ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ถามทันที มาแล้ว !! หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล พ้น ICU แล้วหรือยัง?

    ถามอีก กับคุณเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เมื่อพระเจ้าเฉียนหลงทรงยอมรับสถานะของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในช่วงปีสุดท้ายของรัชกาล ภายหลังจากทรงพยายามอยู่หลายปี รัชกาลที่ 1 จึงทรงตระหนักดีว่าคงเป็นการยากที่จีนจะยอมรับการเปลี่ยนวงศ์กษัตริย์ใหม่ของสยามอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่จีนเพิ่งยอมรับสถานะราชวงศ์ธนบุรีไปไม่นาน และราชวงศ์จักรีคงต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบปี กว่าที่จีนจะยอมรับรองและแต่งตั้งเช่นเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเผชิญมา

    พระราชสาส์นฉบับแรกของพระองค์ที่ส่งไปเมืองจีนใน ค.ศ. 1782/พ.ศ. 2325 จึงระบุไว้ชัดเจนว่าพระองค์เป็น ‘พระราชโอรส’ ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยทรงเล่าให้ทางจีนทราบว่า ‘เจิ้งเจา พระบิดาประชวรถึงแก่พิราลัย’ ส่วนพระองค์คือ ‘เจิ้งหัว’ [แต้ฮั้ว – ภาษาแต้จิ๋ว] ผู้ได้รับการมอบหมายจากพระราชบิดาให้ปกครองดูแลอาณาประชาราษฎร์…”

    นั่นก็คือรัชกาลที่ 1 ไม่ได้ทรงอ้างว่าเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ใหม่ แต่เป็นการสืบราชสมบัติต่อเนื่องกันมา ทำให้สมมติฐานที่ว่า “พระเจ้าตากทรงกู้เงิน 60,000 ตำลึงจากประเทศจีน” ไม่เป็นความจริงนั่นเอง

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ภาพปัจจุบันของ อดีต "หอจันทร์วิเศษ" (宝月楼) สร้างโดยจักรพรรดิเฉียนหลง ราชวงศ์ชิง เมื่อค.ศ.1758 เป็นสำนักเลขานุการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบัน กับคำขวัญกำแพงภาพ อิ๋งปี้ ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม เปรียบเทียบกับประตูซินหัวเหมิน ชื่อที่ถูกเปลี่ยนในสมัยเป็นที่ตั้งของรัฐบาลชั่วคราว หยวนซื่อไข่ สมัยปฏิวัติสาธารณรัฐ

    ข้อความบนภาพเป็นลายมือของ ผู้นำเหมาเจ๋อตง

    “伟大的中国共产党万岁”、
    " 为人民服务"
    “战无不胜的毛泽东思想万岁”

    แปลความหมายได้ว่า

    พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยิ่งใหญ่จงเจริญ!
    “伟大的中国共产党万岁!”

    ปณิธานรับใช้มวลประชา
    " 为人民服务"

    แนวความคิด ไม่มีสงครามไหนที่ไม่ชนะ ของเหมาเจ๋อตงจงเจริญ!
    “战无不胜的毛泽东思想万岁!

    ถือได้ว่า เป็นกำแพงภาพของ "ชนชั้นกรรมมาชีพ" ที่บรรจงแก้ไขโดยผู้นำ ที่มาจากระบอบการปกครองที่แตกต่างกัน

    อ่านเรื่องของหอจันทร์วิเศษ จงหนานไห่



     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เมื่อครั้งที่ผู้เขียนได้พบกับอาจารย์จูชุนเซวียน ปรมาจารย์มวยไท่จี๋รุ่นที่ 6 เป็นครั้งแรกนั้น ท่านได้กล่าวกับผู้เขียนว่า

    “มวยไท่จี๋ วงกว้าง วงกลาง วงแคบ ก็ดี รำสูง รำกลาง รำต่ำ ก็ดี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย จริตนิสัย และอายุ ด้วย”

    เดิมทีผู้เขียนเองยังนึกสงสัยว่าท่านตอบแบบเสียไม่ได้ แต่เมื่อได้ศึกษากับท่านและฟังท่านอธิบายถึงหลักการต่อจากนั้น ซึ่งเป็น”หลักเดียว”และมาลองฝึกฝนตามจึงพบว่า แนวทางที่ท่านสอนนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นวงกว้าง กลาง แคบ จนถึงไม่มีวง ได้จริง

    หลักเดียวที่ว่านี้คืออะไร?
    นั่นก็คือ อินหยางเกื้อหนุนกัน(阴阳相济) อันเป็นปรัชญารากฐานของมวยไท่จี๋ เช่น มวยวงกว้าง ใช้หลัก อินสุดก่อให้เกิดหยาง หยางสุดก่อให้เกิดอิน , มวยวงกลางใช้หลักในอินมีหยางในหยางมีอิน , มวยวงแคบใช้หลักอินหยางแปรเปลี่ยน เป็นต้น โดยหลักที่กล่าวมานี้ไม่ใช่ท่าทางภายนอก

    ท่านจึงมักกล่าวกับผู้เขียนว่า ถ้าเข้าใจอินหยางอย่างแท้จริง ทุกท่ามวยก็จะมีอินหยาง เมื่อสัมผัสมือกับอีกฝ้ายก็จะมีอินหยาง ซึ่งเป็น อินหยางที่เกื้อหนุนกัน ไม่ใช่การแบ่งอินแบ่งหยางไปคนละทาง

    จึงเป็นที่มาว่า ทำไมมวยไท่จี๋สายวังหย่งเฉวียนจึงมี”หลักเดียว” แต่พอเราเห็นท่ามวยอาจารย์วังหย่งเฉวียนก็จะเห็นเป็นวงกว้าง เห็นท่ามวยศิษย์แต่ละคนของท่านก็เห็นว่าเป็นวงกลางบ้างแคบบ้าง แท้ที่จริงท่ารำของสายท่านนั้นแทบจะไม่มีใครรำเหมือนกันเลย เพราะทุกคนรำจากหลักการที่ใช้”ภายใน” และชุดมวยของสายท่านจึงไม่มีแบ่งเป็นชุดวงต่างๆ แต่วงต่างๆจะพัฒนาไปตามความเข้าใจของผู้ฝึก บ้างก็ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพร่างกายและจิตใจในแต่ละวัน

    ในส่วนของแรงต่างๆ เช่น เผิง หลี่ว์ จี่ อั้น ไฉ่ เลี่ยะ โจ่ว เค่า จนถึงแรงพิสดารอีก 30 แรงนั้น ท่านได้สาธิตให้ผู้เขียนดูพร้อมอธิบายว่า “แรงของมวยไท่จี๋ จริงๆนั้นมีแรงเดียวเช่นกัน นั่นคือ แรงไท่จี๋(太极劲) ส่วนที่ตำราเขียนแตกแยกย่อยออกไป นั่นเป็น การแปรเปลี่ยน ไม่ใช่หลักการ” ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยถามอาจารย์วังหย่งเฉวียนว่า เผิง หลี่ว์ จี่ อั้น จะฝึกอย่างไร ท่านอาจารย์วังได้ยกมือสองมือขึ้นเป็นท่าเผิง แล้วบอกว่า นี่แหละคือ เผิง หลี่ว์ จี่ อั้น

    จริงอยู่ว่าฝึกวิทยายุทธจีนให้ได้ดีต้องใช้เวลา แต่ถ้าเข้าใจหลักการและเห็นเป้าหมายชัดเจน เวลาจะสั้นลงไปอีกมาก

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    (12 ก.ค.) #สรุป ข่าวสำคัญ เรื่องเด่นประเด็นร้อน และยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในญี่ปุ่น เมื่อวาน (11 ก.ค.) (00:00-24:00 น.)

    #ดราม่า ประเด็นร้อน ตอนนี้คือ คำพูดของนาย สุกะ เลขาธิการครม. ซึ่งไปพูดที่ฮอกไกโดว่า

    「コロナ再拡大は東京の問題」

    “โควิดระบาดครั้งที่สองเป็นเรื่องของโตเกียว”

    รวมทั้งกล่าวชมของฮอกไกโดถึงความสามารถในการควบคุมเวฟสองได้จากความร่วมมือของคนในท้องถิ่น

    จากคำพูดของนายสุงะ กลายเป็นประเด็นร้อนว่า พาดพิงค่อนแคะแม่โคอิเคะ ผู้ว่าโตเกียวหรือไม่?

