เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    IMG_20170824_134421.jpg
    aป.JPG
    IMG_20170824_134200.jpg
    พระคำข้าว


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ตอนรุ่นเราพระคำข้าวยังไม่ดังเท่าไหร่ รุ่นเหลนรุ่นหลานนั่นตอนจะปลุกเสกเคยคุยกันแหละจะดัง

    ท่านบอก "นันต์ วันนี้สมเด็จท่านมาบอกว่า ของคุณนี่ตั้งแต่รัตนโกสินทร์มา มีของคุณกับคุณโต (หลวงปู่โต พรหมรังสี) นี่เท่านั้นนะที่จะทำของอย่างนี้เต็ม"

    พระคำข้าวนี่ต้องเสกทุกวันนี่ ต้องชิม เพราะอร่อยก็ตักชิมไปเรื่อย อร่อยก็ตักออก ทำอย่างนี้ทุกวันจนครบไตรมาส 3 เดือนถึงจะเอาข้าวนั้นมาบด แล้วเสกอีกครั้งหนึ่ง

    เดี๋ยวนี้ทันสมัยกว่าสมัยก่อน สมัยก่อนต้องไปตากแดดใช่ไหม สมัยนี้ฝนตกฟ้าร้องไม่ต้องกลัว ใส่ไมโครเวฟเลย มันก็แห้งง่ายไว เพราะต้องให้แห้งนี่ (ไว้นาน) เดี๋ยว
    ก็เหม็นบูดเป็นรา ต้องใส่ไมโครเวฟให้มันแห้ง แล้วก็ตาก

    สมัยหลวงปู่ปานก็มีอยู่องค์หนึ่ง พระอดอยากก็ให้บอก พระมหาลาภ แล้วหลวงพ่อท่านก็ลองของ ขอดู ก็มีจริงๆ ตอนหลังท่านจะไปเอามา แต่ไม่เห็น โจรลักไปแล้ว ขโมยลักไปเสียแล้ว ยังไปถามองค์ที่วัดบางนมโคยังอยู่หรือเปล่า บอก ขโมยลักไปเสียแล้ว

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 470 เดือนพฤษภาคม 2563 หน้า 13)


    IMG_20200302_123719.jpg
    IMG_20200319_153554.jpg
    DSC09841.jpg DSC09769.jpg


    ทำผงพระคำข้าว

    สมัยท่านเจ้าคุณฯ ก็ได้จัดทำพระผงคำข้าวเหมือนกัน ความเป็นมาอย่างนี้

    พระรุ่นนี้เป็นพระที่เอาผงพระคำข้าวมาผสม แต่พระมีโทษ

    พระมีโทษคือเวลาทำแล้วไม่ได้บวงสรวง คือปั๊มเล่น ตำไปด้วยดูพิมพ์ด้วย เวลาทำปั๊มไปอาจจะเล่นเพลิน คือหยาบเกินไป ปั๊มแล้วก็วางในที่ไม่สมควร วางนู่น ปั๊มแล้วก็ดูเนื้อ เนื้อไม่ดีก็ทุบใหม่วาง อาจจะวางในที่ไม่สมควร ปั๊มไปสัก 7-8วันได้ พระป่วย ป่วยรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย กินยาก็ไม่หาย พอตกกลางคืนประมาณตี 2 ได้เสียงคนคุยกันหน้ากุฏิ

    "กูนึกว่าเอามึงให้ตายเลยนะ ทำอะไรไม่รู้จักบอก"

    พระองค์นั้นก็ตกใจเหมือนกัน โอ๊โฮ กูไม่ได้บวงสรวงบอกครูบาอาจารย์เลย

    "ครับๆ ผมจะบวงสรวงครับ" พอตั้งใจอย่างนั้นก็หาย ไม่ต้องกินยา หาย ก็จัดพิธีบวงสรวง คือไหว้ครูบาอาจารย์ ไหว้ตั้งแต่พระอรหันต์เพราะนี่ปลุกเสกตั้งแต่สมัยหลวงพ่ออยู่แล้วนี่แต่ว่าเอามาผสม ผงนี่มีเทวดารักษาแล้วนี่ตอนนี้


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า หลวงพ่อนี่เวลาของของท่าน ท่านบอกให้วางบนผ้าขาว หนังสือ
    นี่อย่างหนึ่ง แต่ก่อนก็วางกันที่พื้นตรงนั้น

    ท่านเห็นบอก ถ้ารูปฉันฉันไม่ว่าอะไร นี่มันครูบาอาจารย์ฉัน หลวงปู่ปานนี่ครูบาอาจารย์
    ฉัน ก็ไม่ควร หมายความว่ารูปของครูบาอาจารย์นี่ต้องยกย่องบูชา ใช่ไหม จะวางใน
    ที่ไม่สมควร ท่านติงมา

    (จาก "คอลัมภ์ท่านเจ้าคุณฯสนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 470 เดือนพฤษภาคม 2563 หน้า 13-14)

    DSC09850.jpg DSC09774.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2020
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    IMG_20180310_091120.jpg
    ทำบุญอะไรก็ได้อย่างนั้น


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า มีคนจีนที่ชุมแสงเกิดตาย ไม่ชอบทำบุญ แต่ชอบไหว้เจ้า เพราะว่าจะได้กิน พอตายจิตออกจากร่าง ก็ไปเจอทายกที่ตายแล้ว เป็นทายกที่วัดคลอง
    ระนง เจอเข้าก็ดีใจ เจอคนบ้านเดียวกัน รู้จักกันสนิทกันนี่ เจอก็ทักกันอย่างดีเลย

    เฮ้ย ของลื้อเยอะเลย พวกขนมนี่ขอกินมั่ง

    ทายกบอก ไม่ได้ ที่นี่ของใครของมัน

    คนจีนบอก เฮ้ย ล้อเล่นหรือเปล่า หิวไปแล้วนี่ ก็เอามือคว้าจับเลย จับจะกิน ถือวิสาสะ พวกเดียวกันนี่

    พอจะกินเท่านั้นแหละ มันร้อนนี่ ต้องสลัดมือ คนนั้นก็บอก ของลื้อนั่นไง ทายกว่าอย่างนั้น ของลื้อก็เห็นนี่ เป็นกองขี้เถ้าอันนี้ พอไปดูกองขี้เถ้าเขาบอกว่า ที่นี่ของใครของมัน

    ตอนหลังก็ฟื้นขึ้นมา ตายไปหลายชั่วโมงนะ ไปตั้งครึ่งค่อนวัน กลับมาฟื้นตอนหลัง
    ทำบุญใหญ่ วันพระวันโกนรักษาศีล

    คนเขียนเขาไปสัมภาษณ์ครอบครัวทุกคน เป็นเรื่องคนตายกลับมาฟื้นมาเล่าให้ฟังเป็นของจริงนะหลายอย่าง มีเรื่องนรกด้วย ก็อยากจะให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นตัว
    อย่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตายแล้วจริงๆมาเล่าให้ฟัง เหมือนหลวงพ่อที่ท่านเล่าให้
    เราฟัง หนังสือชื่อเรื่อง "ตายแล้วฟื้น"

    คนเขียนเขาสัมภาษณ์ครอบครัวทุกคน ไปสัมภาษณ์บ้านคนตาย ไม่ใช่ พันเอกเสนาะนะ เพราะอ่านแล้วพาให้กลัวนรกไปเยอะ เพราะคนไปเห็นนรกจริงๆ อ่านแล้วสลดใจเหมือนกัน แต่เวลาพระเล่าคนเขาไม่ค่อยเชื่อ แต่คนธรรมดาตายแล้วฟื้นนี่ ของจริง

    ก็เป็นอันว่าทำบุญอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

    ยกทรงถามว่า อย่างนี้ใครทำบุญด้วยข้าวสาร ก็ต้องไปเจอข้าวสาร ไม่เจอข้าวสุก ไม่
    เจอขนมสิครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า โอ้โห ไอ้นี่ของทิพย์เลย เขาไม่ได้กินข้าวสารนี่ เวลาให้เขาแล้วนี่

    ยกทรงถามว่า แล้วถวายเกลือล่ะครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า อ้อ เกลือนี่ ไม่ใช่ได้อานิสงส์เป็นของเค็มนะ ได้ของพอดี

    ยกทรงถามว่า อ้าวทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ

    ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า คนเขาขาดเค็มใช่ไหม พอใส่แล้วพอดี

    ยกทรงถามว่า ประทานอภัยขอรับ ฉบับนี้ได้มาจากไหนครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ได้จากตรงนี้แหละ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 17-18)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    6 (1).jpg
    IMG_20170809_130059.jpg
    เรื่องครูบุญชู

    ท่านเจ้าคุณฯ เริ่มเรื่องว่ามีคนเขามาถาม คนที่ตายไปแล้วนี่จะมาทวงเอาชีวิตคนที่เป็นได้ไหม ?

