ทำนายฝันไห้ทีครับ

เมื่อก่อน เคยไปที่แห่งหนึ่ง ติดชายแดนไทยพม่า เป็นภูเขา มองลงไปเห็นแม่น้ำเมย ชื่อว่า อำเภอ วังตะเคียน ไปเที่ยวที่นั้นมีพระธาตอยู่
ชื่อพระธาตดอยกิมกี่ ไหว้พระธาตเสร็จก็เดินเล่นบนเขา และได้ไปเจอถ้ำ ก็เป็นถ้ำปรกติ คือ มีคนรู้จักแต่เราไม่รู้ชื่อ ก็ปีนลงไปเที่ยวกัน ที่ว่าลงไปเพราะพื้นที่เรายืนอยู่สูงกว่าพื้นถ้ำ พอลงไปถึงพื้นก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก มีแสงสว่างพอดีๆ
เพดานถ้ำก็สูงเราก็เดินสำรวจกันไปรอบๆ
พอเดินไปถึงมุมมืดมุมหนึ่ง เราก็มองลงไปเห็น รู หรือโพรงสูงจากพื้น แค่ขนาดคนคลานเข้าไปได้ ความกว้างก็พอดีตัวไหญ่กว่าตัวนิดหน่อย ความลึกก็ยาวกว่าตัวหัวถึงเท้านิดหน่อย
เห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่รอช้ามุดเข้าไปทันที ทั้งๆที่ไม่มีไฟฉาย และมองอะไรภายในไม่เห็นเลย เพราะรูนี้มันอยู่ในมุมมืด
แต่อารมณ์นั้น ไม่ได้นึกกลัวเลย เลยคลานเข้าไปโชคดี ที่เพื่อนที่มาด้วยอีก2คน มุดตามเข้าไปด้วย พอเข้าไปกันหมด 3คน บรรยากาศในนั้นก็เย็นมาก
เย็นเหมือนห้องแอร์เลยทีเดียว เพื่อนเราเราไม่รู้ว่ามีไครขยับหรือเคลื่อนไหวไปทางไหนไหมเพราะมองกันไม่เห็นเลย ได้นินแต่เสียงคุยกันได้ ด้านนอกรู้นี้ มี่รุ่นพี่ยืนรออยู่
ตัวเราเอง นั่งยองๆอยูกับพื้นถ้ำ เอามือ ลูบคลำไปรอบๆตัว ก็รู้สึกได้ว่า
พื้นในถ้ำนี้แปลก ไม่เหมือนกับพื้นถ้ำด้านนอก ที่เป็นถ้ำไหญ่ พื้นถ้ำไหญ่ด้านนนอกขรุขระมาก แต่ พื้นถ้ำหรือรู้ที่เรามุดคลานเข้ามานี้แปลก แปลกตรงที่เราเอามือคลำไปรอบๆตัว มันเรียบ เรียบแบบที่รู้สึกได้เลยว่า เอาง่ายๆ เปรียบได้กับพื้นปูน ที่มีการฉาบอย่างดี จะต่างกันก็ตรงที่ไม่มีคนมากว่าด ทำไห้มีคล้ายๆเม็ดทรายอยู่ทั่วไป สรุปว่าเป็นพื้นที่เรียบแน่น ไม่มีหินเม็ดไหญ่หรือความขรุขระมาโดนมือเลย มีแค่ความรู้สึกของทราย ก็ยังไม่ได้กลัวหรือคิดอะไร สักพัก
