จุไรท่องเที่ยวดวงดาว-คัดลอกจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 15 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๒.จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 6

    ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลายมาตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง เมืองชินโลก หรือ โลกถุงดำ หรือ ดวงดาวถุงดำ กันต่อไปก็ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี อย่าลืมว่า เป็นนิทาน แต่ว่านิทานพระพูดก็ธัมมธัมโมที่น่ารำคาญผสมอยู่ด้วย เป็นของธรรมดาเพราะว่าสถานีวิทยุเขาถือว่า วันนี้เป็นรายการธรรมะ ก็ว่ากันเรื่อยๆ ไป เป็นธรรมะบ้างหรือเป็นอะไรบ้างก็ตามเรื่องเป็นนทานบ้างเป็นธรรมะไปบ้างแต่ว่าตอนท้ายๆ ธรรมะจะมากหน่อย เพราะเรื่องของโลกนี้มันหมด ถ้าคุยกันไปก็มีแต่เรื่องช้ำๆ เรื่องของคน

    แต่ก็มีจุดๆ หนึ่งเป็นของที่โลกเราก็มีนั่นคือเรื่อนกระจก ในน้ำในมหาสมุทรเขาก็มีทางลงจากบก เหมือนกับอุโมงค์รถลอดอุโมงค์จากนี้ไปโน่นนั่นแหละ เหมือนกับที่ฮ่องกงคือลอดจากอีกฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่งลอดมหาสมุทรไป ลงไปในน้ำไปถึงเรือนกระจก เรือนกระจกเขาสวยสดงดงามมากมีไฟฟ้าสว่าง มีแสงสว่างมากมีเครื่องยิงเครื่องยิงให้ปลาคือไม่ใช่ยิงปลา เครื่องยิงอาหารให้ปลา ไปชมปลาต่างๆ มีความสวยสดงดงามมีสีหลากๆ กัน ปลากับคนไม่เป็นศัตรูกัน เพราะคนไม่กินปลา ปลาก็เลยไม่กลัวคน ก็มีสถานที่บางจุด ถ้าคนจะออกไปว่ายน้ำเล่น ก็มีเครื่องประดาน้ำสำหรับหายใจได้ เพราะมันใต้ส่วนลึกของมหาสมุทรเขาก็มีเครื่องยิง ยิงปุ๊ปไปเหมือนกับทหารเรือยิงตอร์ปิโด แต่วายิงไปแล้วขากลับก็เข้ามาถึงจุดที่เข้าก็ดูดเข้ามาอันนี้เป็นของไม่ยากโลกนี้ก็ทำได้ โลกโน้นก็ทำได้


    แต่ว่าที่น่าแปลกใจก็คือ คนพูดไม่เคยลงเรือนกระจกในโลกนี้ แต่ก็ไปลงเรือนกระจกในโลกนั้น เรือนกระจกของเขามีมากจากเรือนนี้แล้ว ถ้าจะไปเรือนโน้นก็มีอุโมงค์ไป เป็นทางไปก็มียานสำหรับเป็นพาหนะเป็นรถย่อมๆ วิ่งไปได้ แล้วไปถึงเรือนโน้นแล้วก็ไปถึงเรือนโน้น เรื่องอาหารการบริโภคไม่ห่วง เขามีพร้อมระบบอากาศหายใจเขาก็ดี ไม่เห็นมีอะไร เข้าไปในเรือนกระจกก็ไม่ต้องใส่หน้ากากให้มีออกซิเจนไม่มีอะไรทั้งนั้น

    เดินกันแบบสบายๆ เพลิดเพลินจะพรรณนาความสวยสดงดงาม ดีไม่ดี ปลาในโลกชมพูเราอาจจะสวยกว่า เพราะว่าก็ไม่รู้จักปลาทุกประเภท ถ้าจะถามว่าเห็นปลาทำอันตรายกันไหม ก็ขอตอบว่าเห็น เพราะปลาไม่มีพระเทศน์สอนให้ปลาไม่ทำอันตรายกัน ก็มีปลาทำอันตรายกันก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นปลามาล้อมรอบเรือนกระจก รับอาหาร คนที่ไปทุกคนต่างคนต่างก็ซื้ออาหารให้กับปลา ใส่เครื่องยิงยิงไปแล้ว อาหารก็พุ่งออกไปกระจายออก แลาก็แย่งกันกินตามระเบียบของปลา

    จุดนี้จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร ถามเขาว่าเรือนกระจกยังมีอีกมากไหม ยังเห็นมีทางต่อไป เขาบอกว่ามีมากเพราะเมืองในมหาสมุทรเขาได้เปรียบ เขาไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้ามาชมเรือนกระจก ค่าพาหนะที่จะมาส่งที่จะส่ง เขาก็ไม่เก็บ แต่ว่าเขาขายอาหารที่ให้กับปลาคนจะเลี้ยงปลาต้องซื้ออาหารจากเขาและอาหารที่ซื้อก็รู้สึกว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับโลกเรา มันต่างกันเยอะราคาของเขาถูกมาก เพราะความเป็นอยู่ของเขาดี

    รัฐบาลเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บภาษีให้มาก เพราะบรรดาข้าราชการทั้งหมดข้าราชการเขาก็มีไม่มากอย่างของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่างเดียวก็เข้าไปเป็นแสนแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อบุคคลสูงเฉพาะเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงก็ยังแถมค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าห้องพักอีก นอกจากนั้นเครื่องอาวุธยุทธโธปกรณ์ก็ต้องมาก ก็ต้องจ่ายสตางค์แล้วยานพาหนะก็ต้องใช้ต้องใช้เยอะ ของเขาก็มียานพาหนะเหมือนกันแต่ว่ายานพาหนะของเขาไม่เปลืองสตางค์เพราะเขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้รังสีของแร่จะถามเขาว่า แร่อะไรเขาก็ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ถามไม่ได้ซัก เพราะเห็นว่าโลกเราใช้ยูเรเนียมเป็นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ของเขาอาจจะมีเหมือนเรา เราอาจจะมีเหมือนเขาก็ได้ ก็รวมความว่าไม่ได้ซักถามและจุดนี้อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าเที่ยว หลังจากนั้นก็กลับ

    เมื่อกลับขึ้นมาบนบกแล้วก็ชวนคนพาเจ้าของถิ่นว่า อยากจะขึ้นบนบกอีกฝั่งมหาสมุทรหนึ่งเขาก็บอกว่าเมืองเกาะมีมากจะไปแวะเมืองเกาะอื่นๆ ไหม ก็เลยบอกว่ามันมีสภาพแตกต่างกันไหม เขาบอกว่าแตกต่างกับบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็เหมือนกันก็เลยบอกว่า ถ้ามันเหมือนกันไม่ไปดูดีกว่า ไปดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะนำอะไรไปได้ของสักชิ้นหนึ่งที่มาที่นี่ก็ไม่มีโอกาสจะนำไป

    เขาก็บอกว่า เอ๊ะ ก็เหมือนพระที่ท่านเทศน์ก็เหมือนกัน คนเขาก็มีศรัทธาเมื่อฟังเทศน์แล้วก็ถวายอย่างโน้นถวายอย่างนี้ แต่เวลาพระท่านจะไป ท่านบอกว่าทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นที่ไหนให้อยู่ที่นั่น นั่นก็หมายความว่าท่านมอบไว้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าของวัด เจ้าของสถานที่พระศาสนา แล้วเจ้าของสถานที่พระศาสนาก็ทำการจัดสร้างบ้าง จักของ หาซื้อของใช้ต่างๆ นานา ก็รวมความว่ามีทุกอย่างเท่าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเมื่อกี้นี้ก็เพราะว่าเงินที่เหลือจากพระท่านเทศน์พระท่านเทศน์แล้ว ท่านก็ไม่ได้นำไป ก็เลยบอกเขว่า การที่ไม่นำไปของพระท่าน ท่านอาจจะไม่นำไปเพราะจิตเมตตาก็ได้ หรือท่านไม่สะสมทรัพย์สิน ท่านไม่มีความจำเป็นในทรัพย์สินก็ได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ไม่นำไปก็เพราะว่าแบกไปไม่ได้ขึ้นชื่อว่าวัตถุชนิดหนึ่งก็ไม่สามารถจะแบกไปได้

