**ทำไม?ทุกคนจึงมุ่งทำบุญด้วยการสร้างวัตถุกันนักครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย จำจน, 6 กรกฎาคม 2009.

  1. จำจน

    จำจน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงอา หลวงพี่ขอรับ ญาติโยม ญาติธรรมขอรับ
    ทำไม? ในปัจจุบัน ทุกคนจึงมุ่งทำบุญด้วยการสร้างวัตถุ ทำใบฎีกาแจกจ่ายเรี่ยไร สร้างโน่นสร้างนี่ แทนที่จะสร้างธรรมทานเป็นวิทยาทานกันนะ เช่น พิมพ์หนังสือธรรมมะ ทำ CD ธรรมมะ แจกจ่ายตามโรงเรียนหรือบุคคลผู้ใฝ่เรียนรู้ หัวข้อที่เข้ากับยุคหรือการแก้ปัญหาชีวิตในปัจจุบัน เช่นเมื่อวัยรุ่นเกิดความผิดหวังในความรัก ในชีวิต จะนำธรรมมะข้อใดมาปฎิบัติตนให้ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข เป็นต้น แจกจ่ายไปตามโรงเรียน ในชั่วโมงวิชาพุทธศาสนาก็เปิดให้เด็กๆได้ดูกัน เด็กๆจะได้ซึมซับกับธรรมมะ พระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ไปเข้ารีตอื่นที่เขารุกเผยแพร่กับเด็กวัยรุ่น ทั้งที่เกิดมาในสังคมพระพุทธศาสนาขอรับ คนส่วนใหญ่จึงนับถือแบบเปลือกนอก ไม่รู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ที่งดงามและพิสูจน์เป็นจริงได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ น่าคิดนะขอรับ
     
  2. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ผขออนุญาติตอบน่ะครับ และเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผม ดังนั้นอาจถูกหรือผิดโดยสัจธรรม คือ ให้พิจารณาให้ดีก่อนน่ะครับ

    การเน้นการสร้างวัตถุแทนที่จะเป็นธรรมทานและการเข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา

    เพราะ คนมีหลายแบบ ต่างจิตต่างใจ ต่างจริตนิสัยวาสนา ต่างระดับความเข้าใจในศีลธรรม หลายท่านจะให้มาถึงนั่งสมาธิภาวนา กำหนดสติกับกาย เวทนา จิต ธรรม ตลอด เลยก็คงไม่เอาด้วย เพราะยังไม่เข้าใจไม่เห็นประโยชน์ว่าจะทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ถ้าจะให้ใส่บาตรพระสงฆ์ ทำสังฆทานเป็นถังๆ ไถ่ชีวิตโคกระบือ สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ หรือเข้างานพุทธาภิเษกบูชาสะสมพระเครื่องเพื่อฤทธิ์อำนาจศิริมงคล ฯลฯ ยังงี้เอาทำด้วย เพราะคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ ดังนั้นกระแสโดยรวมก็เลยเป็นหยั่งที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่มองโลกแง่ดี ผมคิดว่า กระแสการทำบุญด้วยวัตถุ ยังไงก็ดีกว่า กระแสหรือค่านิยมที่ชวนคนทำชั่ว หรือคิดว่า การทำชั่วหรือ ใช้ชีวิตกับอบายมุขเป็นเรื่องทำได้เป็นเรื่องปรกติ เช่น การมีกิ๊ก อาบอบนวด ฯลฯ อย่างไรก็ตามข้างนอกก็เป็นส่วนข้างนอก ที่สำคัญ อยู่ที่ตัวเราต่างหากว่าจะ ดำรงตนอยู่เหนือกระแสทั้งดีและไม่ดีนี้ได้อย่างไร จะใช้สภาวะการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร
     
  3. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    มาฟังหลวงพ่อ พระราชพรหมยานมหาเถระเจ้า ตรัสไว้ว่า
    จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 1-2 บันทึกโดย พระปลัดวิรัช โอภาโส
    ที่องค์หลวงพ่อฯ ท่านได้พูดให้ฟังเกี่ยวกับ เรื่องงานการก่อสร้าง จะได้เป็นการยืนยันความถูกต้องในคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ ดังนี้....

    องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง เคยปรารภไว้ว่า ....
    “การก่อสร้าง การเลี้ยงคน ต้องต่อสู้กับอารมณ์ทุกอย่าง ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ทำให้บารมีเต็มเร็ว”

    หลวงพ่อพูดว่า “มาคิดว่าสมัยหนุ่ม ๆ บวชแล้วมัวแต่สร้างวัดมากมาย คิดแล้วเสียเวลา มาคิดว่า รู้อย่างนี้
    ไม่สร้างก็ดี เสียเวลา เอาเวลามานั่งชำระจิต ตัดกิเลสอย่างเดียว ให้จบ ๆ ไป จะดีกว่า”

    ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ตรัสกับองค์หลวงพ่อฯ ว่า ....
    “ไม่มีทาง.... ถ้าไม่ทำอย่างนี้ บารมีไม่เต็ม เมื่อบารมีไม่เต็ม การตัดกิเลสก็ไม่มีผล”

