บทความให้กำลังใจ( เผชิญหน้ากับความจริง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (ต่อ)
    อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เรากลัวความสูญเสีย ก็คือ ความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า ความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความกลัวสูญเสียครอบงำใจ นอกจากการใช้สติและปัญญารับมือกับเหตุการณ์แล้ว การทำใจให้คลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายึดติดถือมั่นในทรัพย์สินน้อยลง ความกลัวสูญเสียก็จะน้อยลงตามไปด้วย

    วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็คือ การให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม ถ้าเราคิดแต่จะเอา ไม่ยอมให้ ความยึดมั่นในตัวกูของกูย่อมเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อคิดจะให้ ทีแรกจะมีแรงต้านทานอันเกิดจากความยึดติดถือมั่น แต่เมื่อให้บ่อย ๆ ความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติก็จะลดลง โดยเฉพาะการให้ที่ไม่หวังประโยชน์เข้าตัวเลย หากมุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือส่วนรวมล้วน ๆ แต่ถ้าให้เพราะอยากร่ำรวยอยากถูกหวยแล้ว อย่างที่ผู้คนมักอธิษฐานเวลาทำบุญ ความยึดมั่นในทรัพย์มีแต่จะพอกพูนขึ้น

    ผู้ที่ให้เป็นนิจ ไม่ว่าให้แก่ผู้เดือดร้อน นักบวช หรือองค์กรสาธารณประโยชน์ เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ด้วยเหตุจำเป็น ก็พร้อมจะเสียโดยไม่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงชนิดที่ก่อให้เกิดโทษ ขณะเดียวกันก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นกับมันอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะหรือชีวิต ก็พร้อมจะทำ ไม่เผลอเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น ในยามที่ถูกโจรปล้นจี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์ว่าเป็น “ของกู” ทำให้เราเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ตรงกันข้าม การยึดติดถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นของมันไป

    การหมั่นระลึกถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรายึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่าไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทานหรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

    นอกจากการให้ทานและระลึกถึงความไม่เที่ยงแล้ว การหมั่นมองตนจนเห็นใจที่ยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่เนือง ๆ ก็ช่วยให้เราเป็นอิสระเหนือทรัพย์มากขึ้น และไม่กลัวการสูญเสีย จะว่าไปแล้วการยึดติดถือมั่นว่ามี “ตัวกู”นี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่แห่งตัวตน ดังนั้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป จึงกลายเป็นการกระทบตัวกู ทำให้ความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูลดน้อยถอยลง หรือถึงกับรู้สึกว่าตัวกูถูกคุกคาม การทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จึงมิใช่เป็นแค่การปกป้องทรัพย์สมบัติที่ยึดมั่นว่าเป็นของกูเท่านั้น หากยังเป็นการปกป้องตัวกูหรือความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูด้วย

    เป็นเพราะหวงแหนตัวตน ผู้คนจึงหวงแหนทรัพย์สมบัติและอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรืออยู่กับเราไปตลอด ร้ายกว่านั้นก็คือ ตัวตนที่หวงแหนนั้นแท้จริงหามีไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา เมื่อใดที่เราเห็นชัดด้วยปัญญาว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง ความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูก็ดับไปเอง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ไม่ว่าความสูญเสียทรัพย์ หรือแม้แต่ความสูญเสียชีวิต ไม่ว่าความผันผวนปรวนแปรใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะได้หรือเสียก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะจิตอยู่เหนือการได้และเสียอย่างสิ้นเชิง

    แต่ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นนั้น เราก็ควรฝึกใจให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดเมื่อประสบความสูญเสีย โดยไม่มัวหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความสูญเสียอย่างหลับหูหลับตา
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255502.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เผชิญหน้ากับความจริง
    พระไพศาล วิสาโล
    ระหว่างการสนทนากับเพื่อนในวงอาหาร หญิงสาวคนหนึ่งเล่าว่า “พ่อแม่รักฉันมากและแสดงความรู้สึกออกมาบ่อย ๆ เวลาฉันไม่เห็นด้วยกับแม่ แม่จะหยิบทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่ฉันทันที คราวหนึ่งแม่ขว้างมีดใส่ฉัน ฉันต้องเย็บสิบเข็มที่ขา หลังจากนั้นไม่กี่ปีพ่อก็บีบคอฉันตอนที่ฉันเริ่มเที่ยวกับผู้ชายที่ฉันไม่ชอบ” แล้วเธอก็ตบท้ายว่า “พ่อแม่เป็นห่วงฉันจริง ๆ”

