล่าก็ไม่มีใครเชื่อเพราะรู้ดีว่าที่นั่นรกร้างมาเกือบ 10 ปีแล้ว
    ตลาดนัดที่ว่านี้มีอุปสรรคสำคัญคือฝนตก! ถ้าฝนพรมพรำบางๆ ลูกค้ายังพอกางร่มมาซื้อของได้ แต่ถ้าหนาเม็ดเมื่อไหร่ก็ต้องเก็บข้าวเก็บของเมื่อนั้น เพราะไม่มีใครอุตริออกจากบ้านมาดูของดูคนแน่นอนเหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนค่ำวันอาทิตย์ ต้นเดือนที่แล้วนี่เองฟ้าครึ้มมาแต่เย็น ลูกค้าคึกคักตั้งแต่ก่อนหกโมงจนถึงทุ่มเศษ บางคนก็ถือร่มมาด้วย ตรงสี่แยกที่จะไปหลังโรงแรมซูเปอร์มีแผงขายข้าวโพดต้ม น้ำพริกถุงและน้ำพริกขวด หัวมุมตรงข้ามมีขายปลาเผากับอาหารอีสานใกล้ๆ กับลานเล่นตะกร้อ
    ผมกำลังเลือกซื้อน้ำพริก 2-3 อย่าง ก็พอดีได้ยินเสียงคนขายปลาเผาดังขึ้นว่า...ลุงจะเอาไปดิบๆ ยังงี้เหรอ? ผมย่างให้ดีกว่า! หลายๆ คนหันไปมอง เห็นชายชราแปลกหน้าร่างผอมดำในชุดม่อฮ่อมผมขาวโพลน หิ้วถุงใส่ปลาตัวเขื่องข้ามสี่แยกมาทางผม ท่าทางแกแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์...แล้วผ่านไปทางโรงแรม ผมควักกระเป๋าหยิบเงินส่งให้แม่ค้าคุณพระช่วย! ฝั่งนั้นมีแต่กำแพงยาวเหยียดไปถึงประตูโรงแรม ผมหันขวับไปก็ไม่เห็นร่างผอมๆ ในชุดดำเสียแล้ว ทั้งที่แสงไฟสว่างไสว แม่ค้าเองก็ย่นคิ้วพึมพำ
    "
    หนูคงตาฝาดไปแน่ๆ เห็นลุงคนนั้นหิ้วถุงปลาเดินหายเข้าไปในกำแพง"ผมกลืนน้ำลาย อยากจะบอกว่าเธอไม่ได้ตาฝาดหรอก...แต่ปากลิ้นมันแข็งจนพูดไม่ออก ได้แต่ข้ามถนนจ้ำอ้าวในพริบตานั้นเอง!มะปราง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยเปลี่ยวใจดิฉันอยู่ในซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง ใกล้กับสถานีรถไฟสามเสน พอเข้าซอยแล้วมีหลายเลี้ยว ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะสมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมาก ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เพราะบ้านทุกหลังแม้ว่าจะปลูกติดๆ กัน แต่ก็มีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมดตอนกลางวันตอนบ่ายๆ มักจะมีเรื่องคนโดนจี้เป็นประจำ โดยคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้ปืนจี้ หรือไม่ก็กระชากกระเป๋าเงินบึ่งหนีไปออกถนนใหญ่บ้างขนาดตำรวจส.น.ดุสิตยังเรียกว่าซอยเปลี่ยวใจเลยค่ะ! ตอนกลางคืนไม่ต้องพูดถึงหรอก ชาวบ้านในซอยก็ล้วนแต่กลัวทั้งคนทั้งผีทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นพวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม แถมต้องพูดคุยเอะอะดังลั่น เขาบอกว่าได้อาศัยเสียงเป็นเพื่อนก็ยังดีพอเข้าซอยมาราวๆ ห้าสิบเมตรจะมีทางแยกด้านซ้าย แต่ว่าเป็นซอยตันนะคะ ก้นซอยมีทางแคบๆ สำหรับเดินไปออกถนนใหญ่ได้ซอยต่อมาเลี้ยวซ้ายแล้วมีทางแยกทั้งซ้ายและขวา อ้อมไปทะลุถึงกัน...ต่อมาก็มีคอนโดฯ มาปลูกสร้างที่นั่น ทำให้คนคึกคักหนาตาขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเองจุดสำคัญที่สุดคือ เมื่อเข้าซอยแล้วเลี้ยงซ้ายเข้าไปจะมีที่รกร้างแปลงหนึ่งอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายก็เอาขยะไปทิ้งเป็นประจำ หลายๆ ปีเข้ากองขยะก็สูงท่วมหัวเป็นภูเขาเลากาเชียวค่ะต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนเป็นกองใหญ่ตามเดิมชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนัก! บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางทีก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นที่ว่าผีดุก็เพราะมคคนเห็นน่ะสิคะ บางทีขับรถผ่านตอนกลางคืนหันไปมองก็เห็นผู้หญิงโผล่จากกองขยะมาครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กันคุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นคนวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมาจากปากซอย ตอนแรกๆ ก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังยามเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นได้ถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเองนักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะหันกลับได้ก็เปลี่ยนจากจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ เจียนตาย...สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย ไม่อยากหัวใจวายตายโดยไม่จำเป็นมีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นขยะเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็คงประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลายๆ รายเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย...ใครจะอยากเสี่ยงโดนผีหลอกให้ขวัญหนีดีฝ่อ หรือหัวใจวายล่ะคะ? บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย! บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถบปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดที่ก็สะบัดซู่ซ่าเกรียวกราว ผู้คนก็ล้วนแต่หมกอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้นคืนหนึ่งดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังสาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพานควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดา อาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักกันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันจนสามทุ่มเศษถึงได้ลากลับ
    ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะเราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง แล้วเลี้ยงขวาไปราวห้าสิบเมตรก็ถึงบ้านแล้ว...ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกค่ะ!เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่องดับดื้นๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทางเขาลองสตาร์ตอีก 2-3 ครั้ง แต่เครื่องไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดู สักพักก็เดินส่ายหน้ามาหา ขอโทษขอโพย บอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถเสียไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมันเราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ รับอาสาจะไปส่ง...แต่เราไม่อยากกลัวพร้อมๆ กันทั้งคนและผีหรอกค่ะ เลยบอกปัดไปพอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก...ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วเราก็ต้องยืนตะลึงตัวแข็งทื่อกันทั้งสองคนร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมด้านซ้ายมือนั่งเอง! ดิฉันกลัวจนแทบจะร้องไห้ แต่ป้าต้อยปลอบว่าใจเย็นๆป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปว่า"ชาติหน้าฉันใด ขออย่าได้เกินมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!" ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำอ้าวรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ! บังอ่อน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านครัวสมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่ที่บ้านครัว ริมคลองแสนแสบใกล้ๆ กับตลาดเจริญผล ย่านนั้นมีคนหลายชาติหลายภาษาอยู่รวมกันมาร้อยกว่าปีแล้ว มีแต่รักใคร่ปรองดองกันดี ไม่เคยมีปัญหาใดๆ เหมือนภาคใต้ตอนนี้ครั้งก่อนเรียกย่านนี้ว่า "หมูบ้านอาสาจาม" เพราะแขกจามอาสาศึกตั้งแต่สมัยสงครามเก้าทัพ ต่อมาก็ยกครอบครัวมาลงหลักปักฐานกันมากมาย สมัยก่อนเรียกกันว่า "ยกครัว"แต่เดิมพวกแขกจามมีถิ่นฐานอยู่ในกัมพูชา แถวกำปงธมและกำปงชะนีใกล้ๆ กับแม่น้ำโขง ส่วนมากถนัดทางหาปลาเพราะเป็นชาวน้ำ โดนกวาดต้อนมาเมื่อครั้งพระยาตากยกทัพไปปราบเขมร สมัยอยุธยาตอนปลายสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ 1 ก็ยกทัพไปกวาดต้อนทั้งแขกจามและเขมรมาอยู่ที่กรุงเทพฯ แถวคลองมหานาคต่อมาในรัชกาลที่ 3 ก็มีการขุดคลองแสนแสบต่อจากคลองมหานาค ไปทางบางกะปิจนถึงเมืองแปดริ้วโน่นแน่ะ
    นับวันยิ่งมีคนอพยพครอบครัวมาอยู่มากขึ้นทุกที เลยเรียกว่า "บ้านครัว"แขกจามที่นับถือศาสนาอิสลามก็เรียกว่า "แขกครัว"ชาวเขมรก็มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพุมมะเปรียง, พุมมะปรางค์, พุมมะเปรย เป็นต้น...อาชีพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาก็คือทอผ้าไหม จิม ทอมป์สัน "ราชาผ้าไหมไทย" ก็มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่แหละครับ รุ่งเรืองสุดๆ โด่งดังไปทั่วโลก จนกระทั่งหายสาบสูญไปในมาเลเซียเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วอาชีพรองลงมาคือทำประมงน้ำจืด เก่งทางดำน้ำ ว่ายน้ำ จับปลา เพราะเคยทำมาก่อนเมื่ออยู่ริมทะเลสาบในกัมพูชาทั้งปลาสด ปลากรอบ ปลารมควัน (ด้วยกาบมะพร้าว) สมัยก่อนทั้งกินทั้งขาย แถมนำไปแลกเปลี่ยนกับของกินของใช้ต่างๆ แม้แต่เส้นไหมดิบที่สั่งมาจากเขมรและญวน รวมทั้งภาคอีสานของเราเพื่อนำมาทอเป็นผืนผ้าต่อไปพวกผู้ใหญ่เล่าว่า การย้อมผ้าทอผ้านั้นเขาถือเคล็ดลางกันมาก เช่น เวลาย้อมจะต้องออกไปไกลผู้คน ไม่ให้พระสงฆ์ หรือผู้หญิงมีครรภ์มีประจำเดือนเข้าใกล้ เชื่อกันว่าจะทำให้สีผ้าซีดจางจนใช้ไม่ได้ช่วงที่ผมแตกเนื้อหนุ่ม ผ้าไหมบ้านครัวขายดีมากจนทำไม่ทัน จิม ทอมป์สันเห็นว่าการทอผ้าแบบโบราณ ใช้กี่พุ่งทอด้วยมือเสียเวลาใช่เหตุ จึงนำกี่กระตุกซึ่งใช้ทั้งมือและเท้าทำให้ทอผ้าได้รวดเร็วมาใช้แทนแทบทุกบ้านจะมีเส้นไหมสีสวยๆ ตากไว้ตามระเบียงจนกว่าจะแห้ง แล้วกรอเข้าหลอด นำเส้นไหมมาหวีเข้ากี่เพื่อทอเป็นผืนผ้าต่อไปตามความต้องการทั้งผ้าขาวม้า ผ้าโสร่งมีหมดครับบ้านผมยกพื้นใต้ถุงสูงอยู่ใกล้ๆ คลองแสนแสบ ตอนนั้นน้ำยังใสสะอาดมีแพผักบุ้งผักกระเฉดงามสะพรั่ง...พอถึงหน้าน้ำปลายปีเคยมีศพลอยผ่านมา แค่ 2-3 ศพก็ขนหัวลุกไปตามๆ กัน
    พวกผู้ใหญ่ลือกันว่าผีดุนัก บางทีผีที่ลอยตามน้ำมาก็ทะลึ่งตึงตังขึ้นดื้อๆ บางทีก็หัวจมดิ่งแต่ชูขาทั้งสองข้างขึ้นมากวัดแกว่งให้เห็นตำตาตกค่ำยังมีคนเห็นร่างดำๆ ลุยน้ำขึ้นจากคลองแสนแสบ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆ โหยหวนเยือกเย็นน่ากลัว จนคนที่ได้ยินวิ่งอ้าวกลับบ้าน นอนคลุมโปงตัวสั่นเทาไปทั้งคืนไหนจะผีที่กุโบอีกล่ะ! เขาว่าตอนดึกๆ จะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็นั่งกอดเข่าอยู่ตามหลุมนั้นหลุมนี้ บางทีก็ยืดตัวสูงลิ่วขึ้นไปเหนือหลังคา...พวกเด็กๆ ที่เคยซุกซน วิ่งเล่นกันตั้งแต่เย็นจนถึงมืดค่ำ...พอตะวันตกดินก็แยกย้ายกันกลับบ้านแล้วครับลุงหมัดกับป้าก๊ะบ้านอยู่ใกล้ๆ ผม เคยบอกกับใครๆ ว่าแกไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ หรอก ขืนกลัวผีก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี! ลุงกับป้าคู่นี้มีอาชีพทอดแหหาปลาตอนกลางคืน แกบอกว่าปลาชุมกว่าตอนกลางวัน บางคืนยังได้งูเหลือมมาขายอีกต่างหาก...ก่อนจะขึ้นบ้านก็แวะเก็บผักบุ้งผักกระเฉดไปส่งแม่ค้าที่ตลาดเจริญผลคืนหนึ่งก็เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา! สาเหตุมาจากตอนเย็นที่มีศพลอยน้ำคว่ำหน้ามาติดที่แพผักบุ้ง ชาวบ้านมุงดูกันเต็มฝั่ง เห็นสวมเสื้อแดงลอยปริ่มๆ น้ำ บางคนบอกว่าผีคงติดใจที่นี่ถึงได้ไม่ลอยไปที่อื่น บางคนก็บอกว่าเป็นศพผู้ชายแน่เพราะนอนคว่ำ ถ้าศพผู้หญิงต้องนอนหงายแน่นอนยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องสัปดน แต่เชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วครับลุงหมัดชวนพวกหนุ่มๆ มาช่วยจัดการ ใช้ไม้ยาวๆ ค้ำศพให้ลอยไปที่อื่นแม้ว่าจะมีคนท้วงให้ไปแจ้งตำรวจ ลุงหมัดก็ไม่ยอม ย้อนถามว่า...พวกมึงจะให้เขามาขนศพผ่านหมู่บ้านเราหรือ? ผมเห็นภาพนั้นแล้วขนลุก ติดหูติดตามาจนถีงป่านนี้! พอไม้กระทบศพ เนื้อหนังก็หลุดออกมาเป็นแผ่นๆ บางทีก็ทั้งกระบิ ครูหวังบอกว่าศพคงตายมาหลายวันจนเน่าแล้ว...ในที่สุดร่างนั้นก็หลุดจากแพผักบุ้งลอยตามน้ำไป ผู้หญิงหลายคนบอกว่าคงจะกินผักบุ้งไม่ได้ไปหลายวันแน่ๆคืนนั้นลุงหมัดกับป้าก๊ะก็ออกไปหาปลาตามเคย...ครั้นตกดึกก็ได้ยินเสียงร้องเอะอะจนชาวบ้านตื่นเกือบทุกคน ถือไฟฉายออกไปดูก็เห็นลุงกับป้าวิ่งอ้าวมาจากท่าน้ำตะโกนลั่นๆ ว่าผีหลอก ไม่เชื่อก็ไปดูได้เลยตอนแรกไม่มีใครเชื่อ หาว่าลุงหมัดกับป้าก๊ะตาฝาดไปเอง...ปรากฏว่าเห็นศพสวมเสื้อแดงนอนคว่ำปริ่มๆ น้ำ กระเพื่อมไปมาอยู่ที่แพผักบุ้งนั่นเอง ขนหัวลุกครับ! คนทับคล้อ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหลังสถานีตะพานหินผมเป็นคน ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ออกจากบ้านตั้งแต่เกณฑ์ทหารเสร็จ ได้ใบดำ ญาติมิตรเลี้ยงฉลองกันยกใหญ่ จากนั้นผมก็ไปอยู่กับน้าชายที่พัทยา เปิดบาร์เบียร์ใกล้ๆ ชายหาด เห็นวิวสวยๆ งามๆ จากสาวๆ เป็นประจำ
    อยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องเดือดร้อน ต้องหลบจากพัทยามาอยู่กรุงเทพฯ ได้งานขับรถบ้าน กินอยู่เสร็จ เงินเดือนเจ็ดพันบาท คิดว่าชีวิตคงจะราบรื่นเสียทีเพราะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบแล้วจะมีห่วงก็แม่คนเดียวที่พิจิตรเท่านั้นเอง!ผมเป็นลูกคนเล็กสุด พวกพี่ๆ เขาแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ต่อมาพ่อตายก็เหลือแต่แม่คนเดียว พวกพี่ๆ เขาช่วยกันดูแล ผมเองส่งเงินไปให้แม่ใช้เดือนละ 2-3 พันบาท หาโอกาสได้ก็ขึ้นไปเยี่ยมแม่เสียทีว่าที่จริงก็เดินทางสะดวกครับ ขึ้นรถสปินเตอร์ที่หัวลำโพงไปลงตะพานหิน แล้วต่อสองแถวหรือแท็กซี่บึ่งไปทับคล้อได้เลยตอนกลางวันไปรถสองแถวก็ถูกหน่อย แต่ถ้าไปถึงตอน 2-3 ทุ่มก็ต้องนั่งแท็กซี่ไป อ้อ! ไม่ใช่แท็กซี่แบบกรุงเทพฯ นะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มก่อนถึงจะได้ฤกษ์ออกรถข้างหน้าผู้โดยสาร 2 คนรวมกับคนขับเป็น 3 ข้างหลังมีผู้โดยสารอีก 4 คน แบบว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องนั่นแหละครับ เรื่องติดแอร์เย็นฉ่ำน่ะอย่าคิดให้ปวดหัวดีกว่าน่าเมื่อปีกลายผมกลับบ้านตอนหน้าฝน เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา! สาเหตุเพราะผมนั่งรถไฟถึงตะพานหินตอนหัวค่ำ ท้องไส้ร้องจ๊อกๆ เลยแวะร้านเหล้าขาประจำ ซดเบียร์และกับแกล้ม 2-3 อย่าง ไม่อยากกระหืดกระหอบไปหิวบนรถสองแถว ยังไงๆ ก็ต้องไปแท็กซี่อยู่ดี
    เสร็จสรรพจ่ายเงิน เดินไปที่คิวรถแท็กซี่ ...จู่ๆ ก็เกิดง่วงนอนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งอยากเข้าโรงแรมหลังสถานี เปิดห้องนอนให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็...กลับบ้านดีกว่า! สะบัดหัวไล่ความมึนงง มองเห็นแท็กซี่กำลังกดแตรเรียกคน ....ผู้โดยสารคงจะเต็มรถแล้วมั้ง? ปรากฏว่าเหลือที่ว่างด้านหลังอีกคนเดียวพอรถออกก็ถอนใจโล่งอก ถึงจะเบียดเสียดหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะผมนั่งริมประตู ถือโอกาสพิงหลับซะเลย หลังจากบอกคนขับว่า ..ลงทับคล้อ ถ้ายังไม่ตื่นก็ปลุกด้วยแล้วกันแท็กซี่จากตะพานหินส่วนมากถือว่าทับคล้อเป็นสถานีกลางทางครับ ปลายทางคือชนแดน เพชรบูรณ์โน่นแน่ะผมหลับผล็อยไปเดี๋ยวเดียวก็เริ่มฝันเป็นตุเป็นตะทันที! รถกำลังห้อตะบึงไปในความมืด ในรถไม่ได้เปิดไฟ แต่ทำไมถึงเห็นหน้าตาคนอื่นๆชัดเจนก็ไม่รู้ ...ข้างหน้ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอิงไหล่กันอย่างผาสุก ข้างๆ ผมเป็นชายแก่ตัวผอมๆ ผมขาวโพลน ถัดไปเป็นชายฉกรรจ์รุ่นเดียวกับผมทั้งสามคนนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปหุ่น ไม่มีใครปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว! มองไปข้างหน้าอีกทีก็ใจหายวาบ เมื่อไม่เห็นหนุ่มสาวคู่นั้นแล้ว กลับมีชายสองคนนั่งตัวแข็ง เงยหน้าหัวตั้งตรงคล้ายๆ กำลังจ้องเป๋งไปข้างหน้าอย่างเดียว ...คนขับก็มีท่าทางแบบเดียวกันสรรพสิ่งเงียบเชียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่กลับมีเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในรถ จนผมหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจเอ๊ะ! นี่มันฝันหรือจริงกันแน่ล่ะ? ฉับพลันนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนก็กระชากมีดปลายแหลมออกมาจ้วงแทงคนที่นั่งข้างๆ จนเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ ผู้ชายที่นั่งริมสุดก็โถมไปใช้มีดปาดคอคนขับจนคางฟุบจดอก ชายสองคนข้างหน้าก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงกันอย่างดุเดือดเหี้ยมเกรียมในรถมีแต่เลือด เลือด และเลือดทั้งนั้น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียนจนสิ้นไส้สิ้นพุง! "โอ๊ะ! ช่วยด้วย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนลั่นๆ จนสะดุ้งตื่น คนขับหันมาหัวเราะร่า ถามว่า..ฝันร้ายเรอะไอ้น้อง? ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก หัวใจเต้นครึกโครมเหมือนเสียงกระหน่ำกลองทัดในโรงลิเก"ไม่มีอะไรหรอก หลับต่อเถอะ"เสียงเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลังพิกล ผมเหลียวมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ จนผมเอะใจว่าจะเห็นใครมั่งแต่ก็ไม่เห็นพริบตานั้นเอง ผมก็อ้าปากค้าง ขนลุกซ่าจากท้ายทอย เย็นวาบไปตามไขสันหลัง รู้สึกเหมือนได้ยินอะไรลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในสมอง ภาพต่างพร่าพราย กลายเป็นสีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้านรกเป็นพยาน! ในรถคันนั้นไม่มีผู้โดยสารอีก 5 คนเหลืออยู่เลย นอกจากผมคนเดียว...หันขวับไปทางคนขับก็แทบจะขาดใจตายในบัดดลไม่มีคนขับอยู่หลังพวงมาลัยอีกต่อไปแล้วในรถแท็กซี่อุบาทว์คันนั้นมีแต่ผมคนเดียว นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน เหงื่อกาฬไหลเผาะๆ แทบจะเปียกชุ่มไปทั้งตัวรวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย โถมเข้าชนหน้าต่างจนเปิดผาง ตัวเองกลิ้งหลุนๆ ออกมา คิดว่าจะลุกขึ้นมาเผ่นหนีไม่คิดชีวิต..