จากธรรมชาติ คืนสู่ธรรมชาติ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย jaramat109, 27 ตุลาคม 2009.

  1. jaramat109

    jaramat109 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    จากธรรมชาติ ๑๑ พ.ค. ๒๔๕๔ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คืนสู่ธรรมชาติ ต.ค.๒๕๕<o:p></o:p>
    พระพรหมมังคลาจารย์ละสังขาร ประวัติ ชีวิต การงาน หลักธรรม ปัญญานันทภิกขุ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    - งานคือ ชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงาน.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกันว่า ขอมอบกายนี้ถวายเป็นเครื่องบูชาแด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาตลอดไป.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - คนอยู่ในโลกมันเยอะแล้ว....พระพุทธเจ้าท่านทำจริง เราก็ต้องทำจริงบ้าง.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - ไม่เคยจะขอสตางค์โยมใช้แม้จะอยู่กรุงเทพฯ กลับไปบ้าน ไม่เคยบอกโยมว่าลำบาก ตอบว่าสบายดี , ไม่เคยแสดงอาการว่า อยากได้สตางค์จากโยม ถ้าโยมนึกให้เอา,ถ้าโยมไม่นึกก็ไม่เอา,ไอ้เรื่องนี้ไม่ขอ เพราะมานึกว่า ท่านเลี้ยงเรามาก็มากพอแล้ว อย่าให้ท่านต้องลำบากในการเลี้ยงเด็กโตๆ ต่อไปอีกเลย เลยไม่รบกวน ไม่ขออะไรท่านทั้งนั้น อยู่อย่างชนิดที่เรียกว่า ตามมีตามเกิด”.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - อยากจะบอกโยมได้รู้ว่า “อาตมานี้ไม่นิยมการก่อสร้างวัตถุที่ใหญ่โต คือ ไม่จำเป็นก็ไม่ทำอะไรมากอย่างนั้น มุ่งสอนธรรมะอย่างเดียว, ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็อยากทำแต่เรื่องธรรมะ , เรื่องก่อสร้างนั้นไม่ค่อยสนใจ ถ้าไม่จำเป็นละก็ไม่สนใจ.”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    - จะเอารูปไปแจกนี่ ไม่กี่วันก็เอาไปหล่นน้ำหมด แจกธรรมะพอแล้ว ,พระธรรมย่อมวิเศษกว่ารูปร่างกาย แจกธรรมะดีกว่า ในการทำบุญอายุ แจกธรรมะ พิมพ์หนังสือแจก แทนพระพุทธเจ้า , พระธรรมนั้นเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า เราเอาธรรมะกันดีกว่า แจกธรรมะ ใครจะทำเรื่องอื่นนั้นไม่ส่งเสริม ไม่อยากให้ทำ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    - จะได้รู้ว่า คนๆ หนึ่งเกิดมาแล้ว ทำอะไร มีชีวิตอยู่ด้วยอะไร เพื่ออะไร ตายไปเมื่อไหร่ ได้ทำอะไรทิ้งไว้ในโลกบ้าง เพื่อจะได้เตือนคนข้างหลัง.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    - “ เลยบอกว่า ตัวจริง มันไม่มีหรอกโยม มีแต่ตัวประกอบกันเข้าเป็นสังขาร ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง แล้วอาจจะถึงแก่ความตายดับในเวลาเวลาหนึ่งก็ได้ แต่ถ้ายังไม่แตกดับ ก็จะทำประโยชน์แก่พระศาสนาต่อไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ญาติโยมทั้งหลาย .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    - “เมื่อได้รู้จัก พระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม พระสงฆ์อย่างถูกต้องแล้ว ดวงจิตที่เป็น “พุทธทาส”ก็เกิดขึ้นในใจ ยอมมอบกายถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งใจทำงานเพื่อพระศาสนา ไม่ละเลยไม่เพิกเฉย ทำงานโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่หวังคำเยินยอ ไม่หวังคำสรรเสริญจากใครๆ ไม่หวังลาภ ไม่หวังยศ อะไรแม้แต่น้อย มีความคิด อย่างเดียวว่า ทำงานเพื่อให้ ไม่ได้ทำงานเพื่อจะเอาอะไรจากใคร”.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “คนที่ให้ได้นั้น คือคนที่ ให้ไม่เอา ถ้าให้จะเอามันไม่ได้ แต่ถ้าเราทำงานเพื่อให้โดยไม่เอาอะไร ได้มาก็เหมือนกับไม่ได้ ใจไม่ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่เพลิดเพลินมัวเมาในสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะการทำดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความสุข แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย แล้วก็ได้อะไรมา”.