    เขาถามว่าถ้าอย่างนั้นมาที่นี่อยากได้อะไรบ้างก็เลขตอบเขาตรงไปตรงมาว่าการมาที่นี่ไม่ใช้อยากได้อยากรู้อย่างเดียวมีความอยากเหมือนกันอยากจะรู้ว่าไอ้ถุงดำในอากาศที่นักวิทยาศาสตร์เขามองเห็นมันคืออะไรกันแน่ เขาก็ย้อนถามว่าท่านเข้าใจถุงดำแล้วหรือยังก็บอกว่าเข้าใจแล้วเพราะว่าไปในอุ้งของถุงดำ ในท้องของถุงดำ เคยเห็นอะไรบ้ารงก็บอกว่าเรือบินก็เห็นยานพาหนะที่มีลักษณะกลมๆ อย่างของท่านมีก็เห็นแล้วก็ดวงดาวต่างๆ ที่ลอยเข้าไปก็เห็น เขาก็ถามว่าดวงดาวต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันไหม ก็บอกว่าดวงดาวที่เข้าไปมันคล้ายคลึงกันก็มี มีลักษณะแตกต่างกันก็มี ดวงดาวบางดวงดาวก็มีขุมทรัพย์อยู่กลังดวงดาวนั้นบนผิวโลก ถามเขาว่าที่นั่นท่านเคยไปไหม เขาบอกว่าถ้าบินรอบโลกนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านจุดนั้นเขาบอกว่าบินรอบจากสูงไปต่ำถ้าบินรอบข้างๆ ก็ไม่ต้องผ่านก็ถือว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่เที่ยวของคนโลกนี้ โอ้โฮ น่าอัศจรรย์

    ก็ถามเขาว่า เคยเห็นทรัพย์สินไหมเขาบอกว่าเคยเห็นถามเขาว่าไอ้ธาตุเหลืองๆ อร่ามที่นี่เขาใช้ไหม เขาก็บอกว่าใช้ ถามว่าท่านไปที่นั่น ไม่อยากได้ทองคำที่นั่นบ้างหรือเพราะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง อาจจะมีหลายโลกก็ได้ ขึ้นไปที่โลกต่างๆ เพียงแค่ ๓ โลกเท่าที่มองเห็นมันเกิน ๓๐๐ โลก อยากจะถามว่าท่านอยากได้ทองคำไหม เขาบอกว่าไม่เคยอยากได้เพราะพื้นผิวพิภพนี้ก็มีเยอะแล้วก็ถามเขาว่าพื้นพิภพนี้ทองคำเป็นวัตถุมีค่าสูง หรือว่าทองคำเป็นวัตถุมีค่าต่ำ เขาบอกว่าขึ้นชื่อว่าทองคำ โลกชมพูต้องการขนาดไหน เขาไม่ทราบแต่ทีนี่ถือเป็นมาตรฐานการเงิน

    การเงินต่างๆ แบงก์ต่างๆ ที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำรับรองก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นโลกโน้นกับโลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกัน ก็เลยล้วงกระเป๋าอีกนิดหนึ่ง ถามว่าที่นี่คนจนๆ มีไหม เขาถามว่า จนหมายถึงอะไร ก็ตอบว่าจนขนาดที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ต้องขอทาน เขาก็ยิ้มบอกว่าที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขอเพราะว่าถ้าบุคคลใดเขาเห็นว่า คนกลุ่มใดหรือบุคคลใดก็ตามเห็นว่าคนใดมีความขัดข้องเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเงินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี อาหารการบริโภคก็ตาม เขาก็รีบช่วยกันสงเคราะห์ แต่เขาบอกว่าเขาเกิดมา ๘,๐๐๐ ปีของโลกชมพูยังไม่เคยเห็นใครต้องสงเคราะห์กันด้วยวัตถุอย่างนี้ ที่มีความขัดสนจริงๆ มีแต่เพียงว่าเรามีอย่างนี้เขามีอย่างโน้น เรามีมากชิ้นไปแบ่งให้เขา เขามีอย่างหนึ่งที่เราไม่มีเขาแบ่งให้เรา มีแค่นี้คำว่ายากจนจริงๆ ไม่มี

    ก็ถามเขาถึงอาชีพ เขาบอกว่าอาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ในประเทศที่ท่านจากมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรรม หรือว่าอาชีพของป่าไม้ของในป่าและสิ่งประดิษฐ์ก็มีมาก โรงงานก็มีเยอะก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ทำกันการใช้จ่ายนี่มันไม่เปลือง เพราะว่าที่นี่กินผักเป็นพื้นฐาน ในเมื่อกินผักเป็นพื้นฐานแล้วก็ปลูกผักกันของเรามีอย่างนี้ของเขามีอย่างนั้นถ้าใครไม่มีอย่างไหนก็แลกกัน ใครต้องการอย่างไหนก็ขอกันได้ที่นี่เขาไม่มีการหวงกัน

    เขาก็บอกว่าโลกนี้พระท่านบอกว่าเป็นโลกมนุษย์พอเขาพูดอย่างนี้ก็หนักใจเหมือนกันที่เคยศึกษาในพุทธศาสนาในธรรมะท่านามี ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติในมนุษยธรรม ถ้าปฏิบัติในมนุษยธรรมได้ก็สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ยังมีความสงสัยว่าคนทุกคนในโลกชมพูต่างคนต่างก็เรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงมาสอนมนุษยธรรมอีกในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วเมื่อตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นคนมันก็ต้องเป็นของไม่ยากเพราะว่าเป็นสถานที่เดิมของตนที่เคยอยู่แต่นี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูที่คนพูดไม่ทราบแต่คนพูดเองมีความโง่ถนัด มีความเข้าใจว่าคนทุกคนที่เกิดมาในโลกชมพูเป็นมนุษย์

    ครั้นมาเจอะมนุษย์ในชินโลก หรือว่าถุงดำนี่เข้าจึงมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเขาเป็นมนุษย์แน่ ชาวโลกชมพูตามความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าพลาดไปก็ขออภัยด้วย ตามความรู้สึกของผู้พูดจริงๆ คือว่าที่โลกมนุษย์หามนุษย์ได้ยาก ที่โลกชมพูนี่นะ หาคนที่เป็นมนุษย์แสนจะยาก ไม่ใช่ไม่มี ปริมาณที่มีก็มีน้อยแต่ว่าถ้าจะเป็นคนเสียจริงๆ เป็นคนมาก ในโลกชมพูเรา มีคนมากกว่ามนุษย์ แต่การพูดอย่างนี้บางท่านอาจจะร้องตะโกนถามว่ามนุษย์กับคนมันต่างกันตรงไหน ก็ขอตอบว่าในอาการ ๓๒ จริงๆ ไม่ต่างกันมีธาตุ ๔ เหมือนกันมีอาการ ๓๒ เหมือนกันแต่ความรู้สึกของจิตใจไม่เหมือนกันสำหรับ มนุษย์ ท่านแปลว่า ใจสูง คำว่าใจสูง ก็คือมีอารมณ์ไม่ต่ำ

    อารมณ์ประเภทใดก็ตามที่นำมาซึ่งความเดือนร้อน มนุษย์เขาไม่ใช้กัน เช่น ความโกรธ การแสดงอาการโกรธเป็นศัตรูกัน เขาไม่มีเขามีแต่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มนุษย์เขามีแต่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าอะไรก็ตามเกิดความขัดข้องขึ้นมา ไม่สามารถจะแก้ไขได้ก็วางเฉยไม่ดิ้นรน คือไม่กลุ้ม ไม่กระวนกระวาย