    เราพูดได้ แต่พูดตามอารมณ์ของคน ก็พูดให้ไขว้เขวได้ แต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านให้เชื่อกฎของกรรม คนจะตายได้หรือมีความทุกข์ เพราะอกุศลกรรมให้ผล

    มีอยู่เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟังว่า คนที่จะตายเป็นยังไง ที่หลวงพ่อเคยเล่า เคยลงหนังสือ
    มีคนอยู่คนหนึ่งชื่อ ครูบุญชู อยู่จังหวัดอ่างทอง แกเป็นครู สามีเป็นชาวนา สามีก็ไปนวดข้าว ครูบุญชูไม่ได้ไปนวด ทำกับข้าวให้ลูกกิน แต่วันนั้นปวดหัวจังเลย พอจะหายาทันใจกิน แกก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น แกก็ไปเลย มีคนมาดึงแกไป มีคนตัวดำๆมาดึงแกไป แกก็ไม่ไป แกก็ดิ้นใหญ่ บอกว่า ไปไม่ได้ กลัวสามีห่วงว่าไม่รู้ไปไหน แกไม่อยากไป

    พอไปถึงสำนักพระยายม ท่านลุงพระยายมถามว่า ทำไมมึงถึงขัดขืนให้มาก็ไม่รู้จักมา
    ครูบุญชูบอกว่า เป็นห่วงผัว ยังไม่ได้สั่งเสียเลย แล้วเขาก็ให้กลับมาอีก ให้ครูบุญชูกลับ
    มาสั่งเสียอีกนะ ครูบุญชูก็กลับมา ก็ฟื้นมาผัวยังไม่กลับ เลยเขียนหนังสือสั่งไว้ บอกว่า
    เงิน ช.พ.ค. เงินช่วยเหลือครูอะไรนี่นะ ให้จัดการอย่างนั้นๆไปเลย เรียบร้อยทุกอย่าง
    พอแกเขียนสั่งเสร็จ เขาก็เอาครูบุญชูไปอีก เอากลับไปอีก

    พอถึงสำนักพระยายมก็สอบเลย ทำไมถึงดื้อนัก ไม่มา แกบอกว่า แกห่วงลูก ห่วงสามีแก เพราะว่าทำงานยังไม่เรียบร้อย จะมายังไง ท่านพระยายมก็บอกว่า ไอ้นี่มันผิดตัวแล้วนี่อีคนนี้มันยังไม่มีผัวนี่ บุญชูที่ตายไม่มีผัว เดี๋ยวๆก็เปิดดูบัญชี ไม่ใช่แล้วนี่ เอาไปคืนก่อน

    พอจะไปคืน ก็ให้ครูบุญชูดูบัญชีเสียก่อน เขาก็เปิดให้ดูบัญชีไปเรื่อยเลย เปิดบัญชีแกดูไปๆ ก็ไปเจอคนปีนต้นงิ้วเหมือนกันนะ ไอ้คนนี้เป็นชู้กับตำรวจคนนั้น แกก็จำมาเลยนะ คนนี้อยู่บ้านนั้น ต้องตายวันที่เท่านั้น แกจดมาตั้งหลายชื่อ พอจดมาเขาก็ส่งกลับ พอกลับปุ๊บแกก็จดไว้เลย จดใส่กระดาษแกก็สืบดู ถึงเวลาเดือนนี้คนนี้จะตาย คนนั้นจะตาย แกสืบดูตั้ง 3-4 ชื่อ ตายตามที่แกบอกหมดทุกคนเลย

    แสดงคนที่ตายนี่มีเวลาตายที่แน่นอนแล้ว บัญชีตายเขามีอยู่ แล้วตายด้วยโรคอะไร เวลาอะไรเขามีอยู่แล้ว หลวงพ่อก็ยืนยัน

    ทีนี้คนที่มาถามว่า คนที่ตายแล้วจะมาเอาคนเป็นไปได้ไหม คิดว่าไม่ตรงตามความเป็นจริง หากว่าจะตายจริงๆก็ต้องเกี่ยวกับว่าหมดอายุขัย

    มีอยู่เรื่องหนึ่ง มีอยู่คนหนึ่งมีหลวงพ่อพูดเองเลยนะ สั่งพวกกันไว้ "มึงไปก่อนมึงไปฟันต้นงิ้วที่นรกให้หมดเลยนะ กูอยู่อย่างนี้จะได้สบาย ไม่ห่วง"

    พอพูดอย่างนี้ท่านบอกว่า คูณด้วย 2 เลยแต่เราไม่รู้นะ หลวงพ่อท่านบอกแก่เราอย่างนั้น

    ดร.ปริญญาบอกว่า ในเรื่องครูบุญชูก็มีคนหนึ่งต้องปีนต้นงิ้ว ก็สั่งเอาไว้บอกว่าเอาขวานใส่ลงไปด้วยนะ แล้วเขาก็ใส่ลงไป

    วันต่อมาเข้าฝัน มึงรีบเอาขวานออกไปนะ ที่จะเอาขวานไปฟันต้นงิ้วน่ะ

    ดีนะที่อุตส่าห์มาเข้าฝันบอกเสียก่อน ถ้าไม่งั้น ก็คงจะเดือดร้อนหนักเป็นแน่

    ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนาก็ขอให้เชื่อเถอะแล้วเราจะไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนตั้งแต่สมัยที่เรามีชีวิตอยู่ เรื่องครูบุญชูนี่ก็เป็นตัวอย่างของคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องนรก จะได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ

    (จาก "คอลัมภ์ท่านเจ้าคุณฯสนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 451 เดือนตุลาคม 2561 หน้า 15-16)



    IMG_20180211_074732.jpg
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    IMG_20180310_090914.jpg
    ตอนแรกก็รักกันตอนหลังแตกคอกัน

    ดร.ปริญญาถามปัญหาต่อไป เวลาทำงานเป็นกลุ่ม ตอนแรกก็รักและสามัคคีกัน แต่
    พอทำกันไปนานๆ เข้าก็แตกแยก แล้วต่างคนก็ต่างก็รู้ว่ามีความรู้สึกไม่ดีต่อกัน เป็นเพราะอะไร แล้วจะแก้อย่างไร

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ ท่านบอกว่า ถ้าจับกลุ่มเกิน 3 คนให้ระวัง ถามโยมยีดูสิว่าจริงหรือเปล่า มันเป็นธรรมดานะของคนเรา ความคิดนี่ บางทีไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ความคิดมันไม่ลงกัน ถ้ารุนแรงถึงทะเลาะกันนี่ไม่ดีแล้ว

    ดร.ปริญญา ถามว่า แล้วจะแก้ไขอย่างไรครับ

    ก็เอาธรรมะนี่แหละ

    ข้อไหนครับ

    ก็ต้องพรหมวิหาร 4 และก็สังคหวัตถุ 4 เอาสังคหวัตถุ 4 ไปใช้เถอะ ที่ไหนจะแตกความสามัคคีนะ ถ้าไม่มีสังคหวัตฤ 4 มันจะแตก

