เรื่องเด่น ทิพยมนต์ ต้นฉบับ โดย พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีระเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี)

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 15 กันยายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทิพยมนต์

    070904-1-2-001.jpg
    ต้นฉบับ โดย
    พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีระเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี)
    (คัดจาดหนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ 258 เดือน ตุลาคม 2536 โดย เจริญสุข ยืนตระกูล)

    ถือโอกาสพิมพ์ลงในที่นี้ โดยมิได้บอกกล่าวเจ้าของ ข้อเขียนและหนังสือ โลก ทิพย์ให้อนุญาตก่อน เนื่องจาก เป็นเรื่องที่อ่านและประทับใจ อยากเก็บไว้อ่านโดยสะดวกและเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจได้ทราบ เพื่อ นำไปปฏิบัติ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และหากผู้ใดนำไปปฏิบัติเ ป็นกุศลผลดีต่อตนเองแล้ว ขอบุญกุศลนั้นส่งถึงผู้เป็นเจ้าของ บทความและ นิตยสารโลกทิพย์ ด้วยเทอญ
    .
    ความเป็นมาของบทสวดทิพย์มนต์

    เนื่อง จากผู้อ่านโลกทิพย์จำนวนหนึ่งได้เขียนมาขอบทสวดทิพย์มนต์ เพราะต้องการนำไปสวดเพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อสุขภาพของตน เพื่อเป็นมงคลช่วยเหลือผู้ที่เจ็บป่วยให้มีสุขภาพดี ผู้เขียนจึงได้ขออนุญาต หลวงปู่หลอด ผู้เมตตาสอนบทสวดทิพย์มนต์ให้แก่ข้าพเจ้านำมาตีพิมพ์ไว้ในนิตยสารโลกทิพย์ เพื่อประโยชน์และแผ่อานิสงส์ ให้ผู้สวดโดยทั่วกัน

    ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2500 หลวงปู่หลอดได้เดินทางจากป่า มาสู่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่ วัดอโศการาม ของ ท่านพ่อลี ศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ซึ่งมีกิตติศัพท์โด่งดังมาก ท่านพ่อลีได้จัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลขึ้นทีวัดอโศการาม ได้มีพิธีใหญ่โตหลายประการ อาทิเช่น การจัดให้มีการบวชพระ 2,500 รูป บวชชีพราห์ม 2,500 คน โดยที่ทางวัดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ปรากฏว่า มีศรัทธาชาวพุทธหลั่งไหลเข้ามาขอบวช มาปฏิบัติธรรม มาฟังเทศน์ มาบริจาคทรัพย์ทำทานสนั่นหวั่นไหว เป็นเวลา 15 วัน 15 คืน ผู้คนหลั่งไหลกันมาชุมนุมนับหมื่น ๆ คน

    หลวงปู่หลอดเล่าว่า เฉพาะผ้าที่นำมาตัดเป็นผ้าไตร ผ้าขาวนั้น เป็นจำนวน พัน ๆ ม้วน คนที่ตัดผ้าตัดกันจนแทนเป็นลม โรงทานเลื้ยงไม่อั้น ข้าวปลาอาหารขนกันมามากมาย ขนาดต้องใช้รถสิบล้อขนมา ทุกอย่างในงานฟรีหมด หมดเงินค่าบวชพระ บวชเณร เฉพาะงานนั้นเป็นสิบล้าน นั่นคือ 36 ปีที่ผ่านมา