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    - “ถ้าเราหาความสุขจากเครื่องล่อใจ ก็ต้องจ่ายเงินมากเพื่อหาความสุขนั้นๆ เงินไม่พอจ่าย ก็มีปัญหา คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ แต่ถ้าเราทำให้เกิดความสุขสบายทางจิตใจ เราก็ไม่ต้องไปทำอะไร มีธรรมปิติ,มีธรรมปราโมทย์ เกิดความสดชื่นรื่นเริงทางด้านจิตใจ เป็นความสุขที่ไม่เจือปนด้วยวัตถุ เครื่องล่อใจ.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “เราจึงกินแบบผู้ปฏิบัติธรรม และผู้ปฏิบัติธรรมนั้นกินง่ายๆ ข้าวราดแกง ง่ายๆ ไม่ติดรสอาหาร ไม่ติดเปรี้ยว ติดหวาน,ติดมัน,ติดเค็ม กินได้ทั้งนั้น กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน กินเพื่อให้ร่างกายเป็นไปได้ แล้วก็ใช้ร่างกายนี้ประพฤติธรรมต่อไป.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    - “ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความสุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความประหยัด นั่นคือ พระพุทธศาสนา .”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ เราก็ควรตั้งใจว่า เราจะช่วยเหลือคนเหล่านั้น ปฏิบัติในข้อที่เรียกว่า “ทำทาน” การทำทานนั้นเพื่อทำการขูดเกลาจิตใจ ไม่ใช่ทำทานเพื่อ จะเอานั่นเอานี่.”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ เวลาจะบริจาค อะไรก็อธิษฐานมากๆ เพื่อจะเอา นั้นมันไม่ถูกต้อง เราต้องไม่อธิษฐานอะไร ถ้าจะอธิษฐานก็บอกว่า ขอให้ข้าพเจ้าเป็น ผู้ชนะความชั่วร้าย , ขอให้ข้าพเจ้ามีความอดทนหนักแน่น ขอให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญา รู้จักบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเองได้ อย่างนั้นจึงจะเป็นการถูกต้อง.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ อย่างนี้มันต้องไหว้แล้ว เพราะว่ามีใจสูง ไอ้ที่กางเกงที่นุ่ง จีวรที่ห่มนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เราไม่ได้ไหว้ตัวคน ไม่ได้ไหว้เปลือกพระ เราไหว้เนื้อแท้ของพระ.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “พระพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ ณ เบื้องต้น ว่า ให้เสียสละทรัพย์เพื่อรักษา อวัยวะ แต่ถ้าต้องเสียอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิตก็ต้องยอม เมื่อนึกถึงธรรมอันเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิต เราต้องเสียสละทุกอย่าง เพื่อรักษาธรรมนั้นไว้ .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “อุบาสก อุบาสิกา หรือ ฆราวาส ควรจักต้องทำหน้าที่ บำรุงพระศาสนา ตามวิธีดังต่อไปนี้ คือ <o:p></o:p>
    - ประการต้น ต้องศึกษาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจชัดเจนถูกต้อง ในหลักคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า<o:p></o:p>
    - ประการที่ ๒ ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รู้ได้เข้าใจแล้วนั้น <o:p></o:p>
    - ประการที่ ๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้กำลังใจ แก่ผู้ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักพระศาสนา<o:p></o:p>
    - ประการที่ ๔ ส่งเสริมกิจกรรมบางประเภท ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความก้าวหน้า แห่งพระสัจธรรม คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า<o:p></o:p>
    หลักทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นกิจที่อุบาสก อุบาสิกา ผู้ตั้งอยู่ในฐานะฆราวาสจะพึงปฏิบัติ.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น พุทธบริษัทก็ต้องค้นหาภายใน ตัวเราเอง เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ และสิ่งนี้เกิดขึ้น แล้วทำให้มีความร้อนใจ หรือเย็นใจ ทำให้วุ่นวาย หรือมืดมัวไปกับอันใด ถ้าเห็นว่าสิ่งใดเป็นอกุศล เป็นเหตุให้ เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้ตัดสิ่งนั้นทิ้งไป.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “พระพุทธเจ้าท่านวางหลักเพื่อให้รู้กฎของธรรมชาติให้เราได้พิจารณา ๓ ประการ คือ<o:p></o:p>