    คือมีการถือตัวถือตน 1 ฉันดีกว่าแก แกดีกว่าฉัน เธอทำไม่ดี ฉันทำดีทำถูก อันนี้คือสังคหวัตถุข้อถือตัวถือตน

    2. มีการงานไม่ช่วยกัน อีกคนก็นอนอีกคนก็ทำไปแทบตาย อยู่ร่วมกันนะ

    ข้อที่ 3 คือไม่มีปิยะวาจา พูดจานี่ แหม...พูดทีไรไม่เพราะหูเลย

    ข้อ 4 คือไม่มีน้ำใจซึ่งกันและกัน คือว่าไม่หยิบยื่นแบ่งปันซึ่งกันและกัน

    ไม่ใช่ฉันพูดเองนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ที่ไหนขาดสังคหวัตถุ 4 เมื่อไหร่ ที่นั้นจะต้องแตกความสามัคคีเมื่อนั้น สังเกตดูเถอะ วงไหนที่แตกวง ไปถามเถอะ ปากเป็นยังไงบ้าง ปากร้าย สอนเป็นยังไง ถือตัวถือตน ฉันเป็นศิษย์อาวุโส เธอเป็นศิษย์เก่า เธอเป็นศิษย์ใหม่ ฉันมาก่อนเธอ เธอมาทีหลังฉัน นี่ถือตัวถือตนล่ะ ทีนี้ก็เบ่งทับกันสิ พูดจาก็ไม่มีน้ำแล้วตอนนี้ เบ่งทับกันไป พาให้เกิดแตกความสามัคคี

    ปัญหานี้ดีมาก อยากจะพูดมานานเหมือนกัน ขอให้ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน ที่ไหนแตกความสามัคคีให้คิดดูก็แล้วกัน มันไม่มีความเจริญกับตัวเองหรอก มีแต่ความเร่าร้อน พอเห็นหน้า ไม่อยากจะเห็นหน้าแล้ว ตรงนี้แหละสำคัญ คือไม่ดูใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ไปดูใจแต่คนอื่น คนอื่นไม่ดีนี่หว่า ไอ้ตัวเราไม่คิดหรอก

    ดร.ปริญญา ถามว่า ขอทวนหน่อยครับ สังคหวัตถุ 4 มีอะไรบ้างครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ทาน ปิยะวาจา สมานัตตตา อัตถจริยา

    ยกทรงบอกว่า นี่ แสดงว่าจบประโยค 9

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า จะพูดผิดหรือถูกไม่รู้ แต่แปลได้ คือจำหลวงพ่อสอนเด็กนักเรียนเหมือนกัน ยกตัวอย่างพระก็แล้วกัน ใกล้ตัวหน่อย อีกองค์หนึ่งก็ไปทำงานมาเหนื่อย แบกหามมาเหงื่อตัวเป็นมันแผล็บเลย อีกองค์นอนสบาย ตื่นมาถาม โอ ไปไหนมา ตอบ ทำงานโน่นมา องค์ตื่นมาบอก โมทนา อีกองค์บอก ประสาทดีนี่ไปห่างๆ นี่มันเป็นอย่างนี้ นอกจากไม่ช่วยเหลือการงานแล้ว ยังพูด โมทนา พูดดีนะ แต่แหม...มันหมั่นไส้จัง

    ข้อใดข้อหนึ่งมันพร่องไปมันจะแตก สังเกตดู อันดับแรกคือเกี่ยวกับปิยะวาจา การพูด ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรม ต้องเอาความดีมาวัดกัน

    ยกทรงนึกขึ้นมาได้ถามว่า โอ ถ้าคนเป็นใบ้นี่ปิยะวาจาจะทำอย่างไรครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า อ้อ คนเราบางทีนี่ไม่จำเป็นต้องออกปากด่านี่ ตาด่าก็ได้ ตานี่บอกถึงใจใช่ไหม โมโหก็ตาขุ่นควั่ก

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 11-12)

    17390456_760157897476338_2769664321234444823_o.jpg IMG_3900.JPG
    โกหกให้เจ้านาย

    ดร.ปริญญา ถามว่า มีอีกข้อหนึ่งนะครับ ถามว่า อยากจะถือศีล 5 แต่ว่านั่งอยู่หน้าห้องเจ้านายก็รับโทรศัพท์ ต้องคอยโกหกให้เจ้านายบ่อยๆ จะเป็นการผิดศีลหรือเปล่าครับ

    ยกทรงถามว่า เจ้านายสั่งไว้อย่างนั้นใช่ไหม ถ้าจะไม่เชื่อเจ้านายเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ถ้าจะเชื่อเจ้านายศีลก็จะขาด ท่านเจ้าอาวาสเจ้าขา จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ก็เราไม่ได้โกหกเพื่อตัวเราเองนี่ โกหกให้เจ้านายนี่ ก็บอกว่าเจ้านายให้โกหกไปอย่างนี้ (หัวเราะ) ตรงนี้ไม่ยาก ตามพระวินัยเขาให้ตรงไปตรงมานะ

    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง บอกว่า ยกตัวอย่าง เขายิงกันตาย พระก็อยู่ในที่เกิดเหตุนั่นแหละ เจ้าหน้าที่เขามาเขาก็สอบสวน ถามว่าเมื่อสักครู่เขายิงกันตาย คุณอยู่ตรงนี้หรือเปล่า เรายืนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม เราก็ขยับเท้าก้าวไปสักที่หนึ่ง ให้พ้นจากตรงนั้นไปสักก้าวหนึ่ง ตอบว่า เปล่าไม่ได้อยู่ตรงนี้

    ดร.ปริญญาบอกว่า เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็มีเรื่องเล่าต่อ สมัยที่คุณบัญชาท่านยังบวชอยู่ สมัยนั้นก็อยู่ที่ศาลานวราชเก่า หลวงพ่อท่านไม่ค่อยสบาย ก็ไม่อยากให้หลวงพ่อลงรับแขก ก็เผอิญมีโยมมา 2 คน ก็คุยกับหลวงพี่วิรัชว่า จะเอายังไงดี ท่านวิรัชบอกว่า เราก็ไปรับโทรศัพท์ที่ห้องข้างใน ถ้าหลวงพ่อโทรมาถาม ก็บอกว่าข้างในไม่มีใคร

    พอได้เวลาหลวงพ่อท่านก็โทรมา เฮ้ย มีใครหรือเปล่า ไม่มีครับ เสียงตวาดออกมา แล้วที่นั่งข้างนอกหัวโด่ข้างนอกใครว๊ะ

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า นี่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เราย่อมรู้เหนือกว่า

    ดร.ปริญญาถามว่า อย่างนี้โกหกไหมครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ตรงที่รับไม่มี พวกนี้วิชาเหนืออยู่แล้วก็รู้จักหลบ

    ต้องทำอย่างใครนะ ที่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นพระโสดาบัน ผัวเป็นนายพรานล่าสัตว์ (เมียพรานกกุตตมิ) ตัวนี้ก็ต้องทำตามนั้น มีหน้าที่ก็ทำไป ขนาดสามีบอกหยิบธนูมาชิ ภรรยาก็หยิบมา หยิบลูกดอกมาซิ ก็หยิบมา หยิบหอกมาซิ ก็หยิบมาให้ นี่เป็นพระโสดาบันนะ คือทำตามเจ้านาย คือสามีที่สั่งมา

    ยกทรงบอกว่า นั่นยิ่งหนักกว่าโกหกนะ ส่งลูกธนูไปยิงเขา ยังไม่เป็นไร

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 12-14)


    1959879_336543666523092_2966252836345891807_n.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    012-4.jpg