    ใครได้ฟังก็ย่อมรู้ว่า ความรู้สึกของพ่อแม่ที่มีต่อเธอนั้นเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ความรักหรือความห่วงใยอย่างแน่นอน เพราะอาการแสดงออกของพ่อแม่ตามที่เธอเล่านั้นชัดเจนมากว่าเต็มไปด้วยความโกรธและความรุนแรง ซึ่งคงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง แต่เกิดเป็นประจำ

    อะไรทำให้เธอยืนยันว่านั่นเป็นความรักที่พ่อแม่มีให้แก่เธอ ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเธอยอมรับไม่ได้ว่าพ่อแม่เกลียดเธอ แม้พฤติกรรมของพ่อแม่จะแสดงออกอย่างชัดเจน แต่เธอเลือกที่จะ “ตีความ”ไปในทางตรงกันข้าม

    บางครั้งความจริงเป็นเรื่องเลวร้าย ยอมรับเมื่อใดก็เจ็บปวดเมื่อนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะปฏิเสธความจริงดังกล่าว บางคนใช้วิธีตีความปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปในแง่อื่น แต่หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเอาเลย

    อะไรทำให้เราปฏิเสธความจริงทั้ง ๆ ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งหรืออยู่ต่อหน้าต่อตา คำตอบคือ ความกลัว บางคนกลัวว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือเพื่อนไม่คบ เพราะนั่นหมายถึงความรู้สึกไร้คุณค่า ตัวตนไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดรวดร้าวมากเท่ากับการเป็น nobody หรือไม่มีตัวตนในสายตาของคนอื่น

    ความกลัวตายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนปฏิเสธความจริง คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมเชื่อเมื่อหมอยืนยันผลวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง ในใจเขานั้นได้แต่ตะโกนว่า “ไม่จริง ๆ” บางคนถึงกับทักท้วงหมอว่า วินิจฉัยผิด หรือหยิบฟิลม์ผิดหรือเปล่า

    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวยิวหลายล้านคนที่ถูกกวาดต้อนไปยังค่ายนรกเพื่อรอการสังหารด้วยการรมก๊าซพิษ ปรากฏว่านักโทษหลายคนไม่เชื่อว่า มีห้องรมก๊าซพิษหรือการสังหารโหดในค่ายของตน ทั้ง ๆ ที่เห็นเตาเผาศพส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้งอยู่ห่างไม่กี่ร้อยหลา รวมทั้งได้ยินข่าวลือดังกล่าววันแล้ววันเล่า พวกเขาปฏิเสธความจริงดังกล่าวเพราะยอมรับไม่ได้ว่าตนเองกำลังจะตาย มิใช่แต่คนที่จิตใจอ่อนแอหรือสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงเท่านั้นที่ไม่กล้ายอมรับความจริงอันเจ็บปวด แม้กระทั่งคนที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจหรือมีอำนาจ ก็อาจมีอาการดังกล่าวด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เพราะกลัวความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้

    เมื่อนายพลเกอริง ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับรายงานว่ามีผู้พบเครื่องบินขับไล่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นครั้งแรกในเขตแดนของเยอรมัน ซึ่งไกลจากแนวรบของฝ่ายอักษะมาก นั่นหมายความว่าฝ่ายสัมพันธมิตรได้พัฒนาเครื่องบินพิสัยไกลที่สามารถทิ้งระเบิดปูพรมเยอรมันได้อย่างสบาย เขาตกใจมาก เฝ้าแต่บอกตนเองว่า เป็นไปไม่ได้ ใช่แต่เท่านั้นเขายังมีคำสั่งกลับไปว่า “ผมขอยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเครื่องบินขับไล่ของอเมริกันมาไม่ถึงเมืองอาเชน ผมขอออกคำสั่งอย่างเป็นทางการกับคุณว่า เครื่องบินพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น”

    แต่ปฏิกิริยาของเกอริงนั้นยังเทียบไม่ได้กับสตาลิน ซึ่งเป็นตัวอย่างคลาสสิคของผู้นำที่ปฏิเสธความจริงจนวินาทีสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลข่าวสารพรั่งพรูมาจากทุกทิศทุกทาง

