เรื่องเด่น ท่านที่เข้าฌานได้ พึงระวังบุคคลที่ไม่รู้จะเข้าใจว่าท่านตายแล้ว

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 เมษายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    4771599E-5B2D-44A6-9660-2E7184DBDACD.jpeg

    พระอาจารย์เล่าว่า "ตื่นตีหนึ่ง เก็บที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินมายังสำนักงานเจ้าอาวาส ผ่านต้นมะม่วงและมะปราง ปรากฏว่ามีลูกสุกตกลงเกลื่อนพื้นไปหมด บางส่วนเกิดจากความสุกงอมจนได้ที่ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากฝีมือของ "นกมีหูหนูมีปีก"

    การที่ "ตื่นแต่มืดแต่ดึก" แบบที่บางคนบอก เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คืออายุมากแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าโดยธรรมชาติคนแก่ย่อมนอนน้อยลง สาเหตุที่ ๒ เกิดจากการฝึกหนักตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ทุ่มเทกับการปฏิบัติกรรมฐาน โดยยึดหลัก "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก"

    เมื่อต้องมาเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ คำถามหนึ่งที่เจอก็คือ "ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้นด้วย ?" อาตมาตอบไปว่า "ต้องตื่นก่อนกิเลส ถ้ากิเลสตื่นก่อนเราจะฟุ้งซ่านไปทั้งวัน" เรื่องนี้หลายคนมีประสบการณ์ โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายทั้งหลาย ถ้าไม่ได้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ย่อมเข้าใจดีว่าถ้ากิเลสตื่นก่อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?!!"

    "สภาพจิตของเราทำงานตลอดเวลาแม้ว่าเราจะหลับ การที่เราจะหลับได้นั้นจะต้องมีสมาธิในระดับปฐมฌานหยาบ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านมาก แต่สภาพจิตที่ทรงปฐมฌานหยาบในระหว่างที่เราหลับนั้น ไม่มีอานิสงส์ของการทรงฌาน เนื่องจากเป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ คือ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เมื่อเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ต้องมีความสามารถตรงจุดนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าสภาพร่างกายไม่ได้พักผ่อนนาน ๆ ก็อาจจะถึงตายได้

    ปริศนาธรรมโบราณกล่าวว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว" คือสภาพจิตของเราแม้ว่าตอนกลางคืนจะหลับ แต่ก็ยังมีสภาพการทำงานกรุ่นอยู่ เหมือนไฟป่าดอยสุเทพที่รอเวลาปะทุ เมื่อถึงกลางวันก็เร่งทำหน้าที่ของตนตามที่ได้คิดฟุ้งซ่านเอาไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน

    ในเมื่อสภาพจิตของเราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีโอกาสได้พักได้ผ่อน หลายท่านจึงสงสัยตนเองว่า เราก็ได้นอน ๖ - ๘ ชั่วโมงแล้ว ทำไมถึงยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ? เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านได้พักแต่ร่างกาย สภาพจิตใจไม่ได้พักเลย"

    "สภาพจิตที่จะได้พักอย่างแท้จริง ต้องทรงอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยิ่งถ้าได้ถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ยิ่งดี คือ สมาธิยิ่งสูงเท่าไร เราก็ได้พักอย่างแท้จริงมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเข้านิโรธสมาบัติ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ นั่นคือการได้พักผ่อนอย่างแน่นอนที่สุด

    เนื่องจากว่าการเข้านิโรธสมาบัตินั้น สภาพร่างกายจะหยุดทำงานเกือบหมด ถ้าหากว่าใช้เครื่องมือแพทย์มาตรวจวัด ก็จะบอกว่าตายไปแล้ว เพราะว่าเหลือเพียง "ปราณละเอียด" ที่เครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ยังจับไม่ได้ จึงรายงานว่าเจ้าของร่างนี้ตายไปแล้ว..!

    ดังนั้น..ท่านที่ทรงฌาน ๔ ก็ดี สมาบัติ ๘ ก็ดี หรือว่านิโรธสมาบัติก็ดี ต้องระมัดระวังไว้ด้วยว่า บุคคลที่ไม่รู้จะเหมาว่าท่านตายไปแล้ว และอาจจะดำเนินการตามแบบคนตาย อย่างเช่นว่า เอาใส่โลง เอาไปฝัง เอาไปเผา เป็นต้น"

    "พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่อท่านพักผ่อนจะล็อกประตูห้องเสมอ ด้วยเกรงว่าถ้าลูกศิษย์ที่ไม่รู้ไปพบเข้า ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา โดยเฉพาะบรรดาบุคคลที่ "โง่แล้วขยัน" เนื่องจากว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง หมอขออนุญาตติดเครื่องมือบางอย่างเพื่อวัดคลื่นหัวใจ เมื่อเอาไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่า ตลอด ๑ คืนหัวใจของหลวงพ่อท่านหยุดเต้นถึง ๓๐๐ กว่าครั้ง..! แปลว่าพอสมาธิสูงขึ้น ร่างกายหยุดทำงาน เครื่องมือก็รายงานว่าหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว..!

    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ, บุญ - หลง) ที่ตึกพิเศษ ๕ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลูกศิษย์สำคัญท่านหนึ่งของหลวงปู่ก็คือ พลเรือโทนายแพทย์บรรยงก์ ถาวรามร อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ มารักษาตัวอยู่ที่ห้องข้างเคียง

    หลวงปู่อยากจะไปเยี่ยมลูกศิษย์ แต่สภาพร่างกายก็ไม่อำนวย ช่วงนั้นอาตมาต้องอุ้มท่านเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น ท่านจึงใช้วิธีไปโดยมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็คือถอดจิตไปเยี่ยมลูกศิษย์แทนตัวท่านที่นอนอยู่"

    "พอดีเป็นช่วงเวลาที่หมอออกตรวจไข้ในช่วงเช้า ซึ่งภาษาแพทย์เรียกว่า "ออกราวด์" เมื่อจับชีพจรของหลวงปู่ นาวาตรีนายแพทย์สุรเสน ตวงวรนันท์ ก็ตกใจสุดขีด เพราะว่าชีพจรไม่เต้นเลย คุณหมอสุรเสนวิ่งไปรายงานเจ้านาย คือ พลเรือโทพนิต ศรียาภัย ท่านเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือคนใหม่ ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาอำพันเช่นกัน

    อาตมาเห็นท่าไม่ดีจึง "สะกิด" หลวงปู่ ท่านก็ดึงจิตกลับ ลืมตามาบอกกับท่านเจ้ากรมฯ พนิตว่า "ฝันว่าไปเยี่ยมลูกศิษย์มา" แล้วไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น เพราะท่านเกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม จึงได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณหมอทั้งสองงงกันต่อไป"

    "อาตมาเองถึงจะล็อกประตูแล้วก็ตาม ก็ยังคงโดนบรรดาลูกศิษย์แสนดี ที่ให้ช่างทำกุญแจสำรองแจกกันอย่างสนุกสนาน เข้าไป "ยำใหญ่" มาแล้ว จึงขอยกเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายสังวรไว้ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจนถึงระดับอัปปนาสมาธิเมื่อไร ต้องระวังให้จงหนัก ถ้าท่านสร้างกรรมเอาไว้มากอย่าง "หลี่เถี่ยไกว่" หนึ่งในแปดเซียนของจีน ก็อาจจะโดนหามไปเผาแบบนั้นเช่นกัน..!"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...