    ถ้า หากเรานับในสมัยนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท พระภิกษุสายหลวงปู่มั่นต่างก็หลั่งไหลเข้ามาในงานนี้เนืองแน่น ที่พิเศษสุดก็คือ พิธีพุทธาภิเษกพระพุทธ 25 ศตวรรษ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สวดพุทธาภิเษก 15 วัน 15 คืน สวดมนต์กันสนั่นทั้งวัดอโศการาม และบทสวดพิเศษที่ถูกบรรจุลงไป ก็คือ บททิพย์มนต์ นั่นเอง ซึ่งท่านพ่อลี เป็นผู้ค้นพบจากพระไตรปิฎก ท่านนำมาศึกษา และนำมาให้พระเณร แม่ชี ที่วัดอโศการามได้สวดกัน หลังจากทำวัตรเช้า วัตรเย็นแล้ว ท่านจะให้สวดทิพย์มนต์ต่อไปเป็นกิจวัตรทุกวัน และเมื่อมีงานพุทธาภิเษกก็จะนำบทสวดทิพย์มนต์มาร่วมสวดทุกครั้งไป

    ใน สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าสมณโคดม เสวยพระชาติเป็นฤาษีอยู่ในป่า ท่านได้สวด ทิพย์มนต์ เป็นประจำทุกวัน มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่านั้น เมื่อได้เข้ามาอยู่ในบริเวณที่พำนักของพระฤาษี เสือ หมี เก้ง กวาง เหล่านี้ จะกลายเป็นมิตรกันทันที ไม่มีการไล่ล่า ทำลายกัน สัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ ต่างพากันเป็นมิตรต่อกัน ด้วยอานุภาพแห่งทิพย์มนต์ ที่แผ่ออกไปทุกวันในเขตที่พระฤาษีบำเพ็ญอยู่

    เมื่อข้าพเจ้าสวดทิพย์มนต์ถวายครูอาจารย์

    เมื่อ ปี 2535 หลวงปู่หลอดแห่งวัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนา) ได้อบรมการภาวนาแก่ข้าพเจ้าและหมู่คณะคราวใด ท่านจะชอบให้ข้าพเจ้าสวดทิพย์มนต์ด้วยทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงพยายามสวดให้ขึ้นใจ คราใดที่หลวงปู่หลอดมีอาพาธ เช่นเป็นหวัด หรือเป็นไข้ใด ๆ ข้าพเจ้ามักสวดทิพย์มนต์ถวาย รวมทั้งแนะนำหมู่คณะสวดทิพย์มนต์ นั่งสมาธิ ภาวนา แผ่ส่งบุญนานาชนิด ให้ท่านทุเลาจากอาการอาพาธ บางครั้งท่านสั่งให้ข้าพเจ้าสวดถวายให้เฉพาะ และช่วงที่ไถ่ชีวิตโคกระบือ ถวายกุศลให้หลวงปู่ครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าได้สวดทิพย์มนต์ถวายให้จำนวนหลายสิบรูป รวมทั้งสวดถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ในคราวเสด็จประเทศจีนแดงด้วย

    วันหนึ่ง ในเดือนสิงหาคม 2535 ได้มีโอกาสเดินทางไปภาคอิสาน ได้กราบนมัสการ หลวงปู่บัวพา แห่ง วัดป่าพระสถิตย์ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ช่วงนั้น หลวงปู่บัวพามีอาพาธมาก หมอได้ให้ออกซิเจนและเจาะช่องท้อง เพื่อให้อาหารทางสายยาง ผู้เขียนและคณะมีความสลดใจมาก จึงกราบเรียนกับท่านว่า น่าเสียดายเหลือเกินที่เรามาพบท่านช้าเกินไป แต่ด้วยจิตเป็นกุศล ปรารถนาให้ท่านหมดเวทนาลง จึงได้ชวนกันสวดทิพย์มนต์ที่ข้างเตียงท่าน ขณะที่สวดอยู่นั้น ผู้เขียนก็มองเห็นอาการปิติของท่านอย่างชัดเจน มือท่านสั่นไหวตลอด ใบหน้าแล้วแววตาแสดงความ ปิติออย่างสุดซึ้ง และผู้เขียนได้ไปจัดการซื้อปลาที่ตลาด ใส่กะละมังมาร้อยกว่าตัว ปลาดุกขนาดเท่าลำแขน ให้ท่านได้อนุโมทนา แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำโขงใกล้ ๆ วัดท่าน และได้ขออนุญาตโทรศัพท์ทางไกลจากวัดของท่านมายังโรงฆ่าสัตว์ปทุมธานี เพื่อขอไถ่ชีวิตกระบือ 1 ตัว เวลานั้น ท่านเกิด ปิติมาก ขยับตัวโบกมือไปมา ผู้เขียนรู้สึกสงสารท่านจับใจ ได้กราบลาท่านขับรถกลับกรุงเทพฯ แล้วได้เล่าเรื่องการเดินทางไปนมัสการ หลวงปู่บัวพา และเล่าอาการต่าง ๆ ของท่านให้ หลวงปู่หลอดฟัง