    ฮิตเลอร์นั้นประกาศมานานแล้วว่าต้องการยึดรัสเซีย แม้มีการทำสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศว่าจะไม่รุกรานกันในปี ๑๙๓๙ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะระเบิด แต่หลังจากที่เยอรมันบุกโปแลนด์และประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร ก็มีเค้าลางว่าเยอรมันจะบุกรัสเซีย
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (ต่อ)
    สตาลินนั้นรู้ดีว่ารัสเซียยังไม่พร้อมทำสงครามกับเยอรมัน จึงหวังพึ่งมาตรการทางการทูตเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกับเยอรมัน และฝากความหวังว่าวิธีการเหล่านั้นจะได้ผล อย่างไรก็ตามสถานการณ์บ่งชี้ว่าเยอรมันมีแผนบุกรัสเซียแน่นอน นายพลของรัสเซียหลายคนพยายามเตือนสตาลินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สตาลินไม่เชื่อ คราวหนึ่งเขาบอกกับนายพลเหล่านี้ว่า “พวกเยอรมันกลัวเรา เรื่องนี้เป็นความลับนะ จะบอกคุณให้ ทูตของเราได้คุยกับฮิตเลอร์อย่างจริงจังเป็นส่วนตัวแล้ว ฮิตเลอร์บอกเขาว่า “โปรดอย่ากังวลที่ทหารของเรารวมพลกันที่โปแลนด์ กองทัพของเรากำลังฝึกซ้อมกันอยู่”

    แม้ได้รับคำเตือนจากอังกฤษเรื่องการบุกของเยอรมัน สตาลินก็ไม่เชื่อ โดยให้เหตุผลว่าเป็นลูกไม้ของอังกฤษที่ต้องการยุแยงให้รัสเซียกับเยอรมันผิดใจกัน ครั้นสายลับของรัสเซียยืนยันข่าวดังกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน สตาลินก็ตอบว่า “ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโง่” เขาไม่เปิดแนวรบสองด้านในเวลาเดียวกันหรอก (คือแนวรบด้านตะวันตก กับด้านตะวันออก)

    หนึ่งเดือนครึ่งก่อนเยอรมันบุกรัสเซีย สตาลินได้รับรายงานว่า เยอรมันส่งเครื่องบินมาลาดตระเวน แทนที่จะตื่นตัว เขากลับบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าฮิตเลอร์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

    สตาลินปฏิเสธทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับยุทธการของฮิตเลอร์ เขาไม่ยอมรับ หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้น เขายอมรับไม่ได้ว่าฮิตเลอร์มีแผนร้ายต่อรัสเซีย จนกระทั่งวันที่เยอรมันกรีฑาทัพบุกรัสเซีย สตาลินก็ยังคิดว่า นี้อาจเป็นแผนการยั่วยุของนายพลเยอรมัน “ฮิตเลอร์คงไม่รู้เรื่องนี้” ดังนั้นเขาจึงไม่ออกคำสั่งให้ต่อต้านทหารเยอรมันจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากสถานทูตในเบอร์ลิน

    ต่อเมื่อได้รับคำยืนยันจากทูตเยอรมันประจำรัสเซีย สตาลินจึงยอมรับว่าเยอรมันประกาศสงครามกับรัสเซียจริง ๆ เขาถึงกับนิ่งงันอยู่นาน สีหน้าเหนื่อยล้าและหมดสภาพ ยิ่งได้ข่าวเป็นระยะ ๆ ว่า เยอรมันยึดได้เมืองแล้วเมืองเล่า เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ สถานการณ์ของฝ่ายรัสเซียวิกฤตหนัก เพราะถูกตีแตกไม่เป็นขบวน มีช่วงหนึ่งสตาลินถึงกับเก็บตัว ไม่คุยกับใคร และไม่สนใจอะไรเลย แต่เดินไปเดินมาเหมือนคนไร้สติ ผลก็คือรัฐบาลของรัสเซียเป็นอัมพาตสองวันเต็ม ๆ ไม่มีคำสั่งใด ๆ ออกมาจากส่วนกลาง แต่ละเมืองที่ถูกโจมตีต้องเอาตัวรอดกันเอง

    กว่าสตาลินจะฟื้นจากฝันร้าย และพร้อมเผชิญหน้ากับความจริง ก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ถึงตอนนั้นรัสเซียก็เพลี่ยงพล้ำไปมาก และถอยร่นจนเปิดทางให้เยอรมันบุกประชิดมอสโคว์ในเวลาแค่สามเดือน