    ท่านทองประศรี


    ท่านเจ้าคุณฯเล่าว่า มีเรื่องหนึ่ง คือเรื่องปวดธรรมชาตินี่นะ คือมาสายลมกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็มีรถตำรวจนำขบวน ถ้าเรามีปัญหาอะไรคนหนึ่งนี่ เล่าขอเป็นตัวอย่างนะ
    ขอไว้ใช้เป็นตัวอย่างนะ ถ้าหากใครจะเอาไปใช้ หรือจะใช้เฉพาะการก็ไม่ทราบ

    คือสมัยหลวงพ่อมาสายลม มาด้วยรถนำขบวน มาเป็นทีม ถ้าใครแวะข้างทางต้อง
    เสียเวลาคนอีกหลายคัน พอขึ้นรถมาจากวัด ขึ้นรถทองประศรี ปวดท้องมาตุ่ยๆ ปวดก็ทนมาเรื่อย ทนมาประมาณชั่วโมงหนึ่งน่ะ คิดดูก็แล้วกัน มันก็หนัก พอนั่งไม่ไหวๆแล้ว
    กูต้องแวะข้างทางแน่แล้ว มันจะตายหรือไงไม่รู้นะ ถ้าเราให้รถแวะขบวนก็จะเสีย วิทยุ
    ก็ไม่มีตอนนั้น นั่งมาประมาณชั่วโมงหนึ่ง คิดดูก็แล้วกัน คนมันนั่งในรถ ไม่มีที่ไป โอ้ย
    ประเมินแล้วไม่ไหวแล้ว ตายแน่ๆ

    ก็เหลือบไปเห็นกุญแจรถ เขียนว่า แม่ทองประศรี แล้วก็อธิษฐานใจว่า "แม่ทองประศรีอยู่ที่ไหน ถ้าคุมรถอยู่ล่ะก็ ขอให้ช่วยด้วย เดี๋ยวรถเสียขบวนแน่" เราก็จะตาย แย่เต็ม
    ทีแล้ว

    แค่อึดใจเดียว พูดไม่ทันจบ หายเลย หายปวดท้องทันที เดี๋ยวนั้นเลย เราก็นึก โฮ อย่างนีเชียวหรือนี่ มาถึงบ้านท่านเจ้ากรมอาทรยังไม่ปวดเลย

    (กลับมา) ก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง มีอะไรจะไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง คืออยากจะเช็คว่าเป็น
    อย่างไร

    หลวงพ่อก็บอกว่า "คุณ ถ้าจนตรอกจริงๆ เทวดาเขารู้ เทวดาเขารู้จริง จนตรอกจริงๆ เขาช่วยได้"

    ไม่ใช่ว่าเอะอะก็ขอๆอย่างนั้น นี่มันจนตรอก มันแย่แล้วนี่

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า ใครไม่เชื่อลองบ้างก็ได้นะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 453 เดือนธันวาคม 2561 หน้า 29-30)


    1-8.jpg
    หลวงพี่นันต์ 5 และ 9 นิ้ว.jpg
     
  6. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,955
    สุดยอดครับพี่วรรณ

    ขอบพระคุณข้อมูลที่นำมาเผยแผ่ด้วยนะครับ
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    บวงสรวง.jpg


    ความเป็นมาของบายศรีของดีวัดท่าซุง


    เป็นความรู้โดยละเอียดเกี่ยวกับบายศรีในแบบต่างๆครับ


    7.jpg 8.jpg 9.jpg 10.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 41 หน้า 7-10)

    359494.jpg

    ภาพเรื่องด้านบนนำมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านที่สนใจอ่านเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมหาอ่านได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ


    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php




     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    2-15.jpg
    อานุภาพของผ้ายันต์เกราะเพชร


    104.jpg 105.jpg 106.jpg 107.jpg 108.jpg 109.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 41 หน้า 104 - 109)

    ภาพด้านบนทั้งหมดนำมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านที่สนใจอ่านเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมหาอ่านได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ


    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php

    IMG_20170426_160439.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    26655935792057648952_n.jpg
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    15068920_198720190583145_8178807209024341053_o.jpg 15069111_198720510583113_6228600353597100057_o.jpg 15110296_198720853916412_3024381391103509487_o.jpg 15110307_198722607249570_62693338833379161_o.jpg 15110347_198721433916354_3797610183622194821_o.jpg 15137423_198722003916297_860178593936594659_o.jpg 15138560_198722597249571_6113199236321715016_o.jpg 15042289_198721037249727_4773427373513749445_o.jpg 15068554_198721200583044_2122965647551633037_o.jpg 15068873_198719103916587_1765111080986533942_o.jpg 758174-vert.jpg 872a31e6bc3c548d642917b19ce0e6cd-vert.jpg 0-vert.jpg 66444273_168103971037813_514474609801947838_n.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    DSC_0039.jpg

    งานฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา เมื่อเดือนที่แล้ววันฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช วัดท่าซุง ลูกได้มีโอกาสไปและก็เวียนเทียนรอบพระจุฬามณีและรอบพระเจ้าพรหมมหาราช ในขณะเวียนเทียนนั้นปรากฎว่าน้ำตาของลูกไหลร้องไห้ เอาไม่อยู่สะอึกสะอื้นเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีปีติอะไรเลย แต่ก็ประหลาดอาการอย่างนี้ได้เกิดขึ้น

    ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่าในขณะนั้นพระเจ้าพรหมมหาราชท่านโศกเศร้าอะไรหรือ ทำให้ลูกต้องร้องไห้ตามท่านไปด้วยเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ๆๆ นั่นปีติ เจ้าของไม่รู้ว่าปีติ แต่ความจริงน่ะปีติ ปีติตัวที่ 2 ไง ขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง หรือว่าเป็นนักรบรุ่นเก่าด้วยกันใช่ไหม ชนะข้าศึกมาด้วยกัน กู้ชาติไทยเป็นครั้งแรกโดยพระเจ้าพรหมมหาราช

    ผู้ถาม : เป็นต้นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ประเทศไทย

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ต้น ต้นกษัตริย์ที่กว่าจะถึงพระเจ้าพรหมนี่ 60 ตำแหน่งกว่าหรือ 60 รัชกาลกว่า แต่ว่าไม่มีสงคราม มามีสงครามสมัยพระเจ้าพังคราช เพราะอ่อนแอเกินไปใช่ไหม

    ทีนี้ขอมดำมันก็กำเริบคิดจะยึดประเทศไล่คนไทย ก็ไล่ไปอยู่ที่เวียงสีทอง เวียงสีทองด้านแม่สาย พระเจ้าพรหมเกิดมาถึงอายุ 12 ปี ก็สั่งพ่อบอกเลิกส่งบรรณาการ เตรียมขุดบ่อน้ำ เกรงว่าถ้าข้าศึกมาล้อมใช่ไหม จะได้มีน้ำกิน เตรียมการรบเต็มที่ และได้ช้างพลายประกายแก้วเป็นโขลงนำ

    ต่อไปพระเจ้าพรหมก็สร้างบุญบารมีหนักตีแหลกเหลวเลย กวดเข้าสันทรายขึ้นไปถึงเมืองเชียงแสน เข้าตีในเมืองโผล่ไปอีก มันหนีมาทุ่งยั้ง กองทัพวิ่งมา 3 วัน ต้องสั่งยั้งตัว กินข้าวยั้งตัวเสียทีหนึ่ง พอกินข้าวทีอิ่มแล้วไล่ตีต่อไปอีก สร้างบุญบารมีมาก

    ฉะนั้นฉันอาศัยที่เป็นลูกศิษย์พระเจ้าพรหมจึงต้องป่วยมากนี่

    ผู้ถาม : ลูกศิษย์พระเจ้าพรหม

    หลวงพ่อ: ลูกศิษย์พระเจ้าพรหม

    ผู้ถาม : เลยป่วยตามพระเจ้าพรหมไปด้วย

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ

    ผู้ถาม : ฉะนั้นคนที่ร้องไห้นี่ก็หุ้นส่วนด้วยในสมัยนั้น

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องห่วงละ หุ้นแหงๆ ที่นั่งนี่