    หลวง ปู่หลอดได้เอ่ยขึ้นว่า “หลวงปู่บัวพานั้นเกิดปิติมาก ได้กล่าวว่า 5 ปีที่นอนอาพาธ มีเวทนามาก ยังไม่เคยมีใครมาถวายกุศลให้เช่นนี้มาก่อนเลย รู้สึกปิติมาก และดีใจที่คณะของข้าพเจ้าได้รับการอบรมจากหลวงปู่หลอดให้รู้ภาษา ซึ่งการถวายกุศลให้กับครูอาจารย์นั้น ลูกศิษย์น้อยคนจะเข้าใจและถวายกุศลเป็น”

    ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่หลวงปู่บัวพาได้สื่อข้อความมายังหลวงปู่หลอด เวลานั้น เรายังสวดทิพย์มนต์ไม่เก่ง ต้องดูตำรากัน
    และข้าพเจ้าได้มีโอกาสนมัสการ หลวงปู่เทศก์ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดนองคาย
    ข้าพเจ้า เล่าให้ หลวงปู่เทศก์ฟัง ว่า กำลังหัดสวดทิพยมนต์ เพื่อถวายกุศลให้ครูอาจารย์ และวันนี้ จะมาภาวนาที่วัดหินหมากเป้งและค้าง 1 คืน จะสวดทิพย์มนต์ถวาย จะให้สวดที่กุฏิเวลานี้ หรือจะให้คณะผู้เขียนไปสวดที่กุฏิแม่ชี
    ท่านว่า “ไปสวดที่กุฏิก็แล้วกัน”
    ผู้เขียนจึงนิมนต์ท่าน “หลวงปู่ตามไปฟังพวกหนูสวดมนต์ให้ที่กุฏินะคะ” ท่านพยักหน้ายิ้ม ๆ

    .....พญานาคริมฝั่งโขงมาอนุโมทนาบุญ

    เมื่อ อาบน้ำเสร็จ คณะของข้าพเจ้าก็มานั่งล้อมวงกันอยู่ในกลดสีขาว แล้วเริ่มนิมนต์ครูบาอาจารย์ เชิญเทวดาทั้งหลาย และเหล่าพญานาคทั้งหมดแม่น้ำโขง และหลวงปู่เทศก์มาอนุโมทนาบุญ เสียงสวดมนต์จากคณะ 4 คน กังวานไปทั่วท้องแม่น้ำโขงอันเงียบสงบ เมื่อสวดจบ ก็นั่งสมาธิตั้งจิตแผ่ส่วนบุญกุศลพุ่งตงรงไปยังหลวงปู่เทศก์ ขณะที่หลับตาส่งจิตถึงหลวงปู่เทศก์อยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนลุยน้ำมา มีเสียงคุยกัน คล้ายภาษาลาว ประมาณ 7-8 คน ที่ริมตลิ่งชายแม่น้ำโขง และกำลังเดินเข้ามายังกุฏิริมน้ำของเรา ซึ่งยกพื้นสูงจากริมตลิ่งประมาณ 4 เมตร ข้าพเจ้าหูไวมาก จึงเปิดตามมองผ่านไปในความมืด ผ่านต้นอ้อต้นไม้ขึ้นรก ๆ ใต้กุฏิ เวลานั้น พวกเรานั่งสวดมนต์ภาวนาที่ระเบียงกุฏิริมแม่น้ำโขงและปิดไฟมืดเช่นกัน