    ความกลัวพ่ายแพ้แบบหมดรูปทำให้สตาลินไม่ยอมรับความจริงว่าเยอรมันมีแผนบุกรัสเซีย เขาไม่เพียงปฏิเสธข่าวกรองนานาชนิดที่มาจากทุกสารทิศ แต่ยังพยายามให้เหตุผลทั้งแก่ตนเองและคนอื่น เพื่อยืนยันความเชื่อของตน จนถึงขั้นมั่นอกมั่นใจว่าฮิตเลอร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนอื่นคิด จะว่าไปแล้วในส่วนลึกคนฉลาดอย่างสตาลินย่อมรู้ดีว่าฮิตเลอร์คิดอะไร แต่เขาไม่สามารถยอมรับความจริงดังกล่าวได้ จึงพยายามหลอกตัวเองด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด จนกลายเป็นคนดื้อด้านและโง่เขลาในสายตาของผู้คนเป็นอันมาก

    กรณีสตาลินยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถของคนเราในการหลอกตนเอง ยิ่งฉลาดเท่าใด ก็ยิ่งสรรหาเหตุผลสวยหรูมาเป็นกำแพงปิดกั้นความจริง ยิ่งมีอำนาจล้นฟ้าด้วยแล้ว ก็สามารถบังคับข่มขู่เพื่อมิให้ความจริงนั้นมาถึงตัวหรือย้ำเตือนให้กระเทือนจิตได้ ดังสตาลินแสดงอาการกราดเกรี้ยวกับคนที่พูดไม่ถูกหู จนไม่มีใครกล้าบอกข่าวร้ายแก่เขา แม้กระทั่งทันทีรู้ข่าวว่ากองทัพเยอรมันถล่มชายแดนรัสเซียแล้ว นายทหารคนสนิทก็ยังเกี่ยงกันในการแจ้งข่าวแก่สตาลินเพราะกลัวภัยจากเขา

    จะว่าไปแล้วการปฏิเสธความจริงด้วยวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นวิธีปกป้องจิตใจตนเองไม่ให้เป็นทุกข์หรือเจ็บปวด แม้จะมีประโยชน์แต่ก็เป็นโทษในระยะยาว เพราะทำให้ไม่สนใจเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความสูญเสียที่ตามมาจึงมักร้ายแรงกว่าการยอมรับความจริงเสียตั้งแต่แต่แรก

    สตาลินนั้นมีเดิมพันสูง มีราคามหาศาลที่ต้องจ่ายหากพ่ายแพ้เยอรมัน เพราะเขาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่สามารถยอมรับข่าวร้ายจากชายแดนได้ แต่จะว่าไปแล้วเดิมพันอะไรจะสูงเท่ากับชีวิต สูญเสียตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติก็ไม่ร้ายเท่ากับสูญเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะไม่ได้เป็นใหญ่อย่างสตาลิน เราทุกคนก็สามารถมีอาการอย่างเดียวกับเขาหากพบว่าความตายกำลังจะมาถึงตัว นั่นคือไม่ยอมรับความจริงว่าตนกำลังจะตาย

    อันที่จริงแม้ความตายยังไม่ถึงกับประชิดตัว แต่ในส่วนลึกของคนส่วนใหญ่นั้นไม่เชื่อว่าตนจะต้องตายด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่ามีคนตายอยู่เนือง ๆ หรือถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ใจก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเมื่อถึงคราวที่จะต้องตาย จึงยอมรับไม่ได้ พยายามปฏิเสธผลักไสและต่อต้าน ซึ่งเท่ากับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้แก่ตนมากขึ้น

    ปัญหาใด ๆ ก็ไม่ร้ายแรงหรือน่ากลัวเท่ากับใจที่ปฏิเสธปัญหา เพราะนั่นหมายถึงความประมาท นิ่งดูดาย งอมืองอเท้า ปล่อยให้ปัญหานั้นจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงตอนนั้นแล้วหากใจยังปฏิเสธผลักไส ตีโพยตีพาย ไม่ยอมรับความจริง ก็ยิ่งเจ็บปวดเพราะถูกความจริงโบยตี จะดีกว่ามากหากยอมรับความจริงเสียแต่ต้น แม้จะเจ็บปวดทีแรก แต่ก็มีโอกาสที่จะรับมือกับมันได้ดีขึ้น ยิ่งยอมรับแต่เนิ่น ๆ เท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาเตรียมการมากเท่านั้น อีกทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ดังผู้ที่เจริญมรณสติอยู่เสมอ ไม่เพียงจะตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาประชิดตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมัน คือเห็นธรรมจากความตาย ทำให้ปล่อยวางและเผชิญความตายด้วยใจสงบ
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255612.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...