    ผู้ถาม : และที่นั่งประจ๋อประแจ๋ต้องแหง ๆ

    หลวงพ่อ : ต้องแหงๆ กินหัวเผือกหัวมันมาด้วยกัน ไอ้ที่เขาไล่ออกจากเมืองไม่มีข้าวจะกิน กินหัวเผือกหัวมัน ต้องทำกะทะใหญ่ๆกินกัน มีอะไรก็มาผสมกินกัน แล้วเขาเก็บส่วยทองคำ ต้องร่อนทองคำส่งส่วยเขา เขตที่เขากั้นให้คนไทยอยู่แต่ไหน เราล้ำเข้าเขตเขาไม่ได้ทั้งที่เป็นเมืองของเรา มันไล่ตีไล่ฟัน นี่ความเจ็บใจของเด็กมันมีอยู่ใช่ไหม

    พระเจ้าพรหมมหาราชเป็นแม่ทัพคราวนั้นอายุแค่ 16 ปี แต่ก็ดีนะการตีทัพคราวนั้น พอมาถึงศรีสัชนาลัยได้เมียเลย แหม แจ๋วแว๋ว

    ผู้ถาม : ตีเก่งน่ะได้ทั้งเมืองทั้งเมีย

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ ได้ 2 ม.

    ผู้ถาม : แหม เจ้าชู้น่าดูพระเจ้าพรหมนี่

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่เจ้าชู้ เขายกให้เอง ก็มีพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านบอกว่าในเมื่อถึงศรีสัชนาลัยล้อมเมืองเขา เขาไม่ยอมให้ผ่านเขต ก็จะไล่ขอม ขอมก็วิ่งหนีไปใช่ไหม ถึงศรีสัชนาลัยก็ตั้งทัพกันเลย ไม่ยอมให้ผ่านเขตก็ต้องรบกัน

    ในเมื่อกำลังของเรามากกว่า หัวเมืองต่างๆที่ทราบว่าพวกเราไล่ขอมใช่ไหม เขามาสมทบมีกำลังมากกว่าเขาเลยตั้งทหารรับมาเชิญ มาเชิญก็ไม่ต้องออกไปรบ แต่ว่าเขามีปืนตั้ง 200 กระบอก เราไม่มี ทหารหัวเมืองเข้าไปอาสาตีตายไปหลายคน พระเจ้าพรหมเลยสั่งไม่ต้องตี ล้อมแบบนี้ให้มันอดข้าวเอง มันยอมเอง

    เห็นท่าหลายวันก็มีพระองค์หนึ่งท่านได้อรหันต์นะเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านทราบว่าพระเจ้าพรหมกับลูกสาวเจ้าเมืองนี่เคยเป็นคู่ครองมาในชาติก่อน ก็บอกเจ้าเมืองให้ยกลูกสาวให้พระเจ้าพรหมเสียจะได้เลิกสงคราม เขาก็ยกให้ ยกให้แล้วพระเจ้าพรหมได้ 2 ม. จะเอา ม. เดียวใช่ไหม ทีแรกจะเอาเมือง ทีนี้ได้ ม.เมียด้วย พอได้ ม.เมียเลยเลิก

    ผู้ถาม : พอเขาให้ ม.เมีย เราก็ไม่ต้องไปตีกันอีก

    หลวงพ่อ : เราก็ได้ ม.เมืองด้วย จะไปตีทำไม

    ผู้ถาม : แล้วชื่อของ ม.ที่ 2 ชื่ออะไร

    หลวงพ่อ : ปทุมวดี ยังจำได้ตอนนั้นฉันเป็นทหารเลว (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เลวอยู่แถวไหนครับ ?

    หลวงพ่อ: เลวแถวคอช้าง (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่คงเป็นอานิสงส์ตอนนั้น ถึงได้ป่วยในตอนนี้

    หลวงพ่อ : มันไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว มาอีกหลายชาติ นำทัพเข้าไปตีอีก ไอ้การสงครามนี่ฆ่าสัตว์กี่ตัวใช่ไหม ต้องฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ เลี้ยงทหารน่ะมันเยอะแยะ ไอ้บาปนี่มันเต็มอัตรา ของฉันนี่ตาชั่งมันชั่งไม่ได้แล้ว ก็เขาเอาแค่นี้ก็บุญตัวแล้ว เอาแค่นี้มึงก็เอาไปเถอะ กูเหลืออีกชาตินี้นะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้เล่นหลบกันเลย

    หลวงพ่อ : ไม่หลบ หนีเฉยๆ แต่นี้จะเอาไงก็เอาเถอะ มีเท่านี้ถูกฟ้องลัมละลายแล้ว (หัวเราะ) ยอมใช้ เขาเอาเฟื้องให้เฟื้อง เอาสลึงให้สลึง ช่างมัน

    ผู้ถาม : อ้อ..เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่าง

    หลวงพ่อ : ช่าง ก็รู้อยู่ตามยถากัมมุตาญาณ เราจะทราบทันทีว่าป่วยไข้ไม่สบายเรื่องมันเกิดเพราะอะไรเป็นเหตุ ถอยหลังเข้าไปดูปั๊บ อ้อ..เราทำเขาอย่างนี้ เวลานี้เรามีโทษแค่นี้ เราฆ่าเขาน่ะนับพันนะ ชุดนั้นน่ะ และเราก็แค่ป่วยไม่ถึงตาย และต่อมาก็เกิดอีกหลายชาติจากพระเจ้าพรหมหลายชาติกว่าจะมาถึงตอนนี้ดะทุกชาติ สร้างบุญบารมีดะทุกชาติ

    ผู้ถาม : นับจำนวนคนที่ตายไปนี่สัก..

    หลวงพ่อ : เลยแสน

    ผู้ถาม : ถึงว่า มาชาติสุดท้ายถึงได้ป่วยหนักนัก

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่หนัก นี่ป่วยเบา ไม่ถึงตาย

    ผู้ถาม : ใจแข็งนะ นี่ยังใจแข็งนะ ลูกหลานใครเจ็บไข้ได้ป่วยนะ และเวลาตอนบำบัดน่ะให้ดูหลวงพ่อเป็นตัวอย่างนะ

    หลวงพ่อ : ก็ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคิดว่าเราฆ่าขอมกันมามาก เราฆ่าศัตรูซึ่งเป็นคนไทยกันเองก็มีมากที่แข็งเมือง เราฆ่าพม่ามาก็มาก มันทวงแค่นี้ช่างมัน เราไปนิพพานดีกว่า

    ***เห็นไหมหลวงพ่อท่านก็ตัดสินใจอย่างนี้เหมือนกัน เจ็บป่วยอย่างไรก็ช่างมัน ตายเมื่อไรไปนิพพาน***

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 115 เดือนกันยายน 2533 หน้า 22-24)
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    320117_138988506278610_204936438_n.jpg

    พระที่วัดของเรา อยากเป็นพระอรหันต์ทุกองค์


    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า พระที่วัดของเรา 90 เปอร์เซ็นต์ นี่มีเจตนาอยากเป็นพระอรหันต์
    ทุกองค์ มีเจตนาอยากจะหมดกิเลส

    ทีนี้กิเลสมันคอยจะรั้งอยู่ ถ้ามีเจตนาอย่างนี้อยู่ด้วยกันง่าย มีเจตนาเดียวกัน คือหวังจะหมดกิเลส ที่วัดนี้อยู่ด้วยกันก็ง่ายมาก ถ้าไม่มีเจตนาอย่างนี้ก็ยุ่ง เพราะว่าไม่ใช่ตาสีตาสาจะดึงกันง่ายๆ จะดึงจมูกกันง่ายๆ อยู่ด้วยความคิดอยู่ด้วยความพอใจ อยู่ด้วยปัญญา