    ข้าพเจ้า เห็นคนหลายคน แต่มองไม่ถนัด เพราะต้นไม้กอหญ้าบังอยู่ เสียงคุยกันนั้นดังมาก ข้าพเจ้าจึงสะกิดคณะให้เปิดตา ฟังและสังเกตการณ์ว่า จะเป็นโจรผู้ร้าย มาปล้นกุฏิเราหรือเปล่า เมื่อฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงนั้นใกล้ ๆ เข้ามา และแสงไฟก็สาดส่องมายังบริเวณระเบียงกุฏิ ข้าพเจ้าและคณะหลบวูบอาศัยเอาต้นไม้และ ลูกกรงระเบียงบังตัว เสียงนั้นทำนองว่า จะหาทางขึ้นมาที่กุฏิของเรา และหาทางไม่พบ เพราะมืดมาก และต้นอ้อขึ้น เต็มไปหมด ครู่หนึ่งเสียงนั้นค่อย ๆ ห่าง ไป ทำนองว่าชวนกันกลับบ้าน เราจึงอพยพเข้าไปนอนในห้องกัน

    ในคณะที่มามี คนป่วยเป็นหวัด 2 คน อีก 1 คน นอนภาวนา ส่วนข้าพเจ้านั่งภาวนาอยู่ในกลด ขณะนั่งอยู่นั้น ก็เกิดนิมิตรเป็นพญานาค 5 เศียร โผล่จากผิวน้ำมี 5 ตัว ข้าพเจ้าตกตะลึงแต่คิดว่า เป็นนิมิตร จึงกำหนดนิ่งอยู่ ภาวนาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 นาที ก็ได้ยินเสียงคล้ายเชือกเส้นใหญ่มากถูลากคลูดมากับพื้นดิน ตรงมายังกุฏิ ข้าพเจ้าคิดว่า พวกโจรมันมาอีกแล้ว คราวนี้เอาเชือกเส้นใหญ่มาด้วย คงจะเอามาไต่ขึ้นกุฏิของเราเพราะกุฏิสูง จากตลิ่งมากก็นั่งนิ่งหลับตากอยู่อย่างนั้น และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิด ได้มีเสียงคล้ายคนเหยียบที่ราวระเบียงและกระโดดตุ๊บลงมาที่พื้นระเบียง ดังสนั่นหวั่นไหว และวิ่งไปพื้นพื้นระเบียงด้วยความเร็ว เสียงดังสนั่นโครมคราม พื้นระเบียงแทบพังลงไป ข้าพเจ้าตกใจปิดตานั่งฟังเงียบและปลุกคณะให้รับทราบ เหตุการณ์คืนนั้น มีคนเดินรอบกุฏิตลอดเวลา เพื่อน 2 คน อาสาจะอยู่ยามระวังภัยเพื่อให้ข้าพเจ้าได้นอนหลับ เพราะข้าพเจ้าทำหน้าที่ขับรถมาได้ 2 วัน 2 คืน เพลียมาก

    ข้าพเจ้าจึงส่งจิตหา หลวงปู่เทศก์ ให้ช่วยด้วย เพราะโจรบุกกุฏิ เพ่งไปสักครูก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย นิมิตเห็น หลวงปู่เทศก์ มา เยี่ยมที่กุฏิ ท่านมาเปิดประตูและเดินไปมาที่กุฏิข้าพเจ้า ประมาณตีสาม เกิดฝนตกหนัก ฟ้าผ่า สนั่นหวันไหว ฝนสาดเข้ามาถึงระเบียงกุฏิ จนน้ำท่วมขัง ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาพร้อมระลึกได้ว่า หลวงปู่เทศก์ มาเยี่ยมและดีใจที่ฝนตกหนักโจรผู้ร้ายได้หนีไป