พอดีเห็นแสงไฟสว่างไสวรอบๆ ตัวผู้คนมุงดูสลอน ผมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อจำได้ว่ายังอยู่ที่หลังสถานีตะพานหินตามเดิม! หรือผมจะทั้งเมาทั้งง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง? แต่มารู้ว่าคนขับแท็กซี่คันนั้นหัวใจวายตายคารถเมื่อตอนเย็นนี่เอง...นึกแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ! ดวงสุดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อปีศาจบุกห้องเพื่อนสาว
    ไม่ว่าคนชาติไหนภาษาใดก็ล้วนแต่เชื่อเรื่องโชคลาง สังหรณ์ หรือความเร้นลับต่างๆ เหนือธรรมชาติ อีกทั้งยังพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้อีกด้วย จนมีการพูดกันติดปากว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ นี่มีคนเชื่อถือมากที่สุด! "ผีเข้า" หรือ "ผีสิง" ก็เป็นเรื่องน่ากลัวมากค่ะ ถึงแม้หลายๆ รายอาจจะเป็นโรคประสาท หรือแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่คนเคราะห์ร้ายถูกผีเข้าจริงๆ ก็มีหลายรายนะคะเช่นคนถูกผีเข้าพูดภาษาต่างชาติได้คล่องปากจนคนที่รู้จักดี ต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
    ดิฉันเคยเห็นคุณยายใกล้ๆ บ้านแถวนางเลิ้งนี่เอง พอผีเข้าก็พูดภาษาจีนเร็วปรื๋อ ทั้งๆ ที่แกรู้จักภาษาจีนแค่สองคำคืออั๊ว - ลื้อ เท่านั้นเอง ต้องตามคนจีนมาพูดคุยด้วยได้ความว่าเป็นคนจีนมาจากต่างจังหวัด โดนรถชนตายกลายเป็นศพไม่มีญาติ อยากให้ช่วยบอกลูกหลานได้รับรู้ด้วยหลังจากบอกที่อยู่แล้ว ผีตัวนั้นก็ออกจากร่างคุณยายไป ส่วนจะมีคนบอกข่าวไปให้หรือเปล่าก็ไม่ทราบแน่ชัดค่ะนอกจากนั้นคือผีผู้หญิงที่มาในร่างของคน เข้าไปหาผู้ชายที่ตนพึงใจถึงห้องนอนในยามค่ำคืน ส่วนมากมักเป็นชายโสด มีการหลับนอนกันเหมือนผู้คนทั่วไป จนฝ่ายชายผ่ายผอม นัยน์ตาลึกกลวงจนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นเคยได้ยินมาสองรายแล้วค่ะ ที่สะพานขาวกับหลังวัดโสมนัส ต้องรื้อห้องแถวทิ้งทั้งสองแห่งไม่ทราบว่าจะเรียกผีเข้าหรือผีสิงกันแน่นะคะ? สมัยสาวๆ ดิฉันมีประสบการณ์เรื่องนี้กับเพื่อนชื่อวลัย เมื่อไปเช่าห้องอยู่ที่ถนนประชาธิปไตย ใกล้ๆ กับทางเข้าป่าช้าวัดมกุฏ คนเก่าๆ เล่าว่าที่นั่นเคยมีผู้หญิงโสเภณีอยู่มาก สมัยนั้นเรียกว่า "นางโลม" เอ่ยชื่อซ่องยี่สุ่นเหลืองเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเที่ยวมีการเขม่นกันทั้งนักเลงและขี้เมา จนเกิดวิวาทกันบ่อยๆ ขนาดตีรันฟันแทงกันบาดเจ็บล้มตายก็มี!ตอนที่ดิฉันไปเช่าอยู่กับเพื่อนนั้นไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แล้วค่ะ
    เราทำงานอยู่ในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่ถนนราชดำเนินกลาง ระยะทางไม่ไกล การเดินทางก็สะดวกดี ตกเย็นทำอาหารง่ายๆ กินบ้าง ซื้อแกงถุงมากินบ้าง ราวสามทุ่มก็แยกกันเข้าห้องนอนที่อยู่ติดๆ กันจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์น่าขนหัวลุกขึ้น!คืนหนึ่ง ดิฉันได้ยินเสียงพูดคุยงึมงำมาจากห้องเพื่อน นึกว่าวลัยพรนอนละเมอ ตามด้วยเสียงอึกอักคล้ายกับมีการดิ้นรน...ไม่ช้าเสียงต่างๆ ก็หายไปรุ่งขึ้น สังเกตว่าเพื่อนสาวหน้าตาสะสวย ตอนนี้กลับซีดเซียว ท่าทางหวาดระแวงหรือกังวลใจอยู่ตลอด เผลอถอนใจยาวบ่อยๆ ดิฉันถามว่าเป็นอะไรก็ฝืนยิ้ม ส่ายหน้า หลบตา จนไม่อยากถามเซ้าซี้อีกต่อไปคืนต่อมาก็มีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นตามเดิม คราวนี้วลัยพรหน้าตาร่วงโรยจนผิดสังเกต ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่เม้มปาก น้ำตาคลอในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดิฉันฟังจนหมดสิ้น!...ขณะที่หลับสนิทอยู่ดีๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีร่างใครไม่รู้มานอนอยู่ข้างๆ หันไปมองก็ใจหายวับเพราะเป็นชายหนุ่มผิวดำ รูปร่างล่ำสัน โถมเข้ากอดรัดจนเธออ้าปากจะหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด แต่ชายนั้นก็เอามือปิดปากไว้ พลางกอดจูบลูบคลำตามเนื้อตัวอย่างรุนแรง หื่นกระหายสุดขีดลงเอยด้วยการยัดเยียดความเป็นสามีให้อย่างรุนแรงตลอดคืน"ฉันถูกผีข่มขืนมาสองคนติดๆ กันแล้ว พยายามดิ้นรนต่อสู้ก็ต้านทานมันไม่ไหว...