    ทีนี้ปัญญามารวมกันในที่เดียวกัน คืออยากจะหมดกิเลส ต้องไปอยู่รวมกันจึงจะรู้ว่า ทำงานขนาดไหน บางคนทำงานกลางคืน อย่าง 100 ไร่ที่ลงที่มีอยู่นี่ ธรรมดาไปถามคนเดียวนี่ไม่ไหวหรอก นี่มีพระแทบจะองค์เดียวทำ ทำงานกลางคืนด้วย หลวงพ่อซื้อรถไถไว้ให้ ดายหญ้ากลางคืนกลางวันมั่ง คือไม่ได้หวังอะไร หวังจะหมดกิเลสก็พอใจ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 453 เดือนธันวาคม 2561 หน้า 24)


    72954904_101577136.jpg
    ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเป็นคนที่มีอารมณ์ดี คิด
    ดี พูดดี ตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อทุกอย่างทุกประการ โดยฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพระนิพพานนี่รักเป็นพิเศษ

    แต่ที่ลูกสงสัยก็คือว่า บางทีหลายเดือนจะมาพบหลวงพ่อสักครั้ง แต่ก็ฝากเงินเขามาทำบุญ มิได้มีโอกาสปฏิบัติอุปัฏฐากอยู่ใกล้หลวงพ่อเลย ลูกก็ชักจะเขวว่า เอ..เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไม่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่ออย่างนี้ คงจะมีโอกาสไปนิพพานได้ยาก ความคิดนี้ถูกไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ ! ไม่ยากหรอก...ถ้าเป็นลูกศิษย์คิดนึกถึงอยู่เสมอน่ะ นั่นถือว่าใกล้ชิด ตัวไม่ต้องมาใจนึกถึงใช้ได้เลย คือว่าทางที่ดีก็ส่งสตางค์มาเรื่อยๆนะ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เดี๋ยวจะมัวแต่คิดถึงๆๆ

    หลวงพ่อ : ขาด "จาคานุสสติกรรมฐาน"

    ผู้ถาม : ใช้ได้นะครับ อยู่ไกลก็ไม่เป็นไร

    หลวงพ่อ : ไกลเหมือนใกล้

    ผู้ถาม : ถ้าปฏิบัติตามนะ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็...

    หลวงพ่อ : ...อยู่ใกล้เหมือนไกล

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 211 เดือนตุลาคม 2541 หน้า 85)


     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    maxresdefault.jpg

    เรื่อง ปวารณาออกพรรษา

    บางคนก็ยังไม่รู้ว่าพระนี่เขาออกพรรษากันยังไง เพราะถ้าไม่บวชบางทีก็ไม่รู้ใช่ไหม พระท่านออกพรรษานี่เขาเรียกว่า ปวารณาออกพรรษา แต่จริงๆแล้วนี่ การออกพรรษาพระเขาปวารณาตัวกัน

    ตามสมัยพุทธกาล พระนี่เข้าพรรษาจะอยู่รวมกัน ออกพรรษาแล้วจะแยกกันไป ก็บอกว่า ถ้าเห็นผมอยู่ที่ไหน อาวุโสมากกว่าก็ดี อ่อนอาวุโสก็ดี ถ้าเห็นผมอยู่ที่ไหนทำตัวไม่เหมาะสมแล้ว ขอให้ท่านช่วยตักเตือนผมด้วย เพราะเราต่างคนต่างจากครูบาอาจารย์ไปหาที่วิเวก หาที่สงบสงัด ถ้าทำตัวไม่เหมาะสมขอให้ช่วยตักเตือนซึ่งกันและกัน เขาเรียกว่าปวารณา ปวารณาตัวกัน ตักเตือนกันได้

    ยกทรงเสริมว่า "ทีนี้เราจะเอาคำว่าปวารณามาใช้กับครอบครัวได้หรือเปล่าครับ เมียตักเตือนผัว ผัวตักเตือนเมีย ต่างคนต่างตักเตือนกันน่ะ"

    ดร.ปริญญาบอกว่า "ไอ้เมียตักเตือนผัวนี่มันมีมานานแล้วนะ แต่ไอ้ผัวตักเตือนเมียนี่ยังไม่เคยเห็นนะ" (หัวเราะ)

    ความจริงพระวินัยท่านละเอียดอ่อน อันที่จริงพระเขาปกครองกันด้วยพระวินัย ไม่ใช่
    ปกครองกันด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ถือพรรษาถือระเบียบวินัยเป็นที่ตั้ง

    ถ้าอย่างพระผู้ใหญ่นั่งอยู่ เข้าไปถึงก็ไปปิดผัดลมเป๊ะๆๆ ไม่ได้ ต้องขออนุญาตก่อน
    ตามจริงๆนะ ตามพระวินัยเขาจริงๆ แต่บางทีก็รูดพระวินัยเสียก็เยอะ

    มีพระท่านมาเล่าให้ฟังบอกว่า สมัยหลวงพ่อยังอยู่ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า บางทีนี่มัน
    คิดอกุศล คิดด่าครูบาอาจารย์ในใจ อยู่ใกล้ก็เร่าร้อน ก็ไปถามหลวงพ่อ พอจะกราบพระก็ด่าพระพุทธเจ้า ด่าในจิต ห้ามก็ไม่อยู่ เจอครูบาอาจารย์ก็ด่าในจิตอยู่เรื่อย ไปกราบเรียนถามกลัวจะเป็นบาป เป็นโทษหนัก

    หลวงพ่อก็บอกว่ากิเลสมารน่ะ ทีแรกมันเอากายก่อน ถ้ากายจะให้ด่ามันไม่ด่า กายให้ฆ่ามันไม่ฆ่า เพราะว่าจิตมันแข็งอยู่ ทีนี้กายมันเอาไม่ไหวก็เอาใจละ ไปคุมใจ มันสอนใจ บังคับจิต ทีนี้เราก็ดิ้นสิ จิตเราไม่อยากจะทำชั่ว มันดิ้น อึดอัด กลัวจะบาป

    ท่านบอกถ้ามันละเอียดขึ้นมันจะไม่เอาตัวนี้ ไปเอาจิต จิตมันละเอียดขึ้นเพราะก่อนนี้ถ้าบังคับให้กายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมันก็เอาแล้วใช่ไหม ทำ แต่ตอนนี้มันไม่ทำแล้ว มันก็ไปเอาจิต ตัวนี้ต้องถือว่ามันเป็นกิเลสมาร

    ก็ต้องภาวนาไปเรื่อย เดี๋ยวมันก็หาย ต้องมีความอดทนพอ เราอย่าไปทำตามมันเท่านั้นเอง
    ถ้าจิตละเอียดมันจะเอา พระนี่ถ้าถึงจุดนี้ละต้องระวัง ต้องคุยกัน ถ้ามันเอาจริงมันกลุ้มนี่ สึก
    แล้วมันก็หาย เพราะกิเลสทางโลกเข้ามาคุมเต็มที่แล้วนี่ ไปอยู่เป็นพวกกันเสียแล้ว


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 177 เดือนธันวาคม 2538 หน้า 89-90)


    ล้างส้วมถูกหวย

    มีอยู่กลุ่มหนึ่งเฉพาะเลยคณะนี้ ไปจากดอนเมือง ไปล้างส้วมโดยเฉพาะ ไปเช้าเย็นกลับ
    ไปล้างส้วม 20-30 ห้องก็กลับ

    ทีนี้ก็เกิดสามีของแกไปเมืองจีน ล้างห้องน้ำได้เท่าไร โทรศัพท์มาถาม เท่านั้นเท่านี้ แทงหวยหรือเปล่า หวยมันออกที่แกล้างส้วมมา อย่าง 20 ห้องนี่มันก็ออก 20 ก็ถูก มีนายตำรวจอยู่คนล้างส้วมก็ถูกหวย

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 177 เดือนธันวาคม 2538 หน้า 95)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    DSC05461.jpg

