ดูจิต ห่างๆ ดูยังไง????

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย 5A, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. 5A

    5A สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมสงสัยตรงหลวงพ่อบอกว่าให้ดูใจดูกายอยู่ห่างๆไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เหมือนนั่งดูฟุตบอลบนอัศจรรย์ ดูเฉยๆปล่อยให้ กาย กับ ใจ(หรือจิต) มันเล่นไป เราตามรู้เฉยๆ ตามคลิปน่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ ลองดูคลิปให้จบก่อนนะครับ

    คืออย่างนี้ครับ ผมพอทราบว่าหลวงพ่อท่าน มีกรณีพูดถึงอย่างไรกันบ้าง แต่ผมสนใจตรงการสอนของท่านมากกว่า บอกตามตรงว่าการสอนของท่านดีนะครับ เรื่องดูจิตดูกายใช้จิตดูอยู่ห่างๆดูอย่างเดียว มันออกแนวคนที่รู้จักจิตตัวเองแล้วนะครับ (สรุปแล้วดูอยู่ห่างๆคืออะไรครับ)

    ขอถามทุกท่านที่รู้และเข้าใจว่า ถ้าเราตามดู ก็แปลว่าไม่ทันแล้วซิครับ

    หรือนี่เป็นอุบายชั้นยอดที่ทำให้ทันกัน ทุกท่านมีความเห็นอย่างไรครับ

    ขอบคุณ

    ดูจิต ด้วยความรู้สึกตัว 3 - YouTube
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  2. lg786ls

    lg786ls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +9
    การที่ตามดูบ่อยๆ จะเป็นผล ต่อเมื่อมีใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลางในการดูครับ
    เมื่อตามดูบ่อยๆจะเกิดความเป็นกลางมากขึ้นครับ จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา
    อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ดับไปเมื่อหมดเหตุ และต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ให้ต่อเนื่อง
    จึงจะส่งผลให้เกิดสมาธิในขณะที่ใช้ชีวิต ประจำวันครับ หลังจากนั้น
    เมื่อถึงเวลานั่งสมาธิจะทำให้มีกำลังพอที่เข้าสมาธิ และพิจารณาวิปัสสนาได้อย่างถูกต้องครับ
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สติ คือการระลึกรู้ นั่นหมายความว่ายังไง ก็หมายความว่า มันไม่ก่อน ไม่หลัง มันรู้ที่ปัจจุบัน คุณระลึกรู้ตอนนี้ก็ได้...เหมือนพระสูตรที่ว่า จิตมีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ...นั่นหมายถึง โทสะต้องเกิดแล้ว...ส่วน จิตไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ นั่นคือรู้ว่าปัจจุบัน จิตเราอยู่ในสภาวะใด.....ส่วนคำว่าห่างห่าง นั้นหมายถึงการไม่ได้เพ่ง ไม่ได้รอ...ถ้ากาย เวทนา จิต ธรรม ก็สามารถดูได้เลย (ตอนนี้เลย)รูปกายนั่งก็รู้ รูปนั่ง(ไม่ใช่เรา).....เฉยเฉย(เวทนา)ก็รู้....มันแล้วแต่คุณจะระลึกรู้อะไร.....ถ้าดูกายก็เป็นกายคตาสติ ถ้ารู้ลมก็เป็นอานาปานสติ ถ้ารูู้จิตก็เป็น จิตตานุปัสนาสติปัสฐาน.....ก็เพียรทำให้มากเจริญให้มาก เพื่อรู้ รูป-นาม ตามความเป็นจริง:cool:
     
  4. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    หลวงพ่อท่านพูดถึงการแยกจิตออกจากร่างกายเนื้อ ว่าร่างกายเนี้อนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต โดยมีสติเป็นผู้คอยเป็นพี่เลี้ยงช่วยจิตรู้อีกชั้นหนึ่ง ว่ามีสติตามรู้ว่าร่างกายอยู่ห่าง จากจิต คือรู้ว่าจิตกับกายเนื้อเป็นคนละอัน โดยจิตรู้และมีสติตามช่วยรู้อยู่ ฯ ครับผม ฯ