ตื่นมาเจ็บระบมไปทั้งตัว ใจริกๆ เหมือนจะเป็นลม...โอย! ช่วยด้วยเถอะ ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"พูดจบก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ ดิฉันกอดเพื่อนไว้พลางปลอบใจต่างๆ นานาตามแต่จะนึกได้...ก่อนจะถามว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นผี? วลัยพรยืนยันว่าเธอปิดประตูลงกลอนทุกครั้ง หน้าต่างมุ้งลวดก็มีเหล็ดดัดด้านบนแน่นหนา ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะเข้ามาได้แน่ๆ ตอนรุ่งเช้าก็เห็นประตูหน้าต่างปิดสนิทตามเดิม"มันบอกว่าถูกแทงตายในซ่องยี่สุ่นเหลืองมานานแล้ว" วลัยพรเล่าเสียงสะอื้น "วิญญาณสิงสู่อยู่แถวนี้แหละ จนกระทั่งเห็นฉันเข้าก็หลงรัก ห้ามใจไม่ไหวจึงบุกรุกเข้ามาหา...มันบอกว่าจะมานอนกับฉันทุกคืน"เล่าจบก็ร้องไห้โฮ วันนั้นตรงกับวันเสาร์พอดี ดิฉันเลยพาเพื่อนเดินทะลุซอยไปทางวัดอินทร์ ผู้คนขวักไขว่หนาตา เราซื้อธูปเทียนอธิษฐานหลวงพ่อโต ตักน้ำมนต์จากบ่อใส่ขวดกลับบ้านเป็นที่รู้กันว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ร้อยแปดอาจารย์ที่วัดอินทร์ทรงคุณวิเศษยิ่งนัก ใช้ได้ทั้งเมตตามหานิยม ขับไล่อัปมงคลและเสนียดจัญไรต่างๆ โดยเฉพาะภูตผีปีศาจได้ชะงัดนักเมื่อกลับถึงบ้านเช่าเราก็ทั้งกินทั้งอาบ มีเคล็ดตรงที่อย่าใช้น้ำเปล่าเติมน้ำมนต์ แต่ให้เติมน้ำมนต์ลงในน้ำเปล่า...น้ำนั้นก็จะกลายเป็นน้ำมนต์ทันที
    คืนนั้น ดิฉันให้วลัยพรมานอนด้วย...ตอนดึกๆ ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนแถวหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงทุบประตูหน้าต่างปึงปัง ทำให้สะดุ้งแทบทุกครั้ง แต่วิญญาณบ้ากามก็ไม่อาจจะล่วงล้ำเข้ามาในบ้านได้เลย...นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ! แสงหล้า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสะพานบ้านดารา อุตรดิตถ์เมื่อพูดถึงเรื่องผีหรือเรื่องวิญญาณ ย่อมมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อเป็นของธรรมดา ดิฉันเองยอมรับว่าเชื่อค่ะ นอกจากจะฟังคนแก่เฒ่าเล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยเด็กๆ ยังเคยประสบกับตัวเองอีกด้วย
    ก่อนอื่น ต้องออกตัวว่าไม่ได้ชวนให้ใครงมงาย เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่อยากให้เชื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษมากกว่าค่ะบางครั้งเรื่องผีก็ทำให้เราฉุกคิดถึงเรื่องเวรกรรม ไม่กล้ากระทำความผิดบาปชั่วร้ายใดๆ เกิดมรณสติ ตัดกิเลสไปได้หลายอย่าง แม้ว่าจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี จริงไหมคะ? "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ยังคงเป็นคติเตือนใจได้ดีที่สุด ! ดิฉันเป็นคนบ้านดารา อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ชาวบ้านส่วนมากยังเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์สืบต่อกันมาหลายชั่วคน ในงานวัดบางแห่ง เช่น วัดพระธาตุ วัดหน้าพระธาตุ จะมีหมอแผนโบราณเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวแจกชาวบ้าน ใช้นวดเพื่อรักษาโรคต่างๆ เพราะสมัยก่อนมีโรคระบาดเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น อหิวาต์ ไข้ทรพิษ และมาลาเรีย เป็นต้นเมื่อเด็กๆ ดิฉันกับเพื่อนเคยเดินขายของที่สถานีรถไฟ อาหารที่ขึ้นชื่อของพิชัยคือแกงหอยขมกับไส้กรอก โดยห่อเป็นกระทง ใช้ใบลานแห้งทำเป็นช้อน....ขายดีมากเชียวค่ะเรื่องน่าขนหัวลุกที่ฟังผู้ใหญ่เล่า เกิดขึ้นเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อแม่ดิฉันยังเป็นเด็กๆ อยู่เลยอำเภอพิชัยถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์แห่งหนึ่ง ทหารญี่ปุ่นได้มาตั้งค่ายอยู่ที่นั่น (ปัจจุบันคือสำนักงานสาธารณสุข) และได้เกณฑ์เชลยศึกที่มีทั้งฝรั่งเศสและแขกมาสร้างสะพานเบี่ยงที่บ้านดารา เพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินทัพเข้าพม่าและอินเดียต่อไปเด็กๆ มักชอบไปดูค่ายทหารญี่ปุ่น เพราะมีการแจกขนมและยารักษาโรคให้เป็นประจำ พอตกเย็น พวกทหารเตี้ยก็ยกโขยงไปอาบน้ำที่สถานีรถไฟพิชัย โดยใช้น้ำในถังสำหรับใส่หัวรถจักรนั่นแหละค่ะถ้ามองในแง่ร้ายก็คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บินมาทิ้งระเบิดบ่อยๆ ทั้งทางรถไฟและสะพานเบี่ยงบ้านดารา ส่วนค่ายทหารญี่ปุ่นกลับไม่โดนระเบิด แต่ไปโดนหลุมหลบภัยชาวบ้านดื้อๆแม่เล่าว่า ต้องช่วยกันสร้างหลุมหลบภัย(ชาวบ้านเรียกอุโมงค์) ที่ตำบลไร่อ้อย โดยขุดหลุมใหญ่รอบต้นกระเชา....ครั้งหนึ่ง พอเสียงสัญญาณเตือนภัยหรือ "หวอ" ดังขึ้น ชาวบ้านก็จะดับไฟ ปิดประตูหน้าต่าง อุ้มลูกจูงหลานพากันวิ่งมาที่หลุมหลบภัยกันชนิดหัวซุกหัวซุน