    และนอกจากนั้นขึ้นชื่อว่า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกาย ทุกคนรักก็ไม่มีใครทำร้ายร่างกายกัน ทรัพย์สมบัติต่างๆ เรารัก ของเขาเขาก็รัก ไม่มีใครละเมิดความรักกันและวาจาก็มีวาจา วาจาอ่อนหวานและก็วาจาแสดงความเป็นมิตร วาจามีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผล เขามีวาจาสี่ด้านจิตใจเขาไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม เขาไม่ให้เราไม่เอาและก็ไม่ขอทำให้ใครสะเทือนใจและก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญ โกรธอาจจะมีบ้าง อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้างแต่ไม่แสดงออกและไม่จองล้างจองผลาญจองเวรจองกรรมกันอารมณ์ใจคิดถูกตามความเป็นจริงด้วยเหตุผลเสมอ นี้ลักษณะของมนุษย์เขาเป็นอย่างนี้

    สำหรับคนในโลกชมพูของเราไม่ต้องเอากรรมบถ ๑๐ เอาแค่ศีล ๕ อาจจะนับตัวได้ว่าใครทรงศีล ๕ บริสุทธิ์บ้างอย่าลืมว่าชินโลก หรือว่าดาวหลุมดำ เขาต้องฝึกกรรมบถ ๑๐ และพรมวิหาร ๔ กันมาแต่เกิดขณะอยู่ในท้องแม่ ถ้าลูกสามารถได้ยินเสียงแม่ได้จะได้ยินเสียงแม่พูดเรื่องพรหมวิหาร ๔ กรรมบถ ๑๐ ให้ได้ยินหรือว่าชาวบ้านคุยกัน คุยกันให้ได้ยิน ถ้าสามารถได้ยินนะ รวมความว่าตั้งแต่อยู่ในท้องก็อยู่ในท้องของคนมีกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ออกมาแล้วก็อยู่ในแวดวงของคนที่มีพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐

    การที่จะทรงอารมณ์ตามนี้จึงเป็นของไม่ยาก เพราะว่าชินมาตั้งแต่ลืมตาเห็น ก็เป็นอันว่า โลกชมพูของเราเป็นโลกของคน คำว่า คน แปลว่า ยุ่ง มันผสมผเสทั้งความชั่วและความดี ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เขาเรียกว่า คน เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ดีบ้างเดี๋ยวก็ชั่วบ้าง เช้าดี บ่ายชั่ว หรือเช้าชั่ว บ่ายดี อะไรก็ตามใจ กลางวันดี กลางคืนชั่ว กลางคืนดี กลางวันชั่ว มันก็อาจจะมีความชั่วขึ้นมาปะปน ก็รวมความแล้วว่าโลกของเรา ไม่ใช่มนุษย์แน่ ที่จะมีมนุษย์อยู่ก็จริงแหล แต่ว่าก็มีคนอยู่มาก ของเขามนุษย์แท้มีมนุษยธรรมคือกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔

    เมื่อคุยกันมาตอนนี้คนฟังรำคาญหรือยัง เรื่องมันก็หมดแล้วนี่ รำคาญหรือไม่รำคาญก็ไมต่อไป ต่อนี้ไปก็ชวนกันขึ้นบกไปเมืองที่ถนนตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทร ใต้มหาสมุทรก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทรใต้มหาสมุทรก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป ตั้งหน้ายืนจากเมืองท่าที่เราผ่านามาแล้วหันหน้าตรงไปทางไหน ไปทางนั้นเขาก็นำตรงไป ไปขึ้นเมืองท่าของอีกฝั่งหนึ่ง ไปนาน ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ไปถึง ทางค่อยๆ ลาดขึ้นๆ สังเกตได้ยากเขาทำดีจริงๆ ไม่ใช่วิ่งถนนชันตั้งขึ้นไปตมเรื่องตามราว โผล่ปุ๊บถึงผืนแผ่นดินแล้ว ไปที่นี่เมืองท่าของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าฝั่งโน้นเยอะ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล บ้านช่องเยอะบุคคลก็มาก บริเวณก็ไกล อาคารสูงๆ ก็มีเยอะ ตึกรามมียอดแหลมๆ ก็มีมากถ้าจะคุยกันไปก็ซ้ำแบบเดิม

    ก็ถามเขาว่า ประเพณีนิยมหรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติของคนเมืองท่านี้กับเมืองท่าโน้นเหมือนกันไหม เขาก็บอกว่าเหมือนกันถามว่าเงินตราที่ท่านใช้ ต้องไปแลกกันที่ไหน เขาก็ยิ้มถามเขาว่า ทำไมต้องแลกก็บอกว่าโลกชมพูเงินตราที่ใช้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มีค่าไม่เท่ากัน อย่างเงินไทย ๒๕ บาทก็เป็นเงินอเมริกันเขา ๑ บาท ราคาไม่เท่ากันตามนี้แล้วธนบัตรหรือแบงก์ที่ใช้ก็ลักษณะไม่เหมือนกันแต่ละประเทศต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำต่างคนต่างมีความพอใจ เขาบอกว่าชินโลกหรือโลกดาวหลุมดำ ท่านจะไปไหนก็ตามพกเงินไปอย่างเดียวใช้ได้หมดทั้งโลก แหม.. ทำไมสบายอย่างนี้ก็ไม่ทราบเป็นโลกที่สบายจริงๆ ก็คงจะตอบกันได้กระมังว่า โลกจริงๆ มีการคล่องตัวทุกอย่าง เพราะมันเป็นโลกนิทาน โลกจริงๆ ถ้ามีอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับเทวดา

    แต่โลกนี้จะถือว่าเหมืนเทวดาไม่ได้ เพราะยังมีแก่ ยังมีตาย ยังมีผัว มีเมีย ผัวเมียก็มีไม่เหมือนเทวดาเขา เทวดาหรือนางฟ้าเขามีไว้ดูเล่น แต่ของเราต้องปฏิบัติตามระเบียบ ระเบียบการแต่งงาน แต่งงานแล้วต้องปฏิบัติแบบไหน ก็ต้องทำตามนั้นเหมือนๆ กันทุกคนเป็นระเบียบของโลกนี้และอีกอย่างหนึ่ง โลกชินโลกหรือโลกดาวหลุมดำก็ดี โลกชมพูก็ดี ก็ปฏิบัติเหมือนกันการแต่งงาน มีสามี ภรรยา เขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไร ต้องมีความรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน แต่ความรักจริงๆ ความสัตย์จริงๆ ของเขามีแน่ ก็ลืมถามหมอนี่ไปนึกไปนึกมาก็เห็นคนเขาเดินมา มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงสามบ้าง ผู้หญิงสี่บ้าง ผู้หญิงหนึ่งบ้างก็แปลกใจว่า ลักษณะการเดินแบบนี้เป็นระเบียบของชาวเมืองนี้หรือ

    ก็ถามเขาว่า คนเมืองนี้รักษากรรมบถ ๑๐ ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ และก็ถามเขาว่าการแต่งงานจะต้องมีภรรยาสามีคู่หนึ่งหรือภรรยาคน สามีคน ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า คนที่เขาเดินไปเมื่อกี้นี้เขาหลีกเราไป ลักษณะท่าทางคล้ายๆ เขาเป็นสามีภรรยากันทั้งหมดมีผู้หญิงสี่ ผู้ชายหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นสามีภรรยากันจริง ก็ถามว่าเมื่อกี้คุณบอกสามีคน ภรรยาคนใช่ไหม คุณตอบว่าใช่ แต่คณะนี้เขามีภรรยาทั้ง ๔ คน สามี ๑ คน ไม่กล่าวผิดจากความเป็นจริงหรือ เขาเลยบอกว่า ท่านถามในขณะแต่งงานโดยเฉพาะก็มีสามีหนึ่ง มีภรรยาหนึ่ง ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา แต่ว่า การแต่งงานที่นี่ เขามีหลายวาระได้ นี่แน่.. โอ้โลกนี้มันน่าอยู่ก็ตรงนี้และนะ ก็ถามว่ากฎหมายของคุณไม่บังคับหรือ กฎหมายบังคับแต่เพียงว่า ห้ามแย่งสามี และภรรยาของคนอื่น ก็เลยถามเขาว่า ถ้าผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนก็แสดงว่าหญิงอื่นมาแย่งภรรยาของคนนี้ใช่ไหม เขาตอบว่า ไม่ใช่ เขาตอบว่า นั่นภรรยาเดิมเขาอนุญาต เขาถือว่าคนมาใหม่นี่เป็นน้อง