    โอวาทของท่านแม่

    (บันทึกพิเศษนี้ท่านได้บันทึกไว้ตั้งแต่ ปี 2512 เวลานั้นยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิกัน ลองมาฟังสำนวนของท่านในครั้งนั้นกันบ้าง)

    ...แม่เขามาบอกว่า เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ไม่ใช่เล่าให้ฟังเพื่อทะนงว่า ตนเคยเป็นบุตร
    กษัตริย์ หรือเคยเป็นนักรบ เล่าให้ฟังเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า

    เครื่องเพชรเครื่องทองสมัยเป็นลูกกษัตริย์นั้น มีนับไม่ถ้วน จะเอาอย่างไรก็ได้อย่างนั้น รูปร่างทรวดทรงหรือก็สวยสดงดงามมาก ดาราสมัยนี้ไม่มีทางทาบติด ผิวก็สวยทรงก็งาม มรรยาทก็นิ่มนวล ความสามารถดีทุกอย่าง รบก็เก่ง ศักดิ์ก็สูง

    แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งเหล่านั้นมีอะไรเหลือบ้าง แม้แต่ชื่อก็จำไม่ได้ เกิดใหม่ตระกูลต่างมาจากเดิม ความเป็นอยู่ต่างกัน เคยมีคนรับใช้ แม้แต่น้ำล้างหน้าก็เกือบไม่ต้องหยิบ มีคนคอยหยิบส่งให้ เดี๋ยวนี้ต้องทำเองหมด แม้ท่านพ่อที่เป็นกษัตริย์มาเองก็เช่นกัน ไม่มีอะไรเหลือ

    จงเห็นตามความเป็นจริงของโลกว่า โลกไม่มีอะไรแน่นอน การเกิดเป็นลูกกษัตริย์ ลูกเกิดมาหลายร้อยวาระ แต่ความเป็นกษัตริย์เดี๋ยวนี้ไม่มี มันหายไปไหน ใครทำให้มันหาย ทั้งนี้ไม่ต้องโทษใคร โทษโลก โลกมันทำให้หาย โลกมันทำให้สิ้นสภาพ โลกมันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างหมด

    แม้แต่แม่รักลูกเหมือนแก้วตา ก็ต้องอยู่ห่างจากลูก ลูกเป็นมนุษย์ แม่เป็นเทวดา ที่ต้องแยกกันอย่างนี้ ก็เพราะเราหลงว่าโลกเป็นของดี ลูกอย่าหลงโลกมันต่อไปเลย มุ่งเอา"พระนิพพาน" เป็นที่ตั้ง ปลดความรัดรึงในโลกเสียให้หมด ความสบายใจจะมีแก่ลูก

    การที่เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังก็เพื่อจะได้รู้ว่า เราสร้างวีรกรรมที่ชาวโลกสรรเสริญไว้มาก การรบเก่ง โลกยกย่อง แต่ตามกฎของกรรมกลับลงโทษเรา บางครั้งสุข บางคราวมีทุกข์ บางคนเราทำดีแก่เขา แต่เขาไม่เห็นความดี กรรมอย่างนี้มาจากสงครามเดิมเป็นผล กฎของกรรมตามสนอง

    แต่ที่ลูกมีผลในด้านความเป็นอยู่พอสมควร ก็เพราะผลทานที่สร้างร่วมกับแม่และพ่อมา จึงช่วยพยุงตัวไม่ให้ล่มจม

    การที่มีอายุยืนเพราะเหตุที่เกื้อกูลแก่พระศาสนา มีการรักษาศีล บำรุงพระศาสนาเป็นเหตุ ลูกจึงมีบุญเข้าถึงธรรมได้อย่างรวดเร็ว อีกชาติเดียว ลูกจะถึงความสุขแล้ว เดิมแม่คิดไม่ออกว่าลูกจะมีโอกาสหรือ เพราะเห็นภาระหนัก

    เมื่อลูกตัดสินใจเด็ดขาดตามแบบฉบับเดิมได้ แม่ดีใจมาก แม่ดีใจด้วยกับลูก แม่มาลูกไม่เห็น จึงต้องอาศัยพ่อเป็นล่าม แต่ก็จัดว่าลูกมีบุญที่รู้เรื่องอดีตได้อย่างไม่ผิดพลาดต่างกับคนหลายพันเปอร์เซ็นต์ที่รู้อะไรไม่ได้เลย แม้แต่กินเหล้าเมาแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเมา

    ขอลูกของแม่จงสุขสบายในธรรม ของพระพุทธเจ้าตลอดชีวิตเถิด...

    แม่ขอให้พ่อลงชื่อแม่ว่า..."รัตนาวดีศรีโสภาค" (พ่อเขาเรียกแม่ว่า...แม่ศรี)

    ***สาธุ...ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ยังประทับใจในโอวาทของท่านแม่ ใช่ไหม
    ล่ะ...ท่านผู้อ่านทุกท่าน***

    (จากคอลัมภ์ "ประวัติพระพุทธศาสนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 155 เดือนมกราคม 2537 หน้า 105-106)


    เหรียญท่านแม่ 1.jpg

    พระแม่เจ้าจามเทวีทรงประทานพระโอวาท

    ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พุทธ ศก 1224 มีพระราชพิธีอภิเษกสมรสเจ้าชาย
    ทั้งสองและเจ้าหญิงทั้ง 5 พระองค์ ณ นครหริภุญชัย พระแม่เจ้าทรงประทานโอวาทแด่
    พระราชโอรสและพระวรชายาว่า

    "ลูกรักของมารดา เมื่อว่าลูกได้ร่วมชีวิตเข้าเป็นสามีภรรยานั้น มิว่าจ้าวว่าไพร่ย่อมต้อง
    ระลึกว่า ทั้งสองฝ่ายต้องระลึกถึงหน้าที่ยิ่งกว่าสิ่งใด สามีย่อมปฏิบัติหน้าที่ของสามี ภรรยาย่อมปฏิบัติหน้าที่ของภรรยา และทั้งสองต้องระลึกถึงเกียรติอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ

    ข้อสำคัญต้องระลึกว่า สามีคือช้างเท้าหน้า ภรรยาคือช้างเท้าหลัง

    อันความข้อนี้จำแนกออกว่า มิใช่ว่าสามีทำอะไรภรรยาจะต้องทำอย่างนั้น ตามอย่าง
    กันไปเรื่อยๆ แต่หมายว่าสามีนั้นเปรียบดังเท้าช้างคู่หน้า ก้าวไปก่อน บังเอิญว่าไปพลาดพลั้ง ถลำหล่มหรือหลุม เท้าหลังต้องรีบยันไว้ให้มั่น อย่าให้ถลำไปทั้งตัว

    เฉกเช่นสามีออกหาเลี้ยงชีวิต อาจประมาทพลาดพลั้งจะด้วยเหตุใดก็ตาม ภรรยาต้องตั้งหลักมั่นคง อาจให้สติหรือแก้ไขความผิดพลาดนั้น มิใช่ผิดก็ผิดไปด้วยกัน

    อนึ่ง กิจการใดๆ ต้องรีบกระทำ เมื่อนึกคิดแล้วอย่าผลัดเวลา หรืออายุ โดยอ้างว่าเด็กไปบ้าง แก่ไปบ้าง

    มนุษย์และสัตว์ตลอดจนพืชดำรงอยู่ด้วยธาตุทั้ง 4 มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าธาตุเหล่านี้หมดสิ้นไป ให้อายุเท่าไรก็มิมีความหมาย เพราะวันเดือนปีเราตั้งขึ้นมาเป็นการสมมุติ

    จงตรวจตัวของเราว่า ขาดธาตุอะไรก็เติมธาตุนั้น ใครผู้ใดจะมัวหลงงมงายว่า อายุเท่านั้นจะเป็นอย่างนั้น เราอย่าไปเอาเยี่ยงเขาเพราะเราไม่เหมือนเขา

    ขอลูกทั้งมวล จงจดจำคำที่มารดากล่าวนี้ ไว้เป็นอุทาหรณ์เถิด...."