    -ให้พิจารณาในแง่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่หยุดนิ่ง...เป็นกฎอันหนึ่ง เรียกว่า กฎธรรมชาติที่มีอยู่ตลอดเวลา<o:p></o:p>
    - ประการที่ สอง ก็คือว่า สิ่งทั้งหลายมีความทุกข์อยู่ในตัวมันเองจะหาความสุขที่แท้ในสิ่งนั้นไม่ได้...จงมองดูสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ สภาพความจริงของสิ่งนั้นเป็นอย่างไร มองให้เห็นความจริงนั้น<o:p></o:p>
    - ประการสุดท้าย มองในแง่ว่า เป็นอนัตตา หมายความว่าไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อแท้ในตัวมันเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของประสม เกิดขึ้นด้วยอำนาจของการปรุงแต่ง ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “เรามีเพื่อนฝูง มิตรสหายสักคนหนึ่ง ๒คน ๓คน ก็ตาม ให้พยายามที่จะจูงเพื่อนฝูงมิตรสหายเหล่านั้นให้เป็นสัมมาทิฏฐิชน ให้มีความเห็นชอบ เห็นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในวันหนึ่งวันใดของชีวิต ถ้าเราได้เปลี่ยนจิตใจมิตรสหายเพื่อนฝูงของเรา แม้เพียงสักคนหนึ่ง ให้เขาได้เกิดมีคิดเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นในใจแล้ว วันนั้นแหละเป็นวันมหากุศล เป็นวันประเสริฐสำหรับชีวิตของเรา .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ สำหรับญาติโยมชาวบ้านที่มีปัญหา เดี๋ยวคนนั้นว่าอย่างนั้น คนโน้นว่าอย่างนี้ ดีบ้างชั่วบ้าง ติชมบ้าง ล้วนแต่เป็นบททดสอบกำลังใจว่าเรามีความอดทนเท่าไหร่ บังคับตัวเองได้เท่าไหร่ เรามีความเข้มแข็งขนาดไหน .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ เพราะหลวงพ่อมัวแต่นั่งเสกดินให้เป็นพระ มัวแต่เสกทองเหลืองให้เป็นพระ แต่ไม่เสกคนให้เป็นพระขึ้นมา แล้วศาสนาจะไปอยู่ที่ไหน .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ อยากจะบอกพระหนุ่ม เณรน้อยทั้งหลาย ให้เข้าใจว่า ต้องการพระภิกษุสามเณรใจสิงห์ ที่เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ไม่ใช่บวชมาแล้วก็ไปทำเรื่องอื่น เราบวชในเมืองไทยปีหนึ่งเท่าใด ถ้าเรามอบชีวิตไว้กับพระศาสนาอีก 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เอาจริงเอาจัง บวชแล้วทำงานสั่งสอน ไม่หวังลาภ สักการะ ไม่หวังยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ข้องติดในเรื่องอะไร เรามอบชีวิตจิตใจให้กับงานพระศาสนา จะทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศธรรม เรื่อยไปตลอดเวลา นั่นแหละพระศาสนาต้องการ กำลังต้องการอย่างที่สุด ในเรื่องอย่างนี้.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว ยังอยู่เรียบร้อยไม่ได้ใช้ ข้าพเจ้าขอมอบคืนถวายให้แก่ข้าราชการเพื่อเอาไปแจกจ่ายแก่ทหารที่ออกไปรบทัพจับศึกกลับมา ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีที่ดินอยู่ ๕๐ ไร่ ต้นหม่อน ๑๐๐ ต้น ก็พอกินแล้ว.”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ คนที่เกิดในที่ลำบากมีบุญ ไม่ใช่บาป เพราะว่าความลำบากมัน สร้างคน แต่ว่าที่สบายมันทำลายคน .”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ เราไม่ต้องรอรับคำสั่งจากใคร เรารับโดยตรงมาจากพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว เพราะพระพุทธเจ้าท่านสั่งไว้แล้ว “เธอทั้งหลายจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน” แล้วเราจะรอให้ใครสั่งอีก เราไม่ต้องรายงานใคร เราทำให้พระพุทธเจ้า ใครชมเราก็ไม่ว่า ใครจะด่าเรา เราก็ไม่ว่า เราไม่สนใจต่อคำพูดเหล่านั้น แต่เราจะอุทิศชีวิต ทำงานให้แก่พระพุทธเจ้า ที่ใดมีงานเราจะอยู่ที่นั่น เราจะทำงานด้วยความตั้งใจ ถ้าเราช่วยกันทำอย่างนี้ก็จะก้าวหน้า .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ ใคร ๆ เขาจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ช่างเขา เราอย่าไปโกรธเคือง อย่าไปต่อล้อต่อถียงกับเขา เพราะคนเราไม่ได้มีปัญญาเท่าเทียมกันทุกคน คนเรามีปัญญาเท่าใดก็เห็นได้เท่านั้น .”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ทุกคนเขาอยากให้เราดี<o:p></o:p>
    แต่ทำเด่นทุกทีหมั่นไส้<o:p></o:p>
    ทำดี อย่าให้เด่นจะเป็นภัย<o:p></o:p>