    “ดังนั้น การทุ่มเทกับการก่อสร้างสมัยหนุ่ม ๆ แล้วก็หยุดสร้าง หันมาตัดกิเลสจริงจังนั่นแหละ ก็เพราะว่าบารมีเต็มแล้ว จิตใจก็พร้อมจะตัดกิเลส จึงเกิดผลรวดเร็วมาก”

    “งานคันถธุระ ถ้าไม่เจอปัญหา จะมานั่งปฏิบัติอย่างเดียว บารมีไม่เต็ม เจอปัญหามาก ๆ มันตัดของมันเอง แล้วจะเบา การสร้างวัดต้องเอาใจคนหลายประเภท บารมีเต็มเร็ว”

    “การทำงานในวัด เป็นการตัดหวง ตัดนิวรณ์ เป็นกรรมฐาน เป็นสมาธิขั้นฌาน”

    “การทำงานเป็นพุทธานุสสติ เป็นธัมมานุสสติ เป็นสังฆานุสสติ เป็นการทำงานเพื่อพระพุทธเจ้า และเพื่อการสงเคราะห์คนมาพัก”

    ฆราวาส ถ้าเขาเข้ามาพักวัด เพื่อ
    สร้างทาน เรา ก็ได้บุญ 1 ขั้น
    รักษาศีล เรา ก็ได้บุญ 2 ขั้น
    บำเพ็ญภาวนา เรา ก็ได้บุญ 3 ขั้น
    ถ้าเขามาพักเยอะ เราได้เยอะ เขามาปฏิบัติ 3 อย่าง เราก็ได้ 3 ขั้น มาเยอะได้เยอะ มาเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา ใครมาพักที่วัด บารมีเราก็เต็ม 3 อย่าง

    คนบารมีเต็มจริง มันไม่กลัวอุปสรรค สู้ทุกอย่างไม่ท้อถอย....
    คนเบื่อร่างกาย ไม่ตัดกังวล ไปนิพพานไม่ได้....
    เบื่อร่างกาย ตัดร่างกาย ไปนิพพานได้....
    .................................

    ตั้งใจอ่านนะครับจะได้มีกำลังใจ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กรกฎาคม 2009
  4. วิมุติมรรค

    วิมุติมรรค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,753
    ขออนุโมทนากับคุณNarongด้วยครับ

    สำหรับข้อมูลดีๆ...ที่หลายท่านยังไม่เข้าใจ
     
  5. pornsak

    pornsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +272
    ขอบคุณ ท่าน Narong ครับสำหรับข้อความดีๆ
    “การก่อสร้าง การเลี้ยงคน ต้องต่อสู้กับอารมณ์ทุกอย่าง ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ทำให้บารมีเต็มเร็ว
    คนบารมีเต็มจริง มันไม่กลัวอุปสรรค สู้ทุกอย่างไม่ท้อถอย....
    คนเบื่อร่างกาย ไม่ตัดกังวล ไปนิพพานไม่ได้....
    เบื่อร่างกาย ตัดร่างกาย ไปนิพพานได้....


    และเห็นด้วยครับกับ ท่าน aMANwalking ที่ว่า
    คนมีหลายแบบ ต่างจิตต่างใจ ต่างจริตนิสัยวาสนา ต่างระดับความเข้าใจในศีลธรรม หลายท่านจะให้มาถึงนั่งสมาธิภาวนา กำหนดสติกับกาย เวทนา จิต ธรรม ตลอด เลยก็คงไม่เอาด้วย เพราะยังไม่เข้าใจไม่เห็นประโยชน์ว่าจะทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ถ้าจะให้ใส่บาตรพระสงฆ์ ทำสังฆทานเป็นถังๆ ไถ่ชีวิตโคกระบือ สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ หรือเข้างานพุทธาภิเษกบูชาสะสมพระเครื่องเพื่อฤทธิ์อำนาจศิริมงคล ฯลฯ ยังงี้เอาทำด้วย เพราะคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้

    สุดท้าย ท่าน
    จำจน ครับ ผมว่า 2 ข้อความด้านบน ทั้งจากท่าน Narong และท่าน aMANwalking น่าจะเป็นคำตอบสำหรับคำถามของท่าน จำจน เรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้ายังไม่พอ ผมขอแถมอีกหนึ่งปริศนาธรรม ที่ได้จากคำสอนของหลวงปู่ชา ว่าดังนี้ครับ
    ถ้าใช้ให้คนเอามือล้วงเข้าไปในรู ร้อยทั้งร้อย มักจะบอกว่ารูมันลึกไป แต่จะไม่มีใครเคยบอกเลยว่า มือมันสั้นไป เฉกเช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่หลายคนมักเข้าใจว่ามันเป็นของยาก ทั้งๆที่ยังไม่เคยได้พยายามและพิจรณาอย่างเต็มที่เลย

    เอวังโหตุ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

     
  6. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ขออนุญาติเพิ่มอีกนิด ตามที่ผมเข้าใจน่ะครับ
    ผิดถูกอย่างไร ก็พูดคุยกันได้ตามสบายครับ