    ✒️อย่างที่แอดเคยบอกค่ะ รัฐบาลมี #โลกสองใบ โตเกียวติด ไม่เกี่ยวกับที่อื่น เราแยกกันอยู่นะคะ ‪( ˙-˙ )✧‬ จังหวัดปริมณฑล (ไซตามะ คานางาวะ ชิบะ) คงคิด “#ถามตรูยัง” นิดนึง

    แต่ที่แน่ ๆ Go to Campaign โปรแกรมสนับสนุนให้เที่ยวของรัฐบาล ไปต่อนะคะ เริ่ม 22 ก.ค. นี้ ใครพร้อมไปเที่ยว เชิญอ่านรายละเอียดได้ที่นี่นะคะ

    ⚠️ข้อควรระวัง: ติดเชื้อกลับมา โดนบีบให้ออกจากที่ทำงาน ...ก็จะเป็น #ทำตัวเอง 自業自得 (จิโกจิโทขุ) แทน // อันนี้บอกไว้ก่อน #ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ค่ะ ถ้าจะไปก็ป้องกันตัวเองให้เต็มที่ // แอดมั่นใจในวิจารณญาณของชาวเพจทุกคนค่ะ

    ✒️ตอนแรกแอดว่าจะไปโอกินาว่าช่วยชาติญี่ปุ่น แต่เจอโตเกียวติดเยอะ ซ้ำข่าวเมื่อวาน.....ติดในฐานทัพสหรัฐที่โอกินาว่าเกิน 60 ราย เบรคอยู่บ้านไปยาว ๆ ค่ะ

    ✒️ลุ้น Japan Model “เศรษฐกิจนำ ป้องกันโรคตาม” กันต่อนะคะ ถ้าไปได้สวย โลกจะต้องจารึกไว้ ถ้าไม่สวยก็อาจจะสวีเดนโมเดลค่ะ

    ———————-

    #ดราม่าวงการบันเทิง อีก 1 อัน ก็หนีไม่พ้น ละครเวที ที่ตอนนี้มีคนติดเชื้อรวมแล้ว 20 ราย ทั้งนักแสดงและผู้ชม

    ชื่อ THE★JINRO―イケメン人狼アイドルは誰だ!!― : เดอะจินโร ไอดอลคนไหนคือ หมาป่าแปลงกายหนุ่มหล่อ!! โดยมีดาราอย่างยามาโมโตะ ยูซุเกะ แสดงนำ

    จัดช่วง 30 มิ.ย. - 5 ก.ค. ที่ผ่านมา

    สปอร์ตนิจิ เปิดเผยว่า แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามีคนป่วยอยู่ แต่ก็ยังฝืนแสดงต่อ รวมไปถึง เป็นอีเวนต์เน้นขายคนหล่อ ดังนั้น จึงมีการจับมือ เซ็นลายเซ็น กับแฟน ๆ ที่มาดักรอด้วย จึงเป็นเหตุของการเกิดคลัสเตอร์ดังกล่าว

    ——————

    ข่าวการติดเชื้อ

    ยอดผู้ติดเชื้อเมื่อวาน +386 ราย // หายแล้ว +100 ราย // เสียชีวิต +1 ราย // ต้องรักษา +285 ราย

    โตเกียวเมื่อวานพบผู้ติดเชื้อ 206 ราย เกิน 200 เป็นวันที่ 3
    - อายุ 10-89 ปี
    - คนหนุ่มสาวรุ่น 20-39 ปี เกือบ 70% (144 ราย)
    - ไม่มีคนอาการหนัก // ไม่แสดงอาการเลย เกือบ 20 ราย
    - 101ราย หาต้นตอไม่พบ
    - ชินจูกุ 42 ราย อิเคะบุคุโระ 2 ราย
    - 105 ราย เป็นผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ

    จาก 206 ราย:
    - 48 ราย เป็นคนกลางคืน (บาร์โฮสต์ / นั่งดริงก์)
    - ‍‍‍ 17 ราย ติดจากคนในครอบครัว
    - 9 ราย ติดจากการไปสังสรรค์ทานอาหารกับเพื่อน

    - นอกจากนี้ยอดสะสมรวม 20 ราย จากคนที่ไปชมละครเวที และ ผู้เกี่ยวข้อง (อ่านด้านบน)

    โตเกียว เคสน่าเป็นห่วงคือ เคสเนอร์สเซอรี่ที่เด็กติดกันเยอะมากที่เขตบุนเคียว รวมแล้วเด็ก 20 ราย ครู 2 ราย อ่าน >>

    ————

    ⛩ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุเกินพันปีที่ จ. กิฟุล้ม ไม่มีผู้ไดได้รับบาดเจ็บ เหตุฝนตกหนัก (อ่านในภาพ)

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    สรุปยอดรวมโควิดของวันที่ 11 ก.ค. (เมื่อวาน) 24 ชม. [ตัวเลขใช้ของ NHK นะคะ อาจจะไม่เท่าในภาพ]

    ⚠️ยอดเรือไดมอนด์แยกจากยอดในประเทศเนื่องจาก WHO ไม่ให้นับรวม แต่คนลงจากเรือไปแล้วนะคะ

    ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ (+386)
    ในประเทศเพิ่ม 386 ราย รวม 21,584 ราย
    ยอดสะสมจากเรือไดมอนด์ 712 ราย
    รวมยอดสะสมในประเทศและเรือไดมอนด์ 22,296 ราย

    ✝️เสียชีวิต (+1)
    ในประเทศ เสียชีวิตเพิ่ม 0 ราย รวม 983 ราย
    ยอดสะสมจากเรือไดมอนด์ 13 ราย
    รวมในประเทศและเรือไดมอนด์ 996 ราย

    อาการหนัก (ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ)
    ในประเทศ 33 ราย
    เรือไดมอนด์ 1 ราย
    รวมในประเทศและเรือไดมอนด์ 34 ราย

    ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
    ในประเทศ 17,849 ราย
    ยอดสะสมจากเรือไดมอนด์ 658 ราย
    รวมในประเทศและเรือไดมอนด์ 18,507 ราย

    จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่
    1. โตเกียว 243 ราย
    2. ไซตามะ 35 ราย / คานางาวะ 35 ราย
    3. โอซาก้า 28 ราย
    5. ชิบะ 13 ราย
    6. เกียวโต 9 ราย / ฟุกุโอกะ 9 ราย
    7. นาระ 7 ราย
    8. คาโกชิมะ 5 ราย /เฮียวโกะ 5 ราย
    9. วาคายามะ 4 ราย / มิยางิ 4 ราย
    10. ฮิโรชิมะ 3 ราย
    11. ⚓️นางาซากิ 2 ราย / โอกินาวะ 2 ราย / ไอจิ 2 ราย
    12. ด้านล่างคือ จังหวัดละ 1 ราย
    อาโอโมริ ฮอกไกโด
    ⛩มิเอะ นีกาตะ

    ✈️สนามบิน 13 ราย
    ———-

    หลีกเลี่ยงพื้นที่ 3 แน่น : แน่นแฟ้น แน่นขนัด แน่นหนา

    ดาวน์โหลดแอพเตือนว่า “เคย” เข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ หรือ โกโก้ (COCOA = COVID-19 Contact-Confirming Application)
    วิธีดาวน์โหลดมีทั้ง iOS และ Android
    >>
    ⚠️เวลาใช้ต้องเปิด Bluetooth เท่านั้น

    ———

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
    #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #COVID19 #โควิด19

    ภาพ/ข่าว/ข้อมูล :
    NHK
    https://www3.nhk.or.jp/news/special/coronavirus/

    NewsDigest

    Mainichi https://headlines.yahoo.co.jp/hl?a=20200711-00000050-mai-pol
    SportsNichi https://news.yahoo.co.jp/articles/0048c8d2043822a2261b7bfa1b8504337d5c3d76

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ข่าวโอตาคุ #ข่าวสั้น ตัดสินแล้ว #C99 คอมิเกะฤดูหนาวปีนี้ไม่จัด !

    ✒️กำลังคุยเรื่องจัดช่วง GW 2021



    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #คอมิเกะ #โควิด

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #กินไปกับแอด พักอารมณ์ก่อนเพจจะกลายเป็นเพจโควิดไปเสียก่อน วันนี้แอดเอารูปน้องหมีมาฝากค่า

    พอดีพี่สาวฝาชีส่ง #โอะจูเก็ง 御中元 O-chuu-gen หรือ ของขวัญกลางปีมาให้ค่ะ

    ที่ญี่ปุ่นแบ่งปีเป็นสามส่วน โดยจะแบ่งเป็น 6:3:3
    ตามความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของจีน
    上元 ต้นปี โจเก็ง 15 ม.ค. (ปฏิทินเก่า) หรือ ต้นเดือนก.พ. - ต้น มี.ค.
    中元 กลางปี จูเก็ง 15 ก.ค. (ปฏิทินเก่า) หรือ ต้นเดือนส.ค. - ต้นก.ย.
    下元 ปลายปี คะเก็ง 15 ต.ค. (ปฏิทินเก่า) หรือ ต้นเดือนพ.ย. - ต้น ธ.ค.