    ไม่มีใครอยากเห็น เราเด่นเกิน..”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ สงฺคาเม มตํ เสยฺโย ยญฺเจ ชีเว ปราชิโต. ”<o:p></o:p>
    “ ตายเสียในการต่อสู้ ดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้. ”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าจึงอยู่ในกฎเกณฑ์ ๒ ประการ คือ<o:p></o:p>
    ๑. เพื่อประกาศความจริงที่พระองค์ทรงประกาศไว้<o:p></o:p>
    ๒. เพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย ให้หมดไป. ”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ ข้าพเจ้ามองเห็นความเสื่อมของพระพุทธศาสนา จึงได้ตั้งใจว่าจะชำระสะสางเท่าที่ความรู้ความสามารถของข้าพเจ้าจักอำนวยให้ แต่การพูด ความจริงนั้นย่อมจะต้องมีการกระทบกระทั่งบางคนอยู่บ้างเป็นธรรมดา เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ .”<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    - “ภิกษุต้องเป็นคนใจกล้า ความขลาดไม่กล้าพูดความจริงนั้นมิใช่วิสัย ของลูกพระตถาคต.”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    - เพื่อวางหลักให้คนหลังได้ตัดสิน ว่าอะไรผิดอะไรถูกเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ ก็ได้ทรงวางหลักตัดสินธรรมวินัยไว้ ๘ ประการด้วยกัน คือ<o:p></o:p>
    ๑. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความกำหนัดย้อมใจ<o:p></o:p>
    ๒. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความประกอบทุกข์<o:p></o:p>
    ๓. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความสะสมของกิเลส<o:p></o:p>
    ๔. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความอยากมี อยากเป็น<o:p></o:p>
    ๕. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความไม่สันโดษ<o:p></o:p>
    ๖. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความคลุกคลีกันเป็นหมู่คณะ<o:p></o:p>
    ๗. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความเกียจคร้าน<o:p></o:p>
    ๘. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ ความเลี้ยงยาก<o:p></o:p>
    ท่านพึงรู้เถิดว่านั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    - “ พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า “ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ ผู้มัวคอยถือฤกษ์ยามไปเสียประโยชน์เป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วยทำอะไรได้.””<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    ๑. ร่างกายชีวิต เป็นของพระรัตนตรัย ข้าพระเจ้าเป็นทาสพระรัตนตรัยโดยสมบูรณ์.<o:p></o:p>
    ๒. ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าอยู่ที่ประกาศ คำสอนที่แท้ของพุทธศาสนา.<o:p></o:p>
    ๓. ข้าพเจ้าจึงต้องเป็นคนกล้าพูดความจริงทุกกาลเทศะ.<o:p></o:p>
    ๔. ข้าพเจ้าจักต้องสู้ทุกวิถีทางเพื่อทำลายสิ่งเหลวไหลในพระพุทธศาสนา ทำความเข้าใจถูกมาให้แก่ชาวพุทธ.<o:p></o:p>
    ๕. ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไร เป็นส่วนตัวนอกจากปัจจัย ๔ พอเลี้ยงอัตภาพเท่านั้น ผลประโยชน์อันใดที่เกิดจากงานของข้าพเจ้า สิ่งนั้นเป็นของงานที่เป็นส่วนรวมต่อไป.<o:p></o:p>
    ๖. ข้าพเจ้าถือว่า คนประพฤติชอบตามหลักธรรมเป็นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า นอกจากนี้ไม่ใช่ นี่คือ ความตั้งใจและแผนงานของข้าพเจ้า.<o:p></o:p>
    ..................................................................................................................................................................<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  2. วสุอนันต์

    วสุอนันต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +27
    ร่วมอนุโมทนาด้วยคับท่าน

    ผมจำประโยคธรรมประโยคหนึ่งของหลวงพ่อปัญญาฯ ประโยคหนึ่งได้ว่า...

    ..ต้องทำ(ธรรม)ดีซะก่อนตาย.. ตายแล้วมันทำ(ธรรม)ไม่ได้.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...