    วัตถุประสงค์ของผม คือ ไม่อยากให้ประมาทการสร้างความดีด้วยวัตถุ

    เพราะ ในกิจกรรมการกระทำความดีด้วยวัตถุ ไม่ว่าเป็นกายกรรมหรือวจีกรรมต่างๆ เช่น การสร้างพระพุทธรูป การสร้างโบสถ์วิหาร การสร้างพระเครื่อง การใส่บาตร นั้น จะทำได้ต้องเกิดมาจากใจหรือมโนกรรมเป็นตัวนำ สมมติว่าเป็นกุศลเจตนาเต็มส่วน คือไม่มีกิเลสเจือ ณ ขณะจิตนั้นๆ ที่กระทำกายกรรมนั้นๆ เช่น ถวายสังฆทาน แต่ละกิจกรรมย่อยที่ประกอบกันเป็นกิจกรรมใหญ่ เช่น การไปขวนขวายซิ้อของถวายสังฆทาน แต่ละขณะจิตที่เป็นกุศลของกิจกรรมย่อยๆนั้น ถ้าคิดในภาพรวมของกิจกรรมทั้งหมดที่ประกอบกันกว่าจะถวายสังฆทานสำเร็จ ก็ จะเห็นเป็นกลุ่มมโนกรรมของ จิตที่เป็นกุศล ที่จะกระทำกิจกรรม "วัตถุทาน" ต่างๆให้สำเร็จไป
    คือ การทำบุญด้วยวัตถุทาน หรือ ของหยาบเกื้อกูลของละเอียด ผลอานิสงส์ของวัตถุทานของคนที่เป็นเจ้าของกายกรรม วจีกรรม ก็มาจากมโนกรรมนั่นแหละ

    ดังนั้น ถ้าเข้าใจและรู้จักทำ มีสติที่ละอียด ประกอบเจตนาอันเป็นกุศลเหมาะสม
    การทำบุญของหยาบ ก็เป็นไปเพื่อเกื้อกูลจิตใจเราเอง


    แต่โดยคนปรกติ กายกรรม วจีกรรม ที่ส่งมาจากมโนกรรม มีการปนเปื้ยนอยู่กับโลภ โกรธ หลง เช่น กายกรรม ถวายสังฆทานของพระ แต่ในใจมีความปรารถนาจะเอาหน้า จริงๆแล้ว ตรง ณ จิตขณะนั้นๆ ก็เป็นกุศลอยู่แต่อาจผสมๆกับกิเลส อาจเป็นบุญสัก 40% (ถ้ามีกิเลสปนมาก) ผลอานิสงส์ก็ลดน้อยลง ตามแต่กำลังอันเป็นกุศลของเจตนาที่แท้จริง
     
  7. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ผมขอแถมอีกนิด สังเวชนียะสถานสี่ตำบล ที่ ประเทศอินเดีย
    ทำไมชาวพุทธทั่วโลก ถึงต้องเดินทางไปสักการะ มากมายทุกปี
    หากไม่มีสถานที่ อันเป็นพุทธศาสนะสถานแล้วไซร้ คนรุ่นต่อไปจะรู้จะเห็นวัดหรือครับ
     
  8. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุครับ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับทุกความเห็นซึ่งเป็นประโยชน์มากครับ
    ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมในมุมมองที่ต่างจากที่แต่ละท่านได้ให้ความเห็นไปแล้ว

    พระท่านเปรียบพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ ต้นไม้จะมีแต่แก่นก็คงอยู่ไม่ได้
    ต้องอาศัยเปลือก กระพี้ห่อหุ้ม ทำให้ต้นไม้มีชีวิตยืนยงอยู่มาได้
    คนเราก็เหมือนกันอยู่ๆ จะเข้าถึงแก่นพระศาสนาเลยก็เป็นไปได้ยาก
    เว้นแต่ผู้ที่มีบารมีแก่กล้าถึงขั้นปรมัถบารมี
    คนเราพระท่านเปรียบไว้ ๔ ประเภท เหมือนดอกบัว ๔ เหล่า
    เพราะการสั่งสมบารมี สั่งสมกันมาไม่เท่ากัน คนบางคนต้องอาศัย
    การปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน อย่างคนที่ยังไม่เกิดศรัทธาในพระศาสนา
    ก็ต้องชักชวนให้เขาทำทานบ้าง ให้สนใจวัตถุมงคลบ้าง
    อย่างน้อยเขาก็เริ่มจะเข้าวัด ถ้าได้พบพระดีได้ฟังธรรม
    เกิดศรัทธาเลื่อมใส ก็เริ่มรักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
    เขาก็จะเริ่มเข้าใกล้แก่นพระศาสนา
    ฉะนั้น จะเอาแต่แก่นอย่างเดียว เปลือก กระพี้ กิ่ง ใบ ไม่เอาเลย
    เหมือนเรามีแต่พระธรรมคำสอน แต่ไม่มีวัดวาอารามเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศล
    ไม่มีพระสงฆ์สืบทอดพระศาสนา พระพุทธศาสนาจะอยู่ครบ ๕๐๐๐ ปีได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2009
  9. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อนุโมทนาสาธุ
    กับทุกคำตอบ

    **ทำไม?ทุกคนจึงมุ่งทำบุญด้วยการสร้างวัตถุกันนักครับ
    ตอบ(แบบส่วนตัวนะ) ทำบุญด้วยวัตถุมันสะดวกกว่า
    คือเริ่มบริจาคแบบเล็กไปหาใหญ่ได้
    แต่ถ้าเราจู่ๆเอาหลานไปถวายวัดเลยนี่รู้สึกว่าแม่จะไม่ยอมแฮะ
     
  10. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ขอเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัวนะค่ะ การทำหนังสือธรรมทาน หรือแผ่นซีดี ฯลฯ เพื่อให้เด็ก และผู้คนทั่วไปศึกษานั้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเรียนรู้ธรรมะ แต่ว่าในบ้านเรานี้ เป็นเรื่องแปลกอย่างคือ ไม่ค่อยมีผู้คนนิยมอ่านหนังสือ หรือฟังธรรม จากแผ่นซีดี มากเท่าที่ควร ฉะนั้น บางครั้งบางเวลาเราจะเห็นสื่อธรรมะเหล่านี้ วางอยู่ที่ตู้เก็บของ แทบจะไม่ได้นำมาใช้เลยก็มี จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผิดกับการทำบุญด้วยการสร้างวัตถุ ซึ่งเรา ๆ ต่างนิยมเป็นส่วนมาก อาจจะมาจากความสะดวกและ เห็นผลได้ทันตาทันใจแก่ผู้ทำบุญทำกุศล

    ดังนั้นเราต้องช่วย ๆ กันค่ะ ตามแต่โอกาสของแต่ละท่าน ในการอบรมสั่งสอนหรือเผยแพร่ธรรมะ แห่งพุทธศาสนา เราทำตัวเราให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน ให้พวกเด็ก ๆ ได้ดู ได้เห็น ว่าเราศึกษาปฎิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว มีชีวิต มีวิบากกรรมเป็นอย่างไร เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้และเปิดใจรับธรรมะในที่สุดค่ะ.......

    อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะค่ะ ผิดพลาดอย่างไรช่วยแนะนำด้วยค่ะ ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ ที่มีความคิดดี เป็นห่วงเป็นใยต่อเยาวชนและศาสนาพุทธด้วยค่ะ..........fly_pig
     
  11. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    นั่นสินะ ทำไมถึงมุ่งแต่สร้างวัตถุ ทำไมไม่สร้างธรรมให้เกิดขึ้น โลกเราเสื่อมลงทุกวันนี้ก็เพราะคนส่วนใหญ่มุ่งยึดติดทางด้านวัตถุ แต่ไม่มุ่งพัฒนาจิตใจของตัวเอง (เขียนถูกเปล่าไม่รู้สิค่ะ ใช้ถ้อยคำไม่ค่อยเป็นค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ)
     
  12. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    คุณน้ำดี1 ตอบสั้น กระชับ ตรงเป้า ตรงใจที่สุดเลยครับ
    ที่เห็นกันส่วนใหญ่นั้นมุ่งไปที่อามิสทาน ซึึ่งส่วนตัวคิดว่า เป็นความหลากหลาย ตามความหยาบ ประณีตของปัญญาก็จริง เป็นการผ่อนปรนตามจริตอันแตกต่างกันไป เพียงเจ้าของกระทู้สะกิดใจให้ผู้คนได้ฉุกคิดนั้นเห็นด้วยอย่างมาก เพราะติดกันตรงวัตถุมากไปเข้าไม่ถึงหลักธรรม(ที่จริงหลักพุทธเรามุ่งถึงการไม่ติดยึดในวัตถุมากเกินไป (เช่นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ)

    แล้วลองไปดูสิ่งปลูกสร้างในสถานที่ต่างๆที่สอนไม่ให้ติดยึดวัตถุกันนั้น มโหฬารกันขนาดไหน( สร้างกันแบบนั้นแล้วจะไปบอกให้เขาไม่ติดยึดกันได้ และคนก็ศรัทธาเสียด้วย ) ติดกันอยู่กับการทำบุญ(ชนิดที่เรียกว่า)ทำทานแต่เน้นกันจนกลายเป็นว่าไปเพ่งกันถึงอานิสสงส์แห่งทานนั้น คือโภคทรัพย์ และส่วนใหญ่แล้ว ลูกศิษย์แต่ละหลวงพ่อนั้น ไปถึงคำสอนเฉพาะติดอยู่กับตัวตนของหลวงพ่อ ไปกันไม่ถึงพุทธวัจนะจริงๆ ทั้งๆที่เป็นข้อมูลขั้นปฐมภูมิ(บ้างถึงกับยกพระไตรปิฏกมาอ้างตามทิฏฐิตนด้วยว่าผู้คนศรัทธากันมาก ก็เอาศรัทธานั้นมาเป็นประโยชน์ เลยแปลยักเยื้องตามๆกันไปก็มี ลองดูว่า แล้วเราควรมีท่าทีอย่างไรถึงจะถูกต้องกันล่ะ ขอออกตัวก่อนว่ามิได้พูดเพ่งเล็งเฉพาะวัดใดวัดหนึ่งนะครับ)

    ส่วนหลวงพ่อทั้งหลายนั้นเป็นเพียงอธิบายตามถนัดของท่านบ้าง ตามวิธีหรือทิฏฐิของท่านเองบ้าง ตลอดจนตีความไปต่างๆนาๆ น้อยคนที่จะนึกไปถึงข้อมูลชั้นต้นจริงๆ(หมายถึงพระไตรปิฏกว่าไว้อย่างไร เช่น บัวสี่เหล่าอย่างที่ส่วนใหญ่รู้จักกันนั้น ในพระไตรปิฏกว่าบัวสามเหล่า เหล่าที่สี่นั้นมาจากคัมภีร์ขั้นสองหรือทุตยภูมิ คือชั้นอรรถกถา )เคยฉุกคิดกันหรือไม่ว่า ที่หลวงพ่อทั้งหลายสอนนั้น พระพุทธองค์เคยตรัสไว้อย่างไร ซึ่งพอมุ่งเน้นศรัทธาลักษณะบุคคลาธิษฐานแล้ว เลยไม่ได้เห็นสิ่งที่หลวงพ่อนั้นๆท่านชี้ให้ดู( อย่างที่ว่านิ้วชี้ไปที่พระจันทร์ นิ้วไม่ใช่พระจันทร์ แต่ผู้คนพากันมัวดูที่นิ้วอยู่ ไม่ยักจะมองไปถึงพระจันทร์) พูดอย่างนี้ก็จะพากันติเตียนว่าไปกล่าวปรามาสครูบาอาจารย์ ซึ่งก็แทบจะแตะต้องกันไม่ได้เลย แท้จริงแล้วมิได้คิดติเตียน แต่พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อพร่องของศรัทธาชนิดไม่ลืมหูลืมตาอย่างเดียรถีร์ที่เราเห็นกันอยู่ดาษดื่น ก่อมหันตภัยต่อมนุษยชาติชนิดฆ่ากันล้างเผ่าพันธ์กันก็มีตัวอย่างเยอะแยะ แต่แล้วชาวพุทธซึ่งขึ้นชื่อเรื่องศรัทธาที่(เน้น ๆ ๆ )ต้องประกอบด้วยปัญญา กลับกลายเป็นศรัทธาชนิดที่เรียกกันว่าศรัทธาตาบอดกันอย่างมาก

    จะดีมากๆ ถ้าวัดไหน หลวงพ่อไหน สอนถึงความพอเพียง คือมีอย่างไรใช้อย่างนั้น (มีมากก็ใช้มากได้ ตามส่วนเพียงให้พอสมแ่ก่ประโยชน์) วัดที่ขาดน้ำใช้ก็ยังมีมาก ต้องอาศัยบรรทุกน้ำไปใช้กัน อย่างนี้สมควรช่วยกันแก้ไข แต่ที่สร้างอะไรประหลาดๆหรือวัตถุมงคลต่างๆนั้นมันค่อนข้างขัดกับหลักการสำคัญของพุทธเรา(หลักกรรม) จึงขอสนับสนุนท่านผู้ตั้งกระทู้ช่วยสะกิดเตือนใจกันครับ ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับที่ได้แสดงความเห็นกัน ทำให้ได้เห็นกันหลายๆแง่มุม บางแง่ก็คิดไปไม่ถึงก็มีนะครับ หนักเบาเกินไปอย่างไรก็ขอให้อโหสิกรรมผมด้วยนะครับ
     
  13. patchara2

    patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    ครั้งหนึ่งพระสารีบุตร ได้ไปเจอแม่ในอดีตชาติเมื่อร้อยชาติที่ผ่านมา แต่เกิดเป็นเปรตกำลังนั่งทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆ ทำโน่น ทำนี่อยู่ หยุดไม่ได้ หยุดเมื่อไหร่ไฟไหม้ตัวเมื่อนั้น ได้ถามพระสารีบุตรว่า พระคุณเจ้าจำฉันได้ไหม เมื่อชาตินั้น ท่านเป็นลูกชายฉัน แต่ฉันเป็นคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานี ตายจากความเป็นคนจึงต้องมาเป็นเปรต พระสารีบุตรท่านก็ไม่ปฏิเสธ ท่านจึงถามว่าอาตมาจะช่วยโยมจะไห้ช่วยอย่างไร นางบอกว่าเป็นแม่ ท่านก็ยอมรับ หญิงเปรตก็บอกว่า ขอไห้ถวายทานในสำนักของพระสมณโคดม พระสารีบุตรก็ยอมรับ พอตอนเช้าท่านก็ออกบิณฑบาต ท่านก็ได้อาหารมาไม่มาก เวลาพระฉัน ท่านก็นั่งนอกวงลูกศิษย์ของท่าน ตอนนั้นท่านอยู่ป่า ท่านก็หยิบใบไม้มา เอาข้าวใส่ เอากับข้าวใส่ส่งไห้พระ และก็มีผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ ทางพระพุทธศาสนาถือว่ามีความสำคัญ พระท่านทรงเรียกว่าจีวร เอาน้ำใส่ฝาบาตร ท่านก็ส่งเข้าไป ในวงพระที่ท่านฉันกันอยู่ เป็นสังฆทาน พอฉันเสร็จ ท่านก็ไปบอกพระอีกสามองค์คือพระอานนท์ พระอนุรุทธ พระโมคัลลาน์ขอไห้ช่วยสร้างกุฏิ ก็เอาเศษไม้มาพาดเอาใบไม้มาปะข้างบน ให้เป็นที่พระอาศัย จัดว่าเป็นวิหารทานไห้แก่โยมแม่พระสารีบุตร หลังจากนั้น แล้วพอตกเวลากลางคืนพระท่านไม่ว่างจากเจริญพระกรรมฐาน พระโมคัลลาน์ก็ทำทุกคืน ท่านไม่ว่างจากการไปสวรรค์หรือนรก พอเริ่มเคลื่อนที่จะไปก็จับอารมณ์ อารมณ์ก็ทรง ทรงก็เห็น เห็นนางฟ้าองค์หนึ่งลอยอยู่ข้างๆ มีเครื่องประดับสวยมาก มีแสงสว่างสวยไปทั่วจักรวาล มีวิมานสวยมากอยู่ข้างๆ มีสระโบกขณี พระโมคัลลาน์ก็แปลกใจ ไม่เคยเห็น เธอก็บอกว่าเป็นแม่ของพระสารีบุตร เธอบอกว่า เมื่อเช้านี้พระสารีบุตรถวายสังฆทานพร้อมทั้งจีวร เป็นเหตุไห้ฉันได้เครื่องประดับทิพย์ และน้ำหนึ่งฝาบาตไม่เต็มดีหรอก เป็นเหตุไห้ได้สระโบกขรณี และพระคุณเจ้าได้สร้างกูฏิ อันนี้เป็นปัจจัยไห้ฉันได้วิมานทิพย์ พระสารีบุตรท่านทำ ท่านเป็นพระอริยเจ้า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ สองวัตถุทานบริสุทธิ์ สามถวายสังฆทาน และก็มีวิหารทานเป็นต้น(รายละเอียด ใจความมีมากกว่านี้นะครับ ผมย่อเอาจากพระที่ท่านเทศน์สอนจากพระไตร จิงจิงแล้วรายละเอียดชัดเจนกว่านี้มาก ขออภัยด้วยนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  14. liliwan

    liliwan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +27
    อีกแนวหนึ่ง การสร้างวัตถุ อาจเป็นการช่วยต่อยอดพระพุทธศาสนาให้เจริญ
    ในจิตใจคนยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ อย่างน้อย ก็ทำให้คนนึกถึงสิ่งที่เราสร้าง
    แล้วจะเกิดความสุขขึ้นได้ ในคนที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมน่ะค่ะ
    แต่สำหรับผู้เจริญในการปฏิบัติธรรมแล้ว อาจไม่จำเป็นก็ได้
    ขออนุโมทนาบุญเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ
     
  15. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ขอเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ
    มีวัดบางวัด เรี่ยไรเงินกันมโหฬาร(ทุกวันนี้ดูเหมือนยังโฆษณากันอยู่ทางวิทยุAm. ประมาณตีสามตีสี่ ไม่แน่ใจนักว่ายังเหมือนเดิมไหม เพราะเลี่ยงที่จะไปฟังแล้ว) วัดนี้สร้างมังกรพันเสา สร้างวัตถุเชิงจินตนาการแบบสวยงาม เจ้าอาวาสโด่งดังและลูกศิษย์ลูกหาเต็มไปหมด ไม่นานมานี้ถูกจับสึกเป็นปราชิกเพราะเสพเมถุน(จำไม่ได้แม่นเท่าไหร่ แต่คิดว่าทุกท่านพอรู้ว่าหมายถึงใคร) การเทศนาสั่งสอนนั้น ก็ได้นำคำเทศนาของครูบาอาจารย์ท่านสำคัญหลายท่านมาเปิดในรายการ และสอดแทรกคำสอนฝ่ายตนเองเป็นระยะๆ ประดิษฐ์คำพูดชวนศรัทธา เช่นเทพเจ้านักบุญ นักบุญโบราณ ฯลฯอะไรเทือกนี้ ทุกวันนี้ถูกตัดสินจำคุก (ดูเหมือนจะตลอดชีวิต) แต่แล้วผู้คนก็พากันตามไปบริจาคกัน ไปฟังธรรมกันถึงที่เรือนจำ เห็นว่าได้รับเงินบริจาคเป็นสิบๆล้าน
    นี่กระมังที่เจ้าของกระทุ้เพ่งเตือนสะกิดกัน (ผมมองในมิติของผมเองนะครับจากบริบทที่ท่านกล่าวข้างต้น) จีงได้แสดงความเห็นค่อนข้างใช้คำแรงไปสักหน่อย แต่ทุกท่านน่ารักและแสดงความคิดกันอย่างอ่อนโยน ผมจึงขออนุญาติเพิ่มเติมเล็กน้อย
    ในไตรสิกขา(ถ้าสำหรับพระก็ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าฆราวาสก็ ทาน ศีล ภาวนา แท้ที่จริงก็อันเดียวกันนะครับ อธิบายอ้างอิงยาวเดี๋ยวนอกเรื่องไปไกล) ก็สิกขา(ศีกษา) กันทั้งหมดแหละครับ ท่านLiliwanแสดงมาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกัน ระหว่างทาน ไม่ว่าจะเสนาสนะ สังฆทาน ตลอดจนถึงถาวรวัตถุนั้น สามารถยึดโยงให้สติระลึกถึงกุศลธรรมที่เราได้ทำไป ก็ย้อมใจให้ระลึกถึงเนืองๆและจิตใจก็ประณีตอ่อนโยนเกิดปิติ ปัสสัทธิ... นี่ย่อมเป็นสิ่งดีงามครับ เพราะทานก็มุ่งไปที่การละความโลภ ใจที่ใฝ่บุญเนืองๆที่สุดก็น้อมใจเข้าถึงการรักษาศีล ภาวนาในที่สุด(น้ำก็เต็มตุ่ม ค่อยๆเติม)

    แต่ในอีกด้านก็ต้องระวังดังตัวอย่างที่ยกมาให้ดู จะเห็นข้อเสียหาย เพราะวัตถุทานนั้นดีแน่ (กระทั้งของชำร่วยต่างๆเช่นวัตถุมงคลนั้น จะว่าไปก็น้อมใจให้เกิดพุทธานุสติได้ สุดแท้แต่มองกันด้วยมิติไหน) แต่ถ้าให้ดีก็ต้องให้ถึงตัวปัญญาอันเป็นเป้าหมายหลัก(ศีล สมาธิ ปัญญา(อันเกิดจากการฟัง คิด และปฎิบัติ) ก็ภาวนามยปัญญานั่นแหละ) หมายความว่าชาวพุทธเราศึกษาธรรม ก็ควรเข้าใจว่า เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน นำมาใช้ในปัจจุบันนั่นแหหละให้เกิดประโยชน์ให้ได้ แต่เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่มุ่งกันที่ประโยชน์ในปรภพกัน มันก็ดูคลาดเคลื่อนไปสักหน่อย(คนหลากหลายกันอย่างที่ท่านA man walkingว่าไว้จริงๆนั่นแหละ จึงเป็นสีสัน หลายแง่หลายมุม ทั้งเป็นเสน่ห์ในด้านความเอื้อเฟื้อผ่อนปรน อย่างที่ผมเห็นจากทุกๆท่านในกระทู้นี้แหละ) แต่ก็วางใจไม่ได้เหมือนกันอย่างกรณีตัวอย่างที่ยกมา ผมเข้าใจว่า ท่านจำจน ก็คงมองในมิติเดียวกันกับที่ผมเห็น จึงได้มุ่งที่จะสะกิดให้เข้าถึงตัวปัญญา (สร้างโน่นสร้างนี่ แทนที่จะสร้างธรรมทานเป็นวิทยาทานกันนะ เช่น พิมพ์หนังสือธรรมมะ ทำ CD ธรรมมะ แจกจ่ายตามโรงเรียนหรือบุคคลผู้ใฝ่เรียนรู้ หัวข้อที่เข้ากับยุคหรือการแก้ปัญหาชีวิตในปัจจุบัน)นี่คงไปเห็นซากถาวรวัตถุที่เกินจำเป็นไปมาก( พอดีคือแค่ไหน สงสัยคงต้องว่ากันอีกหลายสิบกระทู้) เพราะคงเห็นถึงว่า ธรรมมะนั้นมุ่งให้ได้ปัจจุบันประโยชน์ คือให้เข้าให้ถึงวิธีคิด(ปัญญา) ท่าทีต่างๆต่อปัญหาในปัจจุบัน(ซึ่งผมเห็นว่านี่คือเป้าหมายของการทำบุญด้วย แต่อ้อมไกลไปนิดครับ) และเห็นว่าเราเจริญทางวัตถุ แต่ทางจิตวิญญาณกลับตกต่ำกันขั้นวิกฤติ (เห็นว่าต้องเร่งฟื้นฟูอย่างชนิดที่ต้องปฎิวัติความคิดกันจริงๆจังๆ) ตัวอย่าง อย่างท่านมหาวุฒิชัย(ว.วชิรเมธี ) เห็นว่าท่านออกมาให้สติกันหลายรอบแล้ว แต่สังคมกลับเฉื่อยแฉะขาดความเข้าใจ เพราะเรามัวศรัทธา(คุณก็รู้ว่าใคร)อย่างขาดสติ(ขณะปัจจุบันกำลังเป็นอยู่นี้) ไม่รู้ท่าทีที่ถูกต้อง ว่าควรวางตัวอย่างไร ส่วนใหญ่ก็ยึดตามทิฏฐิตนเป็นที่ตั้ง น้อยคนที่จะคิดหาว่าควรมีท่าทีอย่างไรถึงถูกต้อง
    ที่พูดมานี้อาจยาวไปนิดนะครับ ขอโทษจริงๆที่ทำให้บางท่านอาจรำคาญบ้าง ทุกแง่มุมนั้นแสดงกันได้หลากหลายสีสัน วัตุถุทานนั้นดี แต่ต้องพอ ถึงจะดี ทุกวันนี้น่าจะมากไปกระมังครับ เพราะเลยไปจนผู้ร้ายเห็นประโยชน์จากความใจบุญของชาวพุทธ ถึงขนาดปลอมบวชกันมาก เอาเปรียบขายถังสังฆทานกันแบบหลอกลวงไม่ได้ประโยชน์ ฯลฯ ซ้ำทำให้เจ็บปวดใจแทนคนซื่อใจบุญเหล่านั้น จึงมีคนอย่างท่านจำจน ทนไม่ไหวออกมาสะกิด ผมก็ขอร่วมสะกิดบ้างไม่ถึงกับกระชาก หวังว่าไม่ถือสากันนะครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ยังไงการทําความดีทุกอย่างก็ล้วนเป็นเรื่องดีอยู่เเล้วครับ เจริญในธรรมครับทุกคน
     
  17. patchara2

    patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ก็ไม่ถูกใจ พระพุทธองค์ทรงสอนเราชาวพุทธไห้ตำหนิกรรมของเรา สอนตัวเรา ตนเตือนตน ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เราทำดี ประพฤติดีอย่างน้อยๆคนใกล้เรา รอบตัวเราก็จะได้รับอนิสงฆ์ผลแห่งการทำดีของเรา และถ้าซึมซับ ยิ่งได้ทำตามด้วยทุกสิ่งอย่างก็จะดีขึ้น ก็จะขยายวงกว้างขึ้น เป็นกลไก เป็นลูกโซ่ ต้องเริ่มที่เราก่อนเลย สิ่งภายนอกเราไปแก้ไขไม่ได้ มันต้องแก้ที่ใจของเรา ลองพิจรณาดูนะ พอเราเริ่มตำหนิ สิ่งนั้น สิ่งนี้ไม่ถูก ไม่ต้องใจ(ของเราเอง) อะไรเกิดขึ้นกะใจเรา ความไม่พอใจ ใจขุ่น ถามว่าใจขุ่นมันดีหรือมันเลว สังเกตดูนะทุกครั้งที่จะมีการตำหนิ ติเตียนจะต้องอาศัยความไม่พอใจเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ อะไรที่เขาทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และเป็นความดีด้วยเราควรจะโมทนา คนที่ชอบเอาแต่ตำหนิติเตียน ถามว่าเคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์เป็นชิ้น เป็นอันบ้างไหม หรือจะมีก็แต่ประเภทว่า มือไม่พายแต่.....มองตัวเอง ดูความชั่วของใจเราเองจะดีกว่า เมือเห็นความชั่วเกิดขึ้นที่ใจ ก็ขจัดออกไป จิตใจจะได้เป็นกุศลนั่นแหละบุญ ไม่ไช่ไปมองแต่คนอื่น ถ้าใจสะอาดใจใสเสียแล้ว ไม่มีอะไรผิดถูก ไม่มีอะที่จะตำหนิ มีแต่เรื่องของกรรมล้วนๆ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจะมีความสุข หรือความทุกข์ได้ ก็ขึ้นอยู่ที่กรรมที่เรากระทำไว้(เอาเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน เอาไปคิดเรื่องชายแดนใต้ เรื่องเขาพระวิหาร เรื่องการขัดแย้งในสังคม ปัญหาเศรฐกิจรุมเร้า และอีกร้อยแปดมากมายยังจะดีเสียกว่า)
     
  18. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    การเผยแผ่ศาสนานั้นจำเป็นต้องสร้างควบคู่กันไปทั้ง เปลือก แก่น กระพี้ เพื่อให้้งอกงามออกดอกออกผล พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาบัว ๔ เหล่า ก่อนที่จะโปรดสัตว์เผยแผ่พระศาสนา ดังนั้นเมื่อบุคคลนั้นมีพื้นฐานต่างกันจะให้ทุกคนสนใจแต่แก่นนั้นเป็นไปไม่ได้ คงต้องมีเปลือกหรือวัตถุก่อนเมื่อสนใจแล้วก็จะแสวงหาแก่นแท้เอง แล้วจงอย่าเข้าใจว่าพุทธศาสนาหลักธรรมนั้นจะต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะที่จริงธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีพิสูจน์แล้วเรื่องกรรม ลึกซึ้งมากกว่าวิทยาศาสตร์มากมาย เพราะธรรมของพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งโลกียธรรม และโลกุตรธรรม กล่าวคือมีธรรมตามวิสัยของโลก และธรรมที่เหนือโลกเป็นเรื่องปัจจัตตังอีกมากมาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  19. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    พุทธศาสนา ปะกอบด้วย ศาสนบุคคล ศาสนคำสอน ศาสนวัตถุ และศาสนพิธี

    หากปฏิบัติสมาธิภาวนาจนเข้าถึงและเข้าใจ ทั้ง 4 องค์ประกอบ นี้แล้วจะมีคำตอบ ของคำถามในกระทู้ครับ
     
  20. kittikawin12

    kittikawin12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,035
    ค่าพลัง:
    +862
    คือสร้างวัตถุเพื่อประโยชน์เเห่งพุทธศาสนาก็ดีนะครับ เช่นการสร้างพระก็เป็นสัญลักษณ์เเห่งพุทธศาสนา เเต่ห้ามงมงายละกันครับ เช่นห้อยพระเครื่องก็ต้องหมั่นทำบุญ ทำความดี เพราะถือว่าพราะมากับตัว จะทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่ได้ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวได้ดี สำหรับคนที่กำลังสับสนครับ เเต่ถ้าต้องการความสงบหรือหลุดพ้น ต้องเจริญวิปัสนากรรมฐานนะครับ(มุมมองของผมเองครับ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...