    ที่ญี่ปุ่นมีธรรมเนียมการส่งของขวัญกลางปีเพื่อเป็นการขอบคุณ โดยแต่ละพื้นที่อาจจะเริ่มช่วงเวลาต่างกัน ในคันโตส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณปลายมิถุนา - 15 ก.ค. ค่ะ ส่วนคันไซนั้นบางทียาวไปถึงโอบ้ง หรือ 15 ส.ค. เลยค่ะ

    ☀️ถ้าเลย 15 ก.ค. ไปแล้ว คันโตมักจะเปลี่ยนคำป้ายชื่อเป็น 暑中御見舞 (しょちゅうおみまい Sho-chuu-o-mi-mai) โชะจูโอะมิไม แทน หรือ “การเยี่ยมช่วงหน้าร้อน”

    ของขึ้นชื่อที่ชอบส่งกัน มักจะเป็นของกินค่ะ ส่งเนื้อดี ๆ ก็ได้ แต่ผลไม้มักจะเป็นของที่ส่งกันเยอะ เมล่อนแพง ๆ ก็มักส่งกันช่วงนี้นะคะ

    [การตอบกลับ] ส่วนใหญ่ถ้าผู้ใหญ่ได้รับจากผู้น้อย จะไม่ตอบคืนเป็นของ แต่อาจเป็นรูปแบบอื่น ส่วนถ้ารับจากคนเท่า ๆ กัน เช่น เพื่อน พี่น้อง เราจะส่งของกลับไปเช่นกันค่ะ ซึ่งแอดก็ส่งกลับไปเรียบร้อย

    ✒️ ใครได้รับอะไรกันบ้างเอามาโชว์บ้างนะคะ

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #คุยกับแอด #อ้วนไปกับแอด

    ข้อมูล: https://www.takashimaya.co.jp/shopping/gift/summergift/FA16262/

    https://ja.m.wikipedia.org/wiki/三元

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ข่าวสั้น (12 ก.ค. ) ผู้ว่าโยชิมุระแห่งโอซาก้าทวีตเลื่อนขั้นเตือนโควิดสู่ “ระดับไฟเหลือง” (เฝ้าระวัง) หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้น

    โดยจะปฏิบัติตามขั้นตอนที่วางไว้ และจะมารายงานให้ทุกท่านทราบภายหลัง

    สำหรับขั้นตอน (ภาษาอังกฤษ) แอดแนบเอกสารมาเป็นรูป 2 อันหลังแล้วนะคะ เนื่องจากละเอียดมาก ขออนุญาตไม่แปลเป็นไทยนะคะ ใครสงสัยอะไรถามได้ค่า

    เครดิต:



    http://www.pref.osaka.lg.jp/kikaku_keikaku/sarscov2/20kaigi.html

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
    #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #COVID19 #โควิด19

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สรุปจากแถลงข่าวของจุฬาฯเรื่องการพัฒนาวัคซีน covid-19

    1.การพัฒนาวัคซีนบ้านเราไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ทุกมหาลัยแพทย์ของบ้านเราที่วิจัยเรื่องวัคซีนกันอยู่ จับมือกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพื่อให้งานวิจัยไปไวที่สุด

    2.ขั้นการทดลองในหนูทดลอง หลังฉีดวัคซีนในหนูทดลอง มีการสร้างแอนตี้บอดี้ หรือ ภูมิคุ้มกัน ในร่างกายหนูในระดับที่สูงน่าพึงพอใจ ตอนแรก ฉีดเข็มแรกให้หนู ภูมิขึ้นมาหน่อยนึง แค่นี้ก็น่าพอใจใช้ได้ แต่พอฉีดเข็มที่สองในเดือนต่อมา ภูมิขึ้นสูงมาก

    3.ระหว่างที่ทดลองในหนู ระหว่างรอผล ก็เริ่มการทดลองในลิงไปด้วยเลยในเวลาไล่เลี่ยกัน ใช้วิธีแบบเดียวกับหนู คือฉีดสองเข็ม เข็มแรกเข็มสองห่างกันหนึ่งเดือน ผลคือ ภูมิต้านทานขึ้นสูงมากเช่นเดียวกันกับที่ทดลองในหนู ในภาพจะเป็นระดับของภูมิต้านทานในลิงสามกลุ่ม คือ ได้วัคซีนโดสสูง โดสต่ำ และไม่ได้รับวัคซีน และไม่พบผลข้างเคียงจากวัคซีนในลิงทดลองแต่ประการใด

    4.สเต็ปต่อไป คือการผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการทดลองในมนุษย์ จะเริ่มเดือนนี้แล้ว และจะเริ่มการทดลองในมนุษย์เฟสแรกช่วงเดือนตุลา โดยต้องการอาสาสมัครประมาณร้อยคน
    จากนั้นเฟสต่อไป ช่วงเดือนธันวาจนถึงปีหน้า ต้องการอาสาสมัคร 500-1000 คน และเฟสสาม ทดลองในอาสาหมื่นคน จากนั้นถ้าทุกขั้นตอนผ่านฉลุย ก็น่าจะอนุมัติให้ใช้ในคนได้ ประมาณปลายปี 21 (ซึ่งถือว่ากระบวนการเร็วมากกกกกก สำหรับการผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในคน)

    5.ปัจจุบันมีประเทศ/สถาบันวิจัย ที่กำลังวิจัยวัคซีน covid-19 อยู่ 18 แห่ง ความก้าวหน้าของบ้านเราอยู่ระดับต้นๆ มีเพียง 4 แห่งที่ก้าวหน้ากว่าไทยตอนนี้ ถ้าเราไม่มีการวิจัยวัคซีนแบบนี้ พอวัคซีนสำเร็จ จีน อเมริกา สองประเทศนี้จะได้วัคซีนใช้ก่อน ส่วนบ้านเรา อาจต้องรอหลังโรคระบาดสงบกว่าวัคซีนจะมาถึง แต่ถ้าขั้นตอนการวิจัยวัคซีนของเราเร็วขนาดนี้ ก็น่าจะได้ใช้วัคซีนเร็วกว่านั้นเยอะ โอ้วเยส

    6.ระหว่างนี้ป้องกันตัว ด้วยการใส่หน้ากาก และทำ social distancing ไปพลางๆจนประมาณ 2022 ตอนนั้นวัคซีนน่าจะพร้อมหมดแล้ว

    ข้อมูลจาก

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "เพราะความสวย รอไม่ได้"

    แต่ "เจ้าหนี้" ก็รอไม่ได้เช่นกัน!!

    ล่าสุด "วุฒิศักดิ์คลินิก" ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นที่เรียบร้อย

    เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนสนใจอย่างมาก

    จากธุรกิจที่ได้ชื่อว่าเป็น "ดาวรุ่งพุ่งแรง" และเป็นต้นแบบแห่งคลินิกเสริมความงามของไทย ที่จะขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ

    ผ่านไปไม่ถึงสิบปี กลายเป็นธุรกิจที่ไปไม่รอดเสียอย่างนั้น

    ตลอดเส้นทางมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะพาคุณย้อนเรื่องราวตั้งแต่อดีต มาจนถึงวันนี้ครับ...


    [จุดกำเนิดคลินิกเสริมความงามชื่อดัง...]

    ย้อนไปในช่วงประมาณปี พ.ศ.2545

    กลุ่มเพื่อน 3 คนซึ่งประกอบไปด้วย นายแพทย์วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช, ณกรณ์ กรณ์หิรัญ และ พลภัทร จันทรวิเมลือง มองเห็นโอกาสของธุรกิจเสริมความงาม

    พวกเขาตัดสินใจก่อตั้ง "วุฒิศักดิ์คลินิก" สาขาแรกในย่านงามวงศ์วาน

    ในยุคสมัยที่กระแสนิยมด้านความสวยงามกำลังเปลี่ยนไป ก่อนหน้านั้นจะจำกัดอยู่เฉพาะผู้หญิงบางกลุ่มเท่านั้น

    แต่พอคนเริ่มมีเงินจับจ่ายใช้สอย แถมเทรนด์ดูแลตัวเองกำลังมา ก็กลายเป็นว่าทั้งผู้หญิง ผู้ชาย หรือเพศไหนๆ ก็นิยมมาใช้บริการ

    ซึ่งวุฒิศักดิ์คลินิก ก็ใช้กลยุทธ์เด็ดในการนำดารา คนดัง มาเป็นพรีเซนเตอร์ สร้างจุดเด่นให้กับแบรนด์

    แล้วก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดคลินิกความงามในยุคนั้น

    จากสาขาแรก ขยายเป็น 10 แล้วก็กลายเป็น 100 สาขาได้ในเวลาประมาณ 10 ปี

    แล้วก็ขยายกิจการนอกจากคลินิกเสริมความงาม มีคลินิกศัลยกรรม มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง


    [เปลี่ยนมือสู่บริษัทใหญ่]

    การเติบโตของวุฒิศักดิ์คลินิก ทำให้ในปี พ.ศ. 2557 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อหุ้น EFORL

    ยอมควักเงินลงทุน 3,500 ล้านบาท ซื้อกิจการวุฒิศักดิ์คลินิกเข้ามา

    แผนการลงทุนในตอนนั้นก็คือ..