    พระโอวาทของท่านมีเพียงแค่นี้ แต่ก็มีคุณค่ามหาศาล หวังว่าสุภาษิตโบราณที่สอนไว้
    คงจะยังไม่ล้าสมัยจนเกินไป ทำให้เราได้เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งของคำว่า "ช้างเท้าหน้า และ ช้างเท้าหลัง..." เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะสำหรับชีวิตของการครองเรือน

    ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านมานานนับพันปี แต่ข้อปฏิบัติที่ท่านสอนไว้ ยังทันสมัยอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านสอนแฝงด้วยคติธรรมในพระพุทธศาสนานั่นเอง

    (จากคอลัมภ์ "ประวัติพระพุทธศาสนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 155 เดือนมกราคม 2537 หน้า 101-102)


    เหรียญท่านแม่ 2.jpg
     
  15. soidao2559

    soidao2559 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2016
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +3,749
    พี่ wannachai001 หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพยาครุฑบ้างไหมครับ อยากอ่านครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2020
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ท้าวมหาราช.jpg
    คือตามความเชื่อบางคติเขาว่า ท้าววิรุฬหกเป็นผู้ปกครองครุฑ และ นก ใช่ไหม ครับ

    ที่เคยอ่านเจอก็จะมีที่หลวงพ่อเล่าว่า ท้าววิรุฬหกองค์ปัจจุบัน คือ เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ท่านคุมทิศใต้ เทวดาที่เป็นบริวารท้าววิรุฬหกคือ กุมภัณฑ์ หลวงพ่อบอกรูปร่างของกุมภัณฑ์จะใหญ่อ้วน ม่อต้อ แต่พวกกุมภัณฑ์จะให้หวยเก่ง

    เท่าที่เจอมีเท่านี้ครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ลพ.คูณมากราบหลวงพ่อ.jpg ลพ.คูณมากราบหลวงพ่อวัดสระแก้ว.jpg

    หลวงพ่อคูณ

    ดร.ปริญญา ถามว่า "หลวงพี่เคยไปเจอหลวงพ่อคูณหรือเปล่าครับ"

    เคยไปเจอที ไปฉันเพลที่โคราชก็แวะไป

    "แล้วท่านคุยอย่างไรบ้างครับ"

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า เราก็เดินไปด้อมๆมองๆอยู่ ท่านออกมาพอดี เราก็ยืน ท่านก็นั่งแล้วก็บอก "พระเอ๊ยนิมนต์พระมาใกล้ๆเอ๊ย" เราก็เข้าไป

    ท่านถาม "คุณ มีธุระอะไรไหม"

    บอก ไม่มีครับ มาไหว้หลวงพ่อเฉยๆ

    "เออ ขอบคุณมากนะ" เราก็ควักเงินทำบุญ

    ท่านบอก "ผมจะสร้างโรงพยาบาล จะเอาเงินไปทำโรงพยาบาลนะ โมทนาเสียนะ"

    ก็คุยกันแค่นั้น แล้วก็บอกพรรคพวก เฮ้ย อย่าไปโฆษณาว่าเจ้าอาวาสวัดท่าซุงมานะ บอกมาจากอุทัยธานี

    ก็ไม่มีอะไรคุยกับท่าน มีแค่นี้แหละ คุยกับท่านรู้สึกว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตานะ เห็น
    พระบ้านนอกอย่างนั้นเถอะ แต่ทำงานเปี๊ยบไปหมด ขุดสระต้องร่วม 100 ไร่มั๊ง สระ
    น้ำเป็นทะเลเลยแหละ แล้วทำอย่างดีนะ ทำน้ำประปาอย่างดี ปลูกป่าทำน้ำวิ่งเข้าไปในป่า

    ดร.ปริญญาบอกว่า " แว่วๆว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า เคยอ่านหนังสือเขาถามว่า หลวงพ่อเคยปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า (ท่านตอบว่า) กูไม่รู้ว่ากูปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า แต่กูอยากทำบุญให้จุใจ กู
    ยังทำบุญไม่จุใจ

    อย่างนี้ถ้าหาประมาณมิได้ก็คงจะมีเชื้อล่ะ พระที่มีชื่อเสียงจริงๆ ส่วนมากปรารถนาพุทธภูมิเกือบทั้งนั้นแหละ


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 473 เดือนสิงหาคม 2563 หน้า 12)
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    Phra-Rahu_Largest_in_Thailand_-_panoramio.jpg

    ราหู เป็นพระอริยเจ้าขั้นสกิทาคามี


    เห็นยักษ์ตนหนึ่งมีครึ่งตัว เขี้ยวใหญ่ยาวปากใหญ่ มองแล้วเหมือนราหูอมจันทร์ เมื่อเห็นก็คิดว่าเจอยักษ์ปลอมอีกแล้ว


    เมื่อมองไปอีกครั้งหนึ่งปรากฏว่าภาพยักษ์หายไป กลายเป็นเทวดาสูงโปร่ง เครื่องประดับเต็มตัวสวยงามมาก จึงถามท่านว่า เมื่อกี้ยักษ์อะไร


    ท่านบอกว่า "ยักษ์ราหู"


    ถามท่านว่า เขาเขียนไว้ว่า ราหูตัวใหญ่มากหรือ


    ท่านบอกว่า ถ้ามนุษย์เห็นเทวดาตามความจริง ก็ใหญ่เหมือนกับทุกองค์ สำหรับผมก็ใหญ่เท่าเทวดาธรรรมดา แต่ไม่มีเทวดาองค์ไหนใหญ่เท่าท่านพ่อคือ พระอินทร์


    ถามท่านว่า เคยอมจันทร์ไหม


    ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า ผมไม่รู้จะอมก้อนดินไปทำไม


    ถามท่านว่า ฉันจะเรียกชื่อแทนท่านว่าอย่างไรจึงควร


    ท่านบอกว่าเรียกว่า พี่ ก็แล้วกัน


    เป็นอันรู้กันว่าควรเรียกกันว่า พี่


    ถามท่านว่า ท่านปรากฏตัวเพื่ออะไร


    ท่านบอกว่า น้องมีงานหนักร่างกายก็ไม่ดี จึงจะมาช่วยงานเพื่อเสริมบารมี เพื่อพระนิพพาน


    ถามท่านว่า ท่านจะช่วยอย่างไร


    ท่านบอกว่า ช่วยทุกอย่างตามความสามารถ แต่คงช่วยแบบราหูเทวดา ไม่ใช่ราหูยักษ์


    ถามท่านว่า เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วท่านบรรลุอะไร


    ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระโสดาบัน เวลานี้เป็นสกิทาคามีผล


    คุยกันเพียงเท่านี้แล้ว ท่านก็บอกว่า หลับเถอะก็เลยหลับไป ตื่น 3.00 น. หลับต่อมาตื่นเอา 5.30 น.



    (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม 2 หน้า 61-62)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2024
  19. peech92

    peech92 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2020
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +19
    20200828_101927.jpg

    ผมเห็นคอมเมนท์ในยูทูป เรื่องเหรียญในหลวงร.๙ สามารถใช้แทนธงมหาพิชัยสงครามได้เลยใช่ไหมครับ
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    52
    ค่าพลัง:
    +225,232
    ร.9.jpg ร.9..jpg


    ผ้ายันต์พิชัยสงครามรุ่นปลุกเสกในอุโบสถ วัดบวรฯ พิธีนี้อยู่ในปี 2518 เดือนพฤศจิกายน

    ส่วนเหรียญ ร. 9 สร้างและปลุกเสกในปี 2520 นะครับ

    ผมไม่เคยอ่านหรือได้ยินจากไหนเลยว่าหลวงพ่อเคยกล่าวถึงอานุภาพผ้ายันต์กับเหรียญ ร. 9 เหมือนกับที่เขาว่าไว้ในคอมเม้นท์ยูทูป ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...