    ลูกระเบิดตกลงใส่หลุมหลบภัยพอดี ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายหลายสิบคนเลยค่ะ! ที่บ้านดารานั้น พอเครื่องบินทิ้งระเบิดส่งเสียงกระหึ่มมา ชาวบ้านหลายๆ คนกลับคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องเสียนี่...หลายๆ คนก็รู้ แต่เกิดปวดท้องหนักท้องเบาด่วนจี๋จนกลั้นไม่อยู่ ขอตัวไปทำธุระเสียก่อนก็มีระเบิดหรือการทิ้งบอมบ์รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นตรงสะพานบ้านดารานั่นเอง! จะเรียกว่าเคราะห์กรรมก็ได้ หรือความบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดลงที่สะพานดังกล่าว เพื่อทำลายเส้นทางสายยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น...ขณะที่รถไฟจากอุตรดิตถ์ไปพิษณุโลกแล่นมาจอดพอดีระเบิดมหาภัยลูกนั้นไม่ระเบิดหรอกค่ะ! ทำไมถึงเรียกว่าเคราะห์กรรม? สาเหตุเพราะชาวบ้านพากันวิ่งมาดูลูกระเบิดด้วยความตื่นเต้นสนใจ เนื่องจากเกิดมาไม่เคยเห็นมาก่อน ส่งเสียงกันเซ็งแซ่ต่างๆ นานา บรรดาผู้โดยสารรถไฟเกิดสนใจก็ตามแห่ลงมาดูด้วยทันใดนั้นเอง ระเบิดมหาประลัยลูกนั้นก็ระเบิดตูมตาม สนั่นหวั่นไหว ฉีกร่างผู้คนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสาดกระจายน่าสยดสยอง เสียงหวีดร้องโหยหวนดังระงมเหมือนสะพานบ้านดารากลายเป็นนรกอเวจีก็ปานกัน! ทั้งตายคาที่ แขนขาขาดกระเด็น หน้าตาเละเทะจนจำศพไม่ได้ ทั้งบาดเจ็บสาหัสนอนจมกองเลือด ทั้งที่วิ่งเตลิดเลือดโซมกายอย่างคนเสียสติ มีหลายสิบคน...บ้างก็ว่าเกือบร้อยคนเลยค่ะ สะพานที่ใกล้จะเสร็จก็พังยับเยินจนต้องเร่งสร้างกันใหม่กว่าสะพานบ้านดาราจะเสร็จ ทหารญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงครามเมื่อปี 2488ชาวญี่ปุ่นอำเภอพิชัยได้ใช้สอยสะพานเบี่ยงของญี่ปุ่นต่อมาอีกหลายปี จนกระทั่งทางการได้สร้างสะพานถาวรขึ้น สะพานเบี่ยงบ้านดาราจึงถูกรื้อถอนออกไป คงเหลือแต่ตอม่อหรือหูช้างใต้ฐานสะพานเท่านั้นเมื่อสงครามสงบไปหลายปี เหตุการณ์สยดสยองน่าขนหัวลุกก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นที่ร่ำลือกันค่ะนั่นคือ ตอนกลางคืนจะมีเสียงรถไฟแล่นคึ่กๆ มาที่สะพานบ้านดารา บางครั้งยังเปิดหวูดแหลมยาว คนที่เคยวิ่งไปดูแต่ไม่เห็นมีรถไฟสักขบวนเดียว ยืนยันว่าเสียงหวูดดังบาดใจเหมือนเสียงเปรตขอส่วนบุญ! คนที่นั่งรถไฟผ่านตอนกลางคืนก็จะเห็นร่างดำๆ หลายสิบสิงสู่อยู่ที่ตามราวสะพานทั้งสองด้าน ทั้งห้อยโหนโจนทะยานก็มี ...ทุกร่างล้วนแต่โชกเลือด หัวขาด แขนขาขาด เนื้อตัวเหวอะหวะน่าสยดสยอง ตับไต้ไส้พุงห้อยร่องแร่ง ...บางคนถึงกับสติแตกร้องกรี๊ดๆ ลั่นโบกี้เลยค่ะดิฉันเองก็เคยเห็นภาพน่าขนหัวลุกมาแล้ว แต่สงบจิตแผ่ส่วนกุศลไปให้พวกเขา ขอให้ไปสู่สุคติเถิด มีโอกาสก็ทำบุญกรวดน้ำไปให้...ต่อมาเรื่องผีสิงที่สะพานบ้านดาราก็จางหายไป คงจะไปผุดไปเกิดกันหมดแล้วนะคะ วันนี้ samy จะเล่าประสบการณ์จริงให้อ่านกันนะครับเสนอในท้องเรื่องว่า "จริงๆแล้ว ฉันไม่อยากตายเลย"(ขอใช้ชื่อย่อของผู้ที่เกี่ยวข้องนะครับ เป็นอักษรนำหน้าชื่อครับ)เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ในตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม. 2 พี่สาวผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึง ชื่อว่า พี่ จ. พี่จ เป็นลูกคนจีนที่ครอบครัวไม่สนใจลูกผู้หญิงสักเท่าไร พี่จ สนิทกับพี่สาวผมมาก และผมเองก็เป็นเพื่อนสนิทกับน้องชายพี่จ ด้วยเรียกว่าสนิทกันทั้งครอบครัว พี่จ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก ตัวใหญ่นิสัยดีมากครับ แต่ขี้น้อยใจมาก มักจะมีปากมีเสียงกับ พ่อแม่อยู่ประจำ และคิดว่าพ่อแม่ให้ความสนใจลูกผู้ชายมากกว่า แต่เท่าที่ดูแล้วก็อาจมีส่วนนะครับเพราะพี่จ เล่าให้พี่สาวผมฟังว่า ในสมัยที่แม่พี่เขาตั้งท้องก็พยายามที่จะกินยาขับออกมาแต่เเรกแล้ว ไม่ได้อยากให้เกิดแต่ต้นเลย แต่คงเป็นเพราะว่าต้องชดใช้กรรมครับเลยต้องเกิดออกมาจนได้ และด้วยสาเหตุนี้เองมันจึงเกิดปมในใจของพี่จ นี้อยู่ในใจ เมื่อทะเลาะกับพ่อแม่ก็จะเอามาคิดให้เสียใจทุกครั้งครับ และครั้งสุดท้ายพี่จ ก็ทะเลาะกับพ่อแม่อีกครับแรงมากครับครั้งนี้ ด้วยความที่เป็นคนที่ขี้น้อยใจ พี่จ จึงคิดฆ่าตัวตายก็ได้ไปหายาพิษที่จะกินเพื่อให้ตาย และพี่จ ก็เจอยาฆ่าหญ้า 1 ลิตร และก็กรอกใส่ปากตัวเองทั้งขวดเลย ด้วยความที่ไม่รู้ว่ายาฆ่าหญ้ามีพิษดูดซึม เมื่อเข้าสู่ร่างกายพี่จ แล้วยาก็ออกฤทธิ์กัดเนื้อเยื่อต่างๆภายในเสียจนพี่จ ทนไม่ไหวเลยวิ่งออกมาจากห้อง แล้วเรียกเฮียว่าพาหมวยไปล้างท้องที หมวยกินยาฆ่าหญ้าเข้าไป ด้วยเหตุนี้เองจริงรู้ว่าพี่จ ไม่ตั้งใจที่จะตาย เพียงแต่ต้องการที่จะทำประชดคนในครอบครัวเท่านั้น เมื่อถึง รพ.ลพ. หมอจริงทำการล้างท้องให้ แต่ด้วยความที่เป็นยาชนิดดูดซึมหมอจึงบอกว่าต้องทำใจนะครับหมอล้างไม่หมดหลอกครับ ยาได้ดูดซึมเข้าส่วนต่างๆแล้วครับ พี่สาวผมได้ไปเยี่ยมที่ รพ.ในวันแรกพี่จ ก็เล่าให้ฟังในทุกเรื่อง พี่เขาคงคิดว่ารอดแล้วที่หมอล้างท้องได้ แต่ทุกคนไม่ได้บอกพี่เขา วันแรกกินอาหารอะไรก็อวกออกจนหมด ปวดท้องมากครับ วันที่2เล็บและปลายนิ้วทั้งมือและเท้าก็เริ่มเขียว ชำเน่า พี่ผมก็ยังคงนอนเฝ้าพี่เขาอยูพี่จ บอกว่าทรมานมากเลย (ส) ชื่อพี่ผม เมื่อเข้าวันที่3 พี่ผมบอกว่าพี่จ ผมร่วง พูดออกมามีกลิ่นเหม็นเน่ามาก เพราะว่าอวัยวะภายใน นั้นเน่า และถูกยาทำลายหมดแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าพี่จ ตายในวันที่ 3หรือ4 แต่สาเหตุที่แก่ตายช้าคือ พี่จ เป็นคนตัวใหญ่ และยาส่วนหนึงหมอได้ล้างออกไปบ้างแล้ว จึงทำให้แกอยู่ได้อีกหลายวันครับ พี่จ เธอร้องไห้จนน้ำตาไม่มีจะออกเลยครับ ทั้งกลัวตาย ทั้งเสียใจ แล้วอยากมีชีวิตอยู่ให้ได้ แกสู้จนไม่ไหวแล้วจริงๆ แกจึงสิ้นลมอย่างหน้าเสียดายอันนี้เป็นตอนแรกครับ ผมต้องการให้เป็นอุทาหรณ์ว่า ให้ทุกคนมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และให้ทราบถึงพิษของยาฆ่าหญ้า(ชนิดดูดซึม)ที่ไม่ว่าจะอมไว้ในปากก็ตามสามารถทำให้ตายได้ครับ เพราะยาจะซึมผ่านเนื้อเยื่อต่างๆได้ครับ ถ้าต้องการประชดจริงๆ ก็ให้อ่านฉลากสักนิดดูว่ายากลุ่มไหน กินไปแล้วล้างท้องได้หรือปล่าว เดี่ยวจะตายจริงๆเอาไม่รู้ด้วยครับเมื่อพี่จ ตายไปได้ประมาณไม่เกินร้อยวันเห็นจะได้ผมกับพี่สาวก็ไปเยี่ยมพี่คนกลางที่ จังหวัดอุทัยฯ บ้านที่นั้นอยู่หลังวัด ซึ่งหลังวัดเป็นป่าช้าของวัดวันนั้นพี่คนโตผมนึกยังไงไม่รู้ก็บอกกับผมและพี่คนกลางว่าเราลองเรียกพี่จ มาหาดีไหม ก็ตามพาสาเด็กอยากรู้อยากเห็นครับเลยตกลง เพราะคิดว่าพี่จ เป็นคนดีตายแล้วคงเป็นผีที่ดีด้วย พี่ผมเลยจุดธูปเรียกพี่จ มาหาที่บ้านที่อุทัยฯ แล้วจุดธูปบอกศาลพระภูมิที่นั้นว่าถ้ามีวิญญาณของคนที่ชื่อนี้ อายุ วันตาย อย่างที่ได้บอกมานี้ ขอให้เขาเข้ามาได้ แล้วก็ปักธูป ปรากฎว่าไม่ถึง5นาที ไฟในบ้านก็ดับลงอย่างไม่มีสาเหตุ และอีกครู่เดียวเสียงหมาก็เห่าหอนกันตั้งแต่ถนนใหญ่ รับกันเข้ามาตลอดทางเหมือนกับเห่าคนแต่เสียของหมาที่เห่าหอนนั้นมันแปลกกว่าเห่าคนอยู่มากครับ เรียกว่าหอนกันขาดใจเลย ตอนนั้ผมกับพี่ก็เริ่มเหงื่อตกกันแล้วครับทุกคนมายืนรวมอยู่ไกล้กัน และแล้วเสียงหมาหอนก็เริ่มเลี้ยวเข้ามาในซอยบ้านผมเข้าแล้วเจ้ามะยมหมาไทยผสมโดเวอแมนก็เกิดอาการหูตั้ง ตาเหลือก เดินตัวแกรงเข้าหาประตูแล้วก็ส่งเสียงหอนรับแบบสุดเสียงเล่นเอาวงเริ่มแตกแล้วครับตอนนี้ผมนึกในใจแล้วว่า พี่จ มาแล้วแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาและแล้วเสียงหมาหอนก็หยุดลงตรงหน้าประตูบ้านผม เหลือแต่เจ้ามะยมที่หอน เห่า อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หน้าประตูบ้านพี่คนกลางผมเริ่มร้องไห้แล้วพี่คนโตเลยดุเจ้ามะยมว่าพอแล้วอย่าหอน สักพักมะยมก็เดินอย่างช้าๆ และดมเหมือนดมอะไรบางอย่างมาตลอดจนมาหยุดอยู่ที่พี่สาวคนโตของผมแล้วมันก็ครางหงิงๆ เหมือนกับกำลังเจอคนแปลกหน้า มันวิ่งวนรอบตัวพี่สาวผมอยู่หลายรอบ และที่ทุกคนรู้ว่าพี่ จ อยู่ตรงหน้าพี่ผมก็คือ กลิ่นเน่าเหม็นมากครับ เหม็นเหมือนกับกลิ่นปากของพี่จ ก่อนที่จะตายนั้นหละครับพี่ผมเขาเป็นคนที่จิตแข็งที่สุดในบ้านก็เลยบอกพี่จ ออกไปว่า จ เราไม่ได้ให้ตัวเองมาแบบนี้นะ เราให้มาเข้าฝัน จ มาแบบนี้น้องเรากล้านะ จ กลับไปได้แล้ว น้องเราไม่ไหวแล้ว สักครู่กลิ่นก็หายไป ไฟก็ติดขึ้น เหตุการที่เกิด นับจากจุดธูปจนถึงไฟติด กินเวลาประมาณ10 นาที่เลยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...