    ในปี พ.ศ. 2558 เมื่อเปิดเสรีอาเซียน วุฒิศักดิ์คลินิกจะขยายสาขาเพิ่มทั้งไทย และในประเทศเพื่อนบ้าน เร่งการเติบโตสร้างกำไรมากยิ่งขึ้น

    ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนจะไปได้สวย ในปีนั้นน่าจะเป็นปีที่ธุรกิจรุ่งเรืองที่สุด

    วุฒิศักดิ์คลินิกมีสาขาในไทย 120 สาขา สาขาในพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม อีก 11 สาขา


    [การเสื่อมถอยของวุฒิศักดิ์]

    แผนหลังจากนั้นก็คือ EFORL จะผลักดันบริษัทย่อยที่ซื้อมาอย่าง "บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด" เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น

    ถ้าการเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ จะได้เงินมาทั้งใช้หนี้ให้กับกิจการ และขยายสาขาใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น


    แต่ปรากฏว่า.. ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง

    หลังจากนั้น รายได้ของวุฒิศักดิ์คลินิก ลดลงอย่างรวดเร็ว

    อ้างอิงจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตอนที่เข้าซื้อกิจการ ปี 2557 บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป รายได้ 2,900 ล้านบาท กำไร 70 ล้านบาท

    ในปี 2560 ทำรายได้ประมาณ 480 ล้านบาท ขาดทุน -660 ล้านบาท

    ในปี 2561 ทำรายได้ประมาณ 365 ล้านบาท (ไม่ส่งงบขาดทุน)

    ในปี 2562 ทำรายได้ประมาณ 160 ล้านบาท (ไม่ส่งงบขาดทุน)


    สาเหตุที่รายได้ลดลงนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการปรับรูปแบบธุรกิจ จากการบริหารสาขาเอง มาเป็นรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งทำให้บริษัทรับรู้รายได้แค่ค่า Royalty fee เท่านั้น

    อีกส่วนหนึ่ง คือการแข่งขันอย่างดุเดือดของตลาดคลินิกเสริมความงาม ที่เปิดขึ้นเยอะมากในช่วงหลัง

    ทำให้วุฒิศักดิ์คลินิก หลายๆ สาขาอยู่ไม่ได้ต้องปิดตัวลงไป ซึ่งเกิดขึ้นกับทั้งสาขาที่บริหารเอง และแฟรนไชส์ด้วย

    จากจำนวน 120 สาขาของวุฒิศักดิ์คลินิกเมื่อ 4-5 ปีก่อน ลดลงมาเหลือเพียง 49 สาขาในปีล่าสุดเท่านั้น


    [สู่การขอฟื้นฟูกิจการ...]

    จากเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งขันที่มากขึ้น กระแสความนิยมที่เปลี่ยนไป หรือการบริหารงานที่ผิดพลาดเอง

    ซ้ำกับวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้ต้องมีปิดบริการไปเป็นเวลานาน มาซ้ำเติมบาดแผลทางธุรกิจให้เลวร้ายลงไปอีก

    จนกระทั่งวุฒิศักดิ์คลินิกยื้อต่อไม่ไหว ต้องยื่นเรื่องขอฟื้นฟูกิจการในที่สุด

    หลังจากนี้ต้องติดตามกันว่า..

    วุฒิศักดิ์คลินิก จะสามารถผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ กลับมาเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อีกครั้งหรือไม่!?

    หรือสุดท้ายจะล้มละลาย เหลือไว้เพียงชื่อของ "วุฒิศักดิ์" เป็นตำนานแห่งธุรกิจคลินิกเสริมความงามในไทย


    และทิ้งวลีฮิต "เพราะความสวย รอไม่ได้!!" ที่แม้จะใช้มาตั้งแต่สิบปีก่อน แต่ก็ยังถูกคนยุคนี้ เอามาใช้พูดติดปากกันอยู่ตลอด

    แม้คนเหล่านั้น จะไม่ได้เข้าไปใช้บริการคลินิกแห่งนี้แล้ว ก็ตามที..


    -----------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คุณเคยมีสิ่งที่ฝันไว้ แต่ไม่ได้ลงมือทำมันหรือเปล่า..!?

    Elon Musk แห่ง Tesla อาจไม่ใช่เจ้าของบริษัทรถยนต์สุดบ้าระห่ำเป็นคนแรก ที่กล้าขึ้นมาต่อกรกับค่ายเจ้าตลาด

    เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ก็เคยมีชายที่ฝันจะทำธุรกิจรถยนต์แข่งกับยักษ์ใหญ่มาแล้ว

    ที่สำคัญ.. ชายคนนั้นก็ดูจะบ้าระห่ำไม่แพ้กันด้วย!!


    หลายคนคงรู้จักรถประตูปีกนก "DeLorean DMC-12" จากภาพยนตร์ดังในตำนาน Back to the Future

    แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่า รถคันดังกล่าว คือผลงานของ John DeLorean วิศวกรมืออาชีพ

    ซึ่งนอกจากจะทำรถแล้ว เรากลับพบว่าประวัติเขาดูน่าสนใจกว่านั้น

    เพราะนี่คือเรื่องของชายคนหนึ่ง กับความฝันในการได้ "ทำบริษัทรถยนต์" เป็นของตัวเอง

    แต่น่าเสียดาย ที่มันไม่ได้มีบทสรุปสวยงามแบบภาพยนตร์เลย..


    [เด็กหนุ่มที่เกิดมาเพื่อสร้างรถ..]

    ย้อนกลับไปในปี 1925 เด็กหนุ่ม John Zachary DeLorean ลืมตามาดูโลก

    ด้วยความที่พ่อของเขาทำงานเป็นช่างของ Ford เด็กน้อย John ก็เลยมีความหลงใหลด้านยานยนต์มาตั้งแต่เด็ก

    เขาคลุกคลีกับงานของพ่อ ทำงานช่างเป็น และมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์เป็นอย่างดี จึงตัดสินใจเรียนต่อสายนี้

    จนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมยานยนต์ เขาก็ได้เข้าทำงานกับบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ General Motors


    แม้จะเป็นคนมีความสามารถ แต่ John DeLorean ก็ถูกมองว่ามีแนวคิดการทำงาน และทำตัวค่อนข้างต่างจากพนักงานทั่วไป

    ทั้งการไม่ค่อยสนใจกฎหยุมหยิม ไม่แต่งตัวตามเครื่องแบบ นำเสนอไอเดียแปลกใหม่ ไปจนถึงทำงานทับสายงานอื่น

    อย่างไรก็ตาม เขามีส่วนสำคัญในการสร้างรถยนต์แบรนด์ Pontiac ให้สร้างยอดขายได้ดีขึ้น

    ส่งผลให้เขาก้าวหน้าในสายงานอย่างรวดเร็ว จนขึ้นสู่ตำแหน่งบริหาร

    ถึงขั้นที่ว่าตอนอายุ 45 ปี เขาได้รับค่าจ้างเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน อยู่ที่เดือนละ 3.6 ล้านบาท

    และนั่นก็ยังไม่รวมโบนัสอีก 87 ล้านบาทต่อปี ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน เฟื่องฟูถึงขีดสุด

    แต่นั่นแหละ.. ด้วยความเป็นคนนอกกรอบ ไม่ค่อยแคร์กฎหรือสังคมของเขา ได้นำปัญหามาสู่ตัว

    ครั้งหนึ่งเขาอึดอัดในการทำงาน จนถึงขั้นวิจารณ์ปัญหาภายในของ General Motors ออกสื่อ จนเป็นผลให้ต้องกระเด็นออกจากบริษัทในที่สุด

    พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยคำพูดของเขาที่ว่า "สภาพของบริษัท ไม่เอื้อต่อการให้ผมสร้างสรรค์อะไรดีๆ ที่อยากทำ.."