    และคงไม่ได้หมายความว่า สติจะอยู่ห่างจิต หรอกนะ เพราะถ้าสติอยู่ห่างจิตเมื่อไร ก็เท่ากับว่าขาดสติในการรู้ คือต้องอยู่ในขณะเดียวกับกับจิต และรู้สิ่งต่าง ๆ หรืออารมณ์นั้น ๆ พร้อมกับจิต และสติในที่นี้ก็หมายถึงสัมปชัญญะด้วย ฯ

    พี่เลี้ยง เลี้ยงเด็ก ต้องจับตามองเด็ก ๆ ที่กำลังซนทุกขณะที่เด็กยังไม่หลับ แม้แต่หลับแล้วก็ต้องดูอยู่อย่างนั้น
    เพื่อป้องกันอันตรายจะเกิดแก่เด็กโดยอุบัติเหตุฉันใด
    จิตนี้ซนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะเฝ้าดูเช่นนั้นเหมือนกัน จึงจะปลอดภัย ฯ

    พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสทุกคำไม่ผิด เพราะพระองค์มีสติสมบูรณ์ทุกขณะจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ในความเป็นจริง ที่เราเห็นกัน ก็คือที่สติปัฎฐานสี่ เรียกว่า จิตสังขาร ก็คืออารมณ์ที่จิตรู้ เช่น โทสะ ราคะ โมหะ ส่วนเวทนา ก็สุข ทุกข์ เฉยเฉย รูป ก็รูปกาย ยืน รูปกายเดิน รูปกายนั่ง..เจริญสติเพื่อระลึกสิ่งเหล่านี้....นี่คือสิ่งที่จิตรู้เท่านั้น มีสติเป็นเครื่องระลึกเวลา กาย เวทนา จิตสังขาร เกิดขึ้นมา ด้วยการรู้ของจิต.....การดูอยู่ห่างห่างที่ว่า ก็คือ ให้เห็น จิตผู้รู้ ส่วนหนึ่งมีหน้าที่ รู้ กายส่วนหนึ่ง รู้จิตสังขาร ส่วนหนึ่ง.......แยกให้เห็นการเกิด ขึ้นการตั้งอยู่ การดับไป และการเกิดขึ้นใหม่(การที่จิตรู้อะไร สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น สิ่งที่รู้เก่าก็ถือว่าดับไป)...เห็นความจริงของกายใจ รูป-นาม ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนสัตว์ เป็นเพียงสภาวะธรรมที่จิตรู้เท่านั้น และ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์...การเห็นด้วยจิตตั้งมั่น(ก็คือเห็นสภาวะที่ว่ามาโดยจิตนั้นไม่ได้ร่วมด้วย ด้วยการมีสติเป็นเครื่องมือสำคัญ) ทำให้ไม่เกิดยินดี ยินร้ายไปกับ กาย เวทนา จิตสังขารเหล่านั้น เพียงแต่รู้การ เกิดดับ เปลี่ยนแปลงของ สภาวะธรรม อยู่เท่านั้น ตามจริงเพื่อเข้าถึงไตรลักษณ์อย่างชัดเจน:cool:
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    จริงจริง ก็ คือการพิจารณา ขันธิ์ หรือการกระจายขันธิ์ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา(โดยเห็นตามความเป็นจริง) ตามแนว สติปัฎฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม...แต่โดยมากพระท่านก็สอนให้เจริญสติระลึกรู้จิตในจิต เพราะเวลาเกิดขึ้นมาเราจะรู้ได้ทันที(ราคะ โทสะ) ส่วนกายในกายนั้น ส่วนใหญ่ก็ระลึกรู้กันได้ไม่ยากอยู่แล้ว:cool:
     
  7. tastiny

    tastiny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +59

แชร์หน้านี้

Loading...