    ยังมีน้องด้วยนะคนที่มาใหม่ต้องมีความเคารพคนก่อนเหมือนพี่ มีความเคารพกันเหมือนพี่เหมือนน้องและก่อนที่จะแต่งงานกัน ถ้าสามีไปชอบหญิงคนใด นึกชอบยังไม่ได้แต๊ะอั๋ง และก็หญิงคนนั้นเกิดความรัก เกิดชอบในชายคนนี้เข้า ซึ่งมีภรรยาแล้วที่นี้ถ้าสามีไปชวนบอกว่า แต่งงานกับฉันไหมผู้หญิงคนนั้นเขาบอกพร้อมที่จะแต่งงานถ้าภรรยาของคุณอนุญาตขาก็ต้องพามาหาภรรยา ภรรยาเมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความเป็นจริงว่า เขารักกันจริง ก็อนุญาต อนุญาตให้แต่งงานกันได้แต่ไม่ใช่เลิกกับเธอ เธอก็ยังเป็นภรรยาหลวงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ หรือจัดขึ้นมาได้ เธอต้องเป็นหนึ่ง หมายความว่าการนับหนึ่งนั่นคือเธอ ถึงเธอก่อนซื้อก๊วยเตี๋ยวมาสองชาม ชามที่หนึ่งเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของภรรยาคนต่อไปและชามที่สี่ ที่ห้า ก็เป็นของภรรยาคนต่อไปอะไรก็ตาม ขึ้นต้นเธอหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้อย่างนี้เขาบอกว่าไม่มีการทะเลาะกัน ที่นี่คำว่าทะเลาะเบาะแว้ง การขัดข้องกันเรื่องนี้ไม่มี ความจริงโลกนี้มันก็น่าอยู่

    ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะมาเกิดโลกนี้อีกไหม เขาก็ตอบว่า มันก่ำกึ่งบางเวลาก็อยากมาเกิด แต่ส่วนใหญ่ของเวลาอยากมาเกิด แต่ว่าพระท่านก็บอกว่า ถ้าต้องการมาเกิดใหม่ในโลกนี้ให้ทุกคนปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ กับพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ถ้าหากทั้งสองประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง จะไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกนี้ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นพระท่านแนะนำว่าอย่างไรต่อไป ท่านบอกว่า ถ้าบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องไปอบายภูมิ คนที่บกพร่องในกรรมบถ ๑๐ก็ดี ในพรหมวิหาร ๔ ก็ดี พร่องมีบ้างไม่ใช่ไม่มี ถ้าจะเกิดมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ใหม่ ต้องไปเกิดในโลกชมพู แหม.. ฟังแล้วก็ช้ำใจ นี่เขาจะด่าผู้พูดบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ และเขาก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนโลกชมพู

    ก็เป็นอันว่า ต้องยอมรับกับเขา เมื่อเห็นเวลามันใกล้จะหมด เวลาหมอทำฟันใกล้จะเสร็จ เขากรอแล้วกรออีก เจาะแล้วเจาะอีก เพื่อจะเอาหนองออก ดูดหนองบ้างนี้เป็นวาระที่หมดเตือนใจทำ แต่งานนี้หมดจำนูนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็อยากจะทำให้ แต่ว่าคลินิกอยู่นครสวรรค์ ใกล้หน่อย เพื่อพูดถึงหมอจำนูนเวลาเหลือประมาณสัก ๒ นาที

    ก็ขอบอกข่าวว่า วันนี้คือ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ หมดจำนูน โทรศัพท์มาถึงครูนนทา ทนันตวงษ์ ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เธอบอกข่าวดีว่า เธอฝันไปว่าต่อไปเบื้องหน้า คนที่เขามีโอกาสมีสตางค์มากๆ จะเอาเงินมาแจก สมมติว่าเมื่อ ๔ ปีไปแล้วใครลงทุนไปหนึ่งบาทเขาจะแจกให้หกสลึงเฉพาะคนที่อยู่ ในทะเบียนบ้านที่หนึ่ง สำหรับคนที่อยุ่ในทะเบียนบ้านที่สองไม่แน่ อาจจะแจกให้มากกว่านั้น แต่การที่หมอจำนูนเธอฝัน ไม่ทราบว่า ฝันจะตรงกับความจริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก้ดีความฝันของหมอจำนูน ทำให้เธอยิ่มแป้นหุบปากไม่ลงไปตามๆกัน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๓.นิทานตัวอย่างเรื่อง หนู 3 ตัว
    โดย ส.ธ

    วันนี้วันที่ 16 มิถุนายน 2530 มองดูว่าเป็นเวลา 9 นาฬิกาพอดี วันนี้รู้สึกว่าร่างกายปลอดโปร่ง เรี่ยวแรงเริ่มมีขึ้น แต่ว่าการเดินก็ยังมึนงงอยู่ สภาพร่างกายไม่ปรกติ ในเมื่อมีแรงอยู่บ้าง ว่างจากงานเล็กน้อยในตอนเช้า ก็หาเรื่องมาเล่าสู่ลูกหลานฟัง

    เพราะว่าเรื่องนิทานนี่เป็นเรื่องดี ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องจริงเสมอไป แต่ทว่าอะไรถ้ามันมีประโยชน์ ก็นำมาเล่าสู่กันฟังได้ นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้ เนื้อเรื่อง จริง ๆ จะให้ชื่อว่า “จุไรท่องเที่ยวจักรวาล หรือว่าดวงดาวต่าง ๆ ” แต่ก่อนจะเข้าถึงเรื่องนั้น ขอบรรดาลูกหลานทั้งหลายจงจำไว้ว่า คำว่า“นิทาน” ไม่ใช่ของจริงเสมอไป อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ เรื่องไม่จริงก็ได้ แต่ทว่าให้มีคติสำหรับฟังก็แล้วกัน

    ตัวอย่างนิทาน เมื่อสมัยพ่อยังเป็นเด็กเวลานั้นเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือนี้ไม่ใช่หนังสือไทย เป็นหนังสือเทศ คำว่า“เทศ” คือไม่ใช่ไทย เจ้าของหนังสือจมูกโด่ง ผิวขาวตัวสูง แต่ขาวของเขาออกเป็นซีด พูดภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ฟังเขาพูดก็ไม่รู้เรื่อง เขาถือหนังสือมาฉบับหนึ่ง เขาส่งให้ พลิกเข้าในเรื่องแรกเห็นมีหนูอยู่ 3 ตัว เป็นหนูพ่อตัวหนึ่ง หนูแม่ตัวหนึ่ง หนูลูกสาวอีกตัวหนึ่ง และในที่นั้นก็มีดวงอาทิตย์อยู่เบื้องบน ส่องแสงสว่างจ้า แล้วก็มีเทวดาประจำดวงอาทิตย์ เห็นภาพเขาทำอย่างนั้นก็สงสัย จะอ่านหนังสือประเภทนั้นก็อ่านไม่เป็น เพราะไม่ได้เรียนภาษานั้น จะไปหาใครเขาอ่านให้ฟังก็หาคนอื่นไม่ได้ เจ้าของหนังสือก็ไปแล้ว