    [จากผู้บริหาร สู่เจ้าของธุรกิจรถ]

    ในปี 1973 ไม่นานหลังจากที่เสียงานเดิมไป เจ้าตัวก็ออกไปเปิดบริษัทรถยนต์ของตัวเอง

    นี่นับเป็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นมาก เพราะในสมัยนั้นการตั้งบริษัทรถขึ้นมาใหม่ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์และชื่อเสียงของ DeLorean เขาก็ใช้วิธีการสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง (อาจจะคล้ายกับที่ Elon Musk ทำในยุคนี้)

    ด้วยความร่วมมือจากนักออกแบบ Ferrari ที่เขาชวนมา ในที่สุดก็สามารถทำรถยนต์ต้นแบบออกมาได้

    แล้วเขาก็เอารถต้นแบบ มาจัดแสดงให้สื่อมวลชนกับคนที่สนใจ จนรวบรวมเงินทุนได้สูงถึง 500 ล้านบาท

    ต่อมาคือการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์นอกสหรัฐฯ โดยไปตั้งที่ Belfast ของไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งกำลังมีสงครามกลางเมืองอยู่ และไม่มีใครกล้าไปลงทุน

    การตัดสินใจบ้าระห่ำแบบนั้น เพราะเขามองว่าเกิดความขัดแย้ง มีแต่คนตกงาน และอยากหางานทำเต็มไปหมด ทำให้ประหยัดค่าจ้างแรงงาน

    ซึ่งเขาก็คาดไม่ผิด โรงงานนั้นช่วยให้คนในพื้นที่มีรายได้ และมีชื่อเสียงขึ้นมาในแถบนั้น

    สงครามกลางเมืองแทบจะไม่ค่อยมีผลกับโรงงาน เพราะเมื่อคนทั้งสองฝ่ายมองว่าโรงงานไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ก็ไม่มีใครมาทำอะไรโรงงาน


    การผลิตเริ่มดำเนินไป และในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำให้รถยนต์ต้นแบบ ออกมาเป็นรถยนต์วิ่งจริงๆ ได้

    ตอนที่รถ DeLorean DMC-12 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ รถคันนี้ถูกใจผู้คนเอามากๆ จนรายชื่อผู้สั่งซื้อยาวเหยียดเกินกว่าที่ตัวแทนจำหน่ายจะรับไหว

    อนาคตของ DeLorean ดูจะสดใส... โดยที่ไม่รู้ว่า หายนะกำลังจะมาเยือน!!


    [เมื่อการสร้างบริษัทรถยนต์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ]

    การสร้างรถยนต์สักคัน มันอาจจะเป็นเรื่องง่าย

    แต่การผลิตรถยนต์เพื่อขายในปริมาณมากนั้น เป็นเรื่องที่ยากกกกกกกก เสียเหลือเกิน

    การผลิตรถ DeLorean เกิดปัญหาทางเทคนิคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น..

    ชิ้นส่วนรถมักจะไม่ลงรอยกันโดยสมบูรณ์ ตัวประตูรถผลิตได้ยาก ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ไม่ได้ดีตามที่คาดหวัง

    และมาตรฐานของรถที่ออกมาทุกคัน ก็ยังไม่ค่อยจะได้มาตรฐานสูงเท่ากันอย่างที่เขาตั้งเป้าเอาไว้


    และก็เหมือนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ Tesla ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008

    ถ้า DeLorean ขายรถได้ตามเป้า ก็จะมีเงินมาหมุนในธุรกิจเพียงพอ

    แต่เมื่อบริษัทของเขา ส่งมอบรถยนต์ได้น้อยกว่าที่คิดไว้ ก็ไม่มีรายได้เข้ามาพอที่จะจ่ายค่าจ้างพนักงาน และประคับประคองให้โรงงานผลิตต่อไป

    เช่นเดียวกับ Elon Musk ที่พยายามวิ่งเต้นหาผู้สนับสนุนทุกวิถีทาง จนกระทั่ง Daimler มาช่วยซื้อหุ้นของบริษัท Tesla

    John DeLorean ก็พยายามทุกทางเช่นกัน ทั้งรัฐบาลอังกฤษ บริษัทเงินทุน ค่ายรถยนต์อื่นๆ

    แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีใครอยากจะอัดฉีดเงินให้กับธุรกิจยานยนต์เล็กๆ ที่ใกล้ล้มละลายนี้


    [ทางแยกที่ไม่มีวันหวนกลับ..]

    เมื่อรายได้ไม่พอจ่าย คนงานก็เริ่มไม่พอใจ นำไปสู่การประท้วงและยึดโรงงานครั้งใหญ่

    สำหรับ DeLorean นี่คือธุรกิจในฝันที่เขาไม่อยากให้มันล้ม และจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือมัน

    ซึ่งเขาก็.. ยอมทำทุกทางโดยไม่สนถูกผิดแล้ว


    ในเดือนตุลาคม ปี 1982 เขานั่งอยู่ในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านเมืองลอสแอนเจลิส

    วันนี้เขามีนัดกับ "คนรู้จัก" ที่เสนอจะแลกโคเคนมูลค่า 1,000 ล้านบาท กับการเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจของเขา

    ถ้าเขาสามารถปล่อยโคเคนมหาศาลขนาดนั้นต่อได้ เขาก็ได้เงินมาหมุนอีกมาก

    แต่.. เขากลับพบว่านี่คือกับดัก เมื่อ FBI เข้ามาในห้อง พร้อมแสดงตัวจับกุมเขา


    เขาสู้คดีเป็นเวลากว่า 2 ปี พร้อมกับทนายที่ยืนยันว่าสิ่งที่ FBI ทำนั้นไม่ถูกต้อง

    ด้วยเหตุผลว่า เจ้าหน้าที่คนที่ล่อซื้อเขานั้น รู้ว่าเขามีปัญหาทางการเงิน จึงลวงมาเพื่อทำการซื้อขายโคเคนกัน ซึ่งเป็นการจับกุมที่ไม่เป็นธรรม

    ในที่สุด ศาลก็ตัดสินให้เขาไม่มีความผิดในปี 1984


    แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว..

    ในระหว่างที่รอศาลตัดสินคดีความ ชีวิตของ DeLorean ก็ค่อยๆ พังทลายลงไปต่อหน้าเขา

    ตัวเขาเองต้องเลิกกับภรรยา

    บริษัทที่สร้างขึ้นมา ไม่มีเงินหล่อเลี้ยง แล้วก็กลายเป็นธุรกิจล้มละลาย

    เขาไม่มีทั้งเงิน อำนาจ หรือแม้แต่ครอบครัวอีกต่อไป


    [รถยนต์ที่กลายเป็นอมตะ..]

    ช่วงบั้นปลายชีวิต มีข้อมูลว่าแม้ John DeLorean จะใช้ชีวิตแบบเงียบๆ แต่เขาก็ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวัน ในการสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

    จนกระทั่งในปี 2005 ตอนอายุครบ 80 เขาก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ในอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ของเขา


    อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขาที่ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ Back to the Future ที่ออกฉายปี 1985 นั้น ก็ช่วยปลุกกระแสของรถยนต์รุ่นนี้ขึ้นมา

    มันโด่งดังถึงขนาดที่ว่า ในปี 1995 มีคนอังกฤษที่เป็นแฟนคลับ ก่อตั้งบริษัท DeLorean Motor Company ขึ้นมาใหม่ และซื้อต่อโลโก้ DMC มาใช้ด้วย

    ปัจจุบัน DeLorean Motor Company แห่งใหม่นั้นก็ยังอยู่มาถึงปัจจุบัน โดยมีสินค้าหลักคือ "รถสีเงินประตูปีกนก" ในตำนานคันนั้น

    แม้ตัวผู้สร้าง John DeLorean จะจากโลกนี้ไป

    แต่รถยนต์คันนั้น ก็ได้กลายเป็นตำนานไปตลอดกาลแล้ว..


    -----------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คุณเคยคิดรึเปล่าครับ ว่าทำธุรกิจอะไรถึงจะมีรายได้ปีละเป็นพันๆ ล้าน!?

    อาจจะต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด?? หรือต้องเป็นสินค้าหายากราคาแพงงั้นหรือ!?