    วันต่อมาได้เล่าให้ หลวงปู่เทศก์ ฟังว่า มีผู้ร้ายมาที่กุฏิเรา พากันกระโดดและวิ่งเสียงดังสนั่นอยู่ที่ ระเบียงจนระเบียงแทบพัง มากันประมาณ 7-8 คน เอาไฟฉายส่องดูพวกเรา แต่ไปฉายดวงใหญ่มาก ข้าพเจ้าจึงถาม หลวงปู่เทศก์ ว่า “คน 7-8 คน ที่พูดคล้ายภาษาลาวนั้น คือโจรจากฝั่งลาว หรือผีหลอก
    ท่านว่า “ ไม่ใช่ เป็นพญานาคมาหาเยี่ยมโมทนาบุญ “
    คณะพวกเรา 4 คน ตกตลึง จึงถามท่านว่า “ในแม่น้ำโขงมีพญานาคมากหรือคะ ?”
    ท่านว่า ”มีมาก”

    พวก เราตื่นเต้นกันมาก เสียงเชือกนั้นที่แท้จริงคือ เสียงพญานาค เลื้อยมาตามพื้นดิน และเสียงโครมคราม คล้ายคนวิ่งก็คือกิริยาเลื้อยของพญานาค ซึ่งครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้ติดตามดูข้าพเจ้าตลอด เช่น หลวงพ่อวัดพลับ บอกว่า กระบอกไฟฉาย นั้น คือ ดวงตาของพญานาคต่างหาก และลำตัวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุต ยาว 20 ถึง 30 เมตร หลวงปู่หลอด ก็หัวเราะ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่เชื่อว่า กลุ่มคน 7-8 คน นั้นคือพญานาค จำแลงกายขึ้น บนบก และมาเยี่ยมพวกเราถึงกุฏิ และฝนตก ฟ้าผ่า คืนนั้น พวกเราแทบไม้ได้นอน เพราะกลัวผู้ร้าย แท้จริงคือ พญานาคจากฝั่งโขง มาเยี่ยมและอนุโมทนาบุญ ที่ข้าพเจ้าและหมู่คณะร่วมกัน สวดทิพย์มนต์ แผ่ให้หลวงปู่เทศก์ มีอายุ วรรณะ สุข พละ อีกทั้ง ยังกำหนดเรียกพญานาคทั้งหมดในแม่น้ำโขงมารับบุญในครั้งนี้ และบุญ นานาชนิดที่บำเพ็ญมาแล้ว

    นอกจากนั้น ได้เล่าให้ หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน ฟัง หลวงพ่อพุธบอกว่า “เกือบไปแล้วนะ เขาจะมาเอาตัวไป เขาชอบเรารู้ไหม ?
    พญานาคมีจิตใจ 2 อย่าง รักมาก ชอบมากจะมาเยี่ยมมาหา หรือไม่ ถ้าเกลียดไม่ชอบจะมาเล่นงาน”
    หลวง พ่อพุธพูดแล้ว ยิ้มใหญ่ ข้าพเจ้ารู้ว่ามีครูบาอาจารย์หลายรูปแอบดู ขณะที่เรานั่งภาวนาอยู่ที่กุฏิริม แม่น้ำโขง ที่วัดหินหมากเป้ง จึงได้รู้เรื่องราวของเราทั้งหมด เหมือนท่านนั่งภาวนาอยู่ด้วย

    .........การสวดทิพยมนต์

    การ สวดทิพย์มนต์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ผู้สวด เพื่อให้มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อส่งกุศล ให้ผู้ป่วยทุเลาจากอาการเจ็บป่วย หรือสวดส่งกุศลให้หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ที่มีอายุ มาก ให้มีพละกำลัง หรือสวดเพื่อบรรเทาเวทนา หรือสืบชะตาต่ออายุ

    .........ในกรณีสวดให้คนป่วย

    ให้ เราเอาธูปเทียนเท่าอายุคนป่วย เช่น 40 ปี มีธูปเทียนไม่น้อยกว่า 40 หรืออาจมากกว่า โดยก่อกองทรายแล้วเอาธูปเทียนปักกองทราย จุดธูปเทียนให้ครบ จำนวนแล้วโยงสายสิญจน์ จากพระพุทธรูปล้อมผู้สวด 4 คน และให้คนป่วยจับด้ายสายสิญจน์ไว้ การสวดให้มีคนสวดอย่างน้อย 4 คน ก่อนจะประกอบพิธีสวด ทิพย์มนต์ ให้ผู้ป่วยระลึกถึงกรรมที่ได้กระทำมา ให้ระลึกให้ได้ ว่ากระทำสิ่งใดที่ผิดพลาด ไว้บ้าง แล้วให้สำนึกถึงความผิดนั้น กำหนดจิตไว้ว่า เราได้เคยกระทำการเบียดเบียนทุบตี ทำร้าย สัตว์ คน ไว้ ประการใด เราได้ระลึกสำนึกถึงโทษผิดนั้นแล้ว บัดนี้ เราขอตั้งจิตไว้ว่า จะไม่ทำบาป ไม่ทำผิดเช่นนั้นอีกต่อไป ขอให้เจ้ากรรมนายเวร ของเราจงรับทราบด้วยและจงอนุโมทนาบุญที่เราได้สำนึกบาป สำนึกโทษนั้น และอนุโมทนาในกุศลที่เราได้เจริญบททิพย์มนต์ นี้ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรจงรับทราบและรับส่วนกุศลนี้ และอโหสิกรรมให้แก่เรา ให้โรคภัยไข้เจ็บ จงทุเลาเบาบางลงด้วย

    พร้อมกันนั้นให้ผู้ป่วยไถ่ ชีวิต โค กระบือ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ด้วย และจะถวายสังฆทาน ตามด้วย ก็ยิ่งดีมาก สังฆทานชุดใหญ่ที่ประกอบด้วย พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร ครบชุด และอาหารคาวหวาน ของใช้ต่าง ๆ การสวดทิพย์มนต์ เพื่อให้คนป่วยทุเลาจากอาการป่วย ไม่ใช่สวดส่ง ๆ ไปอย่างนั้น หากคนป่วยไม่ระลึกถึงกรรมที่ตนทำไว้ ก็ยากจะหายป่วย เพราะกรรมที่ทำไว้ยังส่งผลอยู่

    ในกรณีที่คนป่วยจำไม่ได้ ก็ให้กำหนดว่า กรรมใดที่ทำไว้ประการหนึ่ง ประการใดก็ดี ที่ได้ทำร้ายคน สัตว์ ให้เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ที่เจตนา หรือไม่ได้เจตนา จำได้ หรือจำไม่ได้ ขอให้เจ้ากรรมนายเวร จงรับทราบว่า ข้าพเจ้าสำนึกโทษผิดนั้น และจะไม่ทำกรรมอันนั้นอีก หรือกรณีคนป่วยไม่มีสติ บุตรหลาน ผู้สวดต้องกล่าวแทน แต่เมื่อรู้สึกตัวแล้ว ก็ต้องขออโหสิกรรมเช่นกัน

    .........ในกรณีสวดสืบชะตาต่ออายุ

    ไม่ต้องกำหนดอะไร เพียงทำใจให้สงบแล้วแผ่บุญให้ผู้ที่เราปรารถนาจะส่งบุญให้
    บท สวดทิพย์มนต์ คือบทสวด อิติปิโส ผนวกกับธาตุทั้ง 6 ดิน น้ำ ลม ไฟ กากาศ วิญญาณธาตุ การที่ร่างกายของเรามีปฏิกิริยาต่าง ๆ เช่น ตัวร้อน เพราะธาตุไฟบกพร่อง บางครั้งเกิดเป็นลมจุกเสียดแน่นหนา ก็เพราะธาตุลมผิดปกตินั้นเอง

    อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกายมีการป่วยไข้เกิดได้ 2 กรณี คือ

    1.เสื่อมตามสภาวะของสังขาร คนหนุ่มสาวย่อมแข็งแรงกว่าคนที่อายุมาก และเมื่อใช้ร่าง
    กาย เกินพอดี ขาดโภชนาที่ดี ขาดอากาศบริสุทธิ์ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายเกิดป่วยไข้ ธาตุทั้ง 4 ในร่างกายย่อมผิดปกติ ไม่สามารถดำเนินไปได้โดยดี

    2.เกิดเจ็บป่วยทางร่างกาย ซึ่งถูกทำลายตามผลของกรรม เช่น การเกิดอุบัติเหตุนานาชนิด
    รถ ชนกระดูกหัก อวัยวะต่าง ๆ เสียหาย ต้องผ่าตัด เย็บ ตัดต่อร่างกาย การเกิดไฟไหม้ลวกผิวหนัง ถูกน้ำกรด ถูกเครื่องจักรตัดมือ แขน ขณะทำงานในโรงงาน หรือกรณีถูกไฟครอก และอยู่ ๆ ก็ตรวจพบว่า ป่วยเป็นโรคมะเร็ง โรคไวรัส โรคเอดส์ โรคภูมิแพ้ เป็นอัมพาต โรคที่เป็นแล้ว รักษาไม่หายขาด ก็คือ การชดใช้กรรม ซึ่งเป็นผลจาก การทำปาณาติบาต คือ ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ประทุษร้าย ทุบตีรังแกสัตว์ เป็นต้น

    ในกรณีนี้ จึงต้องรักษาทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกก็คือ รักษาตามหลักการของแพทย์ ภายในก็คือ สร้างบุญกุศลให้มีภูมิต้านทานขึ้น และส่งบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และขออโหสิกรรม กรรมนั้นจะจางลง อาการป่วยไข้จะทุเลา หรือผลบุญที่ทำไว้เดินทางมาถึง กุศลนั้นจะมาช่วยเหลือให้อาการป่วยทุเลาเบาบางลง

    แต่มิได้หมายความ ว่า ทำกุศลเพียงแค่แนะนำมามากพอแล้ว บางคนแนะนำแค่นั้นก็ทำอย่างเสียมิได้ กรรม ที่ทำไว้ไม่ได้มีเรื่องเดียว ถ้ามีเรื่องเดียวก็ไม่มาเกิด คนหมดกรรม ก็หมดภพหมดชาติ ไม่มาใช้กรรม ผลบาปมีนานาชนิด ทยอยกันเดินทางมาสู่เราตลอดเวลา นับเป็นนาที วินาที ทุกวัน ทุกเดือน จึงขอแนะนำว่า จงอย่าเจริญกุศลเฉพาะหน้าที่เจ็บป่วยเลย จงสรง้างบุญกุศลตลอดเวลาที่ทำให้พอกับการสร้างบุญกุศลตลอดเวลา ให้ทำพอกับกรรมที่เดินทางมา ขยันสร้างความดีใช้หนี้ ดีกว่าจะมาคอยดูว่า ทำไม ไถ่ชีวิตโคกระบือแล้ว ไม่หาย สวดทิพย์มนต์แล้ว ไม่หายป่วย ก็แล้วที่ทำมาหากินมันหนักหนาขนาดไหน จะมาสวดวันเดียวหายได้หรือ?
    จะ ต้องสร้างทำไปทุก ๆวัน จนกว่าจะถึงที่สุดของชีวิตนั่นแหละ ให้บุญกุศลมันคุ้มมันรักษาเราตลอดเวลานาที อยู่ให้บาปกรรมมาตามจ้องเราตลอดเวลา