    มองไปมองมาเห็นพี่สาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า “พี่ปาก” ปากนี่ตัว ป. สระอา ก. สะกด พี่ปาก
    แกชอบพูด ชอบอ่าน ชอบเล่านิทาน ชอบทุกอย่าง ชอบพูดดี ชอบพูดไม่ดี ชอบพูดจริง
    ชอบพูดไม่จริง บางครั้งก็พูดปด พูดหยาบ ใช้วาจาเท็จ ส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกกัน บางครั้ง
    ก็พูดไม่ได้เรื่อง แต่บางคราว พี่ปากแกก็ดี แกก็พูดจริง มีประโยชน์ แต่บางครั้ง พี่ปากแกก็
    ช่วยหาอาหารใส่เข้าไปในท้อง ก็รวมความว่า “พี่ปาก” มีทั้งคุณและโทษ ตามที่สุนทรภู่ท่านว่าไว้ ว่า “คนจะชั่วจะดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิว

    ความจริงป่วย ร่างกายยังไม่ดีก็ช่างมัน เวลากาลผ่านไปหลายปีไม่ได้พูดกับลูกกับหลาน ชักรำคาญ และก็ถ้าลูกหลานจะถามว่า “พ่อไปไหนมา” ก็ต้องตอบลูกทั้งหลายว่า
    “พ่อกำลังเดินทางไปเมืองผี” ใช้เวลาเดินทางหลายปี ทีแรกก็เดินช้า ๆ ต่อมา พ.ศ.2525 ก็เริ่ม
    เดินเร็วขึ้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2528 ตอนนี้วิ่ง เมื่อ พ.ศ. 2528 วิ่งจัด วิ่งหนักใกล้เมืองผีเข้าไป
    พ.ศ.2529 จะเข้าประตูเมืองผี

    พอปลาย พ.ศ. 2529 ก็เข้าเขตประตู มาถึงระยะนี้เข้าเกือบจะถึงใจกลางเมือง เกือบจะยึดเมืองผีเป็นสมบัติอยู่แล้ว แต่บังเอิญ ปรากฏว่า ผีใหญ่ ปรากฏออกมามีบัญชาว่า“เธอจงกลับ เธอไม่มีอำนาจจะมายึดเมืองผีเป็นสมบัติของตนได้ ถ้าต้องการเมืองผีเป็นสมบัติของตนแล้วไซร์ วันหน้ามาได้ วันนี้มาไม่ได้ กลับไปก่อน”

    ในเมื่อดื้อแพ่งจะไม่กลับ เขาก็ส่งอาวุธร้าย คือ พญาโอสถเป็นแม่ทัพใหญ่เข้ามากำจัด ต้องถอยทัพกลับมา และในที่สุด ใน 3 วันต่อมานี้ส่งพญาอาหารเข้ามาทุ่มเทโจมตีอย่างหนัก แต่ตีไม่ละ ก็รวมความว่า ต้องกลับมา ตั้งฐานทัพใหม่ที่เดิม และก็จ้องอยู่เหมือนกัน ถ้าผีเผลอเมื่อไหร่ ก็ยึดเมืองเมื่อนั้น

    ก็รวมความว่า ยังไปอยู่เมืองผีไม่ได้ ก็ต้องตั้งใจกลับมาอยู่เมืองคนก่อน ตอนนี้การที่มาอยู่เมืองคน บรรดาลูกหลานทั้งหลายมันก็รำคาญ และก็มาอยู่กับพี่ปาก พี่ปากแกก็ชวนพูด ในเมื่อเราไม่พูดแกก็พูดแทน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแกมีนิสัยชอบพูด ในเมื่อ พี่ปากแกชอบพูด ก็เลยวานพี่ปาก แต่ในระยะนั้นตอนเป็นเด็ก เห็นหนังสือฉบับนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไรไม่ทราบ วานให้พี่ปากเล่าให้ฟัง พี่ปากแกดู ๆ แกไม่ได้อ่าน แกเล่าให้ฟังว่า ถ้าอ่านมันรำคาญ แกบอกว่าเรื่องราว เป็นอย่างนี้

    “หนังสือของ เจ้าจมูกโด่ง ผิวขาวซีด ตัวสูง พูดฟุตฟิตโฟไฟ หนังสือเล่มนี้มันก็เขียนแบบนั้น อ่านไปก็ไม่รู้เรื่อง” พี่ปากแกก็เลยบอกว่า “ เดาตามภาพดีกว่า” พี่ปากก็เลยเดา พี่ปากเล่าให้ฟังว่า “นึกว่าภาพต้องเป็นอย่างนี้” เนื้อเรื่องของพี่ปากมีว่า

    ในหนังสือเล่มนี้ ตามภาพมีหนูอยู่ 2 ตัว ซึ่งเป็นหนูใหญ่ ตัวหนึ่งเป็นหนูตัวเมีย ตัวหนึ่งเป็นหนูตัวผู้ สมสู่อยู่ด้วยกันในฐานะ สามีภรรยา แล้วก็ต่อมาหนูตัวเมียก็ตั้งครรภ์คือมีท้อง เมื่อหนูตัวเมียท้องขึ้นมา ผัวตัวผู้ก็มีหน้าที่หาอาหาร และก็นำหนูตัวเมียซึ่งเป็นภรรยา ไปอาบน้ำบ้าง กินอาหารใกล้ ๆ ถ้าไกลเกินไปก็ไม่ยอมให้เมียไป เกรงว่าจะมีอันตราย แต่เผอิญในหนังสือนั้น ไม่มีภาพแมว เป็นอันว่า หนูตัวนี้ไม่มีศัตรูจากแมว เมียอยู่เป็นสุข ผัวก็เป็นสุข เพราะเมียมีลูก อยู่ใกล้เมีย แต่ความทุกข์ของผัวตัวผู้ตัวเมียมีอยู่ ผัวตัวผู้ต้องหาอาหารมาให้เมีย เหนื่อยมากขึ้นไปหน่อย หนูตัวเมียหาอาหารเลี้ยงเองตามลำพังตามที่อยู่ใกล้ ๆ นอกจากนั้นก็ตั้งใจรักษาครรภ์คือลูกที่อยู่ในท้อง

    ก็รวมความว่าหนูทั้ง 2 ตัวมีทุกข์ แต่ว่าเธอก็ไม่รู้จักทุกข์ มีแต่ความสุขใจ คิดว่าเวลานี้เราจะได้ลูก เมื่อลูกคลอดออกามาก็ปรากฏว่า เป็นลูกตัวเมีย ขาวผ่องเป็นหนูเผือก หนูพ่อหนูแม่ก็เป็นหนูดำ เรียกว่า “หนูพุก” เป็นหนูใหญ่ แต่ลูกสาวออกมาไซร์ขาวปลอด

    ท่านพ่อก็คิดว่าลูกสาวของเราเป็นหนูที่มีบุญบารมี มีศักดิ์ศรีมาก ทางที่ดีการจะให้ลูกสาวแต่งงานกับหนูตัวใดตัวหนึ่งในเหล่าหนูด้วยกันก็เห็นจะไม่เหมาะสมศักดิ์ศรีของหนูที่มีราศีมาก คือหนูลูกสาว ซึ่งเป็นหนูขาว หรือหนูเผือก จึงตั้งใจคิดว่า

    “ใครหนอในโลกนี้ ที่มีอานุภาพมาก เราจะยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาของท่านผู้นั้น เราจะได้เป็นคนมีศักดิ์ศรีใหญ่”

    เมื่อ 2 ตายาย(หนู) ปรึกษาหารือกันว่าใครในโลกนี้ที่มีศักดิ์ศรีมากที่สุดมองไปมองมา ก็เห็นว่าพระอาทิตย์นี่เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีอำนาจมาก มีบุญวาสนาบารมีมาก เพราะปรากฏว่า โลกทั้งโลก ไม่ว่ามุมไหนของโลก เว้นไว้แต่มีที่บัง ที่นั่นแสงอาทิตย์ย่อมส่องถึงเสมอ ฉะนั้น ผู้ที่มีอานุภาพมากกว่าพระอาทิตย์ย่อมไม่มี เมื่อปรึกษาดังนี้แล้วจึงคิดว่าถ้าลูกของเราเป็นสาว จะยกให้เป็นภรรยาของพระอาทิตย์ ต่างคนต่างตัดสินใจตกลงตามนั้น ก็พยายามประคบประหงมลูก เป็นอย่างดี เป็นอันว่าในที่สุดลูกสาวก็เป็นสาวมีความสวยมาก หนูทั้งหลายก็มีความต้องการอยากจะเป็นคู่ครอง

    แต่ท่านพ่อพุกแม่พุก (หนูพุกนะ) ก็บอกว่า “พวกเธอศักดิ์ศรีไม่ดีพอ ลูกสาวของเราเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีมาก ต้องเป็นภรรยาของท่านที่มีอานุภาพมากที่สุดในโลกนี้นั่นคือพระอาทิตย์” จนกระทั่ง วันหนึ่ง ถึงวันดีคืนดีก็ได้ฤกษ์จัดของขวัญสำหรับหนูแล้วก็นำลูกสาวไปหาพระอาทิตย์

    นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลาย ฟังแล้วก็จงคิดว่า นิทานเรื่องนี้หนูเหาะไปโลกอื่นได้ ถึงโลกพระอาทิตย์ที่มีความร้อนแรงมาก ซึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ประพันธ์ว่า พระลักษณ์ ถูก หอกโมกศักดิ์ จำเป็นต้องใช้ยาที่เขาสารพัดดี แต่ว่าแผลของพระลักษณ์ นี้ถ้าถูกแสงอาทิต
    ส่องเมื่อไหร่ต้องตายเมื่อนั้น แก้ไม่ได้ ไม่สามารถจะถอนหอกโมกศักดิ์ออกมาได้ รักษาหายก็ไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อเวลาใกล้สว่างการรักษา จะไม่ทัน พระรามจึงให้หนุมานไปห้ามพระอาทิตย์
    ยังไม่ให้ขึ้น เมื่อหนุมานไปถึงเห็นกองไปดวงใหญ่ล้อมอยู่ สุริยะเทพบุตร คือพระอาทิตย์ลาก
    กองไฟแสงสว่างมาท้ายรถ หนุมานเห็นเข้า ไม่รู้จะทำอย่างไรก็โดดจับท้ายรถ ท้ายรถพระอาทิตย์ ก็หวั่นแต่แสงไปที่มีความร้อนแรงขณะนั้นก็ไหม้หนุมานทั้งตัว เหลือแต่ขนเพชร

    ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ชุบขนเพชรขึ้นมาเป็นหนุมาน ถามว่า “ท่านต้องการอะไรจึงมาห้ามเรา ยึดรถเราไว้” หนุมานก็บอกว่า “เวลานี้พระนารายณ์ คือพระราม กำลังจะให้พิเภก รักษาโรคให้พระลักษณ์ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งถูกหอกโมกศักดิ์ของกุมภกรรณ ถ้าหอกอันนี้ต้องแสงอาทิตย์เมื่อไหร่นั้น พระลักษณ์แก้ไม่ฟื้นต้องตายแน่ ขอให้พระสุริยะเทพบุตรหยุดรถอย่าให้แสงไปต้องหอกโมกขศักดิ์”

    พระอาทิตย์ก็บอกว่า“วัน เวลา หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่ หยุดไม่ได้ ถ้าหยุดแล้ววันคืนจะล่วงไป คือเปลี่ยนเวลาไป แต่ถึงกระไรก็ดี แสงของเรานี้ไม่ถูกหอกโมกขศักดิ์แน่”
    จึงขับรถเข้ากลีบเมฆ ให้เมฆบังไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งแสงนั้นจะสะท้อนไปถึง หรือส่องไปถึงพระลักษณ์ก็ไม่ได้ เพราะเมฆบังไว้

    ก็รวมความว่า พระอาทิตย์ตามเรื่องรามเกียรติ์เป็นกองไฟดวงใหญ่ และก็มีเทวดานำรถลากดวงไฟกองนั้น ให้แสงสว่างกับโลก แต่ในเรื่องรามเกียรติ์นี้ก็เป็นนิทานเหมือนกัน เพราะว่าความจริงพระอาทิตย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้ แต่ในเมื่อเป็นนิทานซะอย่างอะไรก็ได้ (เล่านอกเรื่องไปนะ) ต่อมาก็เป็นอันว่าหนุมานก็เหาะได้ “หนุมาน” ก็เป็นสัตว์ คือ ลิง
    เวลานี้ เรื่องหนูเหาะได้เหมือนกัน ก็รวมความว่านิทานเรื่องนี้เป็นนิทานเหาะ จะต้องท่องเที่ยวในจักรวาลต่าง ๆ คือดวงดาวต่าง ๆ ตามเรื่องราวของนิทาน

    ฉะนั้นลูกที่รักฟัง จงเข้าใจว่าต่อไปนี้ พ่อจะเล่านิทาน ไม่ใช่เล่าพระสูตร หรือเล่าชาดก ก็รวมความว่า หนู 3 ตัวเหาะ ไม่ทราบว่าแกไปฝึกอภิญญาที่ไหน ถ้าเป็นอภิญญาต้องเรียกอภิญญาหนู หรือว่า อภิญญาพุก ในเมื่อเหาะเข้าไปใกล้พระอาทิตย์ ตอนนี้ไฟไม่ยกไหม้ แสดงว่า แสงอาทิตย์ หรือไฟดวงใหญ่กลัวรัศมีของหนู เป็นอันว่า 3 หนู เข้าไปถึงพระอาทิตย์
    ได้ พระอาทิตย์ก็ถามว่า “นี่เธอมาทำไม ? เธอมาอย่างไร?” หนูก็ตอบว่า “ เหาะมา”
    พระอาทิตย์ก็แปลกใจ มองไปมองมา เอะ..หนูก็ไม่มีปีก หนูก็ไม่มีเครื่องบิน หนูก็ไม่มีจรวดสำหรับจะใช้ สามารถเหาะได้ต้องถือว่าหนูนี่มีบุญญาธิการมาก

    จึงถามความประสงค์ว่า
    “เจ้ามานี่เพื่อประโยชน์อะไร?” หนูก็บอกว่า “การที่มานี่มีเจตนาใหญ่อยากจะนำของดีมาให้ท่าน พระอาทิตย์ก็ถามว่า “ของดีนั่นคืออะไร?” หนูผู้เป็นพ่อก็บอกว่า “ของดีคือลูกสาว
    ข้าพเจ้ามีลูกสาวอยู่ตัวหนึ่ง สวยมาก เป็นหนูที่มีบุญญาธิการมาก คือเป็นหนูเผือก ขาวปลอด
    การที่หนูมีสีขาวปลอดถือว่าเป็นหนูที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ จะให้เป็นคู่ครองก็เห็นว่าไม่สมควร

    เพราะว่าผู้ที่มีศักดิ์ศรีใหญ่เป็นมิ่งขวัญอย่างนี้ ต้องเป็นภรรยาของท่านผู้มีอานุภาพมากในโลก จึงจะสมศักดิ์ศรี ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าท่านมีอานุภาพมากที่สุดในโลก โลกนี้ทั้งโลกจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แสงสว่างของท่านปกคลุมส่องแสงเสมอ ทำให้โลกทั้งโลกสว่าง จึงถือว่าท่านมีอานุภาพมากจริง ๆ ฉะนั้นจึงขอหนูลูกหญิงให้เป็นภรรยาของท่าน จะได้สมศักดิ์ศรีที่มีหนูที่มีอานุภาพมาก”

    พระอาทิตย์ฟัง แล้วก็ยิ้มในใจ คิดในใจว่า “พ่อหนู แม่หนู เอ๋ย เจ้าคิดพลาดไปมากเราซึ่งเป็นสุริยะเทพบุตร คือพระอาทิตย์ มีชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์ ร่างกายของเรานั้นเป็นนามธรรม ไม่มีธาตุทั้ง 4 คือ ไม่มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ความแข็งแกร่งของร่างกายเหมือนกับสัตว์ในโลกหรือมนุษยโลกไม่มี และสถานที่อยู่ของเรานี้ก็เป็นวิมาน วิมานนี่เป็นนามธรรมเหมือนกัน ที่เป็นรูปก็เพราะรูปในนาม

    ความจริงเรื่องนามธรรมนี่ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย บางคนคิดว่าไม่มีอะไรเป็นรูปเลย เขามีรูปเหมือนกัน เขาเรียกว่ารูปในนาม คือนามธรรมก็เป็นรูป เป็นรูปคนก็ได้
    เป็นรูปสถานที่ก็ได้ ได้ทั้งหมดทุกอย่าง แต่ว่าคนอย่างเรา ๆ ที่มีเนื้อมีหนังที่เรียกว่าธาตุ 4 หรือบรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีธาตุ 4 มีน้ำหนักมาก ร่างกายหยาบ จะไปอยู่วิมานของพวกนามธรรมนี่อยู่ไม่ได้ ถ้าเดินเข้าไปถึงวิมานเมื่อไหร่ก็จะมีความรู้สึกว่าขณะนี้นั่งอยู่ในอากาศ น้ำหนักจะถ่วงมากหล่นตุ๊บลงมาทันที สำหรับพวกนามธรรมจริงอย่างเทวดาหรือพรหม เป็นต้น อย่างนี้เขาอยู่กันได้ เพราะมีความเบาเสมอกัน นี่พูดกันตามภาษาชาวบ้าน ๆ นะ นักปราชญ์ทั้งหลายฟังแล้วจงอย่าคิดว่านี่เป็นของจริง คือเป็นนิทาน

    พระอาทิตย์ก็คิดในใจ ว่าหนูทั้ง 2 นี่ตั้งใจผิด คิดผิด คิดว่าเราพระอาทิตย์ จะรับภรรยาที่มีรูป มีร่างกาย คือธาตุ 4 ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟได้ และอีกประการหนึ่งเธอก็ได้เป็นสัตว์ ถึงแม้จะเป็นมนุษย์ก็รับไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายของมนุษย์ก็ดี ของสัตว์ก็ดี มีสภาพสกปรกมาก ไม่มีการทรงตัว ซึ่งผิดกับเราซึ่งเป็นเทวดา เราเป็นเทวดาเกิดวันไหน โตเท่าไหน ก็โตแบบนั้นตลอด ไม่มีความเป็นเด็ก ไม่มีความเป็นคนแก่ การป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มี อาหารที่บริโภคก็ไม่ต้องหา อิ่มตลอดเวลา ถ้ารับลูกหนูมาเป็นภรรยา ที่นี่ไม่มีอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ไม่มี ร้านขายปลาย่างปลาเค็มก็ไม่มี ร้านขายถั่วสำหรับหนูก็ไม่มี ที่นี่ไม่มีใคร ทำมาหากิน หนูเข้าใจผิดคิดว่าเราจะรับได้ แต่ถ้าหากเราไม่รับ จะพูดตรงไปตรงมาหนูก็จะเสียกำลังใจ

    พระอาทิตย์จึงได้หานโยบายเพื่อรักษากำลังใจของหนูทั้ง 3 จึงได้กล่าวว่า
    “โภ ปุริสะ ดูก่อนผู้เจริญ การมาของท่านถือว่า เป็นมงคลอย่างยิ่ง ท่านนำลูกสาวซึ่งเป็นหญิง
    มีความสวยสดงดงามมาก ต้องถือว่าท่านเป็นผู้มีบุญบารมีอย่างสูง การที่มีรูปสวยงดงามอย่าง
    นี้ได้ในชาติก่อน ก่อนที่จะมาเกิดนี่ต้องเป็นคนประกอบด้วยเมตตาบารมีอย่างหนัก เพราะคนใดถ้ามีเมตตาบารมี มีแต่ความรัก ไม่ประกาศตนเป็นศัตรูกับใคร เจอะหน้าบุคคลใดก็ตาม มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใสทำหน้าตาสดชื่น ไม่หน้าบึ้งไม่หน้าบูดกล่าววาจาก็ไพเราะ

    อย่างนี้บุคคลประเภทนี้ไปเกิดชาติหน้า ชาติไหนก็ตามจะมีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษ
    เพราะฉะนั้น ลูกสาวของท่านเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาก แต่ในการที่ท่านทั้ง 2 จะนำลูกสาวมายกให้นี่ก็ขอขอบคุณ ด้วยคิดว่าเราเป็นผู้มีอานุภาพมากในโลก ถ้าเรารับไว้ท่านจะเสียกำลังใจภายหลัง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราจริง ๆ ไม่มีอานุภาพตามที่ท่านคิด สิ่งที่ไม่เป็นมิตร คือเป็นศัตรูกับเราคือ มีอานุภาพ มากกว่าเรามีอยู่”

    หนูทั้ง 2 ตัวก็สงสัย ถามว่า“ใครหนอในโลกนี้ที่มีอานุภาพมากกว่าท่าน เป็นศัตรูสำคัญที่ท่านไม่สามารถจะทำอันตรายเขาได้ ถ้าเขาแผลงเดชขึ้นมาเมื่อไหร่ กำลังของท่าน
    ก็จะถูกยับยั้งทันที” พระอาทิตย์กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นของไม่ยาก ท่านลืมสังเกตไป แสงของเรานั้นไซร์ ความสว่างพุ่งไปในจักรวาลทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกมนุษย์ที่ท่านอาศัยอยู่ แต่ว่าเมื่อใดศัตรูของเราแผลงฤทธิ์ นั่นคือ เมฆก้อนใหญ่ แสงเราไม่สามารถจะส่องผ่านก้อนเมฆไปได้ ที่ใดมีเมฆตรงแสงของเรา แสงจองเราจะค้างอยู่ด้านบน ตอนนั้นจะปราศจากแสงสว่างจากเรา ฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายมีความรู้สึกว่าต้องการให้ลูกสาวที่มีอานุภาพมาก ก็ควรจะไปยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพญาเมฆ เพราะพญาเมฆมีอำนาจวาสนามาก มีอานุภาพมากกว่าเรา”

    หนูทั้ง 2 ฟังแล้วก็เห็นใจ มีความเข้าใจว่า จริง ๆ หนอแล ขณะใดที่แสงพระอาทิตย์สาดไปบางครั้งร้อนจัด พอมีเมฆเข้ามาบังก็ปรากฏว่าแสงพระอาทิตย์ไม่ต้องกายเรา เกิดความเย็น ฉะนั้นสิ่งที่มีอานุภาพมากจริง ๆ ในโลกยิ่งกว่าพระอาทิตย์ต้องเป็นพญาเมฆ เมื่อมีความเห็น ตรงกันแบบนั้นแล้ว ก็ขอขอบคุณท่านสุริยะเทพบุตร คือพระอาทิตย์ ลาไปตั้งใจจะไปสถิตย์ คือยกลูกสาวให้แก่พญาเมฆ

    พอไปถึงพญาเมฆ ก็พูดเหมือนพระอาทิตย์ เรียนให้ทราบว่าต้องการมายกลูกสาวให้ (ตอนนี้ขอย่อ) ว่า “ในฐานะที่ท่านมีอานุภาพมาก มากกว่าสุริยะเทพบุตร คือพระอาทิตย์ ไปหามาแล้วพระอาทิตย์บอกว่าท่านมีอานุภาพมากสามารถที่จะบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ตกลงไปถึงโลกได้” พญาเมฆก็ยอมรับว่า “ นั่นเป็นความจริง พระอาทิตย์ถึงแม้จะมีอานุภาพมาก ทำแสงสว่างคลุมโลกก็ตามที แต่อานุภาพของเรานี้หนักกว่ามาก สามารถบังแสงไม่ให้ผ่านไปได้ตามใจชอบ ในสถานที่ใด พระอาทิตย์ทำให้โลกร้อน เราก็เข้าไปบังแสงพระอาทิตย์ เสียโลกก็เย็น ถ้าที่ไหนขาดความชุ่มชื่น เราก็เอาเมฆของเราเข้าไปบังและโปรยปรายน้ำจากกระแสเมฆให้ตกลงพื้นดิน โลกก็ชุ่มชื้นสามารถ ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ได้ไม่ขาดน้ำ อานุภาพของเรามากกว่าพระอาทิตย์จริง”

    หนูก็บอกว่า “การมาคราวนี้ จะเอาลูกสาวไปยกให้พระอาทิตย์ซึ่งมีอานุภาพมาก ท่านบอกมีอานภาพสู้ท่านไม่ได้ ใ ห้นำลูกสาวของเรามายกให้ท่าน” พญาเมฆฟังแล้วก็ตกใจ อยู่ ๆ ลาภใหญ่มันจะมาถึง แต่ลาภนี้มันจะใหญ่เกินไปสำหรับพญาเมฆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พญาเมฆก็เป็นเพียงก้อนน้ำก้อนหนึ่งที่เป็นละอองน้อย ๆ เข้าจับเป็นก้อนซึ่งไม่หนาแน่นนัก อยู่ในอากาศ อาหารสำหรับหนูไม่มี และก็มีความเย็นจัด ถ้าเอาหนูเข้ามาไว้เป็นภรรยาก็ไม่ต่างอะไรกับเอาหนูเข้าไปแช่น้ำแข็งเธอก็ต้องตาย สงสารชีวิตหนูใหญ่ 2 ตัวคือ
    พ่อ แม่ ช่างมีความโง่เขลาเบาปัญญาเหลือเกิน แต่ว่าถ้าจะพูดตรง ๆ ก็เกรงว่าจะเสียกำลังใจ จึงได้กล่าวคำเป็นอุบายว่า

    “โภ ปุริสะ ดูก่อน บุรุษผู้เจริญ ความจริงเรามีอานุภาพมากกว่าพระอาทิตย์จริง แต่ทว่าจะรับลูกหญิงของท่านไปเป็นภรรยานั้นมันไม่ได้ อานุภาพของเราสามารถกั้นแสงอาทิตย์ได้จริงแหล่ แต่ทว่าสิ่งที่มีอานุภาพมากกว่าเรามีอยู่ท่านหนึ่ง เราจับก้อนอยู่ดีดี ถ้าวันดีคืนดีเธอไม่ชอบก็มาทำลายก้อนของเราให้กระจายไป เป็นอันว่าอานุภาพของท่านผู้นี้ไซร์ มาเมื่อไหร่เราก็แตกกระจาย พระอาทิตย์ก็ซ้ำเติมทันที แสงสว่างของพระอาทิตย์นี้ก็จะรอดลงมาทันทีทันใด”

    หนูก็ถามว่า “ใครหนอที่มีอานุภาพมากกว่าท่าน” พญาเมฆก็บอกว่า
    “พระพาย พระพายเทพบุตรมีอานุภาพมากกว่าเยอะ” พระพายไม่ใช่พระแจว พระแจวก็ไม่ใช่พระถ่อ พระพายนี่มีกำลังเบากว่าพระแจว พระแจวมีกำลังน้อยกว่าพระถ่อ พระถ่อสามารถไปในน้ำตื้น ๆ ได้ ถ่อเรือให้วิ่งไปได้ พระแจวไม่สามารถจะทำได้ แต่พระแจวก็มีอานุภาพมากกว่าพระพาย เพราะเรือถ้าใหญ่เกินไปพระพายพายไม่ไหวพระแจวนำไปได้ ก็รวมความว่า พระพายพระแจวที่พูดนี้ พระถ่อมันอยู่ในแม่น้ำ แต่ว่าพระพายที่พูดถึงเมื่อกี้นี้เป็นลม ไม่ใช่อยู่ในแม่น้ำ พระพาย คือ ลม วาตะ คือ ลม

    ก็รวมความว่า พญาเมฆก็บอกว่า "พระพายมีอานุภาพมากกว่าเรา ท่านต้องการลูกเขยที่มีอานุภาพมากในโลกให้ไปยกให้พระพาย คือ ลม"

    พญาหนูเห็นใจก็ลาพญาเมฆไป นำไปหาพระพาย (ขอเล่าย่อ) ไปถึงพระพายก็พูดเหมือนกันว่า "เราที่ว่ามีอานุภาพมากกว่าใครในโลกนั้นไม่จริง สิ่งที่มีอานุภาพมากกว่าเราก็คือกำแพง เราพัดไปด้วยกำลังแรงเจอะกำแพงก็ต้องหยุดเหมือนกัน ฉะนั้นกำแพงจึงมีอานุภาพมากกว่าเรา ขอให้ท่านไปยกให้กำแพงเถอะ"

    แต่ในที่สุดหนูก็นำลูกสาวไปหาพญากำแพง แต่ไม่ใช่วชิรปราการนะ ไม่ใช่พญากำแพงเพชร พญากำแพงก็บอกว่า "จริง ฉันสามารถยับยั้งพระพายไม่ให้พัดต่อไปได้ แต่ว่าท่านที่มีอานุภาพใหญ่กว่าเราก็คือหนู เราตั้งอยู่ดี ๆ สามารถยับยั้งลมได้ แต่หนูมาเมื่อไหร่กัดกำแพงทะลุเมื่อนั้นลมรอดได้ทันที ก็รวมความว่าสิ่งที่มีอานุภาพมากในโลกนี้ก็คือหนู ขอท่านจงไปยกให้หนู" ในที่สุดโฉมตรูทั้ง 2 คนผัวเมียก็ต้องยกลูกสาวให้แก่หนู

    สำหรับนิทานเรื่องนี้ ในหนังสือแนะนำว่า ท่านให้ยับยั้งการทะเยอทะยานเกินพอดี การเป็นหนูอย่างนี้จะยกลูกสาวให้เป็นเมียพระอาทิตย์ก็ดี เป็นเมียพญาเมฆก็ดี เป็นเมียพญาลมก็ดี เป็นเมียพญากำแพงก็ดี มันไม่คู่ควรกัน ให้รู้จักฐานะของตนว่าเราเป็นหนูพอใจในการเป็นหนู หาความสุขแห่งความเป็นหนู เราเป็นคนพอใจในความเป็นคน

    เป็นคนฐานะเช่นไร พอใจฐานะเช่นนั้น แต่การมีความขยันหมั่นเพียรประกอบกิจการงานให้เกิดความรู้ ความสามารถ ความฉลาด ความร่ำรวย ทำได้แต่อย่าทำให้มันเกินวิสัย อย่างเห็นเขากินก๋วยเตี๋ยวชามละ 500 บาท เรามีสตางค์ 10 บาท กินแค่ 10 บาท อย่าไปกิน 12 บาท มันจะเป็นหนี้เขา 2 บาท ถ้ากิน 500 มันก็จะเป็นหนี้เขา 490 ไม่ควร ทางที่ดีมีสตางค์ 10 บาท ควรกิน 5 ่บาท เก็บไว้ 5 บาท หรือ กิน 2 บาท เก็บไว้ 8 บาท จะดีมาก เอาไว้เผื่อวันหน้า

    ก็รวมความว่านิทานเรื่องนี้สอนไว้ว่า "ไม่ควรทะเยอทะยานเกินพอดีจะมีทุกข์"

    เอาละบรรดาลูกทั้งหลาย ว่ามาว่าไป นิทานตัวอย่างก็คงขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ หยุดก่อนนะยังไม่เลิก เดี๋ยวต่อกันเรื่องใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,420
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    SadhuSabai.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,420
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...