    แต่รู้หรือไม่ว่า บางที อาหารใกล้ๆ ตัวเรา อย่างหมูหยอง หมูยอ กุนเชียง นี่แหละ ถ้าใส่ใจและทำธุรกิจให้ดี ก็สร้างยอดขายระดับพันล้านได้ด้วย

    เราจะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องราวของ ส. ขอนแก่น ธุรกิจที่ทำอาหารธรรมดาๆ ให้ไม่ธรรมดาขึ้นมาได้สำเร็จ..


    [1. ส. ขอนแก่น ที่ไม่ได้มาจากขอนแก่น!??]

    คุณอาจจะไม่รู้ว่า ส. ขอนแก่น ไม่ได้เป็นบริษัทที่มีต้นกำเนิด จากจังหวัดขอนแก่นหรอกนะ

    เรื่องราวนั้นเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2527

    เมื่อคุณเจริญ รุจิราโสภณ สังเกตว่าคนกรุงเทพนั้น เวลาไปเที่ยวขอนแก่น ก็ชอบซื้อสินค้าพื้นเมืองอย่าง หมูหยอง หมูยอ กุนเชียง กลับมาฝาก หรือมาขายกัน

    ทำให้คุณเจริญ มองเห็นช่องทางการค้า และเกิดไอเดียทำอาหารแปรรูปขาย ด้วยเงินลงทุน 300,000 บาทในตอนนั้น

    ซึ่งแบรนด์ “ส. ขอนแก่น” เป็นคำที่ย่อมาจาก “สินค้าจากจังหวัดขอนแก่น” แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนของฝากจากขอนแก่นจริงๆ

    ในที่สุดผลิตภัณฑ์ของ ส. ขอนแก่น ก็ได้วางตลาดครั้งแรกในปี 2529


    [2. ก้าวสู่บริษัทระดับประเทศ]

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ 8 ปีหลังจากก่อตั้งธุรกิจ ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดี

    จนกระทั่งในปี 2537 คุณเจริญก็สามารถนำบริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้

    บริษัทสามารถผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 มาได้

    จากนั้นก็ขยายช่องทางตลาด ส่งสินค้าพื้นเมืองของไทย ไปขายทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

    รวมถึงการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ให้ครอบคลุมสินค้าอื่นๆ นอกจากสินค้าเนื้อหมูแปรรูป ไม่ว่าจะเป็น..

    เพิ่มสินค้าอย่างอาหารทะเลแปรรูป ลูกชิ้นปลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

    ทำขนมขบเคี้ยวอย่าง “หมูแผ่นกรอบ” มาวางขายในร้านสะดวกซื้อ

    ทำอาหารแช่แข็ง ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์คนสมัยใหม่ที่ชอบซื้อไปเก็บ แล้วค่อยเอามาอุ่นรับประทาน

    รวมถึงการเปิดร้านอาหาร ทั้งร้านส้มตำไก่ย่าง และข้าวขาหมู เพื่อเพิ่มช่องทางการขายไปยังห้างสมัยใหม่


    [3. ปัญหาทุกอย่าง ไม่ได้มีไว้ให้หนี แต่มีไว้ให้แก้!!]

    จุดน่าสนใจอย่างหนึ่งของ ส.ขอนแก่น ก็คือความพยายามในการจัดการกับปัญหาที่เข้ามา ตลอดช่วงเวลากว่า 35 ปีที่เปิดกิจการ

    ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาราคาวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อหมู ถ้าหมูแพงไป ก็จะทำให้รายได้ลดลง ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดฟาร์มหมูขึ้นมาเอง ในปี 2538

    ต่อมาในปี 2550 แม้จะส่งสินค้าไปขายในประเทศแถบเอเชียได้ แต่กลับเจอปัญหายุโรปไม่รับสินค้าเนื้อหมู ที่ผลิตนอก EU

    เมื่อเจอข้อกีดกันแบบนี้ แทนที่จะหลีกเลี่ยงไม่ส่งไปขาย บริษัทกลับรุกไปเข้าซื้อโรงงานถึงประเทศโปแลนด์ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสินค้า

    ถ้าไม่รับสินค้าข้างนอก ก็เจาะเข้าไปผลิตในทวีปเสียเลย แล้วก็ทำให้มีสินค้า “ส. ขอนแก่น” วางขายในยุโรปได้สำเร็จ!!


    [4. บริษัทขายหมู ที่รายได้ปีละเป็นพันล้าน]

    รายได้ของ บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) นั้น จากระดับ 1,500 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีก่อน

    เพิ่มขึ้นมาเป็นรายได้ 2,864 ล้านบาท และมีกำไร 112 ล้านบาท ในปีล่าสุด


    โดยรายได้ของบริษัทในปี 2019 แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบไปด้วย…

    ธุรกิจอาหารพื้นเมือง เช่น หมูยอ กุนเชียง รายได้ 1,219 ล้านบาท สัดส่วน 43%

    ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ลูกชิ้นปลา) รายได้ 932 ล้านบาท สัดส่วน 33%

    ธุรกิจจำหน่ายสุกร รายได้ 248 ล้านบาท สัดส่วน 8.7%

    ธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมทาน รายได้ 186 ล้านบาท สัดส่วน 6.5%

    ธุรกิจร้านอาหาร รายได้ 143 ล้านบาท สัดส่วน 5.0%

    ธุรกิจขนมขบเคี้ยวจากหมู รายได้ 107 ล้านบาท สัดส่วน 3.7%


    จะเห็นได้ว่าสินค้าดั้งเดิมของบริษัท ก็ยังคงได้รับความนิยมจนเป็นรายได้หลักของธุรกิจอยู่

    ซึ่ง ส. ขอนแก่น ในปัจจุบันซึ่งมีมูลค่ากิจการประมาณ 1,600 ล้านบาท ก็ยังคงผลิตสินค้า อย่างที่เคยทำมาตั้งแต่ในอดีตเกือบ 40 ปี

    และเป็นข้อคิดที่น่าสนใจว่า..

    ต่อให้มันดูเป็นของธรรมดาๆ ใกล้ตัว ถ้าเราตั้งใจทำมันให้ดี เราก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้เช่นกัน!!


    -----------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    โควิดถล่มโรงเรียนนายร้อยอินโด ติดเชื้อเกือบ 1,300คน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว เพราะเหตุใด "โรคโควิด-19" จึงยังแพร่ระบาดหนักอยู่อีก บทวิเคราะห์ชิ้นนี้มีคำตอบที่รวบรวมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายคนจากทั่วทุกมุมโลกมาไขคำตอบให้ทำความเข้าใจกัน

    ทั่วโลกต่างเป็นประจักษ์พยานการพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่พุ่งทะยานรายวันไม่หยุด จนสถิติผู้ป่วยสะสมทั่วโลกในช่วงสัปดาห์นี้จะทะลุเกิน 13 ล้านรายเข้าไปแล้ว

    สถิติผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศจำเป็นต้องระงับแผนผ่อนคลายมาตรการจำกัดด้านการใช้ชีวิตของประชาชนและการทยอยเปิดภาคเศรษฐกิจไว้ก่อน และต้องกลับมาดำเนินมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งในหลายเมือง ตั้งแต่ทางยุโรปตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้โรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ ยังเผชิญกับจำนวนผู้ป่วยที่ล้นเกินรับอีกครั้ง ราวกับเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าจะเกิดการระบาดระลอกใหม่ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นอีก

    เกือบครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคโควิด-19 ทว่าบางประเทศยังคงดิ้นรนหาหนทางลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อขณะผลักดันนโยบายปลดล็อกก่อนเวลาอันสมควรไปพร้อมกัน บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญกล่าว

    เมื่อทั่วโลกเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติการเพื่อยุติการระบาดใหญ่อย่างถาวร เป็นวงกว้าง และอิงข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์

    สถิติใหม่วันแล้ววันเล่า

    สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคร้ายนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 3 ล้านราย รองลงมาคือ บราซิล ซึ่งมีผู้ป่วยเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ

    ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยรัฐทั้งหมด 50 แห่ง เริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์บางส่วนในเดือนพฤษภาคม และกำลังเผชิญการกลับมาของผู้ป่วยใหม่ โดยมีรัฐฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัสที่สร้างสถิติผู้ป่วยใหม่รายวันสูงสุดอีกครั้ง

    ฟลอริดาทำสถิติผู้ป่วยรายวันทะลุ 10,000 รายจนดันยอดสะสมสูงกว่า 200,000 รายแล้ว ขณะที่โรงพยาบาลมากกว่า 40 แห่งในรัฐแห่งนี้ เปิดเผยว่ามีการรับผู้ป่วยแผนกไอซียูจนเต็มขีดจำกัดแล้วเมื่อวันอังคาร (7 ก.ค.) หน่วยงานท้องถิ่นหลายแห่งถูกบังคับให้ปิดชายหาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ไม่ใส่หน้ากากและไม่รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเหมาะสม

    สถานการณ์ที่ว่าน่าขนหัวลุกสักเพียงใด ก็อาจยังไม่เท่ากับการได้เห็นของจริง โดยช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงกว่าที่มีการรายงานถึง 10 เท่า

    เมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนว่า “มีสถานการณ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในการเปิดรัฐและเมืองต่างๆ ในแง่ของการกลับสู่ภาวะปกติบางรูปแบบ ที่นำไปสู่การทำลายสถิติผู้ติดเชื้อครั้งใหม่ของสหรัฐฯ”

    แม้จะถูกโจมตีเรื่องการจัดการกับการระบาดใหญ่ที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ทว่าทำเนียบขาวยังคงยืนกรานหนักแน่นว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากการตรวจหาผู้ติดเชื้อที่มากขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายคนไม่ยอมรับคำกล่าวอ้างนี้

    โพลิติโก สื่อของสหรัฐฯ ระบุในบทความแสดงความคิดเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สหรัฐฯ ยังไม่เข้าใจความสำคัญของการตรวจหาผู้ติดเชื้อ จึงไม่อาจยุติการระบาดใหญ่ในช่วง 6 เดือนได้

    “นักการเมืองที่กล่าวถึง ‘จำนวนผู้เข้ารับการทดสอบที่สูงขึ้น’ และ ‘อัตราการเสียชีวิตและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ลดลง’ ว่าเป็นสัญญาณที่ดี ล้วนแต่พยายามบิดเบือนความเป็นจริง” โรเบิร์ต สคูลลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ สาขาโรคติดเชื้อและสาธารณสุขทั่วโลก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว “ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การทดสอบที่เพิ่มขึ้น”

    “เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้ช้าเกินไป และหน่วยงานรัฐไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งหายนะอันเกิดจากการระบาดใหญ่นี้” โรเบิร์ต ลอว์เรนซ์ คุห์น ประธานมูลนิธิคุห์น กล่าว

    สมดุลที่เปราะบาง

    ยังมีอีกหลายเมืองในประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจปลดล็อกก่อนเวลาอันควร และผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุม เช่น รัฐบาลในภูมิภาคทางตอนเหนือของสเปนที่จำต้องกลับมาบังคับใช้มาตรการจำกัดช่วงสุดสัปดาห์อีกครั้ง เพื่อยับยั้งการเกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ขณะที่รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ประกาศล็อกดาวน์ 6 สัปดาห์เมื่อวันอังคาร (7 ก.ค.) รวมถึงประกาศปิดพรมแดนของทั้งประเทศ

    ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อใหม่ในตะวันออกกลาง ซึ่งบางประเทศพยายามที่จะกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งพร้อมออกมาตรการป้องกันที่ไม่มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำลายสมดุลที่เปราะบางระหว่างการปลดล็อกและการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสที่รัฐบาลจำเป็นต้องแสดงบทบาทชี้นำ ต้องมีการสังเกตการณ์ ความรอบคอบ และความเพียรของทุกฝ่ายทั่วประเทศ

    ด้านตุรกีพบตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. หลังการเปิดพื้นที่สาธารณะในวันที่ 1 มิ.ย. โดยขณะนี้ตุรกียังคงพบผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 1,000 รายต่อวัน จึงจำเป็นต้องบังคับใช้คำสั่งสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ

    “เหตุผลที่ผู้ป่วยใหม่รายวันของเรามีมากกว่า 1,000 ราย นั่นเพราะพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎ” ฟาห์เรตติน โคกา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกีกล่าวเมื่อวันจันทร์

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมารัฐบาลอิสราเอลได้ออกข้อจำกัดหลายประการรวมถึงการปิดยิม บาร์ ไนต์คลับ และสถานที่จัดกิจกรรม รวมถึงจำกัดจำนวนผู้มานมัสการในโบสถ์ หลังผ่านพ้นการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเพียงไม่กี่สัปดาห์

    “เราจำเป็นต้องบังคับใช้กฎระเบียบเหล่านี้ หลังจากเห็นการชุมนุมของผู้คน 1,000 คนที่ไม่สวมหน้ากาก ผู้คนยังรักษาระเบียบวินัยไม่มากพอ และรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการอย่างแข็งขัน” ซีริล โคเฮน รองคณบดีคณะธรรมชาติ มหาวิทยาลัยบาร์-อิลาน กล่าวถึงการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในอิสราเอล

    จีนา ทัมบีนี ตัวแทนประเทศโคลัมเบียในองค์การสุขภาพของภาคพื้นอเมริกา (PAHO) ได้ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่หลากหลายของแต่ละเมืองในแต่ละประเทศ และแนะนำว่าไม่ควรผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลงจนกว่าความเร็วในการแพร่ระบาดจะอยู่ภายใต้การควบคุม

    “รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลระดับชาติจะต้องยอมให้การเปลี่ยนแปลงของการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นเป็นตัวกำหนดเวลาในการวางมาตรการต่างๆ และการปลดล็อก โดยมีเป้าหมายคือทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดใดๆ ” เธอกล่าว

    ขาดความร่วมมือ

    นอกจากการบังคับใช้แนวทางต่างๆ จากหน่วยงานท้องถิ่นแล้ว การปลดล็อกอย่างชาญฉลาดและรอบคอบ อีกทั้งความร่วมมือระดับโลกที่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส

    อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระบาดใหญ่กลับพยายามแยกตัวออกจากความร่วมมือระดับโลก โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ส่งแถลงการณ์ประกาศถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปยังองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีค่าเท่ากับการถอนตัวออกจากทั่วโลกท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

    ระหว่างที่สถานการณ์ระบาดใหญ่ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้ออกมากล่าวว่า ทุกประเทศที่ยังเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 จะต้องปรับวิถีชีวิตใหม่ให้เข้ากับโรคร้ายนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    “เราได้เห็นการกระทำที่แสนอบอุ่นจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งความพยายามเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ ความสร้างสรรค์ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความเมตตา แต่ขณะเดียวกัน เรายังเห็นสัญญาณมากมายเกี่ยวกับการสร้างมลทิน การบิดเบือนข้อมูล และการโยงไวรัสเข้ากับการเมือง” ผอ.องค์การอนามัยโลกระบุ

    สี่เฉิน ศาสตราจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล และประธานของหน่วยงานวิจัยนโยบายด้านสุขภาพและการจัดการของจีน ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่า “เรากำลังประสบกับโลกาภิวัตน์อันปราศจากธรรมาภิบาลระดับโลก ซึ่งเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ในการเผชิญกับโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงเฉกเช่นโควิด-19”

    เฉินเรียกร้องให้มีการปรับปรุงความร่วมมือระดับโลกในการต่อสู้กับการระบาดใหญ่ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การติดตามและตรวจจับไวรัส การรายงานข้อมูลให้แก่องค์การนานาชาติอย่างทันท่วงที การแบ่งปันข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และการแบ่งปันประสบการณ์ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19

    “มาตรการการรักษาระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากในจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก ทำให้การแพร่กระจายของไวรัสช้าลงอย่างมีประสิทธิภาพ” เขากล่าว

    อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวในงานฉลองวันวิสาขบูชา 2020 ที่จัดขึ้นทางออนไลน์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า มีเพียงความร่วมมือระหว่างประเทศเท่านั้นที่ “จะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตการณ์นี้”

    “ด้วยการเสริมสร้างสัมพันธ์ระหว่างสังคมเท่านั้นที่จะช่วยฟื้นฟูสถานการณ์ของเราให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังจะช่วยสร้างโลกที่แข็งแกร่ง เท่าเทียม ยั่งยืน ยืดหยุ่น และเป็นธรรมยิ่งขึ้น” เลขาธิการยูเอ็น สรุปปิดท้าย

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อินเดียพบผู้ป่วยโควิด-19 วันเดียวเกือบ 3 หมื่นคน

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อดีตนักยุทธศาสตร์ทำเนียบขาว เผยมีนักวิทย์เชี่ยวชาญจากห้องแล็บอู่ฮั่นและที่อื่นๆ ในจีน แปรพักตร์จากจีน มาอยู่กับฝ่ายชาติตะวันตก ตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.63 หลังโควิด-19 ระบาดจากอู่ฮั่น

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นิด้าโพล เผยผลสำรวจระบุ คนยังไม่เห็นด้วยเปิดให้ต่างชาติเข้าประเทศ ชี้ ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลป้องกันระบาดรอบ 2 ได้ หวั่น Travel Bubble นำโควิด-19 เข้าไทย

    วันที่ 12 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง "เราจะเปิดให้ต่างชาติเข้าประเทศหรือไม่" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 6-8 ก.ค.ที่ผ่านมา จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,251 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเปิดให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นอนหลับฝันดีครับ ราตรีสวัสดิ์
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศจีนส่งผลกระทบต่อประชาชนเกือบ 38 ล้านคนในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ฝนตกชุกถึง 141 คนในปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563

    "ณ วันที่ 12 กรกฎาคม ประชาชน 37.9 ล้านคนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใน 27 ภูมิภาครวมถึงจังหวัดของมณฑลเจียงซี อันฮุย หูเป่ย และหูหนาน 141 คนเสียชีวิตหรือสูญหาย และมีผู้อพยพ 2.25 ล้านคน" .