    เมื่อรู้ตัวดังนี้ การเจริญบุญกุศลทุกชนิด ย่อมรักษา เพราะเรายุติซึ่งการสร้างหนี้อย่างเดียว หนี้ย่อมทุเลาเบาบางให้เราถึงความสุขได้ในที่สุด

    ***************

    .......... บทสวด
    ...
    บ่นท่องป้องกันภัย ให้สุขภาพดี ทวีศิริมงคล (ธาตุ 2)


    เริ่มสวด

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

    พุทธัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    ธัมมัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    สังฆัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ

    ตติยัมปิ พุทธัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    ตติยัมปิ ธัมมัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ
    ตติยัมปิ สังฆัง อายุ วัฑฒะนัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระนังคัจฉามิ

    1. วาโย จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    วาโย จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    วาโย จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    2. เตโช จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    เตโช จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    เตโช จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    3. อาโป จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    อาโป จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    อาโป จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    4. ปะฐะวี จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    ปะฐะวี จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    ปะฐะวี จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    5.อากาสา จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    อากาสา จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    อากาสา จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    6.วิญญาณัง จะ พุทธะคุนัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะ มนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    วิญญาณัง จะ ธัมเมตัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

    วิญญาณัง จะ สังฆานัง อะระหังพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
    เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    ธาตุ ปะริสุทธานุภาเวนะ สัพพะทุกขา สัพพะภะยา สัพพะโรคา
    วิมุจจันติ อิติ อุทธะมะโธ ติริยัง สัพพะธิ สัพพัตตะยายะ สัพพาวัน
    ตังโลกัง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเปกขา สะหะคะเตนะ เจตะสา
    จะตุตะทิสัง ผะริตตะวา วิระหะติ สุขัง สุปะติ สุขัง ปะฎิพุชฌะติ
    นะปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ มะนุสสานัง ปิโย โหติ อะมะนุสสานัง
    ปิโย โหติ เทวะตา รักขันติ นาสสะ อัคคี วา วิสัง วา สัตถัง วา
    กะมะติ ตุวะฎัง จิตตัง สะมาธิ ยะติ มุขวัณโน วิปปะสีทะติ อะสัมมุฬะโห
    กาลังกะโรติ อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พรหมมะโล กูปะโต โหคิ อิติ
    อุทธะมะโธ ติริยัง อะเวรัง อะเวรา สุขะชีวิโน กะตัง ปุญญัง มัยหัง
    สัพเพภาคี ภะวันตุเม
    ภะวันตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวตา สัพพะพุทธานุภาวนะ
    สัพพะธัมมานุภาวนะ สัพพะสังฆานุภาวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง

    อะระหัง พุทโธ อิคิปิโส ภะคะวา นะมามิหัง ๚ะ๛

    ศึกษาธรรมมะและเรื่องน่าอ่าน: ทิพยมนต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มกราคม 2018
  2. kim9

    kim9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +2,179
    กราบ อนุโมทนา สาธุ คุณ jinny95
    ด้วยน๊ะครับที่เอาสิ่งที่ดีๆ เป็นมงคล มาบอกกล่าว
    ขอความสุขสวัสดี มงคลจงบังเกิดแก่คุณน๊ะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1227410755.jpg
      1227410755.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.7 KB
      เปิดดู:
      2,859
    • 1_129.jpg
      1_129.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.3 KB
      เปิดดู:
      874
    • 1269462282.jpg
      1269462282.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.7 KB
      เปิดดู:
      1,729
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ?temp_hash=efba255bd262bbbecdb66e39e0e31884.jpg


    นโมพุทธายะ สิทธัง สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
     

แชร์หน้านี้

Loading...