เพื่อนคนที่เป็นคนถือกล้องก็ กดถ่าย กล้องนั้นมีแฟรต แสงแฟรต ส่องไห้เห็นรูปร่างของห้อง ชัดเจน ที่ว่าเห็นชัดเจนก็เพราะว่า แสงแฟรต มันไปกระทบกับ
เพดานถ้าและผนังถ้ำเป็นประกายระยิบระยับ สวยงาม และ ทำไห้เราเริ่มรู้สึก กลัว เพราะความระยิบระยับ สวยงามนี้ ด้านนอก คือถ้ำไหญ่ ไม่มี
แล้วเพื่อนเราก็ถ่ายอีก ก็กะว่าจะถ่ายเรากับเพื่อน แสงแฟรตก้ไปกระทบกับพดานและผนังถ้ำอีก ระยิบระยับ เราก็รู้หรอกนะ ว่ามันน่าจะเป็นน้ำค้าง แต่มันระยิบระยับ สวยงามจริงๆ ความที่มันระยิบระยับ ทำไห้เรารู้เห็นว่าถ้ำเล็กๆ นี้ มีรูปลักษ
อย่างไร รูปร่างของถ้ำนี้ เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนๆกับ
ชามกลมๆ ที่คว่ำไว้ แล้วมีพวกเราเข้าไปอยู่ด้านใน เพื่อนเราถ่ายรูปไปได้ประมาณ3ครั้ง เราก็พูดขึ้นว่า เฮ้ย . . . ออกเถอะ พวกเรา3คนก็ค่อยๆ คลานออกไปทีละคน เราเป็นคนสุดท้าย ที่เราบอกออกเถอะเ เพราะอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกกลัว ถ้ำที่เรามุดกันเข้าไปนี้ เป็นรูเล็กๆ พอไห้คนคลานเข้าไปได้ แบบนอนคลานเข้าไป พื้นถ้ำเรียบ ผนังและเพดานถ้ำ ระยิบระยับ เมื่อโดนแสงแฟรต กล้องถ่ายรูป ความระยิบระยับนี้ทำไห้เรารู้รูปร่างของถ้ำ ว่าเหมือนเราอยู่ในถ้วยชามกลมๆที่วางคว่ำไว้
หลังจากกลับจากเที่ยวเราก็เอากล้องไปล้างอัดรูปออกมา
ก็ได้ภาพปรกติ แต่ 0. . . 3รูป ที่ถ่ายในถ้ำเล็กๆนั้น ถ่ายติดแต่ความมืด . . .
ทั้งๆที่กล้องนั้นก็มีแฟรต . . . เราเลยสงสัยว่า กล้องที่มีแฟรต เป้นไปได้หรือไม่ ที่จะถ่ายไม่ติด ในที่ๆมืดสนิท
หลังจากนั้น เราก็คิดถึงถ้ำนั้น บ่อยๆ เพราะรู้สึกว่ามันแปลก และเย็น เงียบ
ถ้าไม่มีอะไร น่ากลัว ก็เป็นที่ๆน่านั่งสมาธิมากๆ มากเลย

------------------------------------------------------------------

ความฝันเกี่ยวกับถ้ำนี้ จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนหลังจากไปเที่ยวที่ถ้ำนั้น
แต่มีอยู่คืนหนึ่งเราก็ฝันไปว่า ไปที่นั่นอีกครั้ง จะเข้าไปในถ้ำเล็กๆนั่น
แต่ไม่เหมือนที่ไปมาจริงๆ คือ มันจะมีเหมือนหิน เป็นวงกบประตู ขวางอยู่ตรงรูที่เรามุดกันเข้าไป และ บนหินที่เหมือนวงกบประตูนี้ ก็มีลิงอยู่1ตัว เราก็รู้ว่า
มีบางอย่างเขาไม่ไห้เราเข้าไป แต่ถ้าจะเข้า ก็ไห้ทำอย่างไรก้ได้
ไห้ลิง ที่อยู่บนหินที่เหมือนวงกบประตูนี้ รับกล้วยจากเราไปกิน . . .
เราก็คิดว่า ไม่น่ายาก ลิงกับกล้วย มีหรือจะไม่กิน ในฝัน เราก็เลยหยิบกล้วยที่เขาแขวนไว้ มาปอกเปลือก แล้วส่งไปไห้ลิงตัวนั้น .. . . มันไม่รับครับ
ทำอย่างไรก็ไม่รับ ผมก็เลยคิดว่า ไห้แล้วไม่รับหรอ งั้นก็วางไว้ละกัน อยากกินเมื่อไรก็มากิน กินแล้วเราจะได้เข้าไปได้ . . . เท่านั้นเอง ลิงนั่นก็เอากล้วยไปกินเลย . . .ต่อมาเราก้ได้เข้าไปในถ้าเล็กนั่นแล้ว แต่ในฝันนี้ ไม่เหมือนในความจริง คือความจริง มืด มองอะไรไม่เห็น พื้นเป็นดินทราย แน่นๆ
แต่ในฝันนี้ สว่างพอสลัวๆ พื้น เป็นพรมสีเหลืองๆ มีลวดลาย สีส้ม
ที่ผนังด้านหนึ่งของถ้ำ มีพระยืนองค์หนึ่งกับโต๊ะหมู่บูชา เราก็ก้มลงกราบ
แล้วก็มีแม่ชีมา บอกไห้นั่งสมาธิ และได้เอาสร้อยประคำมาคล้องคอเราไว้ด้วย
เราก็นั่งสมาธิไป สักพัก สร้อยประคำนั่น กลายเป็นตะขาบตัวไหญ่ ยาว เลื้อยคลานไต่ไปรอบๆคอเรา เราขยะแขยงมากๆ รูในใจว่าไห้ลองทนไห้ได้
แต่เราทนไม่ได้ ไช้มือดึงตะขาบนั้นออกจากคอทันที
พอตะขาบหลุดออกไปก็กลายเป็น สร้อยประคำเหมือนเดิม ขาดกระเด็นกระจายไปทั่วพื้น ความฝันของเราก็จบเท่านี้เอง . . . ทุกวันนี้ก็ยังอยากกลับไปเที่ยวที่นั่นอีก อยากรู้ว่า เราจะเจอรูนั้นอีกไหม มีไครสนใจไปนั่งสมาธิในนั้นมั่งไหมครับ
มีอยู่วันหนึ่ง ไปเที่ยวเขาดิน สวนสัตว์หนะครับ ก็ไปดูงู เห็นงูจงอางในตู้แล้ว
เอ้ย . . . น่ากลัวจัง นึกๆไป ก็เสียวเลยครับ ว่าในถ้ำที่เรามุดกันเข้าไปนั้น จะมีไอ้ตัวแบบนี้อยู่มั่งไหมว้า . . . โชคดี ที่ไม่มีไครเป็นอะไร เฮ้อ
ก็เอามาเล่าไห้ฟังๆกันครับ . . .ฝันจะหมายความว่าอย่างไร ไครทำนายได้ก็ทำนายไห้หน่อยก็ดีครับ หรืออาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เนอะ ๆ ๆ ๆ
<!-- / message -->
<!-- / message --><!-- edit note -->

 

แมวน่าสงสารจัง

 

เด็กอยู่โตอีกหน่อยก็สวย. . .

 

เหตุที่เราฝัน<O</O​

อาตมาคิดว่า คนทุกคนต้องเคยฝัน ฝันอยู่บ่อย ๆ บ้าง นาน ๆ ฝันสักครั้งหนึ่งบ้าง ความฝันทั้งหมดนี้เกิดจากเหตุอะไรจะเป็นจริงหรือไม่ ต้องลองอ่านเรื่องนี้ดู<O</O
เหตุของความฝัน ท่านกล่าวไว้ว่ามี ๔ อย่าง คือ<O</O
๑. ฝันเพราะธาตุกำเริบ คือธาตุในร่างกายแปรปรวนทำให้ฝันต่าง ๆ เช่น เป็นเหมือนตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกเนื้อร้าย ช้างร้าย และโจร เป็นต้น ไล่ติดตามมา<O</O
๒. ฝันเพราะจิตอาวรณ์ (เพราะเคยทราบมาก่อน) คือ ฝันถึงอารมณ์ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว เช่น เรามีจิตกังวลถึงเรื่องการสอบ เราก็ฝันถึงเรื่องสอบ ว่าข้อสอบออกตรงนั้น ตรงนี้ ถ้าญาติที่เรารักต้องตายจากไป เราคิดถึงเขามาก บางทีก็ฝันเห็นเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบงคนมีจิตใจใฝ่ในบุญกุศล ก็ฝันว่าได้ทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน เป็นต้น<O</O
๓. ฝันเพราะเทพสังหรณ์ คือ พวกเทวดาทำให้ฝันเพื่อความเจริญบ้าง เพื่อความเสื่อมบ้าง แก่ผู้ฝัน แก่ผู้ฝัน ผู้นั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยอานุภาพของพวกเทวดา<O</O
๔. ฝันเพราะบุพนิมิต คือ เป็นฝันที่เกิดจากบุญและบาป เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) แห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสื่อมบ้าง เหมือนมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิมิตในการที่จะได้โอรส (ซึ่งเป็นฝันที่เกิดจากบุญ) ฉะนั้น<O</O
บรรดาเหตุแห่งการฝัน ๔ อย่างนี้ ๒ อย่างแรก คือ ฝันเพราะธาตุกำเริบ และฝันเพราะจิตอาวรณ์ เป็นฝันที่ไม่เป็นความจริง ส่วนฝันเพราะเทพสังหรณ์ จริงก็มี ไม่จริงก็มี เพราะว่าเทวดาโกรธแล้วประสงค์จะให้พินาศ โดยใช้อุบายให้ฝันก็มีอยู่ ส่วนอย่างสุดท้าย ฝันเพราะบุพนิมิตนี้เป็นจริงโดยส่วนเดียว เพราะเป็นความฝันที่เกิดจากกรรมที่เรากระทำแล้ว<O</O
ถ้าเราอยากฝันดี ก็ควรไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนจิตจะได้เป็นบุญกุศล ทำให้ไม่ฝันร้าย หรือเป็นผู้ที่เจริญเมตตา (คือความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข) อยู่เสมออานิสงส์ของการเจริญเมตตามีข้อหนึ่งว่า ทำให้ไม่ฝันร้ายเพราะผู้ที่เจริญเมตตา เมื่อฝันร้ายย่อมฝันดี เช่น เป็นเหมือนว่ากำลังไหว้เจดีย์ เหมือนว่ากำลังฟังธรรม ส่วนชนทั้งหลายอื่น อาจฝันร้าย เช่น ฝันเห็นตนเหมือนถูกพวกโจรล้อมเหมือนถูกฝูงสัตว์ทำอันตรายเอา เป็นต้น ความฝัน ๔ อย่าง เหล่านี้ เกิดแก่ทุกคนได้ ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะท่านละวิปลาส (ความเห็นคลาดเคลื่อนจากความจริง) ได้แล้วท่านย่อมไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น<O</O
ที่อาตมาได้นำเรื่องเหตุที่เราฝันมากล่าวไว้ เพื่อให้ท่านผู้ได้ทราบ จะได้ไม่ต้องไปหาหมอดูให้เสียเงินเสียทองจะได้ไม่วิตกกังวลกับเรื่องที่ตนเองฝันเห็นมากเกินไป ทำให้ไม่สบายใจต่าง ๆ เพราะความฝันอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ การกระทำของเราในปัจจุบัน (กรรมปัจจุบัน) นั่นเอง ที่จะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา ถ้าเราทำกรรมดีในปัจจุบัน ย่อมประสบแต่ความสุขความเจริญกรรมชั่วยอมให้ผลได้ยาก ตรงกันข้าม ถ้าเราทำกรรมชั่วในปัจจุบัน ย่อมประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนต่าง ๆ <O</O
<O</O
“ อยากได้ดี ไม่ทำดี นั้นมีมาก<O</O
ดีแต่อยาก หากไม่ทำ น่าขำหนอ<O</O
อยากได้ดี ต้องทำดี อย่ารีรอ<O</O
ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเลย ”<O</O<O</O
<O</O
คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ?<O</O
เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙<O</O
พิมพ์โดย สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์



ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara.htm

 

พิจารณาดูนะครับ

 

บางอย่างก็ลืมไปแล้ว เช่น ลิง ตะขาบ แม่ชี