    น้ำท่วมได้ทำลายอาคารมากกว่า 28,000 อาคารและค่าใช้จ่ายของความเสียหายนั้นอยู่ที่ประมาณ 82.2 พันล้านหยวนเทียบเท่ากับ 11.7 พันล้านดอลลาร์

    ระดับการตอบสนองต่อน้ำท่วมของประเทศได้รับการยกระดับจากระดับ III เป็นระดับ II ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอันดับสอง แม่น้ำหลายสายรวมถึงแม่น้ำแยงซีได้ขยายตัว (เพิ่มระดับ)/หลังจากฝนตกหนักหลายสัปดาห์

    https://sputniknews.com/asia/202007...aves-38-million-affected-141-dead-or-missing/

    Unprecedented severe floods in China have affected nearly 38 million leaving 141 dead or missing after weeks of torrential rain authorities in Beijing said on Sunday, July 12, 2020.

    "As of 12 July, 37.9 million people have been affected as a result of floods in 27 regions, including the provinces of Jiangxi, Anhui, Hubei, and Hunan. 141 people are either dead or missing, and 2.25 million people have been evacuated".

    The flooding has destroyed more than 28,000 buildings and the cost of the damage has been estimated at 82.2 billion yuan equivalent to $11.7 billion dollars.

    The country’s flood response level has been raised from level III to level II, the second highest level. Many rivers, including the Yangtze, have swelled following weeks of torrential rain.

    https://sputniknews.com/asia/202007...aves-38-million-affected-141-dead-or-missing/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #เมื่อศาลตุรกีตัดสินให้อาคารมรดกโลกเป็นสุเหร่า
    #ปมฮาเกีย_โซเฟีย
    #สมบัติชาติvsสมบัติโลก

    เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลตุรกีดำเนินการตัดสินให้ ฮาเกีย โซเฟีย วิหารศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 1500 ปี ในสมัยอาณาจักรไบเซนไทน์ ในยุคคริสเตียน ที่เคยได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เปลี่ยนสถานะเป็นสุเหร่า

    ประวัติคร่าวๆของวิหารแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ จัสติเนียนที่ 1 แห่งอาณาจักรไบเซนไทน์ ในปี ค.ศ. 532 เพื่อใช้เป็นโบสถ์คริสต์
    นิกายออร์โธด็อกซ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวคริสต์ใจกลางกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในสมัยนั้น

    ด้วยความงดงาม อลังการด้วยภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรมของคนยุคโบราณ ที่เนรมิตให้เกิดเป็นอาคารทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งความรุ่งโรจน์ เรืองปัญญาในยุคไบเซนไทน์เลยทีเดียว

    แต่พอมาถึงยุคจักรวรรติออตโตมันเรืองอำนาจ ได้ยกทัพมายึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในสมัยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ในปีค.ศ. 1453 เมื่อพิชิตได้แล้วก็เปลี่ยนชื่อจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เป็น อิสตันบูล

    แล้วท่านสุลต่านเมห์เหม็ด ก็จัดการเปลี่ยนโบสถ์ ฮาเกีย โซเฟีย ให้กลายเป็นสุเหร่า

    หลังจากเป็นสุเหร่ามาเกือบ 500 ปี ก็เข้าสู่ตุรกียุคใหม่ ได้ตัดสินใจเปลี่ยนสุเหร่าฮาเกีย โซเฟีย ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1934 เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนทุกชาติ ทุกศาสนาให้มีโอกาสเข้าชมความงดงามของวิหารโบราณได้ และกลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของอิสตันบูลที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมนับล้านในแต่ละปี

    แต่มาปีนี้ 2020 ภายใต้รัฐบาลไทยิป ราเซป แอโดแกน ได้เปลี่ยนฮาเกีย โซเฟีย กลับไปเป็นสุเหร่า

    จากคำตัดสินของศาลตุรกี ทำให้เกิดความเห็นร้อนแรงมากมาย ทั้งในระดับนานาชาติ และในโลกโซเชียล

    เพราะฮาเกีย โซเฟีย จัดเป็นมรดกโลก ที่มีความสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน หากต้องถูกปรับให้กลับเป็นสุเหร่า นักท่องเที่ยวศาสนาอื่นๆจะได้เข้าไปชมได้อย่างเดิมหรือไม่

    ฝ่ายที่คัดค้านก็ว่า สถานที่นี้เป็นมรดกโลก ก็ควรเป็นสมบัติของมวลมนุษยชาตินะ ไม่ใช่สมบัติชาติของตุรกี ที่จะตัดสินให้เป็นสถานที่เฉพาะคนศาสนาใด ศาสนาหนึ่ง

    แต่ฝ่ายสนับสนุนก็แย้งว่า เป็นสุเหร่าแล้วเป็นยังไง ในเมื่อสถานที่นี้ก็เคยเป็นสุเหร่ามาตั้งหลายร้อยปี และศาลตุรกีก็ตัดสินแล้ว เพราะฉะนั้น นี่คือเรื่องภายในประเทศตุรกี ที่ต่างชาติไม่ควรแทรกแซง

    เถียงกันไปมา ก็เริ่มแซะพาดพิงประเทศอื่น

    บ้างก็ว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ท่านสุลต่านแอโดแกน ต้องการกระตุกหนวดท่านพระเจ้าซาร์ปูติน เพราะ ฮาเกีย โซเฟีย เคยเป็นโบสถ์คริสต์ออร์โธด็อกซ์ ซึ่งปัจจุบันรัสเซียเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรนิกายนี้

    แต่บางส่วนก็ว่า แทนที่จะมาสนใจบทบาทที่เปลี่ยนไปของฮาเกีย โซเฟีย เอาเวลาไปใส่ใจประเด็นมุสลิมชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักกันนับล้านที่เมืองจีนดีกว่าไหม

    แต่บางคนก็ว่า ตุรกีพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหรือเปล่า การที่จะตัดสินเปลี่ยนให้สถานที่ ที่เป็นมรดกโลก ให้กลายเป็นมัสยิดโดยพลการจะได้เหรอ

    แต่ทางตุรกีก็แย้งว่า อ้าว! ทีเมื่อปี 2019 ศาลอินเดียยังใช้อำนาจศาลสั่งให้ยกที่ดินที่เคยเป็นที่ตั้งมัสยิด บาบาร์รีย์ ในเมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศ ให้กลายเป็นวัดฮินดูได้เลย ทำไมตุรกีแค่เปลี่ยนพิพิธภัณฑ์ กลับไปเป็นมัสยิดจะทำไม่ได้หล่ะ

    ก็เถียงกันไป แขวะกันมา วุ่นวาย แต่ก็เอาเป็นว่า ทางตุรกีเขาก็มีเจตนารักษาวิหารทรงโดมโบราณ ในบทบาทใหม่ ที่อาจจะมองว่าเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากชาวมุสลิมในประเทศก็แล้วแต่ ก็น่าจะดูแลเป็นอย่างดี ให้อยู่คู่กับชาวอิสตันบูลชั่วลูก ชั่วหลาน

    แต่สำหรับนักท่องเที่ยว จะได้มีโอกาสเข้าไปชมได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีนะคะ ☺

    แหล่งข้อมูล

    https://www.aljazeera.com/news/2020...que-divides-social-media-200711104417533.html

    https://www.aljazeera.com/news/2020...ting-hagia-sophia-mosque-200710135637861.html

    https://www.france24.com/en/20191109-india-s-supreme-court-approves-hindu-temple-on-disputed-land

    https://en.m.wikipedia.org/wiki/Hagia_Sophia

    https://en.m.wikipedia.org/wiki/Russian_Orthodox_Church

     

แชร